“มีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับท่าน?”พนักงานสังเกตเห็นสีหน้าของฉู่เฉินและคิดว่าเงินของเขาอาจจะไม่พอ แต่อย่างไรก็ตาม แทนที่จะเพิกเฉยต่อฉู่เฉิน เขากลับมองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง จากนั้นโน้มตัวลงมาเพื่อกระซิบ“ท่านครับ ถ้ามีเงินไม่พอ ร้านพวกเรามีข้อเสนอให้ครับ ไม่ทราบว่าท่านสนใจไหม?”“โอ้? ลองพูดมาหน่อยสิ” ฉู่เฉินตอบโดยแสร้งแกล้งทำเป็นสนใจเมื่อเห็นเช่นนี้ พนักงานก็รู้สึกมั่นใจในการตัดสินของตัวเองมากขึ้น ดูเหมือนลูกค้ารายนี้ต้องการเงินจริงๆ ซึ่งทำให้พนักงานมีคาดหวังกับข้อเสนอที่กำลังจะบอกไป“ท่านครับ ท่านอาจจะไม่รู้ แต่ร้านของพวกเราได้ติดประกาศภารกิจครับ ข้าเห็นว่าวรยุทธของท่านก็ไม่เลว ท่านสนใจที่จะรับภารกิจไหม?”พนักงานหยุดชั่วคราวหลังจากนำเสนอ“ลองพูดต่อหน่อย” ฉู่เฉินแสร้งทำทีว่าสนใจแน่นอนว่าเขามาถูกที่แล้ว“มันเป็นการค้นหาและไล่ล่าใครบางคน และหลังจากทำสำเร็จแล้ว ท่านจะได้รับรางวัลเป็นเหรียญทองหรือค่าตอบแทนอื่นๆ หากท่านต้องการรับภารกิจจริงๆ ข้าจะพาท่านไปพบกับพี่เถาซึ่งเป็นผู้จัดการร้านครับ” พนักงานคนนั้นอธิบาย“ตกลง นำทางไปเลย” ฉู่เฉินเห็นด้วยโดยไม่ลังเล รู้สึกว่าไม่มีอะไรต้องกลัวเมื
“แน่นอน สำหรับเจ้า ภารกิจนี้แบ่งได้เป็นสองส่วนคือ ค้นหาบุคคลในภาพให้เจอแล้วจะถือว่าภารกิจสำเร็จและรับหนึ่งร้อยเหรียญทอง แต่ถ้าเจ้าฆ่าบุคคลนี้และนำศพกลับมาได้อีก ก็จะได้รับรางวัลคือหนึ่งหมื่นเหรียญทอง” พี่เถาประกาศรางวัลเสร็จในหนึ่งลมหายใจพูดตามตรง ถ้าไม่ใช่เพราะเป้าหมายคือตัวเอง ฉู่เฉินคงถูกล่อลวงไปแล้ว นอกจากนี้เมื่อไม่กี่วันก่อน เขาฆ่าคนสามคนที่ประตูเมืองและได้รับเหรียญทองมาหลายเหรียญจากการปล้นคนตายเพื่อให้การปลอมตัวเข้าถึงบทบาทได้อย่างสมจริงยิ่งขึ้น ฉู่เฉินแสร้งทำเป็นตื่นเต้นและพูด“จริงเหรอ? แค่พบคนๆ นี้ก็สามารถรับเหรียญทองหนึ่งร้อยเหรียญทองแล้วรึ? หากเป็นเช่นนั้นจริง ข้าก็ต้องขอบคุณพี่เถาด้วย”“อย่าเพิ่งตื่นเต้นเกินไป เนื่องจากเจ้าตัดสินใจที่จะรับภารกิจนี้ ข้าจะบอกเจ้าอีกสักหน่อย นอกจากเจ้าแล้ว ยังมีอีกคนหนึ่งที่รับภารกิจนี้อีก ซึ่งก็อยู่ในระดับมหากาฬช่วงต้น ชื่อโจวหง เหมือนว่าจะพักที่โรงเตี๊ยมถงฟู่” พี่เถาพูดเสริม“ขอบคุณพี่เถาสำหรับโอกาสนี้ ข้าจะไปตามหาคนคนนี้ทันที” ฉู่เฉินแสร้งทำเป็นกลัวว่าคนอื่นจะไปถึงที่นั่นก่อนแล้วรีบออกไป“เอาเลย แต่จงจำเอาไว้ อย่าทำตัวเป็นจุดสนใจ”
“อ๋อ พี่โจว ช่างมีความรู้กว้างขวางจริงๆ ข้าได้เรียนรู้อะไรมากมายจากท่าน” ฉู่เฉินพูด“ไม่เลย ข้าแค่หวังว่าในอนาคต น้องชายจะสามารถแบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลในภาพได้เช่นกัน”คำพูดของโจวหงไม่สำคัญ แต่ท่าทางของเขาแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าตัวเองได้บอกข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากมายไปแล้ว หากรู้เรื่องใดก็ควรนำมาแบ่งปันเมื่อเห็นเช่นนั้น ฉู่เฉินก็พูดขึ้น: “แน่นอน”โดยทั่วไปแล้วการสนทนาค่อนข้างน่าพอใจ แม้ว่าฉู่เฉินจะขอตัวกลับและพูดคำอำลา โจวหงก็ยังลงมาส่งเขาด้านล่างหลังจากออกจากโรงเตี๊ยมของโจวหงแล้ว ฉู่เฉินก็ไปร้านอาหารที่ไปบ่อยๆ เมื่อพบสถานที่อันเงียบสงบ เขาจึงถอดหน้ากากออกและคืนสู่ตัวตนที่แท้จริงก่อนจะมุ่งหน้ากลับบ้านตลอดทางกลับไปที่ลานส่วนตัว ฉู่เฉินกำลังคิดทบทวนว่าทำให้ตัวเองตายก่อน จากนั้นแทรกซึมเข้าไปในหอคอยเงาทมิฬได้อย่างไรในที่สุดเหยาหลิงเฉินก็ทนไม่ไหวอีกต่อไปและจึงพูด“ค้นหาศพแล้วทำลายหน้าทิ้ง แบบนี้ไม่ได้เหรอ?”“แต่ศพปลอมจะสามารถหลอกพวกเขาได้จริงหรือ?” ฉู่เฉินฟังคำแนะนำของเหยาหลิงเฉิน แต่ยังคงกังวลอยู่เล็กน้อย“นายไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนั้น อย่างน้อยคนที่เรียกว่าพี่เถาก
“เอาล่ะ ผู้อาวุโสมาดูดซับกันเลยดีกว่า”หลังจากที่ฉู่เฉินพูดจบ ก็นั่งขัดสมาธิลง และรอให้เหยาหลิงเฉินเสนอแนะไม่ถึงครึ่งชั่วโมง มีคลื่นความร้อนไหลเข้ามาในร่างกาย ฉู่เฉินยังคงสงบ เพราะรู้ว่านี่คือการถ่ายถอดกำลังภายในเหยาหลิงเฉิน หลังจากลดพลังผลึกประกายศักดิ์สิทธิ์แล้วฉู่เฉินมองคลื่นความร้อนไหลที่ไหลวนเวียนภายในร่างกายหนึ่งรอบ ในขณะที่คลื่นความร้อนไหลค่อยๆ ลดลง ในรอบที่สอง จากนั้นคลื่นความร้อนไหลก็หายไปอย่างสมบูรณ์ โดยแสดงว่าฉู่เฉินดูดซับมันจนหมดแล้วจากการตรวจสอบจากภายในของฉู่เฉิน เขาพบว่าวรยุทธไม่ได้เพิ่มขึ้นถึงกึ่งหนึ่งเลยฉู่เฉินไม่เชื่อและปล่อยรัศมีทั้งหมดออกมา และแน่นอนว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ด้วยความสับสน เขาดึงรัศมีกลับมาอีกครั้งแต่ผู้คนจำนวนมากในเมืองสัมผัสได้ถึงรัศมีนี้ หลายคนรีบวิ่งหนีออกจากประตู แต่รัศมีนี้ก็หายไปอย่างรวดเร็ว จึงทำได้แค่มองไปรอบๆ อย่างไม่มีความหมายโจวหงจากโรงเตี๊ยม พี่เถาจากร้านค้า และนักรบระดับมหากาฬผู้ทรงพลังอีกสองสามคนที่ฉู่เฉินไม่รู้จัก ทั้งช่วงต้น กลาง และปลายต่างก็สังเกตเห็น เพราะเมืองเฟยหยิงเป็นที่พำนักของผู้มีอำนาจมากมายซวี่ฮวงก็สัมผัสได้ถึง
หลังทานอาหารเสร็จ ก็ทำให้ทั้งเจ้าเมืองและภรรยาฃรู้สึกว่าฉู่เฉินมีความเป็นคนมากกว่าเดิม ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่เขาสงบเสงี่ยมเกินไป จนเกือบจะผิดธรรมชาติสำหรับคนวัยเดียวกับเขาเมื่อนายหญิงหวังพาซวี่หรันออกไปจากโต๊ะอาหารแล้ว ฉู่เฉินก็กลับมามีท่าทางตามปกติ ไม่ใช่ว่าฉู่เฉินมีความรู้สึกชู้สาวกับซวี่หรัน แต่เขามีจุดอ่อนสำหรับผู้หญิงที่อ่อนโยน“น้องฉู่เฉิน ทำไมเจ้าไม่มาปักหลักที่เมืองอินทรีทะยานเวหานี่ล่ะ? ที่นี่มีทุกสิ่งที่เจ้าต้องการ” ซวี่ฮวงแนะนำด้วยท่าทางที่มีความหมาย“ความทะเยอทะยานของมนุษย์นั้นมีอยู่ทุกที่บนโลก ท่านเจ้าเมือง โปรดอย่าล้อเล่นเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้” ฉู่เฉินเข้าใจทันทีและพยายามเปลี่ยนเรื่องฉู่เฉินรวบรวมความกล้าแล้วถามว่า “ท่านเจ้าเมือง ท่านมีนักโทษประหารที่นี่บ้างไหม?”“เจ้าหมายถึงอะไรนักโทษประหาร?” ซวี่ฮวงรู้สึกสับสนแย่แล้ว คนที่นี่ไม่เข้าใจความหมายของนักโทษประหาร“เป็นคนประเภทที่ก่ออาชญากรรมร้ายแรงและกำลังจะถูกสำเร็จโทษ” ฉู่เฉินอธิบายอย่างไรก็ตาม ดูเหมือนซวี่ฮวงจะเข้าใจคำอธิบายและพูด: "คนที่ก่ออาชญากรรมร้ายแรงเช่นนี้มักจะถูกฆ่าตายทันที ทำไมจะต้องล่อยให้เขามีชีวิ
เห็นได้ชัดว่าเหยาหลิงเฉินกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากขึ้นกว่าเดิม อาจเนื่องมาจากผลึกประกายศักดิ์สิทธิ์เมื่อได้ยินคำพูดของเหยาหลิงเฉิน ฉู่เฉินก็ไม่ลังเลอีกต่อไป หลังจากทำจิตให้สงบ ก็สัมผัสได้ถึงจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่ปรากฏขึ้นในใจอย่างแปลกประหลาดฉู่เฉินสัมผัสได้ และเหมือนกับที่เหยาหลิงเฉินพูดเอาไว้ก่อนหน้านั้น เขาสามารถขจัดจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์นี้ได้ตลอดเวลา โดยบังคับให้เหยาหลิงเฉินกลับเข้าสู่เมืองลับแลมังกรขณะที่เหยาหลิงเฉินเข้าควบคุมร่างของฉู่เฉิน ฉู่เฉินก็ถอยกลับเข้าไปในส่วนลึกจิตใจ และสัมผัสได้ความรู้สึกแปลกๆ ซึ่งเขาสามารถสัมผัสและเห็นการกระทำของตัวเองได้ แต่การกระทำเหล่านั้นไม่ใช่ของเขาเอง และนั้นก็ทำให้รู้สึกแปลกๆ อยู่บ้างแม้ว่าเหยาหลิงเฉินจะควบคุมร่างกายของฉู่เฉินได้ไม่คล่องแคล่วเท่าตัวฉู่เฉิน แต่ก็ยังสามารถจัดการได้ค่อนข้างดี“เจ้าเป็นใคร? เจ้ากำลังทำอะไรอยู่?” นักโทษรู้สึกไม่สบายใจ เมื่อเห็นพ่อบ้านซวี่พาคนแปลกหน้าเข้ามาเหยาหลิงเฉินควบคุมร่างกายของฉู่เฉิน และเข้าไปในห้องขัง จากนั้นใช้ฝ่ามือฟาดนักโทษออกไปโดยไม่ถามคำถามหรือตอบใดๆฉู่เฉินมองเห็นฉากมหัศจรรย์ซึ่งมีแสงสีขาว
ฉู่เฉินคิดว่าท่าทางระมัดระวังของนักโทษเป็นที่น่าขบขัน ยังไงก็เคยสังหารปรมาจารย์ระดับมหากาฬหลายครั้งต่อหลายครั้งแล้ว และปรมาจารย์ระดับล่างคนนี้ก็แทบจะไม่ใช่ภัยคุกคามเลย“แล้วผู้มีพระคุณของข้าต้องการอะไร? ถ้าเป็นสิ่งที่ข้าทำได้ ข้าจะทำมันอย่างแน่นอน” นักโทษเอ่ยขึ้นมาอย่างรวดเร็ว คิดว่าฉู่เฉินช่วยเขาไว้สำหรับภารกิจบางอย่าง“ข้าไม่จำเป็นต้องให้เจ้าทำอะไร ตอนนี้เจ้าปลอดภัยแล้ว ออกไปได้แล้ว”ฉู่เฉินขี้เกียจเกินกว่าจะพูดเรื่องไร้สาระกับคนที่กำลังจะตาย“ข้าไปได้จริงๆ รึ?” นักโทษยังคงไม่เชื่อ ยังไงซะ เขาก็เป็นอาชญากร และก็ไม่ไว้วางใจในความเมตตาจากคนอื่นฉู่เฉินไม่ได้พูดอะไร แค่ชี้ไปที่ประตูด้วยนิ้ว นั่นหมายความว่าประตูนั้นอยู่ตรงนั้น อยากทำอะไรก็ทำไปนักโทษจึงไม่ลังเลและเดินออกไป หายตัวเข้าไปในความืด จะปล่อยเขาจากไปแบบนี้เหรอ? ไม่ใช่แน่นอน ฉู่เฉินได้ทิ้งร่องรอยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิไว้ ในขณะที่เขาหมดสติแม้ว่าตัวปลอมจะหายเข้าไปในความมืด แต่ฉู่เฉินยังคงสัมผัสได้ถึงตัวปลอมตอนนี้ฉู่เฉินกำลังใคร่ครวญว่าจะฆ่าตัวเอง ในที่ที่มีผู้คนพลุกพล่านหรือจะพาโจวหงไปด้วยกันหลังจากคิดอยู่พักหนึ่ง ฉู่เฉิน
“แน่นอน สบายใจได้”โจวหงเห็นว่าฉู่เฉินเห็นด้วยกับข้อเสนอ และตกลงตามคำสัญญาปากเปล่าใครจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต นอกจากนี้ หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจแล้วและเข้าร่วมหอคอยเงาทมิฬ ทุกอย่างจะอยู่ในมือตัวเองไม่ใช่หรือ“แล้วมัวรีรออะไรอยู่เล่า รีบไปเถอะ” เมื่อโจวหงคิดถึงเรื่องนี้ ความทุกข์ใจก็ลอยหายใจกับอากาศ“เอาล่ะ พี่โจว ข้าจะนำทางเอง”ฉู่เฉินนำโจวหงเดินทางมาถึงโรงเตี๊ยมจากนั้นโจวหงก็เห็นฉู่เฉินตัวปลอม นั่งดื่มอยู่บนชั้นสองเพื่อให้มีความสมจริงมากขึ้น ก็ควรมีผู้เห็นเหตุการณ์มากขึ้น ฉู่เฉินทำท่าราวกับว่าเขากำลังจะลงมือ แต่โจวหงหยุดเขาเอาไว้ก่อน“น้องเหยียนเฉิน ที่นี่มีคนมากเกินไป และไม่ฉลาดเลยที่จะเริ่มการลอบโจมตีเช่นนี้ นอกจากนี้ ยังบุคคลที่ดูเหมือนจะอยู่ในช่วงต้นของระดับมหากาฬ พวกเราควรรอโอกาสที่ดีกว่านี้”“พี่โจวพูดถูก ข้าบุ่มบ่ามเกินไป” แม้ปากฉู่เฉินจะพูดแบบนี้ แต่ว่าภายในจะรู้สึกหงุดหงิดก็ตามนี่มันสถาการณ์อะไร? เมื่อกี้แสร้งทำเป็นว่ารีบร้อน แต่ตอนนี้ก็เปลี่ยนท่าทีเสียแล้ว แค่สัมผัสได้ถึงรัศมีของมหากาฬช่วงต้นก็ลังเลแล้วงั้นเหรอ?ต้องรู้ว่ารัศมีของมหากาฬช่วงต้นนั้นเป็นของปลอ