โอ...ไม่...การแต่งงานที่ไม่เกิดเพราะตัวหล่อนเองเห็นชอบด้วยจะไม่มีวันเกิดขึ้น
แทนขวัญไม่อาจจะทนรออยู่เพียงภายนอกได้อีกแล้ว หล่อนก้าวพรวดเข้ามาในห้อง...ทุกคนในห้องนี้มองเห็นหล่อนพร้อมๆ กัน
“มาแล้ว ว่าที่เจ้าสาว” นายจารึก เรืองยศเอ่ยทักหลานสาว
แทนขวัญเข้ามายกมือไหว้แล้วไปนั่งข้างๆ มารดา...
“ใครจะแต่งงานคะ”
“เจ้าแหละ แทน”
“แทนหรือคะ คุณปู่” ถามย้ำอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ หล่อนไม่เคยคิดจะแต่งงาน ในสมองตอนนี้มีแต่เรื่องงานเท่านั้น
ชีวิตคู่ยังอีกไกล ไม่พร้อม…และยังไม่เจอคนถูกใจด้วย
“ใช่”
“แต่แทนไม่คิดอยากแต่ง”
“ไม่แต่งไม่ได้” เสียงบอกค่อนข้างเด็ดขาด และแทนขวัญก็ไม่ได้นิ่งฟังเหมือนกัน หล่อนถามออกมาทันที
“ทำไมคะ”
แน่ละว่าตอนนี้พ่อแม่หล่อนเริ่มหายใจไม่คล่องเพราะกลัวว่าปู่กับหลานจะ ‘งัดข้อ’ กัน นายจารึกรักหลานสาวคนเล็กมากอยู่ แต่อารมณ์ที่เรียกว่าเป็นคนชอบทำตัวเผด็จการก็มีมากอยู่เสมอเหมือนกัน นิสัยเรื่องนี้ไม่สามารถแก้ไขได้มาช้านาน แต่ออกจะเกินไปในหลายหน
และหลานรักอย่างแทนขวัญก็เป็นหลานคนที่ปะทะกับนายจารึกมากกว่าพี่สาวอีกสองคนที่แยกตัวแต่งงานไปแล้ว หล่อนหัวดื้อกว่า
นายจารึกยังเคยออกปาก การบังคับหล่อนนั้นไม่ได้เป็นเรื่องง่าย
ดังนั้นนายสหชาติและคุณจามรีจึงคิดเหมือนกันว่าน่าจะเป็นเรื่องเพราะการที่ปู่จะให้หลานสาวคนเล็กแต่งงาน
ประเดี๋ยวเถิด...ได้มีรายการเฉียดๆ บ้านแตก
“เพราะปู่ไปตอบตกลงกับเขาแล้ว”
นั่นคือคำตอบอันแสนจะเด็ดขาดและไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้ยินถ้อยคำทำนองนี้…ทำนองว่านายจารึกคิดเองตัดสินใจเอาเอง
แทนขวัญมองหน้าอย่างไม่พรั่นพรึง พ่อแม่อาจจะยำเกรงต่อปู่และกลัวเหมือนหนูกลัวแมว แต่นั่นไม่ใช่หล่อน “ไม่แต่งเด็ดขาดค่ะ”
แทนขวัญยืนยันออกมา
“บ๊ะ...เจ้าแทน...เจ้าจะทำให้ปู่เสียหายและเสียสัตย์หรือไง”
นายจารึกร้องลั่น มองเห็นความยุ่งยากแต่ไม่เคยคิดจะยอมแพ้
“เสียยังไงคะ”
“ปู่เคยเป็นหนี้ชีวิตปู่เขา...และปู่สัญญาว่าจะยกลูกให้ลูกเขา แต่บังเอิญเรามีแต่ลูกชายเหมือนกัน...เลยว่าจะยกหลานให้ พี่ๆ เจ้าแต่งงานไปหมดแล้วเหลือแต่เจ้า...สัญญานั้นคืนคำไม่ได้...ปู่จะไปมองหน้าเพื่อนได้ไง”
แทนขวัญทำหน้ามุ่ย...หล่อนเป็นลูกคนเล็กพ่อแม่ตามใจ...ปู่ก็เคยพะเน้าพะนอหล่อน จะมาบีบเรื่องนี้หล่อนเห็นจะยอมไม่ได้ หล่อนทิ้งคำพูดเอาไว้ประโยคหนึ่ง
“ที่จริงเรื่องนี้แก้ไขไม่ยากเลยนะคะ...คุณปู่แค่รีบไปพบเพื่อน แล้วขอโทษว่าจัดการให้ตามคำสัญญาไม่ได้ เรื่องจะเรียบร้อย”
พ่อแม่หล่อนทำท่าตะลึงพูดไม่ออก นายจารึกก็งงๆ ตอนแรก
แทนขวัญไปแล้ว ก่อนนายจารึกจะนึกออก
“ไอ้แทน...ไอ้หลานแสบ...โว้ย...มันแช่งปู่ให้ตายตามเพื่อนไปแก้ไขสัญญา ไอ้ตัวดี...ดีละ เราจะเห็นกัน...ปู่จัดการให้เจ้ากับพ่อเขมแต่งกันไม่ได้...ปู่จะยอมกลั้นใจตาย...คอยดูนะเฟ้ย” ฝากเสียงลอยลม “แล้วจะรู้ว่าใครแน่กว่ากัน ปู่ตั้งใจแล้ว คำพูดปู่คำไหนก็คำนั้นด้วย”
แทนขวัญเยี่ยมหน้าเข้ามาอีกหน
“ได้เลย...ซ้อมไว้เลยนะคะ เรื่องกลั้นใจอะไรนั่นน่ะ เดี๋ยวพอถึงวันจริง จะไม่ได้ไปเจอหน้าเพื่อนสมตามความมุ่งหวัง”
“ไอ้แทน” คราวนี้นายจารึกลุกยืนร้องลั่น ๆ
แทนขวัญยักไหล่เล็กน้อย “แทนไม่แต่ง…หน้ายังไม่เคยเห็น นิสัยไม่รู้จัก...จะแต่งได้ไง”
“หากเห็น...จะแต่งไหม” เสียงอ่อนลง
“ยังไม่แน่ มีถมไป เห็นหน้าแล้วไม่ต้องชะตา”
“เขาหล่อ”
“กินไม่ได้”
“เป็นพ่อบ้านพ่อเรือน”
“ไม่เอา….ผู้ชายแบบไหนเป็นพ่อบ้านพ่อเรือน ผู้ชายแท้หรือเปล่า”
“ปู่รับรอง…”
แทนขวัญหัวเราะมาอีกหน ก่อนจะย้อนเอาว่า “ปู่รับรองเขาขนาดนี้ทีเดียวหรือ…เขามีดีอะไร…แทนไม่เอาด้วย...ปู่อยากได้เขา ก็แต่งกับเขาเสียเองซิ จะได้มีคนไปดูแล...ทำกับข้าวให้กิน มีเพื่อนคุย…ไม่ต้องอยู่คนเดียว ไม่เหงา” คราวนี้แทนขวัญไปจริงๆ
“ไอ้เจ้าแทนนี่มันปากเสีย…มันเหมือนใคร”
สามีภรรยาสบตากันแล้วคิดตรงกันนักว่า
…จะเหมือนใคร…
…ก็เหมือนคนพูด…
แต่หาได้กล้าเอ่ยออกมาดังๆ
แทนขวัญไม่ยอมมาด้วย แต่นายจารึกบังคับทั้งลูกชาย
และลูกสะใภ้มาที่ร้านครัวคุณเขมจนได้ ที่จริงนายสหชาติเคยพบเขมมาแล้วสองหนด้วยกันแต่คิดว่าไม่ใช่ว่าที่ลูกเขย บิดาพาเขามารับประทานอาหารที่ร้านนี้...ส่วนคุณจามรีเธอเคยมาร้านนี้มาก่อนกับเพื่อนพ้องของเธอ แต่วันนี้สำหรับเธอเป็นการมาแบบที่เรียกว่าจำยอมต้องมาแล้วกระซิบถามเบาๆ กับสามีตอนเดินตามพ่อสามีที่เดินมาดแข็งแรงนำไปก่อนหน้า
“เราจะทำยังไงดีคะ สงสัยบ้านจะไม่สงบ” เพราะเธอรู้นิสัยพ่อสามีพอๆ กับรู้นิสัยของแทนขวัญ
“คุณพ่อจะเล่นคลุมถุงชน...สัญญาเก๊าเก่าสมัยไหนไม่รู้”
สามีก็ทำหน้ายุ่งยากลำบากใจ ออกตัวว่า “เป็นคนอื่นน่ะผมไม่ยอมแน่ๆ แต่เป็นคุณพ่อนี่ ผมยอมรับว่ามันมืดแปดด้าน”
เธอเลยยิ่งทำหน้าเหมือนทุกข์หนัก...หน้าสวยๆ ยังไม่ได้แก่ไปตามวัยบอกความยุ่งยากใจเป็นอันมาก
“คุณพ่อไม่รักหลานเลยนะคะ”
“แต่ท่านก็วืดมาแล้วสองหนนะ” สามีเอ่ยเหมือนเท้าความ คุณจามรีหน้าตาเผือดลง รับรู้ความจริงตรงนั้น “เราเองก็ทำเฉยเมยจนยัยสองคนไปมีครอบครัว แล้วไปอยู่ต่างประเทศ มาถึงแทน เป็นหลานสาวคนสุดท้ายแล้ว เพราะฉะนั้นท่านไม่มีวันยอมให้ความตั้งใจของท่านพลาดไปแน่นอน”
“จะเกิดอะไรขึ้นคะ...คุณพ่อก็เหมือนขิง...ยัยแทนเหมือนข่า...แรงกันทั้งคู่”
“เอาน่า...เรายังมีความหวัง”
“ตรงไหนคะ”
“อีตาเขมนั่นไง...เขาอาจจะไม่อยากแต่งงานก็ได้”
แต่คุณจามรีส่ายหน้าไม่ได้คล้อยตามความเชื่อนั้นเลย “เขาอายุเท่าไหร่นะคะ”
“ทำไม”
“บอกมาก่อนค่ะว่าอายุเท่าไหร่แล้ว”
“จะสามสิบมั้ง”
“แล้วไม่มีเมียน่ะหรือคะ”
“มันไม่แปลกน่า คุณ” สามีแย้งบ้าง เพราะว่าสมัยนี้ทั้งผู้ชายผู้หญิงอยู่เป็นโสดจนกระทั่งอายุมากๆ ก็ยังเป็นเรื่องปกติอยู่นั่นเอง จะมัวคิิดว่าไม่มีใครสนใจ หรือไม่มีใครต้องการน่ะไม่ได้แล้ว เพราะดีไม่ดีจะย้อนกลับมาถึงลูกเรา...อายุยี่สิบเจ็ด ฟงแฟนก็ไม่มี...มีแต่เพื่อนผู้ชายคบหากันเท่านั้น”
“ก็ยัยแทนมันเอาแต่เรื่องเรียน ผู้หญิงก้าวกระโดดไปถึงดอกเตอร์แล้ว ผู้ขายก็ขยาด”
ตอนนี้คุณจามรีเลยขอรอขอดูหน้าว่าที่ลูกเขยที่บิดาสามีได้เลือกสรรมารอท่าอีกหนด้วยความตั้งอกตั้งใจเป็นอันมาก และรู้ว่าเขาคงจะเป็นคนที่สนิทกับนายจารึกอยู่ไม่ใช่น้อยเพราะเมื่อนายจารึกย่างเท้าเข้ามาในร้านนี้ บรรดาพนักงานต้อนรับและพนักงานเสิร์ฟในร้านพากันมาต้อนรับอย่างนอบน้อม...คุณจามรีกวาดตามองไปโดยรอบอย่างรวดเร็วก่อนจะอุทานพอได้ยินกับสามี
“เอ๊ะ…ไม่มีผู้หญิง”มีแต่พนักงานหนุ่มๆ เสื้อผ้าไทยตัดแบบคอปิดแขนยาวสีออกครีมๆ กับกางเกงฝ้าฝ้ายผสมไหมสีน้ำตาลเข้มเล็กน้อย...ดูสะอาดสะอ้านแต่มีแต่ผู้ชายล้วนๆ“เค้าไม่จ้างผู้หญิงหรือคะ”“ไม่รู้ซิ ไหนว่าเคยมา”“ก็นานแล้วนะคะ ตอนนั้นไม่ทันสังเกต”นายสหชาติคร้านจะพูดว่าคราวนั้นไม่สังเกต แต่คราวนี้ภรรยาเขาสังเกตละเอียดยิบตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามา“เป็นไปได้ไหมคะ” เธอพึมพำถามต่อ ไหวระแวง “เจ้าของร้านหนุ่มโสดอายุสามสิบ เรียนจบคหกรรมฯ เด็กในร้านผู้ชายล้วน...ตัวเองเข้าครัวทำอาหาร...เขาอาจจะเป็นเกย์”นายสหชาติสะดุ้ง พูดไม่ออก“หากใช่...เท่ากับคุณพ่อจะลากเอาหลานไปลงนรก”“อาจจะไม่ใช่น่า...คุณพ่อไม่ได้เป็นคนที่ใครจะตบตาหลอกท่านได้”“แต่มีถมไปนะคะ” เสียงกระซิบยังตามมาไม่ยอมกันเสียทีเดียว “เกย์หลายคนแอบเสียจนสนิท...เรียกว่าไม่ใช่หมู่ ใช่พวกเดียวกันหรือมีใครตามไปเจอในที่สังสรรค์ลับเฉพาะก็แยกไม่ออก คุณพ่อน่ะฉลาดนะคะ แต่อย่าลืมว่าหลายคนฉลาดก็ลืมเฉลียว...แล้วยุคสมัยที่ท่านผ่านโลกมาน่ะ ท่านอาจจะไม่รู้จักมักคุ้นกับพวกเพศที่สาม”แต่นายสหชาติยังมั่นใจว่าบิดาเป็นคนที่ใครจะมาหลอกไม่ได้ และยังเป็นคนที่ฉลาดรอบรู้ไปเส
“ปลาบู่...ปลาบู่...อยู่ไหม”เสียงถามนั่นดังขึ้นพร้อมๆ กับพาตัวเองเดินลัดเลาะไปในระหว่างกองผ้าสูงและข้าวของระเกะระกะ เป็นกองผ้าที่เป็นเศษผ้าสำหรับเอามาทำสิ่งประดิษฐ์ หล่อนสอบถามจากเด็กที่นี่แล้วว่าเพื่อนหล่อนอยู่...ไม่ได้ไปไหน...เพื่อนสาวของหล่อน...ปลาบู่หรือประภาพร เพื่อนรุ่นเดียวกัน รักกันดีมาก แม้จะเรียนคนละสาขาและเอาดีคนละทาง...ปลาบู่กับหล่อนเรียนมัธยมมาด้วยกันและแยกคณะกันไปเรียน แต่ยังติดต่อกันมาตลอด...เป็นเพื่อนสนิทที่สุดคนเดียวที่แทนขวัญมี...และร่างค่อนข้างอวบ หน้ากลมๆ ก็โผล่มากะทันหันระหว่างกองผ้าสูงท่วมหัวสองกอง“จ๊ะเอ๋ ยัยแทน” ทักทายเสียงใส อารมณ์ดี…หากไม่มีความขาวของผิวพรรณก็คงจะไม่พ้นสภาพมอมแมมไปได้เพราะเจ้าตัวเข้าไปคุ้ยหาของประภาพรทำอาชีพส่วนตัวโดยสานต่อจากครอบครัว กึ่งๆ จะเป็นงานหัตถกรรมการประดิษฐ์ของจากเศษผ้า…หล่อนเรียนจบมาด้านบัญชีแต่มาทำงานให้ครอบครัว และไม่ได้ดูแลแค่การเงินและเอกสาร…สินค้าที่นี่กลายเป็นสินค้าที่ได้ส่งออกและมีการจ้างแรงงานหญิงเข้ามาทำ…งานที่แทนขวัญมองเห็นยังไม่อยากเชื่อเลยว่าเศษผ้าก็จะแปรรูปไปเป็นสินค้าได้มากมายหลายอย่างแต่งานประดิษฐ์ของจากอย่างอื่
ป้ายชื่อร้านนั้นดูโดดเด่นเพราะเป็นการเขียนด้วยตัวอักษรแบบคัดลายมือไทยเล่นหาง...ตัวเอียงจากซ้ายไปขวา...ตัวอักษรที่ขยายขนาดใหญ่นั้นบอกความสวยงามหาไหนเปรียบ...เป็นชื่อที่แกะอยู่บนแผ่นหินสีเขียวขนาดใหญ่...เป็นหินเขียวที่มีอายุของการจมอยู่ในดินนั้นเรียกว่านานนับร้อยหรือพันปี...แต่จะนานเท่าไหร่ ‘เขม’ ผู้เป็นเจ้าของร้านและเจ้าของป้ายชื่อที่ว่านี้ไม่ได้ใส่ใจ เขาเพียงแต่คุยอวดว่า“หากปล่อยเจ้าหินสีเขียวพวกนี้อยู่นานไปอีกสักหน่อย จะกลายเป็นหยก”จะมีคนเชื่อเขาสักกี่คน เพราะเขาไม่ได้เป็นนักธรณีวิทยา...ดอกเตอร์พลาย ผู้จบดีกรีปริญญาเอกทางเศรษฐศาสตร์ที่เชี่ยวชาญทั้งเศรษฐศาสตร์ระดับจุลภาค และมหภาค และยังชำนาญทั้งเศษฐศาสตร์ต้องการการอธิบายในด้านคณิตศาสตร์หรือจะให้เป็นเชิงพรรณาเจ้าดอกเตอร์ก็สามารถพูดได้หมด เคยท้วงว่า…อีกสักหน่อยของเอ็ง คงจะต้องล้านปีเป็นอย่างน้อย...จากหินสีถึงจะเป็นหยกล้ำค่า…แต่เขมไม่ได้สะดุ้งสะเทือนกับคำขัดนั้น เพราะเขาถือว่าเขาก็สันนิษฐานไป...เขาเป็นแค่พ่อครัวคนหนึ่ง...อ่อนน้อมถ่อมตนนักและเขาก็มีเรื่องที่คุยเกี่ยวกับตัวเองได้เต็มปาก“จบคหกรรมฯ ครับ แล้วมาทำครัว เป็นพ่อครัว”เขาไ
คุณปู่มา...มีเด็กขึ้นมาบอกแทนขวัญขยับตัวอยู่บนที่นอนหนาไม่นุ่มมากนักและไม่แข็งจนเกินไป กำลังพอดีและเป็นที่นอนติดสปริงที่พอขยับตัวก็จะไหวยวบตาม...ที่จริงหล่อนนิยมเตียงน้ำ แต่มารดาไม่เห็นด้วย เธอมีความวิตกมากเกินไปว่าหากมันแตกปริขึ้นมาจะทำอย่างไรได้ เธอห่วงว่าหล่อนจะจมน้ำตาย ไม่รู้ว่าเป็นความเชื่อแบบไหนและหล่อนก็ไม่อยากทำให้เธอกังวล เลยยอมปฏิเสธเตียงที่อยากจะได้มารดาเปลี่ยนเตียงและที่นอนให้ใหม่เมื่อหล่อนกลับมาบ้านหนนี้...หล่อนจากบ้านไปสองปีไปเรียนต่อในระดับปริญญาเอกและได้กลับมาอย่างสมภาคภูมิ...ปริญญาเอกทางวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม...กลับมาทำงานที่บริษัทเดิมหล่อนลาไปเรียนต่อและไม่ได้คิดจะกลับมาทำงานที่เดิม แต่เมื่อหล่อนกลับมาบ้านเมื่อสองเดือนก่อน ทางบริษัทเดิมเรียกหล่อนไปพบแล้วแจ้งมาว่ายังยินดีรับหล่อนเข้าทำงานด้วยเงินเดือนที่น่าพอใจทีเดียวแทนขวัญไม่ได้เสียเวลาคิดตรงนั้นนานนัก เพราะหล่อนยังมีเยื่อใยกับเพื่อนร่วมงานเก่าๆ เจ้านายเก่าๆ ตอนหล่อนทำงานครั้งแรกเมื่อจบปริญญาโท หล่อนก็ทำอยู่ที่บริษัทนั้นเป็นปีแล้วค่อยลาออกไปเรียนต่อด้วยเงินทุนที่บ้าน ไม่ได้รับเงินทุนของบริษัทหรือที่ไหน ทั้งพ่อทั้
“ปลาบู่...ปลาบู่...อยู่ไหม”เสียงถามนั่นดังขึ้นพร้อมๆ กับพาตัวเองเดินลัดเลาะไปในระหว่างกองผ้าสูงและข้าวของระเกะระกะ เป็นกองผ้าที่เป็นเศษผ้าสำหรับเอามาทำสิ่งประดิษฐ์ หล่อนสอบถามจากเด็กที่นี่แล้วว่าเพื่อนหล่อนอยู่...ไม่ได้ไปไหน...เพื่อนสาวของหล่อน...ปลาบู่หรือประภาพร เพื่อนรุ่นเดียวกัน รักกันดีมาก แม้จะเรียนคนละสาขาและเอาดีคนละทาง...ปลาบู่กับหล่อนเรียนมัธยมมาด้วยกันและแยกคณะกันไปเรียน แต่ยังติดต่อกันมาตลอด...เป็นเพื่อนสนิทที่สุดคนเดียวที่แทนขวัญมี...และร่างค่อนข้างอวบ หน้ากลมๆ ก็โผล่มากะทันหันระหว่างกองผ้าสูงท่วมหัวสองกอง“จ๊ะเอ๋ ยัยแทน” ทักทายเสียงใส อารมณ์ดี…หากไม่มีความขาวของผิวพรรณก็คงจะไม่พ้นสภาพมอมแมมไปได้เพราะเจ้าตัวเข้าไปคุ้ยหาของประภาพรทำอาชีพส่วนตัวโดยสานต่อจากครอบครัว กึ่งๆ จะเป็นงานหัตถกรรมการประดิษฐ์ของจากเศษผ้า…หล่อนเรียนจบมาด้านบัญชีแต่มาทำงานให้ครอบครัว และไม่ได้ดูแลแค่การเงินและเอกสาร…สินค้าที่นี่กลายเป็นสินค้าที่ได้ส่งออกและมีการจ้างแรงงานหญิงเข้ามาทำ…งานที่แทนขวัญมองเห็นยังไม่อยากเชื่อเลยว่าเศษผ้าก็จะแปรรูปไปเป็นสินค้าได้มากมายหลายอย่างแต่งานประดิษฐ์ของจากอย่างอื่
“เอ๊ะ…ไม่มีผู้หญิง”มีแต่พนักงานหนุ่มๆ เสื้อผ้าไทยตัดแบบคอปิดแขนยาวสีออกครีมๆ กับกางเกงฝ้าฝ้ายผสมไหมสีน้ำตาลเข้มเล็กน้อย...ดูสะอาดสะอ้านแต่มีแต่ผู้ชายล้วนๆ“เค้าไม่จ้างผู้หญิงหรือคะ”“ไม่รู้ซิ ไหนว่าเคยมา”“ก็นานแล้วนะคะ ตอนนั้นไม่ทันสังเกต”นายสหชาติคร้านจะพูดว่าคราวนั้นไม่สังเกต แต่คราวนี้ภรรยาเขาสังเกตละเอียดยิบตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามา“เป็นไปได้ไหมคะ” เธอพึมพำถามต่อ ไหวระแวง “เจ้าของร้านหนุ่มโสดอายุสามสิบ เรียนจบคหกรรมฯ เด็กในร้านผู้ชายล้วน...ตัวเองเข้าครัวทำอาหาร...เขาอาจจะเป็นเกย์”นายสหชาติสะดุ้ง พูดไม่ออก“หากใช่...เท่ากับคุณพ่อจะลากเอาหลานไปลงนรก”“อาจจะไม่ใช่น่า...คุณพ่อไม่ได้เป็นคนที่ใครจะตบตาหลอกท่านได้”“แต่มีถมไปนะคะ” เสียงกระซิบยังตามมาไม่ยอมกันเสียทีเดียว “เกย์หลายคนแอบเสียจนสนิท...เรียกว่าไม่ใช่หมู่ ใช่พวกเดียวกันหรือมีใครตามไปเจอในที่สังสรรค์ลับเฉพาะก็แยกไม่ออก คุณพ่อน่ะฉลาดนะคะ แต่อย่าลืมว่าหลายคนฉลาดก็ลืมเฉลียว...แล้วยุคสมัยที่ท่านผ่านโลกมาน่ะ ท่านอาจจะไม่รู้จักมักคุ้นกับพวกเพศที่สาม”แต่นายสหชาติยังมั่นใจว่าบิดาเป็นคนที่ใครจะมาหลอกไม่ได้ และยังเป็นคนที่ฉลาดรอบรู้ไปเส
โอ...ไม่...การแต่งงานที่ไม่เกิดเพราะตัวหล่อนเองเห็นชอบด้วยจะไม่มีวันเกิดขึ้นแทนขวัญไม่อาจจะทนรออยู่เพียงภายนอกได้อีกแล้ว หล่อนก้าวพรวดเข้ามาในห้อง...ทุกคนในห้องนี้มองเห็นหล่อนพร้อมๆ กัน“มาแล้ว ว่าที่เจ้าสาว” นายจารึก เรืองยศเอ่ยทักหลานสาวแทนขวัญเข้ามายกมือไหว้แล้วไปนั่งข้างๆ มารดา...“ใครจะแต่งงานคะ”“เจ้าแหละ แทน”“แทนหรือคะ คุณปู่” ถามย้ำอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ หล่อนไม่เคยคิดจะแต่งงาน ในสมองตอนนี้มีแต่เรื่องงานเท่านั้นชีวิตคู่ยังอีกไกล ไม่พร้อม…และยังไม่เจอคนถูกใจด้วย“ใช่”“แต่แทนไม่คิดอยากแต่ง”“ไม่แต่งไม่ได้” เสียงบอกค่อนข้างเด็ดขาด และแทนขวัญก็ไม่ได้นิ่งฟังเหมือนกัน หล่อนถามออกมาทันที“ทำไมคะ”แน่ละว่าตอนนี้พ่อแม่หล่อนเริ่มหายใจไม่คล่องเพราะกลัวว่าปู่กับหลานจะ ‘งัดข้อ’ กัน นายจารึกรักหลานสาวคนเล็กมากอยู่ แต่อารมณ์ที่เรียกว่าเป็นคนชอบทำตัวเผด็จการก็มีมากอยู่เสมอเหมือนกัน นิสัยเรื่องนี้ไม่สามารถแก้ไขได้มาช้านาน แต่ออกจะเกินไปในหลายหนและหลานรักอย่างแทนขวัญก็เป็นหลานคนที่ปะทะกับนายจารึกมากกว่าพี่สาวอีกสองคนที่แยกตัวแต่งงานไปแล้ว หล่อนหัวดื้อกว่านายจารึกยังเคยออกปาก การบังคับหล
คุณปู่มา...มีเด็กขึ้นมาบอกแทนขวัญขยับตัวอยู่บนที่นอนหนาไม่นุ่มมากนักและไม่แข็งจนเกินไป กำลังพอดีและเป็นที่นอนติดสปริงที่พอขยับตัวก็จะไหวยวบตาม...ที่จริงหล่อนนิยมเตียงน้ำ แต่มารดาไม่เห็นด้วย เธอมีความวิตกมากเกินไปว่าหากมันแตกปริขึ้นมาจะทำอย่างไรได้ เธอห่วงว่าหล่อนจะจมน้ำตาย ไม่รู้ว่าเป็นความเชื่อแบบไหนและหล่อนก็ไม่อยากทำให้เธอกังวล เลยยอมปฏิเสธเตียงที่อยากจะได้มารดาเปลี่ยนเตียงและที่นอนให้ใหม่เมื่อหล่อนกลับมาบ้านหนนี้...หล่อนจากบ้านไปสองปีไปเรียนต่อในระดับปริญญาเอกและได้กลับมาอย่างสมภาคภูมิ...ปริญญาเอกทางวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม...กลับมาทำงานที่บริษัทเดิมหล่อนลาไปเรียนต่อและไม่ได้คิดจะกลับมาทำงานที่เดิม แต่เมื่อหล่อนกลับมาบ้านเมื่อสองเดือนก่อน ทางบริษัทเดิมเรียกหล่อนไปพบแล้วแจ้งมาว่ายังยินดีรับหล่อนเข้าทำงานด้วยเงินเดือนที่น่าพอใจทีเดียวแทนขวัญไม่ได้เสียเวลาคิดตรงนั้นนานนัก เพราะหล่อนยังมีเยื่อใยกับเพื่อนร่วมงานเก่าๆ เจ้านายเก่าๆ ตอนหล่อนทำงานครั้งแรกเมื่อจบปริญญาโท หล่อนก็ทำอยู่ที่บริษัทนั้นเป็นปีแล้วค่อยลาออกไปเรียนต่อด้วยเงินทุนที่บ้าน ไม่ได้รับเงินทุนของบริษัทหรือที่ไหน ทั้งพ่อทั้
ป้ายชื่อร้านนั้นดูโดดเด่นเพราะเป็นการเขียนด้วยตัวอักษรแบบคัดลายมือไทยเล่นหาง...ตัวเอียงจากซ้ายไปขวา...ตัวอักษรที่ขยายขนาดใหญ่นั้นบอกความสวยงามหาไหนเปรียบ...เป็นชื่อที่แกะอยู่บนแผ่นหินสีเขียวขนาดใหญ่...เป็นหินเขียวที่มีอายุของการจมอยู่ในดินนั้นเรียกว่านานนับร้อยหรือพันปี...แต่จะนานเท่าไหร่ ‘เขม’ ผู้เป็นเจ้าของร้านและเจ้าของป้ายชื่อที่ว่านี้ไม่ได้ใส่ใจ เขาเพียงแต่คุยอวดว่า“หากปล่อยเจ้าหินสีเขียวพวกนี้อยู่นานไปอีกสักหน่อย จะกลายเป็นหยก”จะมีคนเชื่อเขาสักกี่คน เพราะเขาไม่ได้เป็นนักธรณีวิทยา...ดอกเตอร์พลาย ผู้จบดีกรีปริญญาเอกทางเศรษฐศาสตร์ที่เชี่ยวชาญทั้งเศรษฐศาสตร์ระดับจุลภาค และมหภาค และยังชำนาญทั้งเศษฐศาสตร์ต้องการการอธิบายในด้านคณิตศาสตร์หรือจะให้เป็นเชิงพรรณาเจ้าดอกเตอร์ก็สามารถพูดได้หมด เคยท้วงว่า…อีกสักหน่อยของเอ็ง คงจะต้องล้านปีเป็นอย่างน้อย...จากหินสีถึงจะเป็นหยกล้ำค่า…แต่เขมไม่ได้สะดุ้งสะเทือนกับคำขัดนั้น เพราะเขาถือว่าเขาก็สันนิษฐานไป...เขาเป็นแค่พ่อครัวคนหนึ่ง...อ่อนน้อมถ่อมตนนักและเขาก็มีเรื่องที่คุยเกี่ยวกับตัวเองได้เต็มปาก“จบคหกรรมฯ ครับ แล้วมาทำครัว เป็นพ่อครัว”เขาไ