บทที่ 78 โรคระบาด ep 2จวงหลิวอวี้ก้าวไปข้างหน้าอย่างสง่างาม มือข้างหนึ่งจับจูงนายน้อยเฟิงหยวนเจี๋ยที่ยืนอยู่เคียงข้างอย่างมุ่งมั่น ส่วนเฟิงหย่าเสวี่ยก็เดินมานางมาติดๆ นางชูตราสัญลักษณ์ของแม่ทัพซู่หลิงขึ้นสูง ตราสัญลักษณ์นั้นส่องแสงประกายท่ามกลางหิมะที่โปรยปราย ทหางรักษาประตูเมืองต่างมองด้วยความตกตะลึงและเคารพ พวกเขาล้วนจำตราแม่ทัพใหญ่ซู่หลิง และพวกเขาก็เคยได้ข่าวที่ว่าท่านแม่ทัพมีฮูหยินแล้วและก็เป็นถึงหมอหัตถ์เทวะ และการมาของนางครั้งนี้นั้น คือความหวังของพวกเขาจริงๆ นางเป็นหมอย่อมมาช่วยอย่างแน่นอน ป้าจวงมองดูเหล่านายทหารและกล่าวด้วยเสียงที่หนักแน่นและทรงพลัง"ข้ามียาที่สามารถรักษาโรคระบาดนี้ได้ จึงประตูเมืองให้พวกเราผ่านเข้าไป"แววตาของนางเฉียบขาด ขณะที่มืออีกข้างจูงนายน้อยเฟิงหยวนเจี๋ยไว้แน่น เฟิงหยวนเจี๋ยเงยหน้ามองนางด้วยความศรัทธา นางไม่ใช่เพียงหมอหัตถ์เทวะที่มีความสามารถล้นเหลือ แต่ยังเป็นผู้ที่ปกป้องและนำทางเขาผ่านความยากลำบาก นายน้อยตัวน้อยยิ้มออกมาอย่างน่ารัก ป้าจวงของเขาช่างเท่อย่างที่พี่ใหญ่ชอบพูดจริงๆ โตขึ้นเขาก็อยากจะเท่แบบป้าจวงบ้าง ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความตึงเคร
บทที่ 79 คิดค่ารักษาตามฐานะเมื่อจัดการกับเหล่าผู้อพยพเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้สถานการณ์โดยรวมนั้นดีขึ้นมาก เหล่าผู้อพยพได้รับทั้งอาหาร เสื้อผ้า และยารักษา ตอนนี้พวกเขาดีขึ้นมาก เฟิงหย่าเสวี่ยยังขอให้ทางการจัดการเรื่องที่อยู่พวกเขาใหม่อีกครั้ง ตอนนี้เหล่าผู้อพยพต่างก็มีความสุข พวกเขาอิ่มท้องและได้ที่นอนเสื้อผ้าที่อบอุ่นจริงๆ ตระกูลเฟิงและฮูหยินท่านแม่ทัพทำตามที่พูดเอาไว้จริงๆ ด้วย ชื่อเสียงของพวกนางจึงกระจายไปอย่างรวดเร็ว"ท่านแม่ ท่านแม่ดูสิ! พวกเขาเอาอาหารมาแจกเราอีกแล้ว!" เด็กน้อยคนหนึ่งร้องด้วยความดีใจ ขณะที่เขาดึงเสื้อของมารดาเบาๆ"ใช่แล้วลูก พวกเขาไม่เพียงแต่รักษาโรค แต่ยังนำอาหารและเสื้อผ้ามาให้เราอีกด้วย สวรรค์ไม่ได้ทอดทิ้งพวกเราเลย" มารดาเด็กพูดพร้อมกับน้ำตาคลอเบ้า เธอหันไปมองเฟิงหย่าเสวี่ยและเฟิงหยวนเจี๋ยที่กำลังทำงานด้วยความซาบซึ้งใจชายชราผู้หนึ่งที่นั่งอยู่ใกล้ๆ กล่าวขึ้นด้วยเสียงสั่นเครือ "ข้าไม่เคยคิดว่าจะมีคนที่เสียสละเช่นนี้มาเพื่อช่วยเหลือเรา ขอบคุณแม่ทัพซู่หลิง ขอบคุณฮูหยินท่านแม่ทัพ และตระกูลเฟิง...""ใช่แล้ว ท่านหมอจวงหลิวอวี้ช่วยเราทุกคนโดยไม่คิดถึงความเหน็ดเหนื่อย พ
บทที่ 80 เมื่อหัวใจที่แห้งผากสองดวงมาเจอกัน “คุณหนูทำได้ดีมาก ท่านดูแลคุณชายจิ้นหลงได้ดีจริงๆ แบบนี้อีกไม่นานก็สามารถที่จะรักษาดวงตาของคุณชายจิ้นหลงได้แล้ว”ป้าจวงเดินเข้าไปในเรือนที่แสนอบอุ่นของชิน…ของคุณชายจิ้นหลงและทำการตรวจดูดวงตาของเขาและร่างกายของเขา…ใช่แล้ว!!!เจ้ากล้ามโตนั้นได้หลังจากที่ได้นางแล้วชีวิตของเขาก็ไม่สามารถจะมีความลับได้อีกต่อไป นางรีดออกมาหมดแหละ…“เช่นนั้นท่านสามารถทำการรักษาได้เลยหรือไม่” เฟิงซิ่วเหยาเอ่ยอย่างตื่นเต้น นางก็อยากจะให้เขาหาเช่นกัน“เออ..ยัง..ยังนะ..ต้องรออีกสักเล็กน้อย ท่านก็ทำหน้าที่ดูแลเขาต่อไปสักระยะเถิดเมื่อร่างกายและดวงตาของเขาพร้อมแล้วข้าจะมาทำการรักษาเอง”ก็เจ้ากล้ามโตถามนางว่าไม่อยากได้ชินอ๋องเป็นน้อยเขยหรือ? เพราะจะว่าไปตอนนี้เฟิงซิ่วเหยาก็เปรียบดั่งน้องสาวของนาง หากว่าอยากได้ก็ให้ทั้งคู่ใกล้ชิดกันมากหน่อย พอรักษาดวงตาชินอ๋องหายแล้วเขาจะไปไหนเสีย อีกอย่างตอนนี้เฟิงซิ่วเหยาก็หย่าขาดและมีอิสระเป็นถึงนายหญิงตระกูลเฟิง ส่วนชินอ๋องก็เป็นพ่อหม้ายมาหลายปี จะมีอะไรดีไปกว่าคนเหงาสองคนมาเจอกัน…นี่คือคำแนะนำจากเจ้ากล้ามโต ซึ่งนางก็คิดเหมือนกัน เพราะต
บทที่ 81 เมื่อหัวใจที่แห้งผากสองดวงมาเจอกัน “คุณหนูทำได้ดีมาก ท่านดูแลคุณชายจิ้นหลงได้ดีจริงๆ แบบนี้อีกไม่นานก็สามารถที่จะรักษาดวงตาของคุณชายจิ้นหลงได้แล้ว”ป้าจวงเดินเข้าไปในเรือนที่แสนอบอุ่นของชิน…ของคุณชายจิ้นหลงและทำการตรวจดูดวงตาของเขาและร่างกายของเขา…ใช่แล้ว!!!เจ้ากล้ามโตนั้นได้หลังจากที่ได้นางแล้วชีวิตของเขาก็ไม่สามารถจะมีความลับได้อีกต่อไป นางรีดออกมาหมดแหละ…“เช่นนั้นท่านสามารถทำการรักษาได้เลยหรือไม่” เฟิงซิ่วเหยาเอ่ยอย่างตื่นเต้น นางก็อยากจะให้เขาหาเช่นกัน“เออ..ยัง..ยังนะ..ต้องรออีกสักเล็กน้อย ท่านก็ทำหน้าที่ดูแลเขาต่อไปสักระยะเถิดเมื่อร่างกายและดวงตาของเขาพร้อมแล้วข้าจะมาทำการรักษาเอง”ก็เจ้ากล้ามโตถามนางว่าไม่อยากได้ชินอ๋องเป็นน้อยเขยหรือ? เพราะจะว่าไปตอนนี้เฟิงซิ่วเหยาก็เปรียบดั่งน้องสาวของนาง หากว่าอยากได้ก็ให้ทั้งคู่ใกล้ชิดกันมากหน่อย พอรักษาดวงตาชินอ๋องหายแล้วเขาจะไปไหนเสีย อีกอย่างตอนนี้เฟิงซิ่วเหยาก็หย่าขาดและมีอิสระเป็นถึงนายหญิงตระกูลเฟิง ส่วนชินอ๋องก็เป็นพ่อหม้ายมาหลายปี จะมีอะไรดีไปกว่าคนเหงาสองคนมาเจอกัน…นี่คือคำแนะนำจากเจ้ากล้ามโต ซึ่งนางก็คิดเหมือนกัน เพราะ
บทที่ 82 ข่าวร้ายจากชายแดนท่ามกลางสนามรบที่เต็มไปด้วยเสียงดาบปะทะกัน เสียงร้องของผู้บาดเจ็บดังระงม แม่ทัพซู่หลิงนำทัพอย่างกล้าหาญ ท่ามกลางการต่อสู้อันดุเดือดและเสียงคำรามของศัตรู นายทหารคนสนิทของแม่ทัพซู่หลิงสู้เคียงข้างผู้นำของเขา แม้จะเหน็ดเหนื่อยแต่พวกเขายังคงต่อสู้เพื่อปกป้องแผ่นดินทันใดนั้น ในท่ามกลางความสับสนวุ่นวายของสนามรบ เสียงคำรามของศัตรูดังใกล้เข้ามา สายตาของแม่ทัพซู่หลิงเหลือบไปเห็นความเคลื่อนไหวผิดปกติที่ด้านหลังของเขา ก่อนที่เขาจะทันได้ตัดสินใจ เสียงนายทหารผู้หนึ่งก็ตะโกนออกมา"ท่านแม่ทัพระวัง!"ท่ามกลางความสับสนนี้ นายทหารยศเล็กๆ ผู้หนึ่งที่เห็นลูกศรกำลังพุ่งเข้าหาท่านแม่ทัพ เขาตัดสินใจโดยไม่ลังเล เขารู้ดีว่าชีวิตของเขานั้นไม่มีค่าเท่าท่านแม่ทัพ เขาพุ่งตัวเข้าหาลูกศรด้วยความหวังที่จะสละชีวิตของตนเองเพื่อปกป้องท่านแม่ทัพ ร่างของเขากระโจนเข้ามาในเส้นทางของลูกศรที่พุ่งตรงเข้ามา แต่ก่อนที่เขาจะถึงตัวแม่ทัพซู่หลิง ดาบของแม่ทัพซู่หลิงก็ฟันลูกศรดอกหนึ่งจนหักเป็นสองท่อนกลางอากาศได้ทันเวลาแต่ยังมีอีกสองดอกที่พุ่งตรงเข้ามาหาแม่ทัพซู่หลิง ทันใดนั้น ร่างของนายทหารยศเล็กๆ ก็ถูกผ
บทที่ 83 เดี๋ยวเมียข้าก็มา!!! ขณะที่ทางเมืองอวี้ไห่เริ่มออกเดินทาง ณ สนามรบที่ชายแดน ความเจ็บปวดที่กัดกร่อนราวกับเปลวไฟเผาผลาญเริ่มแผ่ซ่านไปทั่วร่างของซู่หลิง พิษจากลูกศรที่ถูกยิงเข้าใส่เขานั้นแพทย์สนามบอกว่ามันคือ 'พิษดำมฤตยู' พิษที่ร้ายกาจมันสามารถทำให้เลือดในร่างกายกลายเป็นพิษ และแพร่กระจายไปตามเส้นเลือดได้อย่างรวดเร็ว ทุกครั้งที่พิษแผ่ขยายออกไป ผิวหนังบริเวณนั้นจะเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท เสมือนว่าชีวิตกำลังถูกดูดกลืนเข้าไปในความมืดมิดแม่ทัพซู่หลิงที่ตอนนี้นอนอยู่ในกระโจมแพทย์ทหาร มือและแขนของเขาเริ่มแข็งเกร็ง ขยับไม่ได้อย่างที่เคยเป็น แพทย์ทหารหลายคนยืนล้อมรอบด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล ทุกสายตาจับจ้องไปยังแผลที่ท้องของซู่หลิงซึ่งกลายเป็นสีดำเข้ม เนื้อเยื่อรอบแผลเริ่มบวมแดงและมีสีดำแทรกซึมไปทั่ว ทำให้ผู้ที่มองเห็นต่างก็ใจสั่นไหว แม้ว่าพวกเขาจะให้ยาแก้พิษไปแล้วแต่ว่าความแรงของพิษนั้นรุนแรงมากตอนนี้ยาแก้พิษไม่สามารถที่จะต่อต้านพิษชนิดนี้ได้ แพทย์สนามที่ชำนาญเรื่องพิษเป็นกังวลมาก"ท่านแม่ทัพ... ท่านต้องอดทนหน่อยนะขอรับ" แพทย์ทหารคนหนึ่งเอ่ยขึ้น น้ำเสียงของเขาสั่นไหวแต่พยายามไม่ให้
บทที่ 84 เมียรัก!!เจ้ามาทันเวลาพอดี!!หลังจากที่จวงหลิงอวี้จัดการศัตรูเสร็จนางรีบให้ม้านิลมังกร เร่งพลังของมันให้สูงสุดและให้ตรงไปที่ที่พักของสามีนางทันที ความรู้สึกของนางตอนนี้ร้อนรนมากพอสมความ สายตาของนางพุ่งตรงไปข้างหน้าและรอคอยที่จะได้พบหน้าเจ้ากล้ามโตของนาง….“รอข้านะเจ้ากล้ามโต เจ้าห้ามเป็นอะไรไปก่อนที่ข้าจะไปถึงเด็ดขาด!!”ม้านิลมังกรราวกับรับรู้ถึงความร้อนใจของนายหญิงของมัน มันรวบรวมพลังทั้งหมดไปที่ปีกขนาดใหญ่ของมันและพุ่งไปด้านหน้าอย่างเร็วทันที!!ในกระโจมรักษาที่ถูกตั้งขึ้นอย่างเร่งรีบ ณ สนามรบชายแดนทิศเหนือ ร่างของแม่ทัพซู่หลิงนอนอยู่บนเตียง ผิวหนังของเขาเกือบทั้งหมดเปลี่ยนเป็นสีดำอย่างน่าสยดสยอง เนื่องจากพิษดำมฤตยูจากลูกศรที่พุ่งเข้าใส่ท้องและแขนของเขา มันกัดกร่อนร่างกายของเขาอย่างช้า ๆ แต่ทว่าไร้ความปรานี ยิ่งเวลาผ่านไป พิษนั้นก็ยิ่งแผ่ขยายไปตามเส้นเลือด สายตาของเขาที่เคยคมกริบและเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นเริ่มเลือนลางหม่นแสงลง เหล่าแพทย์ทหารต่างมองดูสภาพของเขาด้วยความกังวลใจ บางคนพยายามหาวิธีที่จะถอนพิษ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าจะสามารถทำได้หรือไม่ เขาเพียงไม่อยากจะยอมแพ้ บางคนก็ภาวน
บทที่ 85 กำเนิดหมอเทวดาแห่งกองทัพต้าโจวหลังจากที่แม่ทัพซู่หลิงได้รับยาแก้พิษและการรักษาจากป้าจวงหลิวอวี้อย่างเร่งด่วน พลังแห่งชีวิตที่เคยเลือนรางก็เริ่มกลับคืนมา ผิวที่เคยกลายเป็นสีดำจากพิษค่อย ๆ กลับมาเป็นสีแทนสวยปกติ ลมหายใจของเขาเริ่มมีความเสถียรขึ้น ดวงตาที่เคยหม่นหมองกลับมาเปล่งประกายอีกครั้ง แม้เขาจะยังไม่สามารถลุกขึ้นมาต่อสู้ได้ แต่ความแข็งแรงของร่างกายก็เริ่มกลับมาอย่างชัดเจน เหล่าแพทย์ทหารที่ยืนอยู่รอบ ๆ ต่างมองดูการเปลี่ยนแปลงนี้ด้วยความตื่นตะลึงและไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง ยาที่ฮูหยินมอบให้ท่านแม่ทัพซู่หลิงนั้นทรงประสิทธิภาพเกินกว่าที่พวกเขาคาดคิด ทุกคนต่างยืนมองด้วยความทึ่งและชื่นชมในความสามารถของนางที่สามารถทำให้พิษร้ายที่กำลังคุกคามชีวิตแม่ทัพซู่หลิงสลายไปได้อย่างรวดเร็ว ผิวที่เคยดำมืดกลับมาเป็นสีปกติได้ในเวลาอันสั้น ทำให้ความหวังกลับมาอีกครั้งในใจของทุกคน"นี่มันเหลือเชื่อจริง ๆ!" แพทย์ทหารคนหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความทึ่ง "พิษร้ายขนาดนี้สามารถสลายไปได้ในเวลาเพียงสั้น ๆ ข้าไม่เคยเห็นยาที่มีประสิทธิภาพเช่นนี้มาก่อน""ฮูหยินท่านแม่.. นางช่างเป็นหมอที่ฝีมือฉก
บทที่ 136 ปรับความเข้าใจในเวลาเดียวกันที่วังหย่งเฮ่า องค์หญิงเฟยเหยาเองก็ต้องเผชิญกับความจริงที่น่าผิดหวังเกี่ยวกับตระกูลของราชครูหลิ่ว ซึ่งเป็นตระกูลฝั่งมารดาของนาง ซึ่งนางเคยเคารพและเชื่อฟังเป็นอย่างมากมาตลอดหลายปี เมื่อนางได้รู้ว่าตระกูลของราชครูหลิ่วได้คิดกบฏและขายชาติ ความรู้สึกผิดหวังและเสียใจถาโถมเข้ามาในจิตใจของนาง แม้ในเวลาที่ตระกูลหลิ่วกำลังจะถูกเนรเทศ ท่านยายของนางยังให้บ่าวคนสนิทมาหานางเพื่อขอความช่วยเหลือ“องค์หญิงเพคะ ท่านยายฝากให้หม่อมฉันนำจดหมายนี้มาให้องค์หญิง…” บ่าวคนสนิทคุกเข่าต่อหน้าองค์หญิงพร้อมยื่นจดหมาย นางลังเลเล็กน้อยก่อนจะเปิดอ่าน เมื่ออ่านข้อความจบลง นางถอนหายใจยาว“บอกท่านยายเถิด ข้าไม่อาจช่วยอะไรได้ คดีของพวกเขาหนักหนานัก แม้แต่ข้าก็ไม่อาจฝืนกฎหมายของบ้านเมือง…” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า ก่อนจะเรียกนางกำนัลคนสนิทเข้ามา“เจ้าจงนำตั๋วเงินสามพันตำลึงไปมอบให้ท่านยาย บอกนางว่าเก็บไว้ให้ดี อย่าได้แสดงออกมาให้ใครเห็นในระหว่างเดินทาง เข้าใจหรือไม่?” องค์หญิงเฟยเหยาสั่งอย่างเด็ดขาด แม้จะรู้สึกสะเทือนใจ แต่สิ่งเดียวที่นางทำได้คือช่วยให้พวกเขามีทุนในการดำรงชีวิตร
บทที่ 135 ปลอบใจข้าหน่อยข้าขวัญหายเพราะพี่สาวของเจ้า..ในค่ำคืนที่บรรยากาศเงียบสงบ รอบนอกจวนแม่ทัพซู่หลิงมีเพียงเสียงแมลงกลางคืนและสายลมบาง ๆ พัดโชย แสงจันทร์ขับให้น้ำค้างบนใบไม้ทอประกายวิบวับ ดูเหมาะแก่การพักผ่อนยิ่งนักแม่ทัพซู่หลิง ที่สวมเสื้อคลุมหลังจากอาบน้ำอาบท่าเสร็จกลับนั่งอย่างกระสับกระส่ายอยู่ตรงห้องนอน สีหน้าเขาฉายแววเหมือนคนเพิ่งผ่านศึกสำคัญมา แต่ไม่ใช่ศึกกลางสนามรบ หากเป็น “ศึก” ที่มี พี่สาวภรรยา เป็นตัวการ"อวี้เออร์… ค่ำมืดแล้ว เหตุใดเจ้าถึงยังไม่มาปลอบข้าอีก” มีเขาผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถเรียกจวงหลิวอวี้ว่าอวี้เออร์เขาพึมพำแผ่วเบาด้วยความเฝ้ารอ พลางยกชาอุ่นขึ้นจิบครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่ารสชาติของชาในปากกลับจืดชืด ไม่อาจบรรเทาจิตใจให้สงบลงได้ หลังจากที่โดน จวงหลิวเฟิง พี่สาวของภรรยาระเบิดรูปปั้นสิงโตใส่ไปสองตัว ด้วยโทสะเมื่อช่วงกลางวัน ความหวาดกลัวปนความอายก็เล่นงานแม่ทัพหนุ่มไม่เลิก และเขาก็คิดว่านี่คือความผิดของภรรยาของเขานางจะต้องมาปลอบใจปลอบขวัญเขาเพราะว่าพี่สาวของนางทำให้เขาขวัญกระเจิงหมด..ใช่แล้วความผิดของหญิงชราของเขา นางต้องรับผิดชอบบบ!!! ความคิดของแม่ทัพซู่หล
บทที่ 134 ประหาร / เนรเทศในขณะที่ ฮ่องเต้เจิ้งอี้หลง กำลังทรงงานหนักในการแจกข้าวสารอาหารแห้งให้แก่ประชาชนในแคว้นต้าหมิง เพื่อบรรเทาความอดอยากที่โหมกระหน่ำทั่วแผ่นดินนั้น—อีกฟากหนึ่งของยุทธภพ ณ เมืองหลวงของ แคว้นต้าโจว กลับเกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญที่เกี่ยวข้องกับคนที่สองพี่น้องตระกูลเฟิงรู้จักดีเฟิงหย่าเสวี่ย และ เฟิงหยวนเจี๋ย เดินทางกลับมาถึง เมืองหลวงแคว้นต้าโจว หลังผ่านการผจญภัยทั้งร้อนและหนาว พวกเขาคิดว่าจะได้พักผ่อนสักระยะ ทว่าเมื่อก้าวเข้าประตูเมืองได้เพียงไม่นาน สองพี่น้องกลับพบเห็นภาพขบวนเชลยที่กำลังถูกคุมตัวไปยัง ลานประหาร โดยมีฝูงชนเบียดเสียดมุงดูอยู่รายรอบ ใบหน้าของผู้คนเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวและสาปแช่งเสียงแหลม สายตาของสองพี่น้องกวาดไปยังเหล่านักโทษในชุดผ้าขาดรุ่ยสกปรก มีทั้งขุนนางเก่าและบ่าวไพร่ที่ทรยศแผ่นดิน ทั้งหมดถูกตีตรวนตรึงมือไพล่หลังไว้แน่นเสียงโซ่ตรวนดังกรุ๋งกริ๋งบนถนนหลวง เมื่อขบวนนักโทษทรยศถูกนำตัวมุ่งหน้าสู่ลานประหาร แดดยามสายแผดเผาไร้ความปรานี เหงื่อไหลอาบใบหน้าของเหล่านักโทษแผ่นดินที่เดินตามกันไปสู่ลานประหารทว่ามีร่างหนึ่งที่ทั้งเฟิงหยวนเจี๋ยและเฟิงหย่าเ
บทที่ 133 ใต้ร่มพระบารมีของฮ่องเต้ผู้ทรงเมตตาตรงลานกว้างตอนนี้ถูกจัดให้เป็นที่ตั้งโต๊ะสำหรับวางอาหารถึงห้าร้อยโต๊ะเรียงรายจนสุดลูกหูลูกตา เสียงแม่ครัวและนายทหารขะมักเขม้นตระเตรียมหม้อโจ๊กขนาดใหญ่ กลิ่นของข้าวตุ๋นที่เดือดปุด ๆ ส่งไอร้อนฉุยขึ้นสู่ยอดผ้าใบกันแดด จนใครที่เดินผ่านก็อดกลืนน้ำลายไม่ได้ ขณะเดียวกัน กลิ่นร้อนกรุ่นของซาลาเปาหอม ๆ ก็ลอยอบอวลกระตุ้นความหิวโหยในหัวใจผู้คนหลายพันชีวิตที่รอต่อคิวอยู่ ทั้งเด็กตัวน้อยที่มีตาโหลลึก และคนเฒ่าคนแก่ที่นั่งพิงไม้เท้า ต่างพากันขยี้ตาเพราะคิดว่าตัวเองกำลังฝันไป ซาลาเปาเป็นพันเป็นหมื่นลูกจะมีจริง ๆ หรือ!เหนือศีรษะ หลักไม้ถูกตั้งเรียงเป็นแนวค้ำผ้าใบขนาดใหญ่เพื่อกันแดด แต่ก็ทำได้เพียงบรรเทาความร้อนแผดเผาลงมาเล็กน้อย บางคนมีเหงื่อไหลอาบจนเสื้อผ้าติดเนื้อ บ้างหน้ามืดแสบตาเพราะไม่ได้กินข้าวมาหลายมื้อ แต่ถึงกระนั้นก็ยังอดทนต่อแถวอย่างเป็นระเบียบเพื่อหวังจะได้รับเสบียงอาหารอันล้ำค่านี้องค์ฮ่องเต้เจิ้งอี้หลง ประทับยืนอยู่ด้านหน้าสุด ตรงโต๊ะไม้ตัวใหญ่ที่ทีมงานใช้เป็นจุดศูนย์กลางในการแจกจ่ายเสบียง พระองค์ฉลองพระองค์อย่างเรียบง่ายในโทนสีอ่อน แฝงไว้ด
บทที่ 132 พระราชามาแจกอาหารยามอรุณรุ่ง แสงสีทองบางเบาแตะแต้มผืนฟ้าเหนือค่ายพักแรม เหล่าทหารและขุนนางของแคว้นต้าหมิงเริ่มเคลื่อนไหวเพื่อเริ่มต้นวันใหม่ สายลมอ่อนโยนพัดผ่านพุ่มไม้และผืนหญ้า ส่งกลิ่นดินชื้นหลังการต่อสู้มาเหนื่อยหนักหลายคืน เมื่อยามราตรีถูกแทนที่ด้วยแสงของอรุณ วันใหม่ก็เริ่มต้นขึ้น โดยมีร่องรอยของอดีตเป็นเครื่องเตือนว่าการฟื้นฟูแคว้นนี้ยังอีกยาวไกลท่ามกลางลานกว้างในค่ายพักแรม ฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงยืนอยู่เบื้องหน้า สายพระเนตรจับจ้องไปยังสองพี่น้องตระกูลเฟิงที่ยืนสงบนิ่งเบื้องพระพักตร์ พวกเขาเป็นแขกผู้มาเยือนจากแคว้นต้าโจว แต่กลับต้องต่อสู้ร่วมกันเพื่อปกป้องผู้บริสุทธิ์ จากอำนาจอันโหดร้ายของอดีตฮองเฮาเหวินลี่หรงและเหล่าบริวารที่กดขี่ราษฎรมานานแสนนาน หลังจากที่สองพี่น้องตระกูลเฟิงได้ช่วยเหลือฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงจัดการกับเหวินเทียนหลงและจัดการระเบิดถ้ำแห่งนั้นแล้วทั้งสองก็จะกลับมาแคว้นต้าโจวก่อนจากกันเฟิงหย่าเสวี่ยและเฟิงหยวนเจี๋ยยืนอยู่ตรงหน้าฮ่องเต้เจิ้งอี้หลง ท่ามกลางสายลมยามเช้าที่พัดโชยเฟิงหยวนเจี๋ยและเฟิงหย่าเสวี่ยสวมเสื้อผ้าเดินทางอย่างเรียบง่าย ทว่าท่วงท่าของทั้งคู่เต็ม
บทที่ 131 ผู้ถือครองพู่กันมังกรดำคนใหม่ / ป้ายทองเว้นโทษตายพู่กันมังกรดำส่องประกายวูบวาบ ก่อนจะพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าและมุ่งหน้าตรงไปที่แคว้นต้าโจวมันพุ่งอย่างเร็วและแรงเลยผ่านหลายเมืองของแคว้นต้าโจวไม่ว่าจะเป็นดินแดนทางเหนือเลยผ่านเมืองหลวง และมุ่งหน้าลงใต้และในที่สุดมันก็สิ้นสุดลงที่่เมืองอวี้ไห่จากนั้นก็ค่อยๆ ลอยไปที่คฤหาสน์หลังใหญ่ของตระกูลเฟิงที่ตอนนี้มีผู้ที่อยู่ที่นั่นมีเพียงแค่หลินเหมยและเฟิงซินซินลูกสาวตัวน้อยของนางนั้นเองในห้องที่อบอุ่นของคฤหาสน์ตระกูลเฟิง เฟิงซินซินน้อยเพิ่งดื่มนมมารดาเสร็จ ดวงตากลมโตเริ่มหรี่ลงด้วยความง่วง ริมฝีปากน้อยๆ ยังเปื้อนรอยนม หลินเหมยได้อุ้มลูกน้อยไปนอนในเปลและเมื่อเห็นว่าลูกน้อยหลับนางจึงได้ออกจากห้องไปแต่แล้วลมเย็นก็พัดผ่านเข้ามาในห้อง พู่กันมังกรดำลอยเข้ามาอย่างเงียบเชียบ มันวนเวียนอยู่เหนือเปลเด็ก ปลายพู่กันแตะเบาๆ ที่ปลายจมูกเล็กๆ ของเฟิงซินซินเด็กน้อยขยับตัว มือป้อมๆ ยกขึ้นปัดราวกับกำลังขับไล่แมลงหรือสิ่งก่อกวนที่ไม่พึงปรารถนาแต่แค่มือเล็กนุ่มนิ่มของนางปัดเบาๆ ของเด็กน้อยคราวนี้กลับสัมผัสเข้ากับด้ามพู่กันที่เย็นเยียบเป็นพู่กันมังกรดำโบราณท
บทที่ 130 การต่อสู้ครั้งสุดท้ายของมังกรทองเสียงหยดน้ำที่กระทบพื้นหินดังสะท้อนก้องภายในถ้ำมืดมิดราวกับโถงใต้พิภพที่ไร้จุดสิ้นสุด บรรยากาศชวนให้หัวใจเต้นระส่ำราวกับมีมือที่มองไม่เห็นกำลังบีบรัดอยู่รอบคอ ทุกคนค่อยๆ ก้าวลึกเข้าไปทีละน้อยอย่างระแวดระวัง เสียงสวดที่ดังก้องอยู่รอบข้างฟังดูเหมือนเสียงครวญครางของวิญญาณซึ่งโหยหาการปลดปล่อย เสียงหอบหายใจของเหล่าทหารและคนในคณะเดินทางประสานเข้ากับเสียงน้ำหยด ท่ามกลางความมืดที่สลัว แสงจากคบเพลิงสาดส่องให้เห็นภาพวาดโบราณบนผนังถ้ำ เป็นภาพของมังกรดำกำลังกลืนกินดวงจันทร์อย่างดุร้าย สะท้อนให้เห็นร่องรอยความน่าสะพรึงในอดีตที่เคยถูกผนึกไว้ในถ้ำแห่งนี้กลางโถงถ้ำกว้าง เหวินเทียนหลงผู้ถูกครอบงำด้วยพลังมืดแห่งพู่กันมังกรดำกำลังตกอยู่ในสภาพอันชวนขนลุก ร่างกายของเขาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นร่างครึ่งมังกร เกล็ดสีดำทะมึนขึ้นปกคลุมเนื้อหนัง ลามไปถึงใบหน้าจนเห็นเค้าโครงแทบไม่เหลือเค้าคนเดิม ดวงตาสีแดงฉานเบิกกว้างดุจสัตว์ร้ายที่กระหายเลือด เสียงหัวเราะของเขาแหลมสูงสะท้อนก้องราวกับภูตผีที่อาละวาดในคืนเดือนมืด"หยุดเดี๋ยวนี้!" ฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงตรัส "เจ้ากำลังทำลายชีวิตผู้บ
บทที่ 129 ถ้ำศักดิ์สิทธิ์ตระกูลเหวิน"เป็นแค่งู จะสู้มังกรได้อย่างไร? ชิงหลง!!"เฟิงหย่าเสวี่ยตะโกนขึ้นมายกพู่กันขึ้นตวัดวาดอักขระด้วยจังหวะที่สงบนิ่ง แต่เต็มไปด้วยพลังที่ซ่อนอยู่ แสงสีเงินเริ่มเปล่งประกายจากพู่กัน และทันใดนั้น เสียงคำรามแผ่วลึกก็ดังก้องไปทั่วป่า มังกรที่นางวาดคราวนี้ไม่ใช้มังกรทองแต่ทว่าเป็นมังกรเหล็กขนาดมหึมาปรากฏขึ้นจากแสงอักขระ ร่างของมันแวววาวด้วยเกล็ดโลหะคมกริบ ดวงตาสีแดงเพลิงจับจ้องไปยังงูยักษ์มังกรเหล็กพุ่งเข้าโจมตีอย่างดุเดือด กรงเล็บและหางของมันกวาดผ่านนางพญางูยักษ์ เกล็ดแข็งของงูไม่อาจต้านทานพลังอันมหาศาลนี้ได้ เสียงคำรามของงูดังสะท้อนป่า ขณะที่มังกรเหล็กใช้กรงเล็บจับงูไว้แน่น ก่อนที่มันจะอ้าปากพ่นไฟสีเงินบริสุทธิ์ที่ในเปลวไฟนั้นเป็นพิษที่เหมือนกับตะกั่วใส่ร่างของนางพญางูยักษ์ภายในพริบตา นางพญางูยักษ์ก็ถูกพิษตะกั่วลามไปทั่วทั้งร่างไม่สามารถขยับตัวได้ จากนั้นมังกรเหล็กก็ใช้หางฟาดอย่างแรงไปที่ร่างของมันทำให้มันแตกเป็นเสี่ยงๆ ราวกับกระจกแตกและในที่สุดก็สลายเป็นเถ้าถ่านกระจายไปในอากาศทันที เฟิงหยวนเจี๋ยลดพู่กันลง มังกรเหล็กยังคงลอยอยู่บนท้องฟ้าจากนั้นก็ค่อยลด
บทที่ 128 ป่าพิษกับนางพญางูยักษ์คณะของเฟิงหย่าเสวี่ยค่อยๆ เดินทางมาเรื่อยๆ ระหว่างทาง เฟิงหย่าเสวี่ยสังเกตเห็นเมฆดำก่อตัวเหนือยอดเขาที่เป็นจุดหมายปลายทาง นางรู้สึกถึงลางสังหรณ์บางอย่าง... บางสิ่งที่ชั่วร้ายกำลังรอคอยพวกเขาอยู่...คณะเดินทางมุ่งหน้าไปตามเส้นทางที่ปรากฏในแผนที่ เมื่อพระอาทิตย์คล้อยต่ำ เฟิงหยวนเจี๋ยสังเกตเห็นสัญลักษณ์แปลกๆ สลักอยู่บนก้อนหินริมทาง"หยุดก่อน!" เขาร้องเตือน "ตรงนี้มีค่ายกลซ่อนอยู่"แม่ทัพเว่ยสิง เดินเข้าไปตรวจสอบสัญลักษณ์อย่างละเอียด “มันคล้ายกับค่ายกล” เขาเอ่ยขึ้นมา"เป็นค่ายกลนำทาง" เฟิงหย่าเสวี่ยกล่าว นางจ้องมองสัญลักษณ์บนก้อนหิน "ถ้าเราเดินผ่านไปโดยไม่ทำตามที่มันบอก จะเจอกับดัก"เฟิงหยวนเจี๋ยพยักหน้า "และดูเหมือนว่าจะมีคนผ่านมาที่นี่ไม่นานมานี้" เขาชี้ไปที่รอยเท้าบนพื้น "รอยเท้าเหล่านี้ยังใหม่มาก""เหวินเทียนหลงและพรรคพวก" ฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงกล่าว ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่รอยเท้า "พวกเขาต้องมุ่งหน้าไปที่ถ้ำแน่นอน""ทูลฝ่าบาท" ทหารนายหนึ่งชี้ไปที่เส้นทางข้างหน้า "มีควันลอยขึ้นมาจากทางนั้น"ทุกคนมองไปตามทิศทางที่ทหารชี้ เห็นควันบางๆ ลอยขึ้นมาจากป่าทึบ กลิ่น