เห็นได้ชัดว่าเหยาหลิงเฉินกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากขึ้นกว่าเดิม อาจเนื่องมาจากผลึกประกายศักดิ์สิทธิ์เมื่อได้ยินคำพูดของเหยาหลิงเฉิน ฉู่เฉินก็ไม่ลังเลอีกต่อไป หลังจากทำจิตให้สงบ ก็สัมผัสได้ถึงจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่ปรากฏขึ้นในใจอย่างแปลกประหลาดฉู่เฉินสัมผัสได้ และเหมือนกับที่เหยาหลิงเฉินพูดเอาไว้ก่อนหน้านั้น เขาสามารถขจัดจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์นี้ได้ตลอดเวลา โดยบังคับให้เหยาหลิงเฉินกลับเข้าสู่เมืองลับแลมังกรขณะที่เหยาหลิงเฉินเข้าควบคุมร่างของฉู่เฉิน ฉู่เฉินก็ถอยกลับเข้าไปในส่วนลึกจิตใจ และสัมผัสได้ความรู้สึกแปลกๆ ซึ่งเขาสามารถสัมผัสและเห็นการกระทำของตัวเองได้ แต่การกระทำเหล่านั้นไม่ใช่ของเขาเอง และนั้นก็ทำให้รู้สึกแปลกๆ อยู่บ้างแม้ว่าเหยาหลิงเฉินจะควบคุมร่างกายของฉู่เฉินได้ไม่คล่องแคล่วเท่าตัวฉู่เฉิน แต่ก็ยังสามารถจัดการได้ค่อนข้างดี“เจ้าเป็นใคร? เจ้ากำลังทำอะไรอยู่?” นักโทษรู้สึกไม่สบายใจ เมื่อเห็นพ่อบ้านซวี่พาคนแปลกหน้าเข้ามาเหยาหลิงเฉินควบคุมร่างกายของฉู่เฉิน และเข้าไปในห้องขัง จากนั้นใช้ฝ่ามือฟาดนักโทษออกไปโดยไม่ถามคำถามหรือตอบใดๆฉู่เฉินมองเห็นฉากมหัศจรรย์ซึ่งมีแสงสีขาว
ฉู่เฉินคิดว่าท่าทางระมัดระวังของนักโทษเป็นที่น่าขบขัน ยังไงก็เคยสังหารปรมาจารย์ระดับมหากาฬหลายครั้งต่อหลายครั้งแล้ว และปรมาจารย์ระดับล่างคนนี้ก็แทบจะไม่ใช่ภัยคุกคามเลย“แล้วผู้มีพระคุณของข้าต้องการอะไร? ถ้าเป็นสิ่งที่ข้าทำได้ ข้าจะทำมันอย่างแน่นอน” นักโทษเอ่ยขึ้นมาอย่างรวดเร็ว คิดว่าฉู่เฉินช่วยเขาไว้สำหรับภารกิจบางอย่าง“ข้าไม่จำเป็นต้องให้เจ้าทำอะไร ตอนนี้เจ้าปลอดภัยแล้ว ออกไปได้แล้ว”ฉู่เฉินขี้เกียจเกินกว่าจะพูดเรื่องไร้สาระกับคนที่กำลังจะตาย“ข้าไปได้จริงๆ รึ?” นักโทษยังคงไม่เชื่อ ยังไงซะ เขาก็เป็นอาชญากร และก็ไม่ไว้วางใจในความเมตตาจากคนอื่นฉู่เฉินไม่ได้พูดอะไร แค่ชี้ไปที่ประตูด้วยนิ้ว นั่นหมายความว่าประตูนั้นอยู่ตรงนั้น อยากทำอะไรก็ทำไปนักโทษจึงไม่ลังเลและเดินออกไป หายตัวเข้าไปในความืด จะปล่อยเขาจากไปแบบนี้เหรอ? ไม่ใช่แน่นอน ฉู่เฉินได้ทิ้งร่องรอยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิไว้ ในขณะที่เขาหมดสติแม้ว่าตัวปลอมจะหายเข้าไปในความมืด แต่ฉู่เฉินยังคงสัมผัสได้ถึงตัวปลอมตอนนี้ฉู่เฉินกำลังใคร่ครวญว่าจะฆ่าตัวเอง ในที่ที่มีผู้คนพลุกพล่านหรือจะพาโจวหงไปด้วยกันหลังจากคิดอยู่พักหนึ่ง ฉู่เฉิน
“แน่นอน สบายใจได้”โจวหงเห็นว่าฉู่เฉินเห็นด้วยกับข้อเสนอ และตกลงตามคำสัญญาปากเปล่าใครจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต นอกจากนี้ หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจแล้วและเข้าร่วมหอคอยเงาทมิฬ ทุกอย่างจะอยู่ในมือตัวเองไม่ใช่หรือ“แล้วมัวรีรออะไรอยู่เล่า รีบไปเถอะ” เมื่อโจวหงคิดถึงเรื่องนี้ ความทุกข์ใจก็ลอยหายใจกับอากาศ“เอาล่ะ พี่โจว ข้าจะนำทางเอง”ฉู่เฉินนำโจวหงเดินทางมาถึงโรงเตี๊ยมจากนั้นโจวหงก็เห็นฉู่เฉินตัวปลอม นั่งดื่มอยู่บนชั้นสองเพื่อให้มีความสมจริงมากขึ้น ก็ควรมีผู้เห็นเหตุการณ์มากขึ้น ฉู่เฉินทำท่าราวกับว่าเขากำลังจะลงมือ แต่โจวหงหยุดเขาเอาไว้ก่อน“น้องเหยียนเฉิน ที่นี่มีคนมากเกินไป และไม่ฉลาดเลยที่จะเริ่มการลอบโจมตีเช่นนี้ นอกจากนี้ ยังบุคคลที่ดูเหมือนจะอยู่ในช่วงต้นของระดับมหากาฬ พวกเราควรรอโอกาสที่ดีกว่านี้”“พี่โจวพูดถูก ข้าบุ่มบ่ามเกินไป” แม้ปากฉู่เฉินจะพูดแบบนี้ แต่ว่าภายในจะรู้สึกหงุดหงิดก็ตามนี่มันสถาการณ์อะไร? เมื่อกี้แสร้งทำเป็นว่ารีบร้อน แต่ตอนนี้ก็เปลี่ยนท่าทีเสียแล้ว แค่สัมผัสได้ถึงรัศมีของมหากาฬช่วงต้นก็ลังเลแล้วงั้นเหรอ?ต้องรู้ว่ารัศมีของมหากาฬช่วงต้นนั้นเป็นของปลอ
“อาจเป็นเพราะเขาเมาก็ได้” ฉู่เฉินบอกข้อแก้ตัวที่คิดว่าสมเหตุสมผลมากที่สุด“อาจจะ” โจวหงหยิบภาพเหมือนออกมาแล้วเปรียบเทียบ และเป็นคนคนนี้จริงๆคนในโรงเตี๊ยมต้องตกตะลึงไปชั่วขณะ เมื่อเห็นคนที่กินข้าวในร้านอาหารถูกฆ่าตาย ในทันทีที่เขาออกจากร้านไป“ฆาตกรรม! มีคนถูกฆ่า!” ไม่นานพนักงานโรงเตี๊ยมก็ตอบสนองอย่างรวดเร็วและตะโกนเสียงดัง ปลุกผู้คนมากมายในยามดึก“พี่โจว เอาศพกลับไปรับรางวัลก่อนเถอะ ที่นี่ไม่ใช่ที่สำหรับการฝันกลางวัน”ฉู่เฉินหยิบศพขึ้นมาจากบนพื้นและเตือนเขา แม้ว่าเขาจะอยากให้มีผู้พบเห็นมากกว่านี้ก็ตาม"ตกลง"โจวหงตอบกลับทันที และคิดว่านี่ไม่ใช่เวลาที่จะสงสัย และตามฉู่เฉินไปขณะที่พวกเขามุ่งหน้าไปยังร้านของพี่เถา“ก๊อกๆ” ประตูร้านได้ปิดลงแล้วในตอนกลางคืน ฉู่เฉินและโจวหงเคาะประตูอย่างไม่ลดละ"ใครกัน?" เสียงขี้เกียจตอบกลับจากข้างใน มันคือพี่เถา“พี่เถา ฉันกับพี่โจวเอง!” ฉู่เฉินตอบด้วยน้ำเสียงประจบประแจง"เจ้าคือใคร?" คนที่อยู่ข้างในจำไม่ได้ว่าเป็นใครมาหาในเวลานี้“ฉันเอง พวกเราจะมารายงานว่าภารกิจของเราเสร็จแล้ว” ฉู่เฉินต้องพูดอีกครั้งแน่นอนว่าประโยคที่พูดไปมีน้ำหนักทันทีเม
“นี่คือนายท่านหวู่หยิง รีบทำความเคารพเร็วเข้า”พี่เถาพาชายชราเข้ามาและสั่งฉู่เฉินกับโจวหง“คารวะนายท่านหวู่หยิง!” ฉู่เฉินและโจวหงพูดพร้อมกันและโค้งคำนับด้วยความเคารพ โจวหวังหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้เข้าร่วมหอคอยเงาทมิฬ และฉู่เฉินก็มีเรื่องที่ต้องตามหาเช่นกัน“นี่คือพี่น้องสองคนที่นำเป้าหมายกลับมาครับ คนทางซ้ายคือเหยียนเฉิน และคนทางขวาคือโจวหง”พี่เถาหันกลับมาและแนะนำชายชราให้รู้จักกับฉู่เฉินและโจวหง“อืม”ชายชราตอบอย่างเฉยเมย แล้วหันหน้าไปมองศพที่อยู่บนพื้นไม่เข้าใจถึงเหตุผล ชายชราซึ่งเป็นที่รู้จักในนามนายท่านหวู่หยิง หยิบผลึกทมิฬออกมาจากแขนของเขา แล้วตรวจสอบสัมผัสได้หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็พูด: "ใช่ เป็นเขา แต่สิ่งของนั่นไม่อยู่บนร่างอีกต่อไป" จากนั้นเขาก็มองไปที่ฉู่เฉินและโจวหงจากนั้น พี่เถาก็พูดทันที: "พวกเจ้าสองคนได้เอาอะไรไปจากศพไหม เช่น ของที่คล้ายกับผลึกนี้บ้างไหม?"“ไม่ครับพี่เถา หลังจากที่ฆ่าคนๆ นี้เสร็จ พวกเราก็รีบมาที่ร้านพร้อมศพทันที เพื่อตามหาท่านครับพี่เถา” ฉู่เฉินพูดอย่างรวดเร็ว“ใช่แล้วพี่เถา” โจวหงตอบอย่างรวดเร็วเห็นได้ชัดว่าภารกิจของ หอคอยเงาทมิฬในก
ขณะที่ฉู่เฉินและโจวหงกำลังจะจากไป พี่เถาก็หันหลังกลับและไปที่สวนหลังบ้าน ที่นั้นนายท่านหวู่หยิงยังคงตรวจสอบศพอยู่“นายท่านหวู่หยิง เนื่องจากพวกเราไม่ได้อะไรจากเป้าหมายสักอย่างเลย ทำไมพวกเราถึงยังให้รางวัลสองคนนั้นด้วย?” พี่เถาถาม“แม้ว่าจะไม่พบอะไรสักชิ้น แต่นี่ก็คือคนที่เป็นเป้าหมายจริงๆ เอาเถอะ เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องต่อจากนี้ เจ้าให้ความสนใจไปที่เรื่องของตัวเจ้าก่อน เมื่อทั้งสองคนมารายงานตัวแล้ว พวกเขาจะเข้ามาเติมเต็มช่องว่างของคนที่ตายไปก่อนหน้านี้” หวู่หยิงพูดสองสามคำ พร้อมโบกมือไล่พี่เถาออกไปหวู่หยิงนำศพออกจากสวนหลังบ้านหยิบผลึกออกมาเพื่อตรวจสอบถึงพลังงานที่หลงเหลืออยู่ ตามที่คาดไว้ มีร่องรอยของพลังงานผลึกประกายศักดิ์สิทธิ์เล็กน้อยบนศพ แต่ก็เกือบจะสลายไปหมดแล้วนี่หมายความว่าบุคคลนี้ ได้ส่งต่อผลึกประกายศักดิ์สิทธิ์ให้กับคนอื่นไปแล้ว หรือหลังจากที่บุคคลนี้ถูกฆ่าแล้ว ผลึกประกายศักดิ์สิทธิ์ถูกชิงไปมีเพียงผู้ที่ลงมือเท่านั้นที่สามารถทำอย่างนี้ไง หวู่หยิงคิดทบทวบมากเท่าไหร่ ดวงตาของเขามืดลงแต่แม้จะอยู่นอกร้าน ก็ยังไม่รับรู้สึกถึงพลังงานผันผวนใดๆหวู่หยิงรู้สึกสับสน ห
ฉู่เฉินมีเวลาเพียงเสี้ยววินาที ก่อนที่จะถูกโจมตีจากพลังที่ร้ายกาจจากด้านหลัง ทำให้ลอยไถลลอยออกไปหลายสิบเมตร จากนั้นกลิ้งบนพื้นอีกสองสามตลบก่อนที่จะหยุดลงหลังจากได้รับบาดเจ็บสาหัส เขาก็พร้อมที่จะลุกขึ้น จากนั้นก็มีเสียงหนึ่งนอนอยู่บนพื้นในท่าเดียวกับตัวเขา แน่นอนว่าคือโจวหง และคำเตือนของฉู่เฉินไม่ได้ช่วยอะไรฉู่เฉินลุกขึ้นและกระอักเลือดออก แล้วมองไปด้านหลัง ตามที่คาดไว้เป็นนายท่านหวู่หยิงแห่งหอคอยเงาทมิฬ หลังจากโจมตีคนทั้งสองแล้ว ก็ไม่ได้ลงมืออีกเลย“นายท่านหวู่หยิง นี่หมายความว่าอย่างไรกัน?” ฉู่เฉินถามหวู่หยิงเพียงแค่มองไปที่ฉู่เฉินและโจวหง โดยไม่ตอบคำถามของฉู่เฉินทั้งสองนี้มีความแข็งแกร่งปานกลาง และไม่ควรจะสามารถผสานและดูดซับผลึกประกายศักดิ์สิทธิ์ได้ พวกเขาคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคืออะไรแม้ว่าหวู่หยิงจะไม่ตอบกลับ แต่ก็ไม่ได้แสดงความตั้งใจที่จะลงมือต่อไป ฉู่เฉินช่วยพยุงโจวหงซึ่งยังคงนอนอยู่บนพื้นเห็นได้ชัดว่าโจวหงได้รับบาดเจ็บสาหัสมากกว่าเขาและสามารถยืนหยัดขึ้นได้ด้วยการพยุงของฉู่เฉินเท่านั้นหวู่หยิงจึงหยุดความสงสัยอย่างในใจลง“นี่คือการบททดสอบของหอคอยเงาทมิฬ เพื่อประเมิน
“น้องฉู่เฉิน เจ้าเจอปัญหาอะไรมาหรือ? ทำไมเจ้าถึงรีบร้อนจะจากไปด้วย?” ซวี่ฮวงถามฉู่เฉินในห้องโถงหลักของจวนเจ้าเมือง“ไม่ ไม่มีปัญหาอะไรหรอก ข้าแค่รบกวนท่านมานานเกินพอแล้ว และข้ามีเรื่องสำคัญอื่นๆ ที่ต้องจัดการ ดังนั้นข้าจึงไม่อาจอยู่ต่อได้อีก” ฉู่เฉินตอบกลับไม่ต้องพูดถึงการแทรกซึมเข้าไปในหอคอยเงาทมิฬกับซวี่ฮวง แม้ว่าพวกเขาจะมีช่วงเวลาดีๆ ร่วมกันในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา แต่ก็ยังห่างไกลจากความไว้วางใจอย่างลึกซึ้งต่อกัน“มันเกี่ยวข้องกับการต่อสู้ในเมืองเมื่อคืนนี้หรือเปล่า? ไม่ต้องกังวล ตราบใดที่ยังอยู่เมืองอินทรีทะยานเวหา ไม่มีใครกล้าก่อปัญหากับเจ้าแน่”ซวี่ฮวงพยายามโน้มน้าวอย่างหนักและพูดออกมาอย่างไม่เกรงกลัว และเผยกลิ่นอายอันทรงพลังที่ทำให้ฉู่เฉินเชื่อว่าซวี่ฮวงมีความมั่นใจที่จะเผชิญหน้ากับหวู่หยิง“ท่านเจ้าเมืองซวี่ ท่านคิดมากไปแล้ว จริงๆ แล้วมันไม่มีปัญหาใด ข้าแค่อยากจะท่องเที่ยวไปรอบๆ ให้มากและเปิดโลกทัศน์ของฉันให้กว้างขึ้น”ด้วยความคิดชั่ววูบหนึ่ง ฉู่เฉินพิจารณาที่จะอยู่ในจวนเจ้าเมืองต่อ และจัดการกับหอคอยเงาทมิฬจากที่นั่น ซึ่งยังคงเป็นทางเลือกที่ดีแต่พอคิดอีกที ไม่ว่าจะเก