บทที่ 67 ตระกูลเฟิงเข้าเฝ้าฮ่องเต้ก่อนที่จะเดินทางไปเมืองหลวง ตระกูลเฟิงได้ตระเตรียมของที่จะนำไปถวายแด่องค์ฮ่องเต้ ครั้งนี้ป้าจวงแนะนำว่าให้คุณหนูเล็กสร้างแหวนมิติขึ้นมาอีกวงและใส่โสมอายุพันปี เห็ดหลินจือ และไข่มุกเข้าไป 2-3 เม็ด ซึ่งหากจะเทียบราคาของที่จะนำไปถวายนั้นมีมูลค่าถึง 15 ล้านตำลึงก็ว่าได้ หากเทียบกับการประมูลเช่นครั้งที่ผ่านมา เป็นการประกาศศักดาของตระกูลเฟิงแห่งเมืองอวี้ไห่อย่างแท้จริง การจัดเตรียมของถวายที่มีคุณค่าเหล่านี้ยังเป็นการแสดงถึงความจงรักภักดีและการตอบแทนพระมหากรุณาธิคุณขององค์ฮ่องเต้ที่มีแคว้นต้าโจว้และต่อเมืองอวี้ไห่ด้วยเช่นกันป้าจวงยืนมองการจัดเตรียมด้วยสีหน้าที่เข้มงวด นางเอ่ยกับเฟิงหย่าเสวี่ย "ของที่จะนำไปถวายนี้ต้องมีคุณค่าและแสดงถึงความจริงใจของพวกเรา ข้าคิดว่าแหวนมิตินี้เหมาะสมที่สุด คุณหนูเล็ก ท่านคิดว่าอย่างไร?"เฟิงหย่าเสวี่ยพยักหน้า "ข้าเห็นด้วยเจ้าค่ะป้าจวง ของเหล่านี้ล้วนเป็นของหายากและมีคุณค่า คงจะสร้างความประทับใจให้กับองค์ฮ่องเต้ได้แน่นอน"ป้าจวงยิ้มบางๆ ก่อนจะกล่าวต่อ "แต่ของมีค่าเหล่านี้ไม่ใช่เพียงเพื่อแสดงความร่ำรวยของพวกเราเท่านั้นนะหย่าเส
บทที่ 68 ถวายแหวนมิติแม่ทัพซู่หลิงเมื่อเห็นว่าทุกคนเข้ามากันครบแล้ว เขาจึงรีบเดินซอยเท้าไวๆไปข้างหน้าคุกเข่าและเอ่ย ถวายพระพรเสียงดังสนั่นตามประสาแม่ทัพที่มีปอดที่แข็งแรง จากนั้นจึงได้เอ่ยต่อทันที"กระหม่อมได้นำพระราชโองการของพระองค์ไปยังตระกูลเฟิงแห่งเมืองอวี้ไห่และตอนนี้ตระกูลอวี้ไห่ได้มาเข้าเฝ้าแล้วพะยะค่ะ"พูดเสร็จก็หันมาทางเฟิงหยวนเจี๋ยที่ยืนรออยู่ด้านหลังเขา เมื่อเฟิงหยวนเจี๋ยเห็นท่าทางของท่านแม่ทัพเขาสูดหายใจเข้าลึกๆ และย่อกายลงเล็กๆ เหมือนกับที่ท่านแม่ทัพซู่หลิงทำและเดินย่อและซอยเท้าตามแบบท่านแม่ทัพซู่ทำ แต่เพราะว่าเขายังเด็กขาสั้นทำให้ท่าทางนั้นของเขาเป็นที่เอ็นดูและขบขันต่อเหล่าขุนนางที่มองอยู่ แม้แต่องค์ฮ่องเต้ก็ทรงพระสรวลขึ้นมาเสียงดังด้วยความชอบใจในความน่ารักของเจ้าเด็กน้อย เมื่อเฟิงหยวนเจี๋ยซอยเท้ามายื่นข้างท่านแม่ทัพซู่หลิงเขาก็เอ่ยขึ้นมาด้วยเสียงเล็กๆ ของเขาว่า"กระหม่อมเฟิงหยวนเจี๋ย เจ้าตระกูลเฟิงแห่งเมืองอวี้ไห่ ขอถวายพระพรของพระองค์ทรงพระเจริญมีพระชนน์วายุหมื่นปี หมื่นๆ ปี" พูดเสร็จก็โขกศีรษะคำนับ จากนั้นเขาก็เอ่ยต่อทันทีว่า"ตระกูลเฟิงของกระหม่อมเพิ่งจะก่อตั้งขึ้น
ตอนที่ 69 แผนการของเสนาบดีเจียงเฉินการเข้าเฝ้าฮ่องเต้และการมอบของขวัญอันล้ำค่า เหล่าขุนนางและฮ่องเต้ต่างประทับใจในความสามารถของตระกูลเฟิงทั้งนั้น ทำให้เสนาบดีเจียงเฉินยิ่งรู้สึกเสียใจและเสียดายจนหน้าแทบจะไม่เป็นหน้ากับการตัดสินใจที่เคยไล่เฟิงซิ่วเหยาและลูกๆ ออกจากจวนเจียง เมื่อเห็นว่าตระกูลเฟิงนอกจากมีสูตรผลิตเกลือเกล็ดหิมะและตอนนี้ยังสามารถสร้างแหวนมิติได้อีกมันตอกย้ำถึงความผิดพลาดที่สุดในชีวิตของเขาที่ตัดสินใจคราวนั้น แววตาที่มองมาที่เฟิงซิ่วเหยาที่เดินมาอย่างงดงามและสง่าผ่าเผยนั้นราวกับงูมองเหยื่ออย่างไรอย่างนั้น และเฟิงหย่าเสวี่ยก็เห็นท่าทางนั้นของเสนาบดีเจียงเฉิน นางไม่ได้มีความรู้สึกอะไรกับชายคนนี้เพราะว่าเขาไม่ใช่พ่อของนาง เมื่อเห็นสายตานั้นนางจึงเกิดความกังวลขึ้นมา และคิดว่าหากกลับไปที่จวนแม่ทัพซู่ครั้งนี้นางจะต้องให้ชิงหลงหาของวิเศษให้ท่านแม่และเสี่ยวเจี๋ยเอาไว้ป้องกันตัวเสียแล้ว คนเช่นนี้สามารถทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ เขาไม่สนถูกหรือผิดหรอก นางต้องป้องกันครอบครัวของนางเสียแต่เนิ่นๆส่วนเฟิงซิ่วเหยานั้นนางรับรู้ว่ามีสายตามากมายมองมาที่นางทั้งสายตาที่ชื่นชม
ตอนที่ 70 ข้าไม่ยินยอม!!! / เจ้าต้องยอม!!!"เพล้ง!!!"เสียงของถ้วยชาที่ทำจากหยกชั้นดีถูกเจียงหลันฟางหรือฮูหยินเอกคนปัจจุบันของเสนาบดีเจียงเฉินขว้างลงพื้นอย่างแรง เมื่อสามีนางนั้นมาบอกว่าจะรับนังซิ่วเหยากลับเข้าจวนเจียงอีกครั้งห้องใหญ่ของเรือนที่ประดับด้วยของประดับอันหรูหรา แต่บรรยากาศกลับเงียบสงัด เจียงหลันฟาง หรือฮูหยินเอกของเสนาบดีเจียงเฉิน กำลังจ้องมองหน้าสามีของนางด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความโกรธ นางเพิ่งได้รับรู้ว่าเจียงเฉินต้องการจะรับนังซิ่วเหยาและลูกๆ ของนางกลับเข้ามาในตระกูลเจียงอีกครั้ง ทั้งๆ ที่นางเพิ่งทำให้พวกมันกระเด็นออกไปจากจวนได้สำเร็จอย่างยากลำบาก"ท่านพี่ว่าอะไรนะ!? ท่านต้องการจะรับนังซิ่วเหยากลับมาเช่นนั้นหรือเจ้าคะ!?" เจียงหลันฟางเอ่ยด้วยเสียงที่สะท้านด้วยความโกรธ ดวงตาเรียวเล็กของนางนั้นเต็มไปด้วยความไม่พอใจและไม่ยินยอม "ท่านคิดว่าข้าจะยอมรับพวกมันกลับมาเช่นนั้นหรือ!?"เสนาบดีเจียงเฉินถอนหายใจ เขารู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับหลันฟาง นางเป็นคนที่พยายามอย่างหนักเพื่อที่จะทำให้เฟิงซิ่วเหยากับลูกๆ ถูกไล่ออกไปจากจวนและเป็นเขาเองที่ทำเป็นหลับหูหลับตาไม่รับรู้การกระทำท
บทที่ 71 ความอัปยศในครั้งนั้นได้รับการชำระคืนแล้วอย่างสาสม! ep 1ขณะที่จวนเจียงยังคงวุ่นวายเรื่องการที่จะรับเฟิงซิ่วเหยาและลูกๆ กลับจวน ท่างจวนแม่ทัพซู่หลิง เฟิงหย่าเสวี่ยก็ปรึกษากับมังกรทองชิงหลงเพราะว่าสายตาของเสนาบดีเจียงที่มองมาวันนี้นั้นเป็นการเตือนนางว่าเขาคงจะไม่ยอมหยุดเพียงเท่านี้แน่ นางจึงปรึกษากับมังกรทองชิงหลงว่าจะหาทางป้องกันอย่างไร“เช่นนั้นเจ้าก็ดึงขนของพู่กันออกมาและมอบให้คนที่เจ้าต้องการป้องกันคนละเส้น เมื่อมีขนพู่กันของข้าก็เหมือนกันมีข้าคอยคุ้มครอง” มังกรทองชิงทองกล่าว“ดี ดี เช่นนั้นข้าจะได้สบายใจ เช่นนั้นข้าจะวาดกำไลข้อมือออกมาและใส่ขนพู่กันเข้าไปด้านใน และให้ทุกคนได้ใส่” ตอนนี้นางดีใจมากที่ในที่สุดก็มีสิ่งที่สามารถป้องกันครอบครัวของนางได้แล้ว เมื่อดึงขนพู่กันออกมานางก็ใช้พู่กันวาดกำไลข้อมือสำหรับทุกคนทันทีในที่สุดวันงานเลี้ยงต้อนรับตระกูลเฟิงก็มาถึง เหล่าขุนนางต่างพาฮูหยินเอกและบุตรหลานของตนมาด้วย รวมทั้งอัครเสนาบดีเจียงเฉินที่พาฮูหยินเอกเจียงหลันฟางและฮูหยินผู้เฒ่ามาด้วย ภาพที่พวกเขาเดินเข้างานมานั้นช่างเป็นภาพครอบครัวที่แสนงดงาม เดินเข้ามาไม่นานครอบครัวตระกูลเฟ
บทที่ 72 ความอัปยศในครั้งนั้นได้รับการชำระคืนแล้วอย่างสาสม! ep 2ขณะเดียวกันอัครเสนาบดีหลิวที่ไม่รู้ว่าแผนการของเขาผิดพลาด ก็เอ่ยขึ้นมาด้วยเสียงอันดังว่า“ไม่รู้ว่าเสนาบดีเจียงเฉินที่บอกว่าปวดศีรษะเข้าไปพักในห้องพักตั้งนานแล้วเหตุใดจึงยังไม่ออกมา เขาเป็นอะไรมากหรือเปล่า เจ้าพาข้าไปหาบุตรเขยของข้าหน่อยสิ” การแสดงที่แสนจะไม่ได้เรื่องของอัครมหาเสนาบดีเจียงเริ่มขึ้น จากนั้นก็มีเสียงของนางกำนัลคนหนึ่งดังขึ้นมาว่า“เอ้ะ…ข้าก็ได้ยินว่าแม่นางเฟิงซิ่วเหยาก็เข้าไปพักที่ห้องพักเช่นกันนะเจ้าคะ ข้าเป็นคนส่งนางเข้าไปในห้องแล้วด้วย” การแสดงที่ค่อนข้างแย่ของพวกเขา แต่ก็ดึงความสนใจของเหล่าพวกขุนนางและฮูหยินได้มากทีเดียว พวกเขารู้ทันทีว่าจะต้องมีเรื่องไม่ชอบมาพากลให้พวกเขาได้ชมอย่างแน่นอน …ดีไม่ดีอาจจะเป็นเรื่องใหญ่อื้อฉาวที่พวกเขาชอบ ไม่คิดมากพวกเขาจึงร่วมแสดงทันที…“อะไรนะ!! หายไปด้วยกันทั้งคู่เช่นนั้นหรือ!!” เสียงของเสนาบดีชราท่านหนึ่งเอ่ยขึ้นมาและทำสีหน้าอยากรู้อยากเห็นมากๆ ด้วย“อย่าบอกนะว่า!!!” เพื่อนของเขาที่ยืนอยู่ใกล้รีบเสริมทันที…“เฮ้ออ…วัวเคยขาม้าเคยขี่พวกเจ้าว่าพวกเขาจะอดใจไหวหรือ”เสียงขอ
บทที่ 73 การเอาคืนของตระกูลเฟิงเมื่อกลับถึงจวนแม่ทัพซู่หลิง ความเงียบสงบของสถานที่นี้ช่วยให้เฟิงหย่าเสวี่ย มีเวลาคิดทบทวนถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเมืองหลวง นางนั่งอยู่ในห้องที่เงียบสงบ มองออกไปนอกหน้าต่างเห็นทิวทัศน์ของสวนสวยงามภายในจวนของแม่ทัพซู่หลิง แต่ในใจของนางกลับว้าวุ่นและเต็มไปด้วยความเคียดแค้น นางคิดถึงเสนาบดีเจียงเฉินผู้นั้น ชายที่เห็นแก่ตัวเช่นนั้นที่เป็นพ่อของนาง ผู้ชายที่เคยทำให้ท่านแม่ของนางหัวใจแหลกสลายครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งต้องออกจากจวนเจียงไปสร้างตระกูลเฟิงขึ้นมาเอง ภาพเหตุการณ์ในวังหลวงยังคงวนเวียนอยู่ในความทรงจำ การที่เสนาบดีเจียงเฉินพยายามทำลายชื่อเสียงของท่านแม่ต่อหน้าขุนนางทั้งหลาย เพียงเพราะความโลภในสูตรผลิตเกลือและแหวนมิติ ช่างเป็นการกระทำที่น่ารังเกียจ เขาไม่คิดถึงผลลัพธ์ที่จะตามมา หากว่าแผนการของเขาสำเร็จท่านแม่ของนางมีชีวิตอยู่กับความอดสูนั้นได้อย่างไร…ช่างเป็นคนที่เห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจจริงๆ .."เสนาบดีเจียงเฉิน.." เสียงของนางเบาแผ่ว "ท่านทำให้ข้าผิดหวังเหลือเกิน"เฟิงหย่าเสวี่ยพยายามระงับอารมณ์ แต่นางรู้สึกว่าความโกรธนี้ไม่สามารถที่จะระงับได้อีกต่อ
บทที่ 74 มอบเงินช่วยเหลือเมืองอวี้ไห่ / ความคิดถึงเมื่อเฟิงหย่าเสวี่ยกลับมาถึงเมืองอวี้ไห่ นางรู้สึกได้ถึงความเงียบสงบและความอบอุ่นของบ้านเมืองนี้ หลังจากวันคืนที่เต็มไปด้วยความโลภ การวางแผนและความวุ่นวายที่เมืองหลวง มังกรชิงหลงได้นำทรัพย์สินที่มีค่ามากมายกลับมาด้วย จากการปล้นจวนเสนาบดีเจียงเฉินและตระกูลหลิว นางถึงกับต้องถอนหายใจเมื่อนับดูจำนวนแล้วพบว่ามันมีมากถึงเกือบ 200 ล้านตำลึง ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่มหาศาลยิ่ง ไม่รู้ว่าไปคดโกงใครเขามาบ้าง เพราะดูจากพฤติกรรมของทั้งคู่เป็นไปได้ยากที่ทรัพย์สินเหล่านี้จะได้มาด้วยความสุจริตยุติธรรมเฟิงหย่าเสวี่ยและป้าจวงนั่งอยู่ในห้องเก็บสมบัติที่นางได้สร้างเอาไว้ เรื่องนี้นางไม่ได้บอกท่านแม่เพราะว่าไม่อยากให้นางคิดมาก ดังนั้นทั้งสองป้าหลานจึงได้จัดการกันเอง ทั้งสองกำลังมองดูและนับสมบัติที่มังกรทองชิงหลงนำกลับมา เฟิงหย่าเสวี่ยมองกองสมบัติที่มีทั้งทองคำ เครื่องประดับ และเงินตำลึงที่ซ้อนกันจนสูง นางถึงกับต้องถอนหายใจอีกครั้ง"ป้าจวงเจ้าคะ นี่มันมากมายเกินกว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก" เฟิงหย่าเสวี่ยกล่าวขณะที่นางยื่นมือไปสัมผัสเงินตำลึงทองที่วางเรียงรายในห
บทที่ 163 จนกว่าจะพบกัน.. (จบบริบูรณ์)แสงแดดยามเช้าสาดส่องเข้ามาผ่านหน้าต่างโรงพยาบาลในยุคปัจจุบัน เฟิงหย่าเสวี่ยค่อยๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาที่เคยเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวากลับสับสนเล็กน้อย ราวกับจิตวิญญาณของนางยังคงล่องลอย เธอมองเพดานสีขาวสะอาดและพยายามดึงความทรงจำที่กระจัดกระจายกลับคืนมาเธอถูกพาออกจากโลกแห่งยุคโบราณและกลับมายังยุคปัจจุบัน ร่างกายของนางอ่อนแอแต่หัวใจของนางเต็มไปด้วยความทรงจำอันเจ็บปวด นางนึกถึงผู้คนที่นางได้ช่วยเหลือและเสียสละเพื่อพวกเขา นึกถึงท่านแม่และเจ้าเล็กหากว่าพวกเขารู้ข่าวจะเป็นอย่างไรนะ…คงจะเศร้าเสียใจอย่างแน่นอน..ไหนจะป้าจวงที่จะต้องรู้สึกผิดที่ไม่สามารถที่จะช่วยเหลือนางได้ จากนั้นน้ำตาไหลของนางก็ออกมาเงียบๆ ขณะที่นางพึมพำชื่อคนที่คุ้นเคยจากโลกอีกใบหลังจากนั้น เฟิงหย่าเสวี่ยฟื้นตัวและกลับไปดำเนินชีวิตในฐานะจิตรกร นางใช้ศิลปะในการแสดงความรู้สึกและความทรงจำจากอดีต ทุกภาพที่นางวาดล้วนเต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการเสียสละและความหวัง นางกลายเป็นจิตรกรที่มีชื่อเสียง ผู้คนต่างหลงใหลในผลงานของนางโดยไม่รู้ว่านั่นคือเศษเสี้ยวของชีวิตที่นางเคยผ่านพ้นมา แต่ทว่าพู่กันชิงหลงที่เธอใ
บทที่ 162 พี่ใหญ่...ท่านผิดสัญญาเช่นนั้นหรือ?“จบแล้ว...” เฟิงหย่าเสวี่ยพึมพำ เสียงแผ่วบางราวกับสายลมที่พัดผ่านใบไม้ร่วง ร่างบางของนางค่อยๆ ทรุดลงกับพื้นอย่างช้าๆ ราวกับวิญญาณที่กำลังหลุดลอยไปจากโลกนี้“คุณหลีหนิง!” เสียงของเจิ้งอี้หลงดังขึ้นด้วยความตกใจ พระองค์รีบพุ่งเข้ามาประคองร่างของนางไว้ในอ้อมพระกร พระพักตร์ซีดเผือด น้ำพระเนตรเอ่อคลอ “คุณหลีหนิง! ลืมตาขึ้นมา! อย่าทิ้งข้าไปแบบนี้!”ดวงตาของเฟิงหย่าเสวี่ยค่อยๆ เปิดขึ้นอย่างยากลำบาก เปลือกตาที่หนักอึ้งเผยให้เห็นดวงตาที่แฝงไว้ด้วยความอ่อนล้าและเศร้าสร้อย ริมฝีปากซีดเผือดสั่นระริก “อี้หลง... ข้า... ข้าเหนื่อยเหลือเกิน...”“ไม่เป็นไร ข้าอยู่ตรงนี้” เจิ้งอี้หลงพูดด้วยน้ำเสียงสั่น มือหนาลูบใบหน้าซีดขาวของนางอย่างอ่อนโยน ราวกับพยายามปลอบประโลมความเจ็บปวดของนาง “เจ้าอย่าพูดแบบนี้ เจ้าจะไม่เป็นอะไร ข้าสัญญา...”เฟิงหย่าเสวี่ยพยายามยกมือที่อ่อนแรงขึ้นแตะใบหน้าที่แสนหล่อเหลาของเจิ่งอี้หลง มือที่เย็นเฉียบสั่นระริกจนเจิ้งอี้หลงรู้สึกได้ถึงความสิ้นหวัง “ข้า... ใช้พลังทั้งหมดแล้ว... ทุกหยด... ตอนนี้ข้ารู้สึกเหมือน... เหมือนวิญญาณกำลังหลุดลอย
บทที่ 161 ข้าได้บอกเจ้าหรือยังว่าอาจารย์ของข้าคือ จวงหลิวเฟิง!!!เฟิงหย่าเสวี่ยถูกกับไป่เหลียนใช้มีดจี้ที่คอและถูกจับเอาไว้ พยายามนิ่งมากที่สุดแม้ว่าตอนนี้นางแmบจะไม่มีแรงที่จะยืนแล้ว ขณะนั้นเองมือขวากำเข็มเงินแน่น สายตาจับจ้องทุกการเคลื่อนไหวของอีกตนที่ตอนนี้ทุกคนต่างก็ล้อมไป่เหลียนเอาไว้ ทุกทางส่วนกองทัพเด็กของนางนั้นต่างก็ถูกช่วยเหลือและพาออกจากสถานที่นี้แล้ว ทำให้ตอนนี้กลางลานนั้นมีเพียงนางเท่านั้นที่ยังคงยืนหยัดอยู่พร้อมกับตัวประกันของนางที่เป็นคนที่สำคัญที่สุดด้วย"เจ้าคิดว่าตัวเองจะหยุดข้าได้หรือ?" ไป่เหลียนเอ่ยเสียงเย็น พลางหันมองดวงหน้าที่งดงามของนังเด็กบ้าผู้นี้…เหตุใดนางถึงได้งดงามเช่นนี้แม้ว่าตอนนี้หน้าของนางจะซีดเซียวมากก็ตาม ไป่เหลียนคิด ดวงตาฉายแววอำมหิตขึ้นมาอีกครั้ง "เด็กน้อยอย่างเจ้า ช่างงดงามเสียจริงหากว่าความงามของเจ้าเป็นของข้าคงจะดีไม่น้อย ฮ่าฮ่าฮ่า!" นางพูดขึ้นมา พลางพยักหน้ากับความคิดของตัวเอง และคิดหาทางที่จะใช้ประโยชน์จากความเยาว์วัยนี้ให้ได้"ข้ารู้ว่าท่านกำลังทำผิด" เฟิงหย่าเสวี่ยตอบเสียงมั่นคง มือยังคงกำเข็มเงินแน่น "ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด การทำร้ายผู้บริสุท
บทที่ 160 เจ้าแพ้แล้ว!!จวงหลิวอวี้จ้องมองเหตุการณ์ที่เบื้องหน้าอย่างแน่นิ่ง สายตาของนางจับจ้องเฟิงหย่าเสวี่ยที่ยกพู่กันชิงหลงขึ้นมา เสียงหัวใจเต้นหนักหน่วงในอกบอกให้นางรู้ว่าสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไปนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก นางรีบพุ่งตัวเข้าหาหลานสาวทันที มือแข็งแรงคว้ามือที่กำพู่กันไว้แน่นก่อนที่จะทันได้วาดอะไรลงในอากาศ“อะไรก็ตามที่เจ้าคิดจะทำและเสียสละ...จงหยุดมันเดี๋ยวนี้!!!” จวงหลิวอวี้เอ่ยเสียงดัง สายตาของนางเต็มไปด้วยความกังวลและห่วงใยเฟิงหย่าเสวี่ยเงยหน้าขึ้นมองป้าจวง ดวงตาคู่นั้นเปี่ยมไปด้วยความรักและเคารพที่นางมีต่อผู้ที่คอยปกป้องและดูแลมาตลอด ทว่าในแววตานั้นกลับแฝงไว้ด้วยความมุ่งมั่นที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลง“ท่านป้า...” เฟิงหย่าเสวี่ยพูดเสียงสั่น ดวงตาเริ่มเอ่อคลอด้วยหยาดน้ำตา “ข้าขอโทษ...” คำพูดนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและความอาลัยจวงหลิวอวี้มองหลานสาวอย่างตกตะลึง นางยื่นมือไปจับใบหน้าของเฟิงหย่าเสวี่ย “เสวี่ยเออร์... เจ้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ เจ้าคือความหวังของตระกูลเฟิง! ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าเสียสละตัวเองเด็ดขาด เจ้านึกถึงท่านแม่และน้องชายของเจ้าสิพวกเขาจะเป็นอย่างไร หากว่า
บทที่ 159 ฉันขอทำหน้าที่ของฮองเฮาที่กล้าเสียสละเพื่อลูกหลาน"และนี่คือผลงานชิ้นเอกของข้า!" ไป่เหลียนผายมือไปที่เด็กๆ "พิษที่ไม่เพียงทำลายร่างกาย แต่ยังบดขยี้จิตวิญญาณ ทำให้พ่อแม่ต้องเห็นลูกของตัวเองกลายเป็นเครื่องมือสังหาร! ความทรมานทั้งผู้ใช้และผู้ถูกใช้ นี่คือสิคือสิ่งที่เรียกว่าพิษที่ดีที่สุดที่ที่ข้าสามารถสร้างขึ้นมาได้ ไม่เพียงทำลายหนึ่งแต่ทำลายได้ทั้งครอบครัวฮ่าฮ่าฮ่า!" เสียงหัวเราะของนางดังลั่นไปทั่วเฟิงซินซินร้องไห้จ้า มือน้อยๆ กำพู่กันแน่นดวงตาเล็กๆ ของนางมองไปที่เหล่าเด็กๆ ที่ถูกทำให้กลายเป็นหุ่นเชิดเป็นร่างที่ไร้ชีวิต"นางสละความเป็นมนุษย์... แลกกับพลังแห่งความชั่วร้าย ยิ่งมีผู้ถูกพิษตาย พิษก็ยิ่งแข็งแกร่ง ยิ่งมีผู้ทุกข์ทรมาน พิษก็ยิ่งร้ายกาจ... วงจรแห่งความชั่วร้ายที่ไม่มีวันสิ้นสุด!"จวงหลิงเฟิงสะท้านเฮือก "นี่มัน... เกินกว่าที่มนุษย์คนใดจะทำได้ไป่เหลียนเจ้านี่มันกู่ไม่กลับจริงๆ ไม่เคยสำนึกถึงความผิดของตัวเอง..""ฮ่าฮ่าฮ่า!!!นี่เจ้ารู้ได้อย่างไรเพื่อนรักว่าข้าไม่ใช่มนุษย์แล้ว!" ไป่เหลียนตะโกนก้องและหันมาจ้องมองเพื่อนรักในอดีตที่ได้กลายมาเป็นศัตรูคู่แค้น และเพราะความแค้น
บทที่ 158 กองทัพของไป่เหลียนเฟิงหย่าเสวี่ยรีบวิ่งไปที่โต๊ะทดลอง หยิบสมุนไพรและอุปกรณ์ต่างๆ ออกมาอย่างรวดเร็ว จวงหลิงเฟิงวางเฟิงซินซินลงบนเก้าอี้นุ่มและเดินมายืนข้างนาง"เร็วเข้า!" เสียงตะโกนดังมาจากด้านนอก "ประตูวังจะพังแล้ว!""ศิษย์มีความคิดหนึ่ง" เฟิงหย่าเสวี่ยเงยหน้าขึ้นมองอาจารย์ "แต่อาจจะเสี่ยงเกินไป""ว่ามา""ถ้าเราใช้พู่กันจุ่มน้ำยาและวาดในอากาศให้มันไปสัมผัสบนร่างของผู้ติดเชื้อโดยตรง..." นางกลืนน้ำลาย "มันอาจจะช่วยให้ยาออกฤทธิ์ได้เร็วขึ้น"จวงหลิงเฟิงขมวดคิ้ว "แต่นั่นหมายความว่า...""ใช่" เฟิงหย่าเสวี่ยพยักหน้า "พวกเราต้องใช้พู่กันทั้งสามด้านพร้อมกัน""อา!" เฟิงซินซินปรบมือ พู่กันในมือส่องแสงวูบวาบ ราวกับเห็นด้วยกับแผนนี้เสียงระเบิดดังสนั่น ประตูวังถูกพังทลาย ร่างของผู้ติดเชื้อทะลักเข้ามาราวกับคลื่นยักษ์ ส่วนเหล่านายทหารก็พยายามที่จะต่อสู้ แม้ว่าจะไม่ทำให้ตายแต่ทำให้บาดเจ็บก็ยังเป็นการชะลอการบุกของพวกเขาได้บ้าง"ไม่มีเวลาแล้ว" จวงหลิงเฟิงอุ้มเฟิงซินซินขึ้น "พร้อมหรือไม่?"เฟิงหย่าเสวี่ยกระชับขวดยาในมือ "พร้อมแล้ว!""อึก!" เฟิงซินซินชี้พู่กันไปที่กลุ่มผู้ติดเชื้อที่กำลังบุกเข
บทที่ 157 ท่านอาจารย์พานางมาด้วยเพราะเหตุใดเจ้าคะ??ที่กำแพงเมืองด้านตะวันออก ภาพที่เห็นช่างน่าสยดสยอง กลุ่มผู้ติดเชื้ออักขระมารนับร้อยกำลังปีนป่ายกำแพงเมืองด้วยพละกำลังเหนือมนุษย์ ดวงตาสีดำสนิทและลายอักขระที่เรืองแสงบนผิวหนังส่งเสียงครวญครางน่าสะพรึงกลัว"ยิง!" เสียงแม่ทัพเว่ยตะโกนสั่ง ลูกธนูนับพันพุ่งใส่ผู้ติดเชื้อ แต่พวกเขากลับไม่สะทกสะท้าน ยังคงปีนป่ายต่อแม้ร่างจะถูกธนูปักเต็มไปหมด"ไม่ได้ผล!" ทหารตะโกนอย่างหวาดกลัว "พวกมันไม่รู้สึกเจ็บ!“แย่แล้ว!! พิษที่พวกเขาได้รับกลายพันธ์ุอย่างที่แม่นางเฟิงบอกเสียแล้ว” แม่ทัพเว่ยสิงขมวดคิ้วและเอ่ยขึ้นมา ภาพที่เขาเห็นตอนนี้นั้นคือ เหล่าผู้ที่ติดพิษนั้นราวกับหุ่นเชิดที่ไร้ความรู้สึก ดวงตาไร้แวว และมุ่งแต่จะเดินไปข้างหน้าเพื่อที่จะปล่อยพิษที่อยู่ในตัวพวกเขาให้มากที่สุด…ภายในห้องทดลองของเฟิงหย่าเสวี่ย เสียงร้องไห้จ้าของเด็กน้อยดังก้องไปทั่วห้องทดลอง เฟิงหย่าเสวี่ยหันขวับไปมอง เห็นจวงหลิงเฟิงอุ้มเด็กหญิงตัวน้อยที่กำลังร้องไห้งอแงเข้ามา พร้อมกับพู่กันโบราณที่แผ่รัศมีสีดำออกมาเป็นระลอก"อาจารย์!" เฟิงหย่าเสวี่ยรีบเดินเข้าไปต้อนรับ แต่ต้องชะงักเมื่อเ
บทที่ 156 ศึกต้านพิษและอักขระควบคุมวิญญาณ EP 2การทดลองดำเนินไปอย่างเข้มข้นตลอดทั้งคืน เฟิงหย่าเสวี่ยทุ่มเทสุดความสามารถในการปรุงยา ใช้ความรู้ทั้งจากยุคปัจจุบันและโบราณผสานเข้าด้วยกัน ท่ามกลางแสงจันทร์เต็มดวง นางนำพืชวิญญาณมาสกัดร่วมกับสมุนไพรอื่นๆ จนได้ยาเม็ดที่เปล่งแสงสีฟ้าอ่อนๆเมื่อถึงเวลา ฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงพร้อมเหล่าขุนนางและป้าจวงก็มาถึงห้องทดลอง ทุกคนต่างรอดูผลการทดลองด้วยความคาดหวัง ผู้ป่วยระยะสามที่อาการหนักที่สุดถูกนำเข้ามา ร่างของเขาอ่อนแรงจนแทบจะไร้ลมหายใจ แต่ลายอักขระสีดำบนร่างกลับเต้นรัวเหมือนมันยังคงต่อสู้"มาถึงเวลาทดสอบแล้ว" เฟิงหย่าเสวี่ยพูดขึ้น เสียงของนางมั่นคงแม้หัวใจจะเต้นแรง นางค่อยๆ ป้อนยาเม็ดให้ผู้ป่วย และเริ่มฝังเข็มทองคำตามจุดสำคัญบนร่างกายเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า เสียงครางของผู้ป่วยดังขึ้นแผ่วเบา ก่อนจะกลายเป็นเสียงกรีดร้องอันเจ็บปวด ร่างของเขาสั่นเทาจนเกือบจะหลุดจากเตียง อักขระสีดำบนผิวเริ่มเรืองแสงจ้า ทุกคนในห้องต่างถอยห่างด้วยความตกใจ"หย่าเสวี่ย... หรือมันจะไม่ได้ผล?" ป้าจวงถามด้วยเสียงสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความกังวล เมื่อเห็นว่
บทที่ 155 ศึกต้านพิษและอักขระควบคุมวิญญาณ EP 1เสียงครวญครางแผ่วเบาดังแว่วมาตามสายลมยามใกล้รุ่งสาง ภายในค่ายรักษาริมกำแพงพระราชวังต้าหมิง เฟิงหย่าเสวี่ยยืนนิ่ง ดวงตาอิดโรยจับจ้องไปยังร่างของผู้ป่วยที่นอนทุรนทุรายอยู่เบื้องหน้า ลายอักขระสีดำทะมึนเลื้อยไปตามผิวหนังของพวกเขา ส่งเสียงครางน่าสะพรึงกลัวราวกับมีชีวิต"อย่าให้พวกเขาหลุดออกไปจากค่ายเด็ดขาด!" เสียงตะโกนของป้าจวงดังก้องขึ้น ขณะที่นางและทหารอาสาพยายามควบคุมผู้ป่วยที่กำลังดิ้นรนอย่างบ้าคลั่งเฟิงหย่าเสวี่ยกัดริมฝีปากแน่น สายตาจับจ้องไปที่ลายอักขระสีดำบนร่างผู้ป่วยที่ขดตัวทุรนทุรายบนพื้น ลายอักขระนั้นเต้นเป็นจังหวะ ราวกับมีชีวิต เส้นสายของมันเลื้อยไปทั่วร่างผู้ป่วย ส่งเสียงครางแผ่วเบาที่ฟังดูน่าขนลุกนางสูดหายใจลึกพยายามสงบจิตใจ แม้จะเคยเผชิญหน้ากับสถานการณ์เลวร้ายมาก่อน แต่ครั้งนี้ต่างออกไป พิษที่ไป่เหลียนสร้างขึ้นมานั้นไม่เพียงแต่เป็นพิษธรรมดา หากยังผสานกับอักขระโบราณที่มีพลังควบคุมจิตใจผู้ป่วยได้โดยสมบูรณ์ ความคิดของนางย้อนกลับไปยังยุคปัจจุบันเมื่อครั้งที่นางเคยดูภาพยนตร์เกี่ยวกับอาวุธชีวภาพ"มันเหมือนอาวุธชีวภาพในยุคของข้า" นาง