มองเยว่ฟู่หลงที่ทำตัวเหมือนคนบ้า เว่ยอิงลั่วก็ร้องไห้ออกมา และน้ำตาไหลอย่างควบคุมไม่ได้ดวงตาของเธอแดงก่ำขณะที่เธอพูด: "พวกคุณทุกคนเห็นแก่ตัวเกินไป ให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของตนเองเท่านั้น และไม่สนใจเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเองโดยตรง"“สมัยนี้ที่มองผิวเผินดูสงบสุข ไม่มีวันไหนที่สงบสุขหรอก แต่มีบางคนได้แบกภาระไว้ และก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับภาระนั้น”“ทุกครั้งใครกันที่ต่อสู้แนวหน้าในระหว่างเกิดแผ่นดินไหวและน้ำท่วม ยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยผู้อื่น? เงินเดือนของพวกเขามากมายไหม? พวกเขาไม่ใช่มนุษย์เหรอ? แต่เป็นเพราะพวกเขาคือทหารของประชาชน!”“คดียาเสพติดคลี่คลาย มีกี่คนที่ยอมเสียสละเลือดเนื้อต่อสู้? เงินเดือนของพวกเขาสูงมากเหรอ? พวกเขาไม่ใช่มนุษย์เหรอ? แต่เป็นเพราะพวกเขาคือทหารของประชาชน!” “เยว่ฟู่หลงกับฉันรอดชีวิตมาได้ก็ถือว่าโชคดีแล้ว เบื้องหลังพวกเรา มีผู้คนนับไม่ถ้วนล้มตายอยู่บนเส้นทางเพื่อปกป้องพวกคุณ และถูกฝังไว้ใต้ดินไปตลอดกาล”“ตัวอย่างเช่น อดีตหัวหน้าผู้สอนของซวนหวู่ของฉัน ต้องเผชิญหน้ากับปรมาจารย์วรยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่สามคนจากประเทศศัตรูโดยลำพัง และท้ายที่สุดก็สละชีวิตตัวเองเพื่อ
เมื่อได้ยินคำพูดปลอบใจจากฉู่เฉิน ฉู่เมิ่งเหยาก็ยิ้มหวานออกมาแต่เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วกดส่งข้อความสองชั่วโมงต่อมา ตอนเที่ยงวันคนกลุ่มหนึ่งก็ได้มาถึงยังค่ายทหารไห่ซีฉู่เมิ่งเหยาออกคำสั่ง "เสี่ยวเฉิน อีกสักครู่เมื่อเข้าไปแล้ว นายต้องไม่พูดจาขวานผ่าซากเด็ดขาด พยายามอย่าทำให้หานฉินหู่โกรธ ส่วนที่เหลือให้พี่หกจัดการเอง"“ค่อยว่ากัน”ฉู่เฉินยิ้มเล็กน้อย แต่รอยยิ้มนั้นมีความหมายแอบแฝงหากหานฉินหู่มีเหตุผล เขาจะไว้หน้าอีกฝ่ายแน่นอนตรงกันข้าม ก็ไม่จำเป็นต้องไว้หน้าอะไรที่ทางเข้าของค่ายทหารมีทหารติดอาวุธหนักอยู่ ยืนเฝ้าพื้นที่รัศมีสิบกว่ากิโลเมตรอย่างแน่นหนาราวกับปราการเหล็กทันทีที่ฉู่เฉินและฉู่เมิ่งเหยามาถึงประตูค่ายทหาร พวกเขาก็ถูกทหารถือปืนหลายคนหยุดไว้ "หยุดก่อน นั่นใคร?"“แหกตาของแกดูสิ แม้แต่ฉันแกก็ยังไม่รู้จักอีกเหรอ?” ฉู่เมิ่งเหยาพูดอย่างเย็นชาคนที่เป็นหัวหน้าหัวเราะเยาะและพูดว่า "แน่นอนเรารู้จักคุณหนูฉู่ พวกเราหมายถึงไอ้เด็กที่อยู่ข้างหลังคุณต่างหาก เพราะนี่เป็นค่ายทหารเป็นพื้นที่ที่สำคัญ และไม่ใช่ว่าแมวหรือสุนัขทุกตัวจะเข้าไปได้"เขาเน้นค
ทันใดนั้น ชายติดอาวุธมากกว่าสิบคนก็กรูเข้ามาในห้อง และปากกระบอกปืนสีดำมากกว่าสิบกระบอกก็จ่อไปที่ฉู่เฉิน“นายพลหาน…” ใบหน้าของฉู่เมิ่งเหยาซีดลงด้วยความกลัวหานฉินหู่ยกมือขึ้นและขัดจังหวะเธอ เพียงแค่มองไปที่ฉู่เฉินอย่างเย็นชา “ไอ้หนู ฉันจะให้โอกาสแกอีกครั้ง ถ้าแกคุกเข่าขอโทษฉันและลูกของฉัน ฉันจะไว้ชีวิตของแก”"ฉันรู้ว่าแกมีฝีมือในการต่อสู้ แต่อย่าลืมว่านี่คือถิ่นของฉัน!"“ใช่แล้ว ไอ้คนแซ่ฉู่ คุกเข่าลงให้ฉันซะ ไม่อย่างนั้นฉันจะให้พ่อฆ่าแกซะ” หานเล่ยก็ตะโกนอย่างตื่นเต้นเช่นกัน“งั้นเหรอ?”ลฉู่เฉินเยาะเย้ยและพูดอย่างใจเย็น “หานฉินหู่ ฉันก็จะให้โอกาสแกเหมือนกัน ถ้าพวกแกสองพ่อลูกคุกเข่าลงและขอโทษฉันกับพี่หก ฉันลืมเรื่องอดีตที่ผ่านมา ผ่านไปแล้วมันผ่านไป”“เสี่ยวเฉิน…” ฉู่เมิ่งเหยาหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่งเธอไม่เคยคิดว่าฉู่เฉินจะใจเด็ดขนาดนี้ และในเวลานี้ก็ยังคงยั่วยุหานฉินหู่อยู่“แปะๆ ……”หานฉินหู่หัวเราะด้วยความโกรธ ตบมือและเยาะเย้ย "เด็กน้อย ดูเหมือนว่าแกไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา"“พานังเด็กหญิงคนนี้ออกไปก่อน ฉันจะค่อยๆ เล่นสนุกกับไอ้เด็กคนนี้”จากคำสั่งของเขา ฉู่เมิ่งเหยาจึงถูกลากต
รับรู้ได้ถึงสายตาของเยว่ฟู่หลง ก็ทำให้หานฉินหู่คิดว่าเขาไม่พอใจกับการพาคนนอกเข้ามาในค่ายทหารหานฉินหู่พูดทันที "ท่านฑูตอาจยังไม่รู้ เด็กคนนี้เคยทุบตีลูกชายของผมครับ และผมก็เรียกเขามาที่นี่เพื่อคิดบัญชี"“ไม่คาดคิดว่าไอ้หนุ่มหน้าด้านคนนี้ช่างบ้าระห่ำ แถมยังปลอมกระบองทองของราชาผู้พิชิตเพื่อหลอกผม”ทันทีที่เขาพูดจบ เยว่ฟู่หลงก็โกรธและพูดว่า "ไอ้สารเลว!"เมื่อเห็นภาพตรงหน้าแบบนี้ ทั้งหานฉินหู่และหานเล่ยก็มีความสุขในใจมาทำให้ทูตของซวนหวู่ขุ่นเคือง!อย่าว่าแต่ฉู่เมิ่งเหยาเลย แม้แต่เง็กเซียนฮ่องเต้จะเสด็จลงมาเองก็ไม่สามารถช่วยไอ้เด็กคนนี้ได้หานฉินหู่ออกคำสั่งกับลูกน้องด้วยสีหน้าโกรธเคือง "ไอ้พวกโง่ รออะไรกัยอยู่ล่ะ? ทำไมพวกแกยังไม่จับมันไปขังอีก พวกแกต้องการให้ท่านทูตเห็นเรื่องตลกแบบนี้อยู่อีกเหรอ!"“ห่านฉินหู่ แกนั่นแหละไอ้สารเลว!” เยว่ฟู่หลงโกรธจัดและคำรามเสียงดัง“ท่านทูต คุณ…” หานฉินหู่สับสนเยว่ฟู่หลงขมวดคิ้วและพูดว่า "แกรู้ไหมว่าเขาเป็นใคร?"“เขาเป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนคนใหม่ของซวนหวู่!”เมื่อสิ้นคำพูดของเขาหานฉินหู่สมองว่างเปล่าหานเล่ยก็สมองว่างเปล่าเช่นกันไอ้เด็กคนนี้เ
เมื่อเห็นลูกชายที่ซื่อบื้อของตัวเองยังคงยืนอยู่ข้าง ๆ เหมือนยักษ์เฝ้าประตู เขาโกรธมากจึงตบหน้าอีกฝ่ายแล้วพูดว่า "ไอ้โง่ นี่มันเป็นความผิดของแกทั้งหมด"หานเล่ยถูกตบและล้มลงไปกับพื้น รู้สึกได้ถึงเสียงหึ่งๆ ในหู เขาเป็นลมล้มพับไปตรงนั้น“เอาล่ะ หยุดเล่นได้แล้ว”ฉู่เฉินขัดจังหวะ "วันนี้ฉันแค่ให้บทเรียนนิดหน่อยกับแกแล้ว หากยังทำอีกครั้งในอนาคต แกจะถูกลงโทษอย่างไร้ความเมตตาอย่างแน่นอน!""ครับๆ !"หานฉินหู่ทุบหน้าอกฃฃทันทีและรับปาก "ใต้เท้า ไม่ต้องห่วงครับ จากนี้ไปหากท่านบอกว่าไปทางตะวันออก ผมจะไม่กล้าไปทางตะวันตก"……นอกค่ายทหาร ฉู่เมิ่งเหยาเห็นฉู่เฉินอยู่ข้างในโดยไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ เป็นเวลานานเธอกดโทรศัพท์ต่อสายออกแล้วพูด "คุณย่า หนูยอมรับเงื่อนไขของคุณย่าแล้ว แต่หนูต้องการให้ตระกูลเว่ยช่วยคนสักคนให้หนู ... "ทันใดนั้น ก็มีรถป้ายทะเบียนฉู่โจวแล่นเข้ามาชายวัยกลางคนหน้าเหลี่ยมและชายหน้าตาหล่อเหลาลงจากรถ“คุณลุง...” ฉู่เมิ่งเหยาพูดไม่ออกชายวัยกลางคนคือเว่ยถงซานหัวหน้าตระกูลเว่ย ซึ่งเป็นตระกูลที่ร่ำรวยในฉู่โจว และชายหนุ่มคือเว่ยไห่หลง ลูกชายของเขาเอง“เมิ่งเหยา ในที่สุดเธอก
หลังจากที่ฉู่เฉินและเยว่ฟู่หลงแยกจากกัน เขาก็ออกมาพบฉุ่เมิ่งเหยาและพูดว่า "พี่หก"“เสี่ยวเฉิน นะ... นายไม่ได้เป็นอะไรใช่ไหม? หานฉินหู่ไม่ได้ทำอะไรนายใช่ไหม?” ฉู่เมิ่งเหยาพูดด้วยสีหน้าประหลาดใจ"ผมสบายดี"ฉู่เฉินยิ้มเล็กน้อย: "หานฉินหู่ เขาเป็นคนดี เขาไม่ได้ทำอะไรผมเลย"ฉู่เมิ่งเหยาตรวจดูเขาอย่างละเอียดอีกสองสามครั้ง ได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอกหลังจากยืนยันว่าแขนหรือขาเขาไม่ได้หายไปไหนเป็นฝีมือของเว่ยไห่หลงจริงๆ ดังนั้นหานฉินหู่ถึงปล่อยเสี่ยวเฉินออกมา?ความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในหัวของฉู่เมิ่งเหยาในขณะนี้เว่ยถงซานและเว่ยไห่หลงเดินมาคอตกกลับมา และมีสีหน้าหดหู่โดยเฉพาะอย่างยิ่งเว่ยไห่หลง ใบหน้าของเขาดูน่าเกลียดเหมือนว่าคุณพ่อของเขาเสียชีวิตก่อนเข้าไป เขารู้สึกมั่นใจอย่างไม่น่าเชื่อว่าหานฉินหู่ซึ่งรู้ตัวตนของเขาในฐานะผู้สมัครเข้าชิงตำแหน่งของซวนหวู่ จะต้องอ้าแขนต้อนรับเขาด้วยความเคารพอย่างสูงอย่างแน่นอนใครจะรู้ว่าเขาจะไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าชายคนนั้นก่อนจะถูกโยนออกมาด้วยซ้ำ“ไอ้เวรหานฉินหู่ แกรอก่อนเถอะ รอฉันได้เป็นเจ้าหน้าที่อย่างเป็นทางการของซวนหวู่เมื่อไหร่ แกจะต้องไ
"จริงเหรอ?" ฉู่เมิ่งเหยาตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งจู่ๆ เว่ยถงซานก็กลายเป็นฝ่ายกังวลแทน หากไอ้หนุ่มแซ่ฉู่คนนี้ ไม่ได้รับการช่วยเหลือจากพวกเขาสองคนพ่อลูก แผนของตระกูลเว่ยก็ต้องคว้ำน้ำเหลวเขารีบพูดว่า "ไอ้หนุ่ม แกอย่ามาเนรคุณ ถ้าไม่ได้ว่าพวกคุยกับหานฉินหู่ให้ แกจะเดินออกมาครบสามสิบสองได้ยังไง?"เขาพูดความสงสัยในใจของฉู่เมิ่งเหยาออกมาฉู่เฉินพูดอย่างเคร่งขรึมว่า "ง่ายจะตาย เพราะสถานะของฉันสูงส่งกว่าของหานฉินหู่ไง แม้ว่าจะให้ความกล้ากับเขากว่านี้อีกสิบเท่า แต่เขาไม่สามารถทำอะไรฉันได้”“สถานะของแกสูงส่งกว่าของหานฉินหู่งั้นเหรอ? มันจะสูงส่งแค่ไหนกันล่ะ?” เว่ยไห่หลงเยาะเย้ยฉู่เฉินพูดคำต่อคำ "เพราะฉันเป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนของซวนหวู่!"หลังจากที่เขาพูดจบ บรรยายกาศก็เงียบสงัดทันทีพวกเขาทั้งสามดูตกใจมากไม่กี่วินาทีต่อมา เว่ยถงซานก็ระเบิดเสียงหัวเราะและพูดว่า "ฮ่าๆ ฟันฉันแทบร่วงออก ไอ้หนุ่มคนนี้พูดจริงๆ ว่าเขาเป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนของซวนหวู่ นี่เป็นเรื่องตลกที่สนุกที่สุดที่ฉันเคยได้ยินในชีวิตนี้เลย"“โอ๊ย ฉันอยากจะหัวเราะให้กรามค้าง”เว่ยถงซานยังยิ้มและพูดว่า "ไอ้หนุ่ม แกนี่มันไม่รู้วิธีแต่งเ
ในขณะนี้ หน้าของเว่ยถงซานเต็มไปด้วยเหงื่อ และสายตาที่มองฉู่เฉินก็สั่นเทาอย่างหยุดไม่ได้หากจำไม่ผิด ฉู่เฉินเคยบอกว่าเขาเป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนของซวนหวู่ตอนนั้นพวกเขาคิดว่าอีกฝ่ายแค่คุยโว และไม่ได้คิดจริงจังกับเรื่องนี้แต่ตอนนี้ประกาศที่ออกอากาศทางสถานีวิทยุทหารบอกว่าหัวหน้าผู้ฝึกสอนคนใหม่ของซวนหวู่ก็มีแซ่ฉู่เหมือนกันสิ่งนี้จะไม่ทำให้เขาตื่นตระหนกได้ยังไงเมื่อเห็นท่าทีของเขา เว่ยไห่หลงและฉู่เมิ่งเหยาก็มีปฏิกิริยาและมองไปที่ฉู่เฉินด้วยสีหน้าตกตะลึงบนใบหน้าของพวกเขาเว่ยถงซานมองไปที่ฉู่เฉินและสูดลมหายใจลึกๆ แล้วพูดว่า "นะ... นายคือหัวหน้าผู้ฝึกสอนของซวนหวู่จริงๆ เหรอ?"ฉู่เฉินตอบอย่างใจเย็น “ในที่สุดก็เชื่อในตัวตนของฉันแล้วใช่ไหม?”เว่ยถงซานรู้สึกหวาดกลัวทันทีฉู่เมิ่งเหยาเองก็ตกตะลึงทันใดนั้น เว่ยไห่หลงก็หัวเราะเยาะและพูดว่า "คุณพ่อ พวกเราอย่าถูกไอ้เด็กคนนี้หลอกเอาสิ"“คงไม่ใช่เพียงเพราะเขามีแซ่ฉู่ เขาจึงเป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนของซวนหวู่ได้ใช่ไหม?”"นี่คงจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญเท่านั้นแหละ"จากนั้นเขาก็พูดอย่างมั่นใจ "สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ไอ้เด็กคนนี้ยังเด็กอยู่มาก อายุน้อยกว
“ไสหัวไปซะ!” ฉู่เฉินขมวดคิ้วและตะโกน สายตาของเขาเย็นชา และเผยจิตสังหารออกมา“อะไร? แกกำลังไล่พวกเรางั้นเรอะ?”เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทุกคนที่อยู่ที่นั่นก็ดูประหลาดใจและสงสัยว่าพวกเขาได้ยินผิด“ไอ้ขี้เหร่ แกกล้าอวดดีขนาดนั้นเลยเหรอ แกเชื่อไหมว่าฉันจะฆ่าแก”ทันใดนั้น ทุกคนก็โกรธฉู่เฉินอย่างมากแม้ว่านี่จะเป็นเมืองหลวง แต่พวกเขาก็เป็นสมาชิกของตระกูลหวัง พวกเขาข่มเหงผู้ที่อ่อนแอและข่มเหงคนหนุ่มสาวเป็นประจำทุกวัน จึงเป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะหยิ่งผยองลำพองใจ พวกเขาคุ้นเคยกับแววตาหวาดกลัวและยอมจำนนของคนอื่น ๆ มาเป็นเวลานานคำพูดของฉู่เฉินทำให้พวกเขาโกรธมาก จนอยากจะถลกหนังเขาและหั่นเขาเป็นชิ้น ๆ!“ฉันจะพูดอีกครั้ง ไปให้พ้น! ไม่เช่นนั้นจะฆ่าอย่างไม่ปราณี!“ สายตาเย็นชาของฉู่เฉินกวาดไปทั่ว เต็มไปด้วยจิตสังหาร“ฆ่าอย่างไม่ปราณี?”“ฮ่า ๆ แกทำให้ฉันขำเป็นบ้า แกคิดว่าแกตัวเองคู่ต่อสู้ของพวกเราได้จริงเหรอ?”ชายหนุ่มหลายคนในชุดสูทมองขึ้นมาและหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ดวงตาของพวกเขาเยาะเย้ย ไม่สนใจเขาเลยฉู่เฉินส่ายหัวและถอนหายใจ คนพวกนี้มีสมองเอาไว้กั้นหูเท่านั้น เขาเพิ่งให้โอกาสพวกเขาไปเมื่อ
……ภายในเมืองหลวงที่คึกคัก บนถนนที่กว้างและราบเรียบกลุ่มบุคคลที่โดดเด่นเดินไปมาในเมือง โดดเด่นเหมือนฝูงนกยูงรำแพนหาง และดึงดูดสายตาที่อยากรู้อยากเห็นมากมายอย่างไรก็ตาม เครื่องแต่งกายของพวกเขาแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง โดยที่เย่ชิงชานสวมชุดสีขาวล้วน ดูบอบบางและงดงามเฉียวหานอวี้สวมชุดยาวสีม่วงแดง แสดงออกถึงท่าทางที่กล้าหาญและมั่นใจหนิงชิงเสว่ที่ยังเยาว์วัยและสวยงามในชุดสีน้ำเงิน ฉู่เหมิงเหยาผู้บริสุทธิ์และสวยงาม อ่อนโยนและเงียบขรึมมีเพียงฉู่เฉินที่สูงใหญ่และสง่างามในชุดสีดำเท่านั้นที่โดดเด่นออกมา ใบหน้าที่คมคายและเฉียบคมของเขาส่งออร่าของความเฉยเมยที่ทำให้เขาดูไม่เข้ากับคนอื่น ๆ“หนุ่มหล่อคนนั้นเป็นใคร? ทำไมเขามากับผู้หญิงมากมายขนาดนั้น?” พฤติกรรมของทั้งกลุ่มดึงดูดความสนใจของบางคนได้อย่างชัดเจนคนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นชายหนุ่มและหญิงสาว แต่งกายด้วยเสื้อผ้าหรูหราและเครื่องประดับสีสันสดใส บ่งบอกถึงภูมิหลังครอบครัวมีฐานะ“ผู้ชายคนนั้นดูอ่อนแอมาก แต่ผู้หญิงที่อยู่รอบ ๆ เขาแจ่มเป็นบ้า” คนที่รู้จักฉู่เฉินกระซิบเตือน ไม่เต็มใจที่จะก่อเรื่องฉู่เฉินเดินไปข้างหน้าคนเดียว โดยไม่สนใจคนร
“อืม พวกเราจะไม่ทอดทิ้งนายแน่นอน!”เสียงเจี๊ยวจ๊าวของกลุ่มสาว ๆ ทำให้ฉู่เฉินหมดหนทาง แต่ที่สำคัญกว่านั้น มันทำให้หัวใจของเขาอบอุ่นขึ้นมา“เสี่ยวซือโถว เมื่อเป็นอย่างนั้น พวกเรามาเตรียมพร้อมกันเถอะ ฉันอยู่เฉย ๆ มาหลายวันแล้ว”เฉียวหานอวี้ถูกำปั้น และกระตือรือร้นที่จะพยายามทำอะไรสักอย่างพี่สาวคนอื่น ๆ ก็ตื่นเต้นเช่นกัน ราวกับว่าพวกเธอเห็นภาพของคนหลายคนที่เข้ามาในเมืองหลวงเป็นกลุ่มสถานการณ์นี้ทำให้ฉู่เฉินตกตะลึง“พี่ ๆ ได้โปรดรอก่อน เรื่องนี้ต้องดำเนินการทีละขั้นตอน และฉันกำลังจะทำสำเร็จในไม่ช้า ยังไม่สายเกินไปที่จะดำเนินการเมื่อฉันทำสำเร็จ และอีกอย่าง... ฉันไม่ใช่พี่น้องร่วมสายเลือดของคุณจริง ๆ” ฉู่เฉินขมวดคิ้วและพูดความเกลียดชังของคน ๆ หนึ่งต้องได้รับการจัดการด้วยตัวเองในที่สุด และไม่ให้พี่ ๆ มาเกี่ยวข้องได้ เพราะพวกเธอไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรเลยในเรื่องนี้“จะเป็นอะไรถ้านายไม่ใช่น้องของฉัน? นายเติบโตมาในสถานรับเลี้ยงเด็กกับพวกเราตั้งแต่ยังเด็ก และแม้ว่านายไม่ใช่น้องร่วมสายเลือดของฉัน แต่พวกเราก็ปฏิบัติกับนายเหมือนเป็นน้องชายของพวกเรา”เฉียวหานอวี้เอื้อมมือไปจับแขนเสื้อข
“ประสบการณ์ของฉันก็เรียบง่ายมาก ในกองไฟของสถานรับเลี้ยงเด็ก ฉันได้รับการช่วยเหลือจากชายชราคนหนึ่ง หลังจากนั้น ฉันก็ติดตามชายชราไปฝึกวรยุทธ หลังจากประสบความสำเร็จในการฝึกฝน ฉันก็ออกมาเพื่อล้างแค้นให้กับคุณปู่ผู้อำนวยการและทุก ๆ คน ฉันได้ติดตามเบาะแสทีละขั้นตอนไปจนถึงเมืองหลวง และนั่นคือทั้งหมด”ฉู่เฉินกางมือออกกว้าง แสดงให้เห็นว่าพูดจบแล้ว“แค่นั้นหรือ ไม่มีอะไรเลยเหรอ? เสี่ยวซือโถว นายปฏิบัติกับเราเหมือนคนนอกและปฏิเสธที่จะบอกความจริงกับเรา”เฉียวหานอวี้พูดขึ้นอย่างรวดเร็วก่อนหน้านี้ เหล่าพี่สาวได้ใช้สายตากดดัน โดยหวังจะเกลี้ยกล่อมให้ฉู่เฉินเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติม แต่คิดไม่ถึงว่า ฉู่เฉินจะพูดเพียงไม่กี่คำพวกเธอรู้สึกเหมือนว่าแผนของพวกเธอล้มเหลว“เสี่ยวซือโถว ถ้านายไม่พูด พวกเราก็รู้กันดี แล้วก็รู้ว่าตระกูลฉู่ เป็นหนึ่งในแปดตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงในอดีต เป็นตระกูลเดิมของนาย นายตั้งใจไม่บอกความจริงกับพวกเรา เพราะไม่อยากทำให้พวกเราต้องเดือดร้อนใช่ไหม? ”หลินอีนัวจ้องมองฉู่เฉินและพูด“ถ้าไม่เคยรู้มาก่อน ก็คงจะดีกว่า เพราะถ้ารู้แล้ว แต่ไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย และจะกลายเป็นภาระสำ
ในคฤหาสน์หนานหวาง มีเสียงหัวเราะดังครึกครื้น พี่สาวทั้งห้าคนมารวมตัวกันและสนุกสนานกัน ฉู่เฉินก็สนุกเช่นกัน ในขณะนี้ คนทั้งหกคนอยู่ในลานบ้าน ชิมอาหารที่ฉู่เหมิงเหยานำมา และพูดคุยเกี่ยวกับประสบการณ์ของพวกเขาเริ่มจากพี่สาม เฉียวหานอวี้ เธอได้พบกับหมอเทวดาหลี่ซ่างได้อย่างไร ทำไมถึงได้รับเป็นลูกศิษย์ได้ ทักษะทางการแพทย์ของเธอพัฒนาขึ้นอย่างไรหลังจากนั้น เธอช่วยเหลือผู้ป่วยได้อย่างไรบ้าง เธอได้พบกับฉู่เฉินตอนไหน แล้วอะไรทำให้จดจำกันได้ และพูดถึงทุกอย่างอย่างละเอียด“ดังนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะน้องเจ็ดความจำเสื่อม พี่สามคงจะไม่ได้เจอเรา”หลังจากฟัง หลินอีนัวก็ถอนหายใจ“ใช่แล้ว พูดได้แค่ว่าโชคชะตาเล่นตลกกับผู้คน โอเค ฉันพูดจบแล้ว ถึงตาเธอแล้วนะ น้องห้า”เฉียวหานอวี้ส่งต่อบทสนทนาไปยังหลินอีนัวหลินอีนัว ก็ไม่ได้ปิดบังอะไรเกี่ยวกับเรื่องที่ถูกตระกูลหลินพาตัวไป เข้าสู่วงการบันเทิงได้อย่างไร พบกับฉู่เฉินตอนไหน ทำไมถึงมาแสดงหนังร่วมกันอีก และสุดท้ายทำอีท่าไหนถึงเข้าร่วมนิกายเมียวหยินได้หลังจากที่หลินอีนัว พูดจบ พี่สาวหลายคนก็ถอนหายใจว่าประสบการณ์ของหลินอีนัวนั้นค่อนข้างทรหด จากนั้นพวกเธอก็
“เอาล่ะ ไปกันเถอะ” เย่ชิงชาน หลินอีนัว และเฉียวหานอวี้ขึ้นรถคันที่สองไปแล้วด้วยความมึนงงชั่วขณะเมื่อเห็นเช่นนี้ หนิงชิงเสว่จึงรีบเข้าไปดึงฉู่เฉินอย่างสบาย ๆ“เสี่ยวซือโถว มานั่งด้วยกันเถอะ”“อืม”ฉู่เฉินตอบกลับ แล้วขึ้นรถที่อยู่ข้างหน้าเขา“ไปกันได้แล้ว” เมื่อมองไปที่เยว่ฟู่หลงที่ยังคงจ้องมองเขาอย่างซื่อบื้อ ฉู่เฉินก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องพูด“โอเค อาจารย์”เยว่ฟู่หลงเหยียบคันเร่งและรถออฟโรดสีดำ ก็พุ่งออกไปเหมือนสัตว์ร้ายที่คำรามภายในสนามบินเมืองหลวงฉู่เหมิงเหยาลงจากเครื่องบิน หยิบสัมภาระของเธอ และเห็นฉู่เฉินรออยู่ที่นั่น ยืนอยู่ข้าง ๆ ฉู่เฉินคือผู้หญิงที่สวยงามสี่คน“พี่หก ทางนี้”ก่อนที่ฉู่เฉินจะพูด หนิงชิงเสว่ก็ตะโกนออกไปอันที่จริง แม้ว่าหนิงชิงเสว่จะไม่ตะโกน แต่ฉู่เหมิงเหยาก็คงจะเห็นแล้วเธอก้าวเท้าและเดินไปข้างหน้าเมื่อรู้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้พบกับพี่สาวคนอื่น ๆ ฉู่เฉินกังวลว่าอาจจะเกิดความอึดอัด ฉู่เฉินจึงรีบแนะนำทุกคนทันที“พี่หก นี่คือพี่สาม เฉียวหานอวี้ ศิษย์โดยตรงของหมอเทวดา หลี่ซ่าง นี่คือพี่สี่ หลินอี้นัว ศิษย์สายตรงของหัวหน้านิกายเมียวห
“แกเป็นใคร?” จ้าวฟางเซียงถามโดยไม่รู้ตัว“ฉันชื่อฉู่เฉิน”เดิมทีฉู่เฉินคิดว่าในฐานะสมาชิกตระกูลจ้าวในเมืองหลวง จ้าวฟางเซียงต้องเคยได้ยินชื่อเขามาบ้าง และเมื่อรู้ว่าเป็นเขา อีกฝ่ายก็จะยับยั้งชั่งใจตัวเองได้บ้างโดยไม่คาดคิด หลังจากพูดชื่อของเขา จ้าวฟางเซียงก็หัวเราะออกมา“ฉันไม่สนใจว่าแกเป็นใคร ก็แค่ไอ้หน้าอ่อน แกยังกล้าประกาศชื่อของแกต่อหน้าฉัน มั่นหน้ามั่นโหนกจริง ๆ แต่น่าเสียดาย เมื่ออยู่ต่อหน้าฉัน จ้าวฟางเซียง แกไม่ได้มีโอกาสที่จะหยิ่งยโส แก….”จ้าวฟางเซียงยังคงพูดไม่หยุดเขาไม่ได้สังเกตเลยว่าชายชราที่ยืนอยู่ข้างหลังจ้าวฟางเซียงในตอนแรก มีสีหน้าหวาดกลัวเมื่อได้ยินชื่อของฉู่เฉินจริง ๆ แล้วเขาคือฉู่เฉิน ฉู่เฉินผู้ทำลายล้างตระกูลฉินเพียงลำพัง!ในบรรดาตระกูลใหญ่ในเมืองหลวง ฉู่เฉินกลายเป็นสิ่งต้องห้าม โดยเฉพาะในหมู่ผู้ที่มีความสัมพันธ์ไม่ดีกับตระกูลฉู่ชายชราเดินไปหาจ้าวฟางเซียงด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ขัดจังหวะการพูดของเขา และกระซิบที่หูของเขา“นายน้อย เขาคือฉู่ซวนหวู่ ฉู่ซวนหวู่ที่ฆ่าล้างบางตระกูลฉิน!”เมื่อได้ยินแล้วจ้าวฟางเซียงก็รู้ว่าฉู่เฉินเป็นใครไม่น่าแปลกใจ ที่จะฟังดู
เมื่อได้ยินเยว่ฟู่หลงกับเว่ยอิงลั่ว เรียกตัวเองเช่นนี้สำหรับหนิงชิงเสว่นั้นไม่เป็นไร เพราะยังไงฉันก็เคยได้ยินคำพูดที่สนิทสนมกว่านี้มาก่อนคนที่เหลืออีกสามคน ไม่ว่าจะเป็นเย่ชิงชาน หลินอีนัว หรือเฉียวหานอวี้ต่างก็หน้าแดงแจ๋ฉู่เฉินพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว“พี่สาว อย่าไปสนใจพวกเขา พวกเขาเคยพูดจาไร้สาระ ไปคุยกันต่อบนรถดีกว่า”“อืม”ทั้งสามคนไม่คัดค้าน แต่ทุกคนรีบวิ่งไปที่รถที่อยู่ข้างหลังพวกเขา“หยุด!”เสียงเย็นชาดังขึ้น ทำให้ฉู่เฉินหยุดชะงัก ร่างหนึ่งก้าวมาข้างหน้าเฉียวหานหยู่ ขวางทางของเธอฉู่เฉินเดินเข้าไปและมองไปที่ชายคนนั้น“พี่สาม คุณรู้จักเขาไหม?”“ไม่รู้จักเลย” เฉียวหานอวี้ตอบพร้อมเอียงหัวอย่างไม่ใส่ใจ“งั้นก็อย่าไปยุ่งกับเขาเลย ขึ้นรถกันเถอะ”ฉู่เฉินจับมือเธอเบา ๆ ช่วยประคองเธอขึ้นรถ ขณะที่เขาเปิดประตูค้างไว้การเห็นตัวเองถูกเมินอย่างซึ่ง ๆ หน้า ถือเป็นฟางเส้นสุดท้ายสำหรับจ้าวฟางเซียง เขาไม่เพียงแต่เคยคิดจะใช้เงินห้าสิบล้านหยวนเพื่อเอาชนะใจเธอเท่านั้น แต่ตอนนี้เขากลับถูกเมินอย่างสิ้นเชิง และที่แย่ไปกว่านั้น ชายหนุ่มที่อายุน้อยกว่าและหล่อกว่าคนนี้ก็ได้ปรากฏตัวขึ้นมาอี
“คุณหนูเฉียว คุณจะไปไหน ฉันจะพาคุณไปส่งเอง”จ้าวฟางเซียงไม่รู้ว่า มั่นหน้ามั่นโหนกมาจากไหน จึงเอื้อมมือไปหามือหยกอันบอบบางของเฉียวหานอวี้ เพื่อจับมือเธอเฉียวหานอวี้เบี่ยงตัวและหลบไป“นายจะทำอะไร?”“เฮ้ ๆ ทำอะไรอยู่ เป็นเรื่องปกติที่ฉันจะไปส่งคุณกลับบ้าน ไม่ใช่แค่คุณเท่านั้น แต่รวมถึงพวกคุณทุกคนด้วย”เมื่อเห็นว่าเฉียวหานอวี้สามารถหลบมือของตัวเอง ได้อย่างง่ายดายจ้าวฟางเซียงไม่ได้สนใจ และยื่นมือเของเขาออกไปอีกครั้ง“นายบ้าไปแล้วหรือไง ตอนกลางวันแสก ๆ ฉันสามารถแจ้งความอนาจารนายได้!”เฉียวหานอวี้หลบอีกครั้งและพูดจาเย็นชา“บอกฉันสิ? ดูเหมือนว่าคุณยังไม่เข้าใจน้ำหนักของคำว่าตระกูลจ้าวแห่งเมืองหลวง ใครในเมืองนี้ที่กล้าเข้ามายุ่งกับฉัน จ้าวฟางเซียง!”จ้าวฟางเซียงพูดจาเย่อหยิ่งเมื่อเห็นว่าเฉียวหานอวี้หลบได้อีกครั้ง จ้าวฟางเซียงก็รู้ว่า แม้เขาจะโง่แต่ผู้หญิงคนนี้คือวรยุทธ ถึงจะไม่สามารถรับรู้ระดับวรยุทธของผู้หญิงคนนี้ได้ แต่ระดับวรยุทธของเธอก็อาจจะเท่ากับเขา คาดว่าผู้หญิงคนนี้ได้ฝึกฝนวิชามาเหมือนกัน ดังนั้นเธอจึงหลบเลี่ยงเขาได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลังจากเข้าใจแล้ว จ้าวฟางเซียงก็พูดอย่