“ก็จริง ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดต้องเป็นอัจฉริยะของนิกายหลัก หรืออย่างน้อยก็เป็น นายน้อยจากตระกูลเศรษฐี ไม่มีทางเป็นพวกเราหรอก แต่นั่นคือสนาประลองสุดท้าย จะรีบร้อนตอนนี้ไปทำไมก่อน? พวกเรายังต้องจับตาดูสถานการณ์ปัจจุบันกันก่อนดีกว่า ตัดสินใจว่าจะเดิมพันกับผู้แข่งขันคนไหน แล้วหาเงินไปเป็นค่าขนม”"ถูกต้อง ฉันจะได้ยินมาว่าสำนักข่าวต้าเซี่ยวางแผนที่จะเปลี่ยนงานนี้ให้เป็นการแข่งขันศิลปะการต่อสู้สมัยใหม่ ไม่เพียงแค่นั้น พวกเขายังร่วมมือกับสองนิกาย สี่ตำหนัก และตระกูลใหญ่แปดตระกูลของเมืองหลวง เพื่อเป็นเจ้าภาพจัดงาน และยังได้เตรียมรางวัลมากมายให้กับนักสู้สามอันดับแรกอีกด้วย มีข่าวลือว่าผู้เข้าแข่งขันที่แข็งแกร่งที่สุดจะได้รับสมบัติเทพเจ้า!"“สมบัติเทพเจ้า! สมบัติแบบนั้นมีอยู่จริงในโลกเหรอ!”……การสนทนานี้สามารถพบเจอได้ตามทุกซอกทุกมุมของท้องถนนในเมืองหลวง แม้แต่คนธรรมดาที่ไม่ใช่นักสู้ก็ยังรู้เรื่องข่าวนี้ด้วยแม้ว่าคนธรรมดาทั่วไปจะไม่ได้สนใจเท่าไหร่ โดยคิดว่าเป็นเพียงการโฆษณาเกินจริงที่สนามประลองอีกสามแห่ง จะมีผู้ท้าดวลขึ้นไปท้าประลองเป็นครั้งคราว ในขณะเดียวกัน ณ โถงสมุนไพร ฉู่เฉินกำลัง "ฝึ
เรื่องที่ยากและมีค่าที่สุดของการฝึกนี้คือ ทัศนคิของผู้อาวุโสเย่ที่มีต่อมุมานะศึกษาของฉู่เฉิน ไม่ว่าอีกฝ่ายจะทรมานอย่างดุเดือดเพียงใด ฉู่เฉินก็ไม่เคยยอมแพ้ การฝึกสอนนี้ไม่เพียงแต่ฝึกความเชี่ยวชาญเท่านั้น แต่ยังฝึกความเพียรพยายามอีกด้วยเมื่อพูดถึงการถ่ายถอดวิชา ปรมาจารย์ที่เก่งกว่าปรมาจารย์นั้น คือปรมาจารย์ผู้รอบรู้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าผู้อาวุโสเย่เป็นปรมาจารย์ผู้รอบรู้ที่ยอดเยี่ยมมาก แม้ว่าจะไม่เคยอธิบายหรือแนะนำอะไรกับฉู่เฉินโดยตรงเลยก็ตาม แต่การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นอย่างเงียบ ๆ โดยที่ไม่รู้ตัว และมีส่งผลกระทบอย่างละเอียดอ่อนเหตุผลที่ฉู่เฉินยอมทนการปฏิบัติที่รุนแรงของผู้อาวุโสเย่ ด้วยความเต็มใจนั้นส่วนหนึ่งมาจากการปรึกษาอย่างจริงจังกับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ซวนหวู่ หลังจากที่เขาถูกทุบตีครั้งแรก ซวนหวู่บอกเขาว่า เขาสามารถวางใจได้และปฏิบัติตามคำสอนของผู้อาวุโสเย่ได้อย่างเชื่อฟัง ยิ่งไปกว่านั้น ยังแนะนำให้เขาลดความแข็งแกร่งของตัวเองให้ต่ำกว่าระดับจอมยุทธ และฝึกฝนในรูปแบบไม่เคยได้รับมาก่อน นอกจากนี้ยังเตือนฉู่เฉินไม่ให้รีบเร่งในการใช้อาณาเขตอะไรพวกนั้นด้วย เมื่อสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงจ
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา การประลองของเมืองหลวงและต้าเซี่ยก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการเหลือเวลาอีกเพียงสองวันก่อนการประลองในสนาม ฉู่เฉินก็ออกจากเมืองลับแลในที่สุด และปรากฏตัวในโถงสมุนไพรเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ โถงสมุนไพรตอนนี้คึกคักกว่ามากโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่สำนักข่าวต้าเซี่ยได้ร่วมมือกับนิกายชั้นนำทั้งเก้าและประกาศว่า นอกจากฉู่เฉินแล้ว ยังมีจ้าวสนามประลองอีกสามคนที่จะมาจากสนามโถงสมุนไพร ผู้คนจำนวนมากแห่กันมาที่โถงสมุนไพร โดยหวังว่าจะได้เป็นหนึ่งในจ้าวสนามประลองผ่านไปไม่กี่วัน ก็ได้ผู้ชนะสามคนที่ได้รับการคัดเลือกจากที่นี่ฉู่เฉินได้พบกับทั้งสามคนที่บ้านพักของหลี่ซ่าง“ฉู่เฉิน คนเหล่านี้คือผู้มีพรสวรรค์รุ่นเยาว์สามคนที่ได้รับการคัดเลือกผ่านการแข่งขันหลายขั้น นี่คือฉู่เฉิน พวกคุณทั้งสี่คนเป็นตัวแทนของโถงสมุนไพรในครั้งนี้ และฉันหวังว่าพวกคุณทุกคนจะได้รับการจัดอันดับที่ดี ฉู่เฉิน พยายามเข้า เอาล่ะ มาทำความรู้จักกันเถอะ” หลี่ซ่างพูดอย่างไม่ใส่ใจทั้งสามคนประกอบด้วยชายสองคนและหญิงหนึ่งคน ฉู่เฉินจำชายทั้งสองไม่ได้ แต่หญิงคนนั้นทำให้เขาประหลาดใจ นั่นคือหลี่ชิง คนที่เขาเคยเอาชน
“งั้นพวกเราสามารถท้าทายสนามประลองอื่นได้หรือเปล่า?”“เรื่องไม่ได้ระบุเอาไว้อย่างชัดเจน แต่ก็น่าจะเป็นไปได้ บางทีอาจมีจ้าวสนามคนอื่นที่คิดว่า พวกเราอ่อนแอกว่าและถูกรังแกได้ง่ายกว่า ดังนั้นพวกเขาจะมาโจมตีสนามประลองของพวกเราโดยเฉพาะ” “อืม แล้วตอนแรกคุณตัดสินใจให้ใครเป็นปกป้องสนามประลองก่อน?” ฉู่เฉินถามทั้งสามคน“แผนเดิมคือให้พี่หม่าเซียงอวี่ออกไปก่อน และเป็นคำขอของพี่หม่าเองด้วย ฉู่เฉิน คุณอาจไม่รู้ว่าพี่หม่าพึ่งพาการฝึกฝนด้วยตนเอง และประสบความสำเร็จในปัจจุบัน หากเอาชนะคำท้าดวลได้ตลอด แน่นอนว่าเขาไม่กลัวความท้าทายเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม หากคุณชายฉู่ต้องการเป็นผู้ออกไปก่อน ก็ทำเช่นนั้นก็ได้”หลี่ชิงพูดด้วยความประทับใจต่อตัวหม่าเซียงหยู่อย่างเห็นได้ชัด“ไม่จำเป็นหรอก พวกคุณตัดสินใจไปแล้ว ดังนั้นมาทำตามแผนนั้นกันเถอะ”ฉู่เฉินไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ ตั้งแต่แวบแรกที่เขาเห็นพวกเขาสามคน เขารู้ว่าพวกเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา เมื่อเป็นอย่างนั้น การที่เขาจะเอาชนะคนอื่นที่เอาชนะพวกเขาไม่ได้ก็ไม่มีความหมายอะไร หากมีใครเอาชนะพวกเขาทั้งสามคนได้ เขาก็จะยื่นมือเข้ามาช่วยอย่างแน่นอน“แล้วหลังจากน
จากนั้นฉู่เฉินก็เดินไปหาเหยียนหนานเทียนเพียงคนเดียว เพื่อตรวจสอบและเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาด แม้ว่าฉู่เฉินจะรู้สึกชัดเจนว่าบุคคลที่อยู่ตรงหน้าเขาเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่มีวรยุทธ ซึ่งไม่ต่างจากคนทั่วไปบนถนน แต่เขาก็ยังตัดสินใจที่จะทดสอบ“ลุงเหยียน?ฉู่เฉินเอ่ยปากถามอย่างไม่แน่ใจชายคนที่ดูเหมือนเหยียนหนานเทียนไม่ได้ตอบเมื่อเห็นเช่นนี้ ฉู่เฉินก็ไม่ได้ถามต่อและหันหลังจะจากไปทันทีที่เขาหันหลังกลับ ก็ถูกเรียกให้หยุด“เด็กน้อย ในเมื่อนายจำได้แล้ว ทำไมนายถึงสงสัยในวิจารณญาณของตัวเอง”“เป็นคุณจริงๆ ลุงเหยียน คุณออกจากดินแดนเร้นลับของตระกูลเหยียน และมาปรากฏตัวที่นี่ได้ยังไง?”ฉู่เฉินถามด้วยความประหลาดใจปนความสับสน“ออกมาได้? ฉันไม่ได้ออกมา และฉันอยู่ที่นี่รอทำข้อตกลงกับนาย”“โอ้ ข้อตกลงอะไร?”เมื่อได้ยินคำว่าข้อตกลง ฉู่เฉินก็เริ่มสนใจ"ฉันกำลังวางแผนจะตั้งกลุ่มเดิมพันสำหรับการแข่งขัน และฉันจะเดิมพันว่านายจะชนะการแข่งขัน แต่มีเงื่อนไขคือ นายต้องออมมือไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อลดอัตราต่อรอง หลังจากนั้น พวกเราจะแบ่งกำไร 70-30 นายคิดว่าไง?" เหยียนหนานเทียนพูดข้อเสนอ“ลุงเหยี
เมื่อกลับมายังฐานซวนหวู่อยู่ ฉู่เฉินก็ได้ทราบเกี่ยวกับผู้ชนะจากสนามอื่นๆ จากจางเทาอย่างคร่าวๆเดิมทีมีทหารซวนอู่ก็เฝ้าสังเกตการประลองนี้อย่างลับๆ เช่นกันฉู่เฉินไม่เคยคาดคิดว่า การกระทำที่ไม่ได้คิดหน้าคิดหลังที่หน้าโถงสมุนไพรจะทำให้เกิดการประลองที่ยิ่งใหญ่ระหว่างจอมยุทธแต่ฉู่เฉินก็รู้สึกเพลิดเพลินใจที่ได้เห็นสิ่งนี้ที่สนามประลองของตระกูลหวัง ฉู่เฉินยังได้รู้อีกว่า นอกเหนือจากหวังฮวาที่เขาเคยเจอมาก่อนหน้านี้ ยังมีคนชื่อซ่งหลี่ซิงซึ่งเป็นสมาชิกของกองกำลังพยัคฆ์ขาวด้วย และอีกสองคนที่เหลือ ฉู่เฉินไม่ค่อยในใจเท่าไหร่ด้านฝั่งตำหนักอสูร พูดกันว่าสตรีคนหนึ่งจากตำหนักอสูรครองตำแหน่งผู้ชนะมีข่าวลือว่า คนที่ได้เห็นสตรีคนนี้ครั้งแรก ต่างก็ตะลึงกับความงามของเธอ และตั้งแต่เธอขึ้นไปบนลานประลอง เธอก็ไม่ได้ปริปากพูดอะไร ไม่ว่าใครจะเข้ามาขอท้าทายเธอ เธอก็ยัไม่แพ้ใครหน้าไหน อย่างไรก็ตาม ในที่สุดผู้นำของตำหนักอสูรก็โน้มน้าว ให้เธออนุญาตให้อีกสามคนเข้าร่วมเป็นผู้ชนะด้วยถ้าไม่ใช่เพราะกฎการแข่งขันที่กำหนดให้ต้องมีผู้ชนะสี่คน เธออาจเป็นแชมเปี้ยนเพียงคนเดียวจากตำหนักอสูรก็ได้เป็นกฎการก็เป็นแบบนี้
“ไม่รู้อะไรเลยใช่ไหมนิ คนนี้ชื่อหม่าเซียงอวี่ ได้ยินมาว่าที่ลานประลองโถงสมุนไพร ได้เอาชนะคู่แข่งหลายคนในรอบคัดเลือก และคว้าตำแหน่งหนึ่งในสี่ผู้ชนะมา”มีบางคนสงสัย ไม่นานก็จะมีคนออกมาพูดข่าวลือต่างๆ ออกมา“โอ้ พี่ชายข่าวเด็ดมาก งั้นคุณคิดว่าใครเป็นผู้ป้องกันตำแหน่งของตระกูลหวัง”ทันทีที่ใครตอบคำถามได้ ก็มีคนอาศัยจังหวะนี้ถามเรื่องที่ตัวเองสงสัยออกมา ส่วนความถูกต้องของข่าว ใครสนใจล่ะ แค่เอามันส์เท่านั้น“ชื่อคนคนนั้นคือซ่งหลี่ซิง เหมือนกับคนจากโถงสมุนไพรที่ต่อสู้อย่างหนักหลายครั้งเพื่อคว้าตำแหน่งผู้ชนะมา พวกเขาล้วนเป็นปรมาจารย์ที่ไหมรู้โผล่ออกมาจากไหน” คนที่ตอบคำถาม ได้ระบุว่าแหล่งที่มาของข้อมูลนั้นค่อนข้างน่าเชื่อถือ“แล้วทางฝั่งตำหนักอสูรล่ะ?”มีคนถามขึ้นอีก“คนชื่อหลี่หยวนป้า ได้ยินมาว่าเขาได้รับตำแหน่งผู้ชนะ หลังจากต่อสู้ไปแค่รอบเดียว ดังนั้นไม่ควรมองข้ามความแข็งแกร่งของเขา”“พี่ชายนี่วงในสุดๆ แล้วใครเป็นคนป้องกันของฝั่งนิกายแห่งความว่างเปล่า?”“เอ่อ... นั่นไม่ค่อยแน่ใจเกี่ยวกับคนนั้น” ในที่สุดคนที่ตอบคำถามก็ไม่สามารถตอบได้“ชื่อว่าชิงหลิง มีข่าวลือว่าเป็นอัจฉริยะของนิกายแห
การเห็นหลิวคังถอนตัวออกจากลานประลองโดยสมัครใจนั้น เป็นสิ่งที่หม่าเซียงอวี้หวังเอาไว้“ถ้ามีใครต้องการอยากท้าดวล ก็ออกมาได้เลย ไม่ต้องอาย ถึงแม้ว่ากฎจะระบุให้พักครึ่งชั่วโมงระหว่างการแข่งขันรอบต่อไป แต่ฉันเพิ่งวอร์มร่างกายเสร็จ ดังนั้นใครก็ตามที่อยากท้าดวล ก็ออกมาเลย” คำประกาศของหม่าเซียงอวี้ บวกกับผลจากการแข่งขันล่าสุดนั้น มีวัถตุประสงค์เพื่อสร้างความตื่นตาตื่นใจ อย่างไรก็ตาม ก็ไม่มีผู้ท้าดวลกล้าออกมาท้าดวลเขาเมื่อเห็นเช่นนี้ ฉู่เฉินก็เบื่อหน่ายที่จะดูการประลองต่อ และอีกลานประลองที่อยู่ใกล้กัน ก็ไม่มีคนออกมาท้า คาดว่าในวันแรก ทุกคนไม่รีบร้อนและไม่พร้อมที่จะเอาเปรียบผู้ที่มาทีหลัง ฉู่เฉินตัดสินใจให้จางเทาจับตาเอาไว้ จากนั้นจึงกลับไปที่ฐาน เพื่อพักฟื้นตามที่คาดไว้ วันแรกเป็นวันที่ค่อนข้างเงียบสงบ ลานประลองทั้งสี่แห่ง มีการท้าดวลเพียงไม่กี่ครั้ง ที่ลานโถงสมุนไพร หม่าเซียงอวี้ต่อสู้กับหลิวคังและต่อมาก็เผชิญหน้ากับผู้ท้าชิงอีกคนในรอบที่สองหม่าเซียงอวี้ยังคงตั้งรับการโจมตี ปล่อยให้คู่ต่อสู้ของเขาหมดแรง จนพวกเขายอมแพ้ไปเอง หลังจากนั้นก็ไม่มีใครท้าดวลเขาอีกเลย และเขาก็สามารถป้องกันลานป