“ไอ้เวร พ่อของฉันคือนายพลหานนะ แกลงไม้ลงมือกับฉันไม่ได้…”แม้จะอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ แต่เขาก็ยังคงขมขู่ออกมาฉู่เฉินมองลงมาจากด้านบนแล้วพูดว่า: "ไม่สำคัญหรอกว่าพ่อของแกจะเป็นนายพลหานหรือใคร แม้แต่จะเป็นเง็กเซียนฮ่องเต้ก็ตาม ไม่สามารถจะรังแกคนของฉัน ฉู่เฉินคนนี้ได้!"เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉู่เมิ่งเหยาอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา ในใจก็รู้สึกอบอุ่นเป็นเวลาหลายปีมาแล้วที่เธอไม่เคยพบกับความรู้สึกได้รับการปกป้องเช่นนี้ฉู่เฉินพูดต่อ: "ตอนนี้ ฉันให้โอกาสแกขอโทษพี่หกของฉัน ตราบใดที่เธอให้อภัยแก ชีวิตเล็กๆ ของแกก็จะได้รับการอโหสิกรรม"“แกอย่าอวด…”ก่อนที่หานเล่ยจะพูดจบประโยค ชายฉกรรจ์คนหนึงรีบเอามือปิดปากของเขา: "นายน้อย ในถิ่นของคนอื่นแบบนี้ คุณยอมขอโทษเถอะครับ"“ใช่ครับนายน้อย คุณมีสถานะสูงส่ง ทำไมคุณถึงลดระดับตัวเองลงมาไปคลุกโคลนกับเขาครับ?”ชายฉกรรจ์คนอื่น ๆ ก็โน้มน้าวให้เขาขอโทษเช่นกันความหยิ่งพยองของหานเล่ยถูกฉู่เฉินบดขยี้อย่างย่อยยับ ทำได้เพียงมองไปที่ฉู่เมิ่งเหยาและพูดอย่างไม่เต็มใจ: "ขอโทษ!"“พี่หก พี่ได้ยินไหม?” ฉู่เฉินถาม“ไม่” ฉู่เมิ่งเหยาส่ายหัวฉู่เฉินตะคอกเสียงดีง: “ดังกว
เมื่อได้ยินคำพูดของฉู่เมิ่งเหยา คนอื่นๆ ก็มองไปที่ฉู่เฉินอย่างนึกสงสัยฉู่เฉินยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “ผมก็มีวิธีของผมน่ะ”ไม่นานหลังจากที่หานเล่ยจากไป ฉู่เมิ่งเหยาก็ได้รับสายเรียกเข้าโทรศัพท์เธอมองดูหมายเลขที่โทรเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดและพูดว่า "สายจากหานฉินหู่ ผู้บัญชาการทหารแห่งไห่ซี ดูเหมือนว่าหานเล่ยจะไปฟ้องเขาแล้ว"“รับสาย!” ฉู่เฉินพูดฉู่เมิ่งเหยาสูดหายใจเข้าลึก ๆ และรับสายในที่สุดหลังจากวางสาย เธอพูดด้วยหน้าซีดเซียว "หานฉินหู่ต้องการให้ฉันขอโทษหานเล่ยที่ค่ายทหารไห่ซี ภายในสามวัน ไม่เช่นนั้นจะไม่รับประกันผลที่ตามมา!"เมื่อเธอพูดจบ ท่าทางของทุกคนก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงสิ่งที่กลัวได้เกิดขึ้นแล้วจริงๆมีเพียงฉู่เฉินเท่านั้นที่ยังคงสงบและพูดว่า "พี่หก ไม่ต้องกลัวนะ หลังจากสามวันนี้ผมจะไปกับพี่ที่ ไห่ซีเอง ผมอยากจะเห็นเหมือนกันว่าอะไรทำให้ผู้บัญชาการทหารแห่งไห่ซีคนนี้ กล้าที่จะรังแกคนของฉู่เฉินคนนี้"ฉันเป็นคนของฉู่เฉิน?เมื่อได้ยินเข้าแก้มของฉู่เมิ่งเหยาก็แดงขึ้นมา เธอพยักหน้าตามหลังจากที่ทุกคนแยกย้ายกันไปแล้ว ฉู่เฉินพูดกับป้าหลานและฉินปิงเยว่ว่า: “ป้าหลาน พี่เจ็ด…”เ
“อะไรนะ? นั่นมันปรมาจารย์วรยุทธเชียวนะ เขาตายแล้วเหรอ? จะเป็นไปได้ยังไงกัน?”“ฮิๆ พวกนายยังไม่รู้เหรอ? ว่ากันว่าจินเทียนเซิงกับปรมาจารย์ฉู่ต่อสู้กันอย่างน่าตกใจในเสินหนงเจี้ย โดยสุดท้าย จินเทียนเซิงก็พ่ายแพ้และหลบหนีไปอย่างหมดท่า ดูเหมือนว่าเขาจะตายด้วยน้ำมือขอปรมาจารย์ฉู่อีก?”"ปรมาจารย์ฉู่คนนี้เป็นใครกัน? คาดไม่ถึงว่าจะสามารถสังหารปรมาจารย์วรยุทธคนหนึ่งได้"เมื่อข่าวใหญ่ถูกเผยแพร่ออกมา ในที่สุดผู้คนก็รู้ที่มาของปรมาจารย์ฉู่คนนี้แล้ว“ปรมาจารย์ฉู่เป็นคนหนานเจียง มีข่าวลือว่าอายุไม่ถึงยี่สิบปี สามารถควบคุมฟ้าผ่าได้และสังหารปรมาจารย์ครึ่งก้าวด้วยตัวคนเดียว!”"ตู้ม!"ข่าวลือเรื่องของตัวตนของฉู่เฉิน ทำให้จิงโจวทั้งหมดและแม้แต่เมืองใกล้เคียงต่างตกตะลึง““ปรมาจารย์ฉู่ผู้นี้เป็นปีศาจจริงๆ ไม่เพียงแต่ก้าวเข้าสู่เข้าสู่ระดับปรมาจารย์วรยุทธตั้งแต่อายุยังน้อยเ แต่เขายังสังหารปรมาจารย์จินเทียนเซิงผู้ช่ำชองอีกด้วย!”“ หากให้เวลาเขาได้เติบโตอีก บางทีเขาอาจจะพิชิตอาณาจักรหวู่โหวได้ในอนาคต!”“ชักชวน ต้องชักชวนมาเป็นพวกให้ได้ไม่ว่าจะใช้วิธีใดก็ตาม ”ในช่วงเวลาหนึ่ง มีการออกคำสั่งจากกองกำลังพ
เช้าวันที่สอง ฉู่เฉินได้พบกับเยว่ฟู่หลงและเว่ยอิงลั่วทั้งสองคนอีกครั้งคราวนี้พวกเขาเป็นฝ่ายมาหาเองฉู่เฉินอุทานด้วยความดีใจ “พี่เยว่ คุณมีข่าวเกี่ยวกับพี่สาวเจ็ดของผมบ้างไหม?”เขาถามเพราะเขารู้ว่าสองคนนี้ยุ่งอยู่กับงานราชการและปกติจะไม่มาหาตัวเองโดยไม่มีเหตุผล“น้องฉู่ ฉันขอโทษ!”เยว่ฟูหลงส่ายหัวด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น "พวกเราได้ตามสืบเรื่องคุณหนูหนิงและนังเฒ่าอสรพิษแล้ว แต่น่าเสียดายที่ยังไม่มีข่าวอะไรในช่วงนี้เลย"“งั้นอะไรที่ทำให้คุณมาที่นี่?” ฉู่เฉินถามหลังจากสบตากันแล้วเยว่ฟู่หลงและเว่ยอิงลั่ว เหมือนไม่แน่ใจว่าจะเริ่มต้นพูดอย่างไรในที่สุด เยว่ฟู่หลงก็เป็นฝ่ายเข้าประเด็น "นายเคยได้ยินเกี่ยวกับซวนหวู่ไหม?"ฉู่เฉินส่ายหัว "ซวนหวู่ควรจะเป็นองค์กรลับของต้าเซี่ย ที่เชี่ยวชาญในการแก้ปัญหาที่ยุ่งยากซับซ้อนสำหรับพวกข้าราชการเบื้องหน้า”"ถูกต้อง!"เยว่ฟู่หลงพยักหน้า "ในฐานะนักรบ นายต้องรู้ว่าความเสียหายที่เกิดจากนักรบนั้นยิ่งใหญ่กว่าคนธรรมดามาก อาจเป็นอันตรายมากกว่าหลายร้อยหรือหลายพันเท่า ดังนั้นจึงต้องมีพลังที่จะยับยั้งพวกเขา"“ซวนหวู่เป็นองค์กรปฏิบัติการที่จัดตั้งขึ้นโดยรัฐบาล
มองเยว่ฟู่หลงที่ทำตัวเหมือนคนบ้า เว่ยอิงลั่วก็ร้องไห้ออกมา และน้ำตาไหลอย่างควบคุมไม่ได้ดวงตาของเธอแดงก่ำขณะที่เธอพูด: "พวกคุณทุกคนเห็นแก่ตัวเกินไป ให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของตนเองเท่านั้น และไม่สนใจเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเองโดยตรง"“สมัยนี้ที่มองผิวเผินดูสงบสุข ไม่มีวันไหนที่สงบสุขหรอก แต่มีบางคนได้แบกภาระไว้ และก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับภาระนั้น”“ทุกครั้งใครกันที่ต่อสู้แนวหน้าในระหว่างเกิดแผ่นดินไหวและน้ำท่วม ยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยผู้อื่น? เงินเดือนของพวกเขามากมายไหม? พวกเขาไม่ใช่มนุษย์เหรอ? แต่เป็นเพราะพวกเขาคือทหารของประชาชน!”“คดียาเสพติดคลี่คลาย มีกี่คนที่ยอมเสียสละเลือดเนื้อต่อสู้? เงินเดือนของพวกเขาสูงมากเหรอ? พวกเขาไม่ใช่มนุษย์เหรอ? แต่เป็นเพราะพวกเขาคือทหารของประชาชน!” “เยว่ฟู่หลงกับฉันรอดชีวิตมาได้ก็ถือว่าโชคดีแล้ว เบื้องหลังพวกเรา มีผู้คนนับไม่ถ้วนล้มตายอยู่บนเส้นทางเพื่อปกป้องพวกคุณ และถูกฝังไว้ใต้ดินไปตลอดกาล”“ตัวอย่างเช่น อดีตหัวหน้าผู้สอนของซวนหวู่ของฉัน ต้องเผชิญหน้ากับปรมาจารย์วรยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่สามคนจากประเทศศัตรูโดยลำพัง และท้ายที่สุดก็สละชีวิตตัวเองเพื่อ
เมื่อได้ยินคำพูดปลอบใจจากฉู่เฉิน ฉู่เมิ่งเหยาก็ยิ้มหวานออกมาแต่เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วกดส่งข้อความสองชั่วโมงต่อมา ตอนเที่ยงวันคนกลุ่มหนึ่งก็ได้มาถึงยังค่ายทหารไห่ซีฉู่เมิ่งเหยาออกคำสั่ง "เสี่ยวเฉิน อีกสักครู่เมื่อเข้าไปแล้ว นายต้องไม่พูดจาขวานผ่าซากเด็ดขาด พยายามอย่าทำให้หานฉินหู่โกรธ ส่วนที่เหลือให้พี่หกจัดการเอง"“ค่อยว่ากัน”ฉู่เฉินยิ้มเล็กน้อย แต่รอยยิ้มนั้นมีความหมายแอบแฝงหากหานฉินหู่มีเหตุผล เขาจะไว้หน้าอีกฝ่ายแน่นอนตรงกันข้าม ก็ไม่จำเป็นต้องไว้หน้าอะไรที่ทางเข้าของค่ายทหารมีทหารติดอาวุธหนักอยู่ ยืนเฝ้าพื้นที่รัศมีสิบกว่ากิโลเมตรอย่างแน่นหนาราวกับปราการเหล็กทันทีที่ฉู่เฉินและฉู่เมิ่งเหยามาถึงประตูค่ายทหาร พวกเขาก็ถูกทหารถือปืนหลายคนหยุดไว้ "หยุดก่อน นั่นใคร?"“แหกตาของแกดูสิ แม้แต่ฉันแกก็ยังไม่รู้จักอีกเหรอ?” ฉู่เมิ่งเหยาพูดอย่างเย็นชาคนที่เป็นหัวหน้าหัวเราะเยาะและพูดว่า "แน่นอนเรารู้จักคุณหนูฉู่ พวกเราหมายถึงไอ้เด็กที่อยู่ข้างหลังคุณต่างหาก เพราะนี่เป็นค่ายทหารเป็นพื้นที่ที่สำคัญ และไม่ใช่ว่าแมวหรือสุนัขทุกตัวจะเข้าไปได้"เขาเน้นค
ทันใดนั้น ชายติดอาวุธมากกว่าสิบคนก็กรูเข้ามาในห้อง และปากกระบอกปืนสีดำมากกว่าสิบกระบอกก็จ่อไปที่ฉู่เฉิน“นายพลหาน…” ใบหน้าของฉู่เมิ่งเหยาซีดลงด้วยความกลัวหานฉินหู่ยกมือขึ้นและขัดจังหวะเธอ เพียงแค่มองไปที่ฉู่เฉินอย่างเย็นชา “ไอ้หนู ฉันจะให้โอกาสแกอีกครั้ง ถ้าแกคุกเข่าขอโทษฉันและลูกของฉัน ฉันจะไว้ชีวิตของแก”"ฉันรู้ว่าแกมีฝีมือในการต่อสู้ แต่อย่าลืมว่านี่คือถิ่นของฉัน!"“ใช่แล้ว ไอ้คนแซ่ฉู่ คุกเข่าลงให้ฉันซะ ไม่อย่างนั้นฉันจะให้พ่อฆ่าแกซะ” หานเล่ยก็ตะโกนอย่างตื่นเต้นเช่นกัน“งั้นเหรอ?”ลฉู่เฉินเยาะเย้ยและพูดอย่างใจเย็น “หานฉินหู่ ฉันก็จะให้โอกาสแกเหมือนกัน ถ้าพวกแกสองพ่อลูกคุกเข่าลงและขอโทษฉันกับพี่หก ฉันลืมเรื่องอดีตที่ผ่านมา ผ่านไปแล้วมันผ่านไป”“เสี่ยวเฉิน…” ฉู่เมิ่งเหยาหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่งเธอไม่เคยคิดว่าฉู่เฉินจะใจเด็ดขนาดนี้ และในเวลานี้ก็ยังคงยั่วยุหานฉินหู่อยู่“แปะๆ ……”หานฉินหู่หัวเราะด้วยความโกรธ ตบมือและเยาะเย้ย "เด็กน้อย ดูเหมือนว่าแกไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา"“พานังเด็กหญิงคนนี้ออกไปก่อน ฉันจะค่อยๆ เล่นสนุกกับไอ้เด็กคนนี้”จากคำสั่งของเขา ฉู่เมิ่งเหยาจึงถูกลากต
รับรู้ได้ถึงสายตาของเยว่ฟู่หลง ก็ทำให้หานฉินหู่คิดว่าเขาไม่พอใจกับการพาคนนอกเข้ามาในค่ายทหารหานฉินหู่พูดทันที "ท่านฑูตอาจยังไม่รู้ เด็กคนนี้เคยทุบตีลูกชายของผมครับ และผมก็เรียกเขามาที่นี่เพื่อคิดบัญชี"“ไม่คาดคิดว่าไอ้หนุ่มหน้าด้านคนนี้ช่างบ้าระห่ำ แถมยังปลอมกระบองทองของราชาผู้พิชิตเพื่อหลอกผม”ทันทีที่เขาพูดจบ เยว่ฟู่หลงก็โกรธและพูดว่า "ไอ้สารเลว!"เมื่อเห็นภาพตรงหน้าแบบนี้ ทั้งหานฉินหู่และหานเล่ยก็มีความสุขในใจมาทำให้ทูตของซวนหวู่ขุ่นเคือง!อย่าว่าแต่ฉู่เมิ่งเหยาเลย แม้แต่เง็กเซียนฮ่องเต้จะเสด็จลงมาเองก็ไม่สามารถช่วยไอ้เด็กคนนี้ได้หานฉินหู่ออกคำสั่งกับลูกน้องด้วยสีหน้าโกรธเคือง "ไอ้พวกโง่ รออะไรกัยอยู่ล่ะ? ทำไมพวกแกยังไม่จับมันไปขังอีก พวกแกต้องการให้ท่านทูตเห็นเรื่องตลกแบบนี้อยู่อีกเหรอ!"“ห่านฉินหู่ แกนั่นแหละไอ้สารเลว!” เยว่ฟู่หลงโกรธจัดและคำรามเสียงดัง“ท่านทูต คุณ…” หานฉินหู่สับสนเยว่ฟู่หลงขมวดคิ้วและพูดว่า "แกรู้ไหมว่าเขาเป็นใคร?"“เขาเป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนคนใหม่ของซวนหวู่!”เมื่อสิ้นคำพูดของเขาหานฉินหู่สมองว่างเปล่าหานเล่ยก็สมองว่างเปล่าเช่นกันไอ้เด็กคนนี้เ
“ไสหัวไปซะ!” ฉู่เฉินขมวดคิ้วและตะโกน สายตาของเขาเย็นชา และเผยจิตสังหารออกมา“อะไร? แกกำลังไล่พวกเรางั้นเรอะ?”เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทุกคนที่อยู่ที่นั่นก็ดูประหลาดใจและสงสัยว่าพวกเขาได้ยินผิด“ไอ้ขี้เหร่ แกกล้าอวดดีขนาดนั้นเลยเหรอ แกเชื่อไหมว่าฉันจะฆ่าแก”ทันใดนั้น ทุกคนก็โกรธฉู่เฉินอย่างมากแม้ว่านี่จะเป็นเมืองหลวง แต่พวกเขาก็เป็นสมาชิกของตระกูลหวัง พวกเขาข่มเหงผู้ที่อ่อนแอและข่มเหงคนหนุ่มสาวเป็นประจำทุกวัน จึงเป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะหยิ่งผยองลำพองใจ พวกเขาคุ้นเคยกับแววตาหวาดกลัวและยอมจำนนของคนอื่น ๆ มาเป็นเวลานานคำพูดของฉู่เฉินทำให้พวกเขาโกรธมาก จนอยากจะถลกหนังเขาและหั่นเขาเป็นชิ้น ๆ!“ฉันจะพูดอีกครั้ง ไปให้พ้น! ไม่เช่นนั้นจะฆ่าอย่างไม่ปราณี!“ สายตาเย็นชาของฉู่เฉินกวาดไปทั่ว เต็มไปด้วยจิตสังหาร“ฆ่าอย่างไม่ปราณี?”“ฮ่า ๆ แกทำให้ฉันขำเป็นบ้า แกคิดว่าแกตัวเองคู่ต่อสู้ของพวกเราได้จริงเหรอ?”ชายหนุ่มหลายคนในชุดสูทมองขึ้นมาและหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ดวงตาของพวกเขาเยาะเย้ย ไม่สนใจเขาเลยฉู่เฉินส่ายหัวและถอนหายใจ คนพวกนี้มีสมองเอาไว้กั้นหูเท่านั้น เขาเพิ่งให้โอกาสพวกเขาไปเมื่อ
……ภายในเมืองหลวงที่คึกคัก บนถนนที่กว้างและราบเรียบกลุ่มบุคคลที่โดดเด่นเดินไปมาในเมือง โดดเด่นเหมือนฝูงนกยูงรำแพนหาง และดึงดูดสายตาที่อยากรู้อยากเห็นมากมายอย่างไรก็ตาม เครื่องแต่งกายของพวกเขาแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง โดยที่เย่ชิงชานสวมชุดสีขาวล้วน ดูบอบบางและงดงามเฉียวหานอวี้สวมชุดยาวสีม่วงแดง แสดงออกถึงท่าทางที่กล้าหาญและมั่นใจหนิงชิงเสว่ที่ยังเยาว์วัยและสวยงามในชุดสีน้ำเงิน ฉู่เหมิงเหยาผู้บริสุทธิ์และสวยงาม อ่อนโยนและเงียบขรึมมีเพียงฉู่เฉินที่สูงใหญ่และสง่างามในชุดสีดำเท่านั้นที่โดดเด่นออกมา ใบหน้าที่คมคายและเฉียบคมของเขาส่งออร่าของความเฉยเมยที่ทำให้เขาดูไม่เข้ากับคนอื่น ๆ“หนุ่มหล่อคนนั้นเป็นใคร? ทำไมเขามากับผู้หญิงมากมายขนาดนั้น?” พฤติกรรมของทั้งกลุ่มดึงดูดความสนใจของบางคนได้อย่างชัดเจนคนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นชายหนุ่มและหญิงสาว แต่งกายด้วยเสื้อผ้าหรูหราและเครื่องประดับสีสันสดใส บ่งบอกถึงภูมิหลังครอบครัวมีฐานะ“ผู้ชายคนนั้นดูอ่อนแอมาก แต่ผู้หญิงที่อยู่รอบ ๆ เขาแจ่มเป็นบ้า” คนที่รู้จักฉู่เฉินกระซิบเตือน ไม่เต็มใจที่จะก่อเรื่องฉู่เฉินเดินไปข้างหน้าคนเดียว โดยไม่สนใจคนร
“อืม พวกเราจะไม่ทอดทิ้งนายแน่นอน!”เสียงเจี๊ยวจ๊าวของกลุ่มสาว ๆ ทำให้ฉู่เฉินหมดหนทาง แต่ที่สำคัญกว่านั้น มันทำให้หัวใจของเขาอบอุ่นขึ้นมา“เสี่ยวซือโถว เมื่อเป็นอย่างนั้น พวกเรามาเตรียมพร้อมกันเถอะ ฉันอยู่เฉย ๆ มาหลายวันแล้ว”เฉียวหานอวี้ถูกำปั้น และกระตือรือร้นที่จะพยายามทำอะไรสักอย่างพี่สาวคนอื่น ๆ ก็ตื่นเต้นเช่นกัน ราวกับว่าพวกเธอเห็นภาพของคนหลายคนที่เข้ามาในเมืองหลวงเป็นกลุ่มสถานการณ์นี้ทำให้ฉู่เฉินตกตะลึง“พี่ ๆ ได้โปรดรอก่อน เรื่องนี้ต้องดำเนินการทีละขั้นตอน และฉันกำลังจะทำสำเร็จในไม่ช้า ยังไม่สายเกินไปที่จะดำเนินการเมื่อฉันทำสำเร็จ และอีกอย่าง... ฉันไม่ใช่พี่น้องร่วมสายเลือดของคุณจริง ๆ” ฉู่เฉินขมวดคิ้วและพูดความเกลียดชังของคน ๆ หนึ่งต้องได้รับการจัดการด้วยตัวเองในที่สุด และไม่ให้พี่ ๆ มาเกี่ยวข้องได้ เพราะพวกเธอไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรเลยในเรื่องนี้“จะเป็นอะไรถ้านายไม่ใช่น้องของฉัน? นายเติบโตมาในสถานรับเลี้ยงเด็กกับพวกเราตั้งแต่ยังเด็ก และแม้ว่านายไม่ใช่น้องร่วมสายเลือดของฉัน แต่พวกเราก็ปฏิบัติกับนายเหมือนเป็นน้องชายของพวกเรา”เฉียวหานอวี้เอื้อมมือไปจับแขนเสื้อข
“ประสบการณ์ของฉันก็เรียบง่ายมาก ในกองไฟของสถานรับเลี้ยงเด็ก ฉันได้รับการช่วยเหลือจากชายชราคนหนึ่ง หลังจากนั้น ฉันก็ติดตามชายชราไปฝึกวรยุทธ หลังจากประสบความสำเร็จในการฝึกฝน ฉันก็ออกมาเพื่อล้างแค้นให้กับคุณปู่ผู้อำนวยการและทุก ๆ คน ฉันได้ติดตามเบาะแสทีละขั้นตอนไปจนถึงเมืองหลวง และนั่นคือทั้งหมด”ฉู่เฉินกางมือออกกว้าง แสดงให้เห็นว่าพูดจบแล้ว“แค่นั้นหรือ ไม่มีอะไรเลยเหรอ? เสี่ยวซือโถว นายปฏิบัติกับเราเหมือนคนนอกและปฏิเสธที่จะบอกความจริงกับเรา”เฉียวหานอวี้พูดขึ้นอย่างรวดเร็วก่อนหน้านี้ เหล่าพี่สาวได้ใช้สายตากดดัน โดยหวังจะเกลี้ยกล่อมให้ฉู่เฉินเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติม แต่คิดไม่ถึงว่า ฉู่เฉินจะพูดเพียงไม่กี่คำพวกเธอรู้สึกเหมือนว่าแผนของพวกเธอล้มเหลว“เสี่ยวซือโถว ถ้านายไม่พูด พวกเราก็รู้กันดี แล้วก็รู้ว่าตระกูลฉู่ เป็นหนึ่งในแปดตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงในอดีต เป็นตระกูลเดิมของนาย นายตั้งใจไม่บอกความจริงกับพวกเรา เพราะไม่อยากทำให้พวกเราต้องเดือดร้อนใช่ไหม? ”หลินอีนัวจ้องมองฉู่เฉินและพูด“ถ้าไม่เคยรู้มาก่อน ก็คงจะดีกว่า เพราะถ้ารู้แล้ว แต่ไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย และจะกลายเป็นภาระสำ
ในคฤหาสน์หนานหวาง มีเสียงหัวเราะดังครึกครื้น พี่สาวทั้งห้าคนมารวมตัวกันและสนุกสนานกัน ฉู่เฉินก็สนุกเช่นกัน ในขณะนี้ คนทั้งหกคนอยู่ในลานบ้าน ชิมอาหารที่ฉู่เหมิงเหยานำมา และพูดคุยเกี่ยวกับประสบการณ์ของพวกเขาเริ่มจากพี่สาม เฉียวหานอวี้ เธอได้พบกับหมอเทวดาหลี่ซ่างได้อย่างไร ทำไมถึงได้รับเป็นลูกศิษย์ได้ ทักษะทางการแพทย์ของเธอพัฒนาขึ้นอย่างไรหลังจากนั้น เธอช่วยเหลือผู้ป่วยได้อย่างไรบ้าง เธอได้พบกับฉู่เฉินตอนไหน แล้วอะไรทำให้จดจำกันได้ และพูดถึงทุกอย่างอย่างละเอียด“ดังนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะน้องเจ็ดความจำเสื่อม พี่สามคงจะไม่ได้เจอเรา”หลังจากฟัง หลินอีนัวก็ถอนหายใจ“ใช่แล้ว พูดได้แค่ว่าโชคชะตาเล่นตลกกับผู้คน โอเค ฉันพูดจบแล้ว ถึงตาเธอแล้วนะ น้องห้า”เฉียวหานอวี้ส่งต่อบทสนทนาไปยังหลินอีนัวหลินอีนัว ก็ไม่ได้ปิดบังอะไรเกี่ยวกับเรื่องที่ถูกตระกูลหลินพาตัวไป เข้าสู่วงการบันเทิงได้อย่างไร พบกับฉู่เฉินตอนไหน ทำไมถึงมาแสดงหนังร่วมกันอีก และสุดท้ายทำอีท่าไหนถึงเข้าร่วมนิกายเมียวหยินได้หลังจากที่หลินอีนัว พูดจบ พี่สาวหลายคนก็ถอนหายใจว่าประสบการณ์ของหลินอีนัวนั้นค่อนข้างทรหด จากนั้นพวกเธอก็
“เอาล่ะ ไปกันเถอะ” เย่ชิงชาน หลินอีนัว และเฉียวหานอวี้ขึ้นรถคันที่สองไปแล้วด้วยความมึนงงชั่วขณะเมื่อเห็นเช่นนี้ หนิงชิงเสว่จึงรีบเข้าไปดึงฉู่เฉินอย่างสบาย ๆ“เสี่ยวซือโถว มานั่งด้วยกันเถอะ”“อืม”ฉู่เฉินตอบกลับ แล้วขึ้นรถที่อยู่ข้างหน้าเขา“ไปกันได้แล้ว” เมื่อมองไปที่เยว่ฟู่หลงที่ยังคงจ้องมองเขาอย่างซื่อบื้อ ฉู่เฉินก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องพูด“โอเค อาจารย์”เยว่ฟู่หลงเหยียบคันเร่งและรถออฟโรดสีดำ ก็พุ่งออกไปเหมือนสัตว์ร้ายที่คำรามภายในสนามบินเมืองหลวงฉู่เหมิงเหยาลงจากเครื่องบิน หยิบสัมภาระของเธอ และเห็นฉู่เฉินรออยู่ที่นั่น ยืนอยู่ข้าง ๆ ฉู่เฉินคือผู้หญิงที่สวยงามสี่คน“พี่หก ทางนี้”ก่อนที่ฉู่เฉินจะพูด หนิงชิงเสว่ก็ตะโกนออกไปอันที่จริง แม้ว่าหนิงชิงเสว่จะไม่ตะโกน แต่ฉู่เหมิงเหยาก็คงจะเห็นแล้วเธอก้าวเท้าและเดินไปข้างหน้าเมื่อรู้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้พบกับพี่สาวคนอื่น ๆ ฉู่เฉินกังวลว่าอาจจะเกิดความอึดอัด ฉู่เฉินจึงรีบแนะนำทุกคนทันที“พี่หก นี่คือพี่สาม เฉียวหานอวี้ ศิษย์โดยตรงของหมอเทวดา หลี่ซ่าง นี่คือพี่สี่ หลินอี้นัว ศิษย์สายตรงของหัวหน้านิกายเมียวห
“แกเป็นใคร?” จ้าวฟางเซียงถามโดยไม่รู้ตัว“ฉันชื่อฉู่เฉิน”เดิมทีฉู่เฉินคิดว่าในฐานะสมาชิกตระกูลจ้าวในเมืองหลวง จ้าวฟางเซียงต้องเคยได้ยินชื่อเขามาบ้าง และเมื่อรู้ว่าเป็นเขา อีกฝ่ายก็จะยับยั้งชั่งใจตัวเองได้บ้างโดยไม่คาดคิด หลังจากพูดชื่อของเขา จ้าวฟางเซียงก็หัวเราะออกมา“ฉันไม่สนใจว่าแกเป็นใคร ก็แค่ไอ้หน้าอ่อน แกยังกล้าประกาศชื่อของแกต่อหน้าฉัน มั่นหน้ามั่นโหนกจริง ๆ แต่น่าเสียดาย เมื่ออยู่ต่อหน้าฉัน จ้าวฟางเซียง แกไม่ได้มีโอกาสที่จะหยิ่งยโส แก….”จ้าวฟางเซียงยังคงพูดไม่หยุดเขาไม่ได้สังเกตเลยว่าชายชราที่ยืนอยู่ข้างหลังจ้าวฟางเซียงในตอนแรก มีสีหน้าหวาดกลัวเมื่อได้ยินชื่อของฉู่เฉินจริง ๆ แล้วเขาคือฉู่เฉิน ฉู่เฉินผู้ทำลายล้างตระกูลฉินเพียงลำพัง!ในบรรดาตระกูลใหญ่ในเมืองหลวง ฉู่เฉินกลายเป็นสิ่งต้องห้าม โดยเฉพาะในหมู่ผู้ที่มีความสัมพันธ์ไม่ดีกับตระกูลฉู่ชายชราเดินไปหาจ้าวฟางเซียงด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ขัดจังหวะการพูดของเขา และกระซิบที่หูของเขา“นายน้อย เขาคือฉู่ซวนหวู่ ฉู่ซวนหวู่ที่ฆ่าล้างบางตระกูลฉิน!”เมื่อได้ยินแล้วจ้าวฟางเซียงก็รู้ว่าฉู่เฉินเป็นใครไม่น่าแปลกใจ ที่จะฟังดู
เมื่อได้ยินเยว่ฟู่หลงกับเว่ยอิงลั่ว เรียกตัวเองเช่นนี้สำหรับหนิงชิงเสว่นั้นไม่เป็นไร เพราะยังไงฉันก็เคยได้ยินคำพูดที่สนิทสนมกว่านี้มาก่อนคนที่เหลืออีกสามคน ไม่ว่าจะเป็นเย่ชิงชาน หลินอีนัว หรือเฉียวหานอวี้ต่างก็หน้าแดงแจ๋ฉู่เฉินพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว“พี่สาว อย่าไปสนใจพวกเขา พวกเขาเคยพูดจาไร้สาระ ไปคุยกันต่อบนรถดีกว่า”“อืม”ทั้งสามคนไม่คัดค้าน แต่ทุกคนรีบวิ่งไปที่รถที่อยู่ข้างหลังพวกเขา“หยุด!”เสียงเย็นชาดังขึ้น ทำให้ฉู่เฉินหยุดชะงัก ร่างหนึ่งก้าวมาข้างหน้าเฉียวหานหยู่ ขวางทางของเธอฉู่เฉินเดินเข้าไปและมองไปที่ชายคนนั้น“พี่สาม คุณรู้จักเขาไหม?”“ไม่รู้จักเลย” เฉียวหานอวี้ตอบพร้อมเอียงหัวอย่างไม่ใส่ใจ“งั้นก็อย่าไปยุ่งกับเขาเลย ขึ้นรถกันเถอะ”ฉู่เฉินจับมือเธอเบา ๆ ช่วยประคองเธอขึ้นรถ ขณะที่เขาเปิดประตูค้างไว้การเห็นตัวเองถูกเมินอย่างซึ่ง ๆ หน้า ถือเป็นฟางเส้นสุดท้ายสำหรับจ้าวฟางเซียง เขาไม่เพียงแต่เคยคิดจะใช้เงินห้าสิบล้านหยวนเพื่อเอาชนะใจเธอเท่านั้น แต่ตอนนี้เขากลับถูกเมินอย่างสิ้นเชิง และที่แย่ไปกว่านั้น ชายหนุ่มที่อายุน้อยกว่าและหล่อกว่าคนนี้ก็ได้ปรากฏตัวขึ้นมาอี
“คุณหนูเฉียว คุณจะไปไหน ฉันจะพาคุณไปส่งเอง”จ้าวฟางเซียงไม่รู้ว่า มั่นหน้ามั่นโหนกมาจากไหน จึงเอื้อมมือไปหามือหยกอันบอบบางของเฉียวหานอวี้ เพื่อจับมือเธอเฉียวหานอวี้เบี่ยงตัวและหลบไป“นายจะทำอะไร?”“เฮ้ ๆ ทำอะไรอยู่ เป็นเรื่องปกติที่ฉันจะไปส่งคุณกลับบ้าน ไม่ใช่แค่คุณเท่านั้น แต่รวมถึงพวกคุณทุกคนด้วย”เมื่อเห็นว่าเฉียวหานอวี้สามารถหลบมือของตัวเอง ได้อย่างง่ายดายจ้าวฟางเซียงไม่ได้สนใจ และยื่นมือเของเขาออกไปอีกครั้ง“นายบ้าไปแล้วหรือไง ตอนกลางวันแสก ๆ ฉันสามารถแจ้งความอนาจารนายได้!”เฉียวหานอวี้หลบอีกครั้งและพูดจาเย็นชา“บอกฉันสิ? ดูเหมือนว่าคุณยังไม่เข้าใจน้ำหนักของคำว่าตระกูลจ้าวแห่งเมืองหลวง ใครในเมืองนี้ที่กล้าเข้ามายุ่งกับฉัน จ้าวฟางเซียง!”จ้าวฟางเซียงพูดจาเย่อหยิ่งเมื่อเห็นว่าเฉียวหานอวี้หลบได้อีกครั้ง จ้าวฟางเซียงก็รู้ว่า แม้เขาจะโง่แต่ผู้หญิงคนนี้คือวรยุทธ ถึงจะไม่สามารถรับรู้ระดับวรยุทธของผู้หญิงคนนี้ได้ แต่ระดับวรยุทธของเธอก็อาจจะเท่ากับเขา คาดว่าผู้หญิงคนนี้ได้ฝึกฝนวิชามาเหมือนกัน ดังนั้นเธอจึงหลบเลี่ยงเขาได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลังจากเข้าใจแล้ว จ้าวฟางเซียงก็พูดอย่