บทที่ 68 ถวายแหวนมิติแม่ทัพซู่หลิงเมื่อเห็นว่าทุกคนเข้ามากันครบแล้ว เขาจึงรีบเดินซอยเท้าไวๆไปข้างหน้าคุกเข่าและเอ่ย ถวายพระพรเสียงดังสนั่นตามประสาแม่ทัพที่มีปอดที่แข็งแรง จากนั้นจึงได้เอ่ยต่อทันที"กระหม่อมได้นำพระราชโองการของพระองค์ไปยังตระกูลเฟิงแห่งเมืองอวี้ไห่และตอนนี้ตระกูลอวี้ไห่ได้มาเข้าเฝ้าแล้วพะยะค่ะ"พูดเสร็จก็หันมาทางเฟิงหยวนเจี๋ยที่ยืนรออยู่ด้านหลังเขา เมื่อเฟิงหยวนเจี๋ยเห็นท่าทางของท่านแม่ทัพเขาสูดหายใจเข้าลึกๆ และย่อกายลงเล็กๆ เหมือนกับที่ท่านแม่ทัพซู่หลิงทำและเดินย่อและซอยเท้าตามแบบท่านแม่ทัพซู่ทำ แต่เพราะว่าเขายังเด็กขาสั้นทำให้ท่าทางนั้นของเขาเป็นที่เอ็นดูและขบขันต่อเหล่าขุนนางที่มองอยู่ แม้แต่องค์ฮ่องเต้ก็ทรงพระสรวลขึ้นมาเสียงดังด้วยความชอบใจในความน่ารักของเจ้าเด็กน้อย เมื่อเฟิงหยวนเจี๋ยซอยเท้ามายื่นข้างท่านแม่ทัพซู่หลิงเขาก็เอ่ยขึ้นมาด้วยเสียงเล็กๆ ของเขาว่า"กระหม่อมเฟิงหยวนเจี๋ย เจ้าตระกูลเฟิงแห่งเมืองอวี้ไห่ ขอถวายพระพรของพระองค์ทรงพระเจริญมีพระชนน์วายุหมื่นปี หมื่นๆ ปี" พูดเสร็จก็โขกศีรษะคำนับ จากนั้นเขาก็เอ่ยต่อทันทีว่า"ตระกูลเฟิงของกระหม่อมเพิ่งจะก่อตั้งขึ้น
ตอนที่ 69 แผนการของเสนาบดีเจียงเฉินการเข้าเฝ้าฮ่องเต้และการมอบของขวัญอันล้ำค่า เหล่าขุนนางและฮ่องเต้ต่างประทับใจในความสามารถของตระกูลเฟิงทั้งนั้น ทำให้เสนาบดีเจียงเฉินยิ่งรู้สึกเสียใจและเสียดายจนหน้าแทบจะไม่เป็นหน้ากับการตัดสินใจที่เคยไล่เฟิงซิ่วเหยาและลูกๆ ออกจากจวนเจียง เมื่อเห็นว่าตระกูลเฟิงนอกจากมีสูตรผลิตเกลือเกล็ดหิมะและตอนนี้ยังสามารถสร้างแหวนมิติได้อีกมันตอกย้ำถึงความผิดพลาดที่สุดในชีวิตของเขาที่ตัดสินใจคราวนั้น แววตาที่มองมาที่เฟิงซิ่วเหยาที่เดินมาอย่างงดงามและสง่าผ่าเผยนั้นราวกับงูมองเหยื่ออย่างไรอย่างนั้น และเฟิงหย่าเสวี่ยก็เห็นท่าทางนั้นของเสนาบดีเจียงเฉิน นางไม่ได้มีความรู้สึกอะไรกับชายคนนี้เพราะว่าเขาไม่ใช่พ่อของนาง เมื่อเห็นสายตานั้นนางจึงเกิดความกังวลขึ้นมา และคิดว่าหากกลับไปที่จวนแม่ทัพซู่ครั้งนี้นางจะต้องให้ชิงหลงหาของวิเศษให้ท่านแม่และเสี่ยวเจี๋ยเอาไว้ป้องกันตัวเสียแล้ว คนเช่นนี้สามารถทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ เขาไม่สนถูกหรือผิดหรอก นางต้องป้องกันครอบครัวของนางเสียแต่เนิ่นๆส่วนเฟิงซิ่วเหยานั้นนางรับรู้ว่ามีสายตามากมายมองมาที่นางทั้งสายตาที่ชื่นชม
ตอนที่ 70 ข้าไม่ยินยอม!!! / เจ้าต้องยอม!!!"เพล้ง!!!"เสียงของถ้วยชาที่ทำจากหยกชั้นดีถูกเจียงหลันฟางหรือฮูหยินเอกคนปัจจุบันของเสนาบดีเจียงเฉินขว้างลงพื้นอย่างแรง เมื่อสามีนางนั้นมาบอกว่าจะรับนังซิ่วเหยากลับเข้าจวนเจียงอีกครั้งห้องใหญ่ของเรือนที่ประดับด้วยของประดับอันหรูหรา แต่บรรยากาศกลับเงียบสงัด เจียงหลันฟาง หรือฮูหยินเอกของเสนาบดีเจียงเฉิน กำลังจ้องมองหน้าสามีของนางด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความโกรธ นางเพิ่งได้รับรู้ว่าเจียงเฉินต้องการจะรับนังซิ่วเหยาและลูกๆ ของนางกลับเข้ามาในตระกูลเจียงอีกครั้ง ทั้งๆ ที่นางเพิ่งทำให้พวกมันกระเด็นออกไปจากจวนได้สำเร็จอย่างยากลำบาก"ท่านพี่ว่าอะไรนะ!? ท่านต้องการจะรับนังซิ่วเหยากลับมาเช่นนั้นหรือเจ้าคะ!?" เจียงหลันฟางเอ่ยด้วยเสียงที่สะท้านด้วยความโกรธ ดวงตาเรียวเล็กของนางนั้นเต็มไปด้วยความไม่พอใจและไม่ยินยอม "ท่านคิดว่าข้าจะยอมรับพวกมันกลับมาเช่นนั้นหรือ!?"เสนาบดีเจียงเฉินถอนหายใจ เขารู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับหลันฟาง นางเป็นคนที่พยายามอย่างหนักเพื่อที่จะทำให้เฟิงซิ่วเหยากับลูกๆ ถูกไล่ออกไปจากจวนและเป็นเขาเองที่ทำเป็นหลับหูหลับตาไม่รับรู้การกระทำท
บทที่ 71 ความอัปยศในครั้งนั้นได้รับการชำระคืนแล้วอย่างสาสม! ep 1ขณะที่จวนเจียงยังคงวุ่นวายเรื่องการที่จะรับเฟิงซิ่วเหยาและลูกๆ กลับจวน ท่างจวนแม่ทัพซู่หลิง เฟิงหย่าเสวี่ยก็ปรึกษากับมังกรทองชิงหลงเพราะว่าสายตาของเสนาบดีเจียงที่มองมาวันนี้นั้นเป็นการเตือนนางว่าเขาคงจะไม่ยอมหยุดเพียงเท่านี้แน่ นางจึงปรึกษากับมังกรทองชิงหลงว่าจะหาทางป้องกันอย่างไร“เช่นนั้นเจ้าก็ดึงขนของพู่กันออกมาและมอบให้คนที่เจ้าต้องการป้องกันคนละเส้น เมื่อมีขนพู่กันของข้าก็เหมือนกันมีข้าคอยคุ้มครอง” มังกรทองชิงทองกล่าว“ดี ดี เช่นนั้นข้าจะได้สบายใจ เช่นนั้นข้าจะวาดกำไลข้อมือออกมาและใส่ขนพู่กันเข้าไปด้านใน และให้ทุกคนได้ใส่” ตอนนี้นางดีใจมากที่ในที่สุดก็มีสิ่งที่สามารถป้องกันครอบครัวของนางได้แล้ว เมื่อดึงขนพู่กันออกมานางก็ใช้พู่กันวาดกำไลข้อมือสำหรับทุกคนทันทีในที่สุดวันงานเลี้ยงต้อนรับตระกูลเฟิงก็มาถึง เหล่าขุนนางต่างพาฮูหยินเอกและบุตรหลานของตนมาด้วย รวมทั้งอัครเสนาบดีเจียงเฉินที่พาฮูหยินเอกเจียงหลันฟางและฮูหยินผู้เฒ่ามาด้วย ภาพที่พวกเขาเดินเข้างานมานั้นช่างเป็นภาพครอบครัวที่แสนงดงาม เดินเข้ามาไม่นานครอบครัวตระกูลเฟ
บทที่ 72 ความอัปยศในครั้งนั้นได้รับการชำระคืนแล้วอย่างสาสม! ep 2ขณะเดียวกันอัครเสนาบดีหลิวที่ไม่รู้ว่าแผนการของเขาผิดพลาด ก็เอ่ยขึ้นมาด้วยเสียงอันดังว่า“ไม่รู้ว่าเสนาบดีเจียงเฉินที่บอกว่าปวดศีรษะเข้าไปพักในห้องพักตั้งนานแล้วเหตุใดจึงยังไม่ออกมา เขาเป็นอะไรมากหรือเปล่า เจ้าพาข้าไปหาบุตรเขยของข้าหน่อยสิ” การแสดงที่แสนจะไม่ได้เรื่องของอัครมหาเสนาบดีเจียงเริ่มขึ้น จากนั้นก็มีเสียงของนางกำนัลคนหนึ่งดังขึ้นมาว่า“เอ้ะ…ข้าก็ได้ยินว่าแม่นางเฟิงซิ่วเหยาก็เข้าไปพักที่ห้องพักเช่นกันนะเจ้าคะ ข้าเป็นคนส่งนางเข้าไปในห้องแล้วด้วย” การแสดงที่ค่อนข้างแย่ของพวกเขา แต่ก็ดึงความสนใจของเหล่าพวกขุนนางและฮูหยินได้มากทีเดียว พวกเขารู้ทันทีว่าจะต้องมีเรื่องไม่ชอบมาพากลให้พวกเขาได้ชมอย่างแน่นอน …ดีไม่ดีอาจจะเป็นเรื่องใหญ่อื้อฉาวที่พวกเขาชอบ ไม่คิดมากพวกเขาจึงร่วมแสดงทันที…“อะไรนะ!! หายไปด้วยกันทั้งคู่เช่นนั้นหรือ!!” เสียงของเสนาบดีชราท่านหนึ่งเอ่ยขึ้นมาและทำสีหน้าอยากรู้อยากเห็นมากๆ ด้วย“อย่าบอกนะว่า!!!” เพื่อนของเขาที่ยืนอยู่ใกล้รีบเสริมทันที…“เฮ้ออ…วัวเคยขาม้าเคยขี่พวกเจ้าว่าพวกเขาจะอดใจไหวหรือ”เสียงขอ
บทที่ 73 การเอาคืนของตระกูลเฟิงเมื่อกลับถึงจวนแม่ทัพซู่หลิง ความเงียบสงบของสถานที่นี้ช่วยให้เฟิงหย่าเสวี่ย มีเวลาคิดทบทวนถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเมืองหลวง นางนั่งอยู่ในห้องที่เงียบสงบ มองออกไปนอกหน้าต่างเห็นทิวทัศน์ของสวนสวยงามภายในจวนของแม่ทัพซู่หลิง แต่ในใจของนางกลับว้าวุ่นและเต็มไปด้วยความเคียดแค้น นางคิดถึงเสนาบดีเจียงเฉินผู้นั้น ชายที่เห็นแก่ตัวเช่นนั้นที่เป็นพ่อของนาง ผู้ชายที่เคยทำให้ท่านแม่ของนางหัวใจแหลกสลายครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งต้องออกจากจวนเจียงไปสร้างตระกูลเฟิงขึ้นมาเอง ภาพเหตุการณ์ในวังหลวงยังคงวนเวียนอยู่ในความทรงจำ การที่เสนาบดีเจียงเฉินพยายามทำลายชื่อเสียงของท่านแม่ต่อหน้าขุนนางทั้งหลาย เพียงเพราะความโลภในสูตรผลิตเกลือและแหวนมิติ ช่างเป็นการกระทำที่น่ารังเกียจ เขาไม่คิดถึงผลลัพธ์ที่จะตามมา หากว่าแผนการของเขาสำเร็จท่านแม่ของนางมีชีวิตอยู่กับความอดสูนั้นได้อย่างไร…ช่างเป็นคนที่เห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจจริงๆ .."เสนาบดีเจียงเฉิน.." เสียงของนางเบาแผ่ว "ท่านทำให้ข้าผิดหวังเหลือเกิน"เฟิงหย่าเสวี่ยพยายามระงับอารมณ์ แต่นางรู้สึกว่าความโกรธนี้ไม่สามารถที่จะระงับได้อีกต่อ
บทที่ 74 มอบเงินช่วยเหลือเมืองอวี้ไห่ / ความคิดถึงเมื่อเฟิงหย่าเสวี่ยกลับมาถึงเมืองอวี้ไห่ นางรู้สึกได้ถึงความเงียบสงบและความอบอุ่นของบ้านเมืองนี้ หลังจากวันคืนที่เต็มไปด้วยความโลภ การวางแผนและความวุ่นวายที่เมืองหลวง มังกรชิงหลงได้นำทรัพย์สินที่มีค่ามากมายกลับมาด้วย จากการปล้นจวนเสนาบดีเจียงเฉินและตระกูลหลิว นางถึงกับต้องถอนหายใจเมื่อนับดูจำนวนแล้วพบว่ามันมีมากถึงเกือบ 200 ล้านตำลึง ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่มหาศาลยิ่ง ไม่รู้ว่าไปคดโกงใครเขามาบ้าง เพราะดูจากพฤติกรรมของทั้งคู่เป็นไปได้ยากที่ทรัพย์สินเหล่านี้จะได้มาด้วยความสุจริตยุติธรรมเฟิงหย่าเสวี่ยและป้าจวงนั่งอยู่ในห้องเก็บสมบัติที่นางได้สร้างเอาไว้ เรื่องนี้นางไม่ได้บอกท่านแม่เพราะว่าไม่อยากให้นางคิดมาก ดังนั้นทั้งสองป้าหลานจึงได้จัดการกันเอง ทั้งสองกำลังมองดูและนับสมบัติที่มังกรทองชิงหลงนำกลับมา เฟิงหย่าเสวี่ยมองกองสมบัติที่มีทั้งทองคำ เครื่องประดับ และเงินตำลึงที่ซ้อนกันจนสูง นางถึงกับต้องถอนหายใจอีกครั้ง"ป้าจวงเจ้าคะ นี่มันมากมายเกินกว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก" เฟิงหย่าเสวี่ยกล่าวขณะที่นางยื่นมือไปสัมผัสเงินตำลึงทองที่วางเรียงรายในห
บทที่ 75 สงคราม/ผู้อพยพจากดินแดนทางเหนือการพัฒนาเมืองอวี้ไห่ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว นับตั้งแต่ได้รับเงินสนับสนุนจากเฟิงหย่าเสวี่ย เมืองเล็ก ๆ ที่เคยเงียบสงบกลับกลายเป็นที่รู้จักและโด่งดังไปทั่วอย่างรวดเร็ว เหล่านักเดินทางที่ผ่านมาทางเมืองนี้ต่างพากันพูดถึงว่า เมืองอวี้ไห่เจริญรุ่งเรืองขึ้นอย่างมาก ผู้คนต่างพากันพูดถึงความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียน สถานพยาบาลขนาดเล็กที่กระจายไปตามหมู่บ้าน ซึ่งช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาลได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องเดินทางเข้ามาในตัวเมืองหลัก ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าหน้าที่เมืองยังได้รับการฝึกฝนและได้รับรางวัลที่ทำให้ทุกคนมีแรงใจในการทำงานเพื่อประชาชนมากขึ้นความร่วมมือร่วมใจของประชาชนและเจ้าหน้าที่ทำให้การเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีนั้นเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เมืองอวี้ไห่เปลี่ยนแปลงไปจนแทบจะจำไม่ได้ ถนนหนทางที่เคยเป็นดินแดงกลายเป็นถนนหินที่แข็งแรง บ้านเรือนที่เคยทรุดโทรมได้รับการซ่อมแซมจนดูสวยงาม เด็กๆ ที่เคยเล่นอยู่ข้างถนนตอนนี้ได้เข้าเรียนหนังสือกันถ้วนหน้า"ข้าได้ยินมาว่าเมืองอวี้ไห่เจริญขึ้นมากเลยนะ"พ่อค้าวัยกลางคนคนหนึ่งพูดคุยกับเพื่อนร
บทที่ 136 ปรับความเข้าใจในเวลาเดียวกันที่วังหย่งเฮ่า องค์หญิงเฟยเหยาเองก็ต้องเผชิญกับความจริงที่น่าผิดหวังเกี่ยวกับตระกูลของราชครูหลิ่ว ซึ่งเป็นตระกูลฝั่งมารดาของนาง ซึ่งนางเคยเคารพและเชื่อฟังเป็นอย่างมากมาตลอดหลายปี เมื่อนางได้รู้ว่าตระกูลของราชครูหลิ่วได้คิดกบฏและขายชาติ ความรู้สึกผิดหวังและเสียใจถาโถมเข้ามาในจิตใจของนาง แม้ในเวลาที่ตระกูลหลิ่วกำลังจะถูกเนรเทศ ท่านยายของนางยังให้บ่าวคนสนิทมาหานางเพื่อขอความช่วยเหลือ“องค์หญิงเพคะ ท่านยายฝากให้หม่อมฉันนำจดหมายนี้มาให้องค์หญิง…” บ่าวคนสนิทคุกเข่าต่อหน้าองค์หญิงพร้อมยื่นจดหมาย นางลังเลเล็กน้อยก่อนจะเปิดอ่าน เมื่ออ่านข้อความจบลง นางถอนหายใจยาว“บอกท่านยายเถิด ข้าไม่อาจช่วยอะไรได้ คดีของพวกเขาหนักหนานัก แม้แต่ข้าก็ไม่อาจฝืนกฎหมายของบ้านเมือง…” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า ก่อนจะเรียกนางกำนัลคนสนิทเข้ามา“เจ้าจงนำตั๋วเงินสามพันตำลึงไปมอบให้ท่านยาย บอกนางว่าเก็บไว้ให้ดี อย่าได้แสดงออกมาให้ใครเห็นในระหว่างเดินทาง เข้าใจหรือไม่?” องค์หญิงเฟยเหยาสั่งอย่างเด็ดขาด แม้จะรู้สึกสะเทือนใจ แต่สิ่งเดียวที่นางทำได้คือช่วยให้พวกเขามีทุนในการดำรงชีวิตร
บทที่ 135 ปลอบใจข้าหน่อยข้าขวัญหายเพราะพี่สาวของเจ้า..ในค่ำคืนที่บรรยากาศเงียบสงบ รอบนอกจวนแม่ทัพซู่หลิงมีเพียงเสียงแมลงกลางคืนและสายลมบาง ๆ พัดโชย แสงจันทร์ขับให้น้ำค้างบนใบไม้ทอประกายวิบวับ ดูเหมาะแก่การพักผ่อนยิ่งนักแม่ทัพซู่หลิง ที่สวมเสื้อคลุมหลังจากอาบน้ำอาบท่าเสร็จกลับนั่งอย่างกระสับกระส่ายอยู่ตรงห้องนอน สีหน้าเขาฉายแววเหมือนคนเพิ่งผ่านศึกสำคัญมา แต่ไม่ใช่ศึกกลางสนามรบ หากเป็น “ศึก” ที่มี พี่สาวภรรยา เป็นตัวการ"อวี้เออร์… ค่ำมืดแล้ว เหตุใดเจ้าถึงยังไม่มาปลอบข้าอีก” มีเขาผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถเรียกจวงหลิวอวี้ว่าอวี้เออร์เขาพึมพำแผ่วเบาด้วยความเฝ้ารอ พลางยกชาอุ่นขึ้นจิบครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่ารสชาติของชาในปากกลับจืดชืด ไม่อาจบรรเทาจิตใจให้สงบลงได้ หลังจากที่โดน จวงหลิวเฟิง พี่สาวของภรรยาระเบิดรูปปั้นสิงโตใส่ไปสองตัว ด้วยโทสะเมื่อช่วงกลางวัน ความหวาดกลัวปนความอายก็เล่นงานแม่ทัพหนุ่มไม่เลิก และเขาก็คิดว่านี่คือความผิดของภรรยาของเขานางจะต้องมาปลอบใจปลอบขวัญเขาเพราะว่าพี่สาวของนางทำให้เขาขวัญกระเจิงหมด..ใช่แล้วความผิดของหญิงชราของเขา นางต้องรับผิดชอบบบ!!! ความคิดของแม่ทัพซู่หล
บทที่ 134 ประหาร / เนรเทศในขณะที่ ฮ่องเต้เจิ้งอี้หลง กำลังทรงงานหนักในการแจกข้าวสารอาหารแห้งให้แก่ประชาชนในแคว้นต้าหมิง เพื่อบรรเทาความอดอยากที่โหมกระหน่ำทั่วแผ่นดินนั้น—อีกฟากหนึ่งของยุทธภพ ณ เมืองหลวงของ แคว้นต้าโจว กลับเกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญที่เกี่ยวข้องกับคนที่สองพี่น้องตระกูลเฟิงรู้จักดีเฟิงหย่าเสวี่ย และ เฟิงหยวนเจี๋ย เดินทางกลับมาถึง เมืองหลวงแคว้นต้าโจว หลังผ่านการผจญภัยทั้งร้อนและหนาว พวกเขาคิดว่าจะได้พักผ่อนสักระยะ ทว่าเมื่อก้าวเข้าประตูเมืองได้เพียงไม่นาน สองพี่น้องกลับพบเห็นภาพขบวนเชลยที่กำลังถูกคุมตัวไปยัง ลานประหาร โดยมีฝูงชนเบียดเสียดมุงดูอยู่รายรอบ ใบหน้าของผู้คนเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวและสาปแช่งเสียงแหลม สายตาของสองพี่น้องกวาดไปยังเหล่านักโทษในชุดผ้าขาดรุ่ยสกปรก มีทั้งขุนนางเก่าและบ่าวไพร่ที่ทรยศแผ่นดิน ทั้งหมดถูกตีตรวนตรึงมือไพล่หลังไว้แน่นเสียงโซ่ตรวนดังกรุ๋งกริ๋งบนถนนหลวง เมื่อขบวนนักโทษทรยศถูกนำตัวมุ่งหน้าสู่ลานประหาร แดดยามสายแผดเผาไร้ความปรานี เหงื่อไหลอาบใบหน้าของเหล่านักโทษแผ่นดินที่เดินตามกันไปสู่ลานประหารทว่ามีร่างหนึ่งที่ทั้งเฟิงหยวนเจี๋ยและเฟิงหย่าเ
บทที่ 133 ใต้ร่มพระบารมีของฮ่องเต้ผู้ทรงเมตตาตรงลานกว้างตอนนี้ถูกจัดให้เป็นที่ตั้งโต๊ะสำหรับวางอาหารถึงห้าร้อยโต๊ะเรียงรายจนสุดลูกหูลูกตา เสียงแม่ครัวและนายทหารขะมักเขม้นตระเตรียมหม้อโจ๊กขนาดใหญ่ กลิ่นของข้าวตุ๋นที่เดือดปุด ๆ ส่งไอร้อนฉุยขึ้นสู่ยอดผ้าใบกันแดด จนใครที่เดินผ่านก็อดกลืนน้ำลายไม่ได้ ขณะเดียวกัน กลิ่นร้อนกรุ่นของซาลาเปาหอม ๆ ก็ลอยอบอวลกระตุ้นความหิวโหยในหัวใจผู้คนหลายพันชีวิตที่รอต่อคิวอยู่ ทั้งเด็กตัวน้อยที่มีตาโหลลึก และคนเฒ่าคนแก่ที่นั่งพิงไม้เท้า ต่างพากันขยี้ตาเพราะคิดว่าตัวเองกำลังฝันไป ซาลาเปาเป็นพันเป็นหมื่นลูกจะมีจริง ๆ หรือ!เหนือศีรษะ หลักไม้ถูกตั้งเรียงเป็นแนวค้ำผ้าใบขนาดใหญ่เพื่อกันแดด แต่ก็ทำได้เพียงบรรเทาความร้อนแผดเผาลงมาเล็กน้อย บางคนมีเหงื่อไหลอาบจนเสื้อผ้าติดเนื้อ บ้างหน้ามืดแสบตาเพราะไม่ได้กินข้าวมาหลายมื้อ แต่ถึงกระนั้นก็ยังอดทนต่อแถวอย่างเป็นระเบียบเพื่อหวังจะได้รับเสบียงอาหารอันล้ำค่านี้องค์ฮ่องเต้เจิ้งอี้หลง ประทับยืนอยู่ด้านหน้าสุด ตรงโต๊ะไม้ตัวใหญ่ที่ทีมงานใช้เป็นจุดศูนย์กลางในการแจกจ่ายเสบียง พระองค์ฉลองพระองค์อย่างเรียบง่ายในโทนสีอ่อน แฝงไว้ด
บทที่ 132 พระราชามาแจกอาหารยามอรุณรุ่ง แสงสีทองบางเบาแตะแต้มผืนฟ้าเหนือค่ายพักแรม เหล่าทหารและขุนนางของแคว้นต้าหมิงเริ่มเคลื่อนไหวเพื่อเริ่มต้นวันใหม่ สายลมอ่อนโยนพัดผ่านพุ่มไม้และผืนหญ้า ส่งกลิ่นดินชื้นหลังการต่อสู้มาเหนื่อยหนักหลายคืน เมื่อยามราตรีถูกแทนที่ด้วยแสงของอรุณ วันใหม่ก็เริ่มต้นขึ้น โดยมีร่องรอยของอดีตเป็นเครื่องเตือนว่าการฟื้นฟูแคว้นนี้ยังอีกยาวไกลท่ามกลางลานกว้างในค่ายพักแรม ฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงยืนอยู่เบื้องหน้า สายพระเนตรจับจ้องไปยังสองพี่น้องตระกูลเฟิงที่ยืนสงบนิ่งเบื้องพระพักตร์ พวกเขาเป็นแขกผู้มาเยือนจากแคว้นต้าโจว แต่กลับต้องต่อสู้ร่วมกันเพื่อปกป้องผู้บริสุทธิ์ จากอำนาจอันโหดร้ายของอดีตฮองเฮาเหวินลี่หรงและเหล่าบริวารที่กดขี่ราษฎรมานานแสนนาน หลังจากที่สองพี่น้องตระกูลเฟิงได้ช่วยเหลือฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงจัดการกับเหวินเทียนหลงและจัดการระเบิดถ้ำแห่งนั้นแล้วทั้งสองก็จะกลับมาแคว้นต้าโจวก่อนจากกันเฟิงหย่าเสวี่ยและเฟิงหยวนเจี๋ยยืนอยู่ตรงหน้าฮ่องเต้เจิ้งอี้หลง ท่ามกลางสายลมยามเช้าที่พัดโชยเฟิงหยวนเจี๋ยและเฟิงหย่าเสวี่ยสวมเสื้อผ้าเดินทางอย่างเรียบง่าย ทว่าท่วงท่าของทั้งคู่เต็ม
บทที่ 131 ผู้ถือครองพู่กันมังกรดำคนใหม่ / ป้ายทองเว้นโทษตายพู่กันมังกรดำส่องประกายวูบวาบ ก่อนจะพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าและมุ่งหน้าตรงไปที่แคว้นต้าโจวมันพุ่งอย่างเร็วและแรงเลยผ่านหลายเมืองของแคว้นต้าโจวไม่ว่าจะเป็นดินแดนทางเหนือเลยผ่านเมืองหลวง และมุ่งหน้าลงใต้และในที่สุดมันก็สิ้นสุดลงที่่เมืองอวี้ไห่จากนั้นก็ค่อยๆ ลอยไปที่คฤหาสน์หลังใหญ่ของตระกูลเฟิงที่ตอนนี้มีผู้ที่อยู่ที่นั่นมีเพียงแค่หลินเหมยและเฟิงซินซินลูกสาวตัวน้อยของนางนั้นเองในห้องที่อบอุ่นของคฤหาสน์ตระกูลเฟิง เฟิงซินซินน้อยเพิ่งดื่มนมมารดาเสร็จ ดวงตากลมโตเริ่มหรี่ลงด้วยความง่วง ริมฝีปากน้อยๆ ยังเปื้อนรอยนม หลินเหมยได้อุ้มลูกน้อยไปนอนในเปลและเมื่อเห็นว่าลูกน้อยหลับนางจึงได้ออกจากห้องไปแต่แล้วลมเย็นก็พัดผ่านเข้ามาในห้อง พู่กันมังกรดำลอยเข้ามาอย่างเงียบเชียบ มันวนเวียนอยู่เหนือเปลเด็ก ปลายพู่กันแตะเบาๆ ที่ปลายจมูกเล็กๆ ของเฟิงซินซินเด็กน้อยขยับตัว มือป้อมๆ ยกขึ้นปัดราวกับกำลังขับไล่แมลงหรือสิ่งก่อกวนที่ไม่พึงปรารถนาแต่แค่มือเล็กนุ่มนิ่มของนางปัดเบาๆ ของเด็กน้อยคราวนี้กลับสัมผัสเข้ากับด้ามพู่กันที่เย็นเยียบเป็นพู่กันมังกรดำโบราณท
บทที่ 130 การต่อสู้ครั้งสุดท้ายของมังกรทองเสียงหยดน้ำที่กระทบพื้นหินดังสะท้อนก้องภายในถ้ำมืดมิดราวกับโถงใต้พิภพที่ไร้จุดสิ้นสุด บรรยากาศชวนให้หัวใจเต้นระส่ำราวกับมีมือที่มองไม่เห็นกำลังบีบรัดอยู่รอบคอ ทุกคนค่อยๆ ก้าวลึกเข้าไปทีละน้อยอย่างระแวดระวัง เสียงสวดที่ดังก้องอยู่รอบข้างฟังดูเหมือนเสียงครวญครางของวิญญาณซึ่งโหยหาการปลดปล่อย เสียงหอบหายใจของเหล่าทหารและคนในคณะเดินทางประสานเข้ากับเสียงน้ำหยด ท่ามกลางความมืดที่สลัว แสงจากคบเพลิงสาดส่องให้เห็นภาพวาดโบราณบนผนังถ้ำ เป็นภาพของมังกรดำกำลังกลืนกินดวงจันทร์อย่างดุร้าย สะท้อนให้เห็นร่องรอยความน่าสะพรึงในอดีตที่เคยถูกผนึกไว้ในถ้ำแห่งนี้กลางโถงถ้ำกว้าง เหวินเทียนหลงผู้ถูกครอบงำด้วยพลังมืดแห่งพู่กันมังกรดำกำลังตกอยู่ในสภาพอันชวนขนลุก ร่างกายของเขาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นร่างครึ่งมังกร เกล็ดสีดำทะมึนขึ้นปกคลุมเนื้อหนัง ลามไปถึงใบหน้าจนเห็นเค้าโครงแทบไม่เหลือเค้าคนเดิม ดวงตาสีแดงฉานเบิกกว้างดุจสัตว์ร้ายที่กระหายเลือด เสียงหัวเราะของเขาแหลมสูงสะท้อนก้องราวกับภูตผีที่อาละวาดในคืนเดือนมืด"หยุดเดี๋ยวนี้!" ฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงตรัส "เจ้ากำลังทำลายชีวิตผู้บ
บทที่ 129 ถ้ำศักดิ์สิทธิ์ตระกูลเหวิน"เป็นแค่งู จะสู้มังกรได้อย่างไร? ชิงหลง!!"เฟิงหย่าเสวี่ยตะโกนขึ้นมายกพู่กันขึ้นตวัดวาดอักขระด้วยจังหวะที่สงบนิ่ง แต่เต็มไปด้วยพลังที่ซ่อนอยู่ แสงสีเงินเริ่มเปล่งประกายจากพู่กัน และทันใดนั้น เสียงคำรามแผ่วลึกก็ดังก้องไปทั่วป่า มังกรที่นางวาดคราวนี้ไม่ใช้มังกรทองแต่ทว่าเป็นมังกรเหล็กขนาดมหึมาปรากฏขึ้นจากแสงอักขระ ร่างของมันแวววาวด้วยเกล็ดโลหะคมกริบ ดวงตาสีแดงเพลิงจับจ้องไปยังงูยักษ์มังกรเหล็กพุ่งเข้าโจมตีอย่างดุเดือด กรงเล็บและหางของมันกวาดผ่านนางพญางูยักษ์ เกล็ดแข็งของงูไม่อาจต้านทานพลังอันมหาศาลนี้ได้ เสียงคำรามของงูดังสะท้อนป่า ขณะที่มังกรเหล็กใช้กรงเล็บจับงูไว้แน่น ก่อนที่มันจะอ้าปากพ่นไฟสีเงินบริสุทธิ์ที่ในเปลวไฟนั้นเป็นพิษที่เหมือนกับตะกั่วใส่ร่างของนางพญางูยักษ์ภายในพริบตา นางพญางูยักษ์ก็ถูกพิษตะกั่วลามไปทั่วทั้งร่างไม่สามารถขยับตัวได้ จากนั้นมังกรเหล็กก็ใช้หางฟาดอย่างแรงไปที่ร่างของมันทำให้มันแตกเป็นเสี่ยงๆ ราวกับกระจกแตกและในที่สุดก็สลายเป็นเถ้าถ่านกระจายไปในอากาศทันที เฟิงหยวนเจี๋ยลดพู่กันลง มังกรเหล็กยังคงลอยอยู่บนท้องฟ้าจากนั้นก็ค่อยลด
บทที่ 128 ป่าพิษกับนางพญางูยักษ์คณะของเฟิงหย่าเสวี่ยค่อยๆ เดินทางมาเรื่อยๆ ระหว่างทาง เฟิงหย่าเสวี่ยสังเกตเห็นเมฆดำก่อตัวเหนือยอดเขาที่เป็นจุดหมายปลายทาง นางรู้สึกถึงลางสังหรณ์บางอย่าง... บางสิ่งที่ชั่วร้ายกำลังรอคอยพวกเขาอยู่...คณะเดินทางมุ่งหน้าไปตามเส้นทางที่ปรากฏในแผนที่ เมื่อพระอาทิตย์คล้อยต่ำ เฟิงหยวนเจี๋ยสังเกตเห็นสัญลักษณ์แปลกๆ สลักอยู่บนก้อนหินริมทาง"หยุดก่อน!" เขาร้องเตือน "ตรงนี้มีค่ายกลซ่อนอยู่"แม่ทัพเว่ยสิง เดินเข้าไปตรวจสอบสัญลักษณ์อย่างละเอียด “มันคล้ายกับค่ายกล” เขาเอ่ยขึ้นมา"เป็นค่ายกลนำทาง" เฟิงหย่าเสวี่ยกล่าว นางจ้องมองสัญลักษณ์บนก้อนหิน "ถ้าเราเดินผ่านไปโดยไม่ทำตามที่มันบอก จะเจอกับดัก"เฟิงหยวนเจี๋ยพยักหน้า "และดูเหมือนว่าจะมีคนผ่านมาที่นี่ไม่นานมานี้" เขาชี้ไปที่รอยเท้าบนพื้น "รอยเท้าเหล่านี้ยังใหม่มาก""เหวินเทียนหลงและพรรคพวก" ฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงกล่าว ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่รอยเท้า "พวกเขาต้องมุ่งหน้าไปที่ถ้ำแน่นอน""ทูลฝ่าบาท" ทหารนายหนึ่งชี้ไปที่เส้นทางข้างหน้า "มีควันลอยขึ้นมาจากทางนั้น"ทุกคนมองไปตามทิศทางที่ทหารชี้ เห็นควันบางๆ ลอยขึ้นมาจากป่าทึบ กลิ่น