บทที่ 51 ที่ดินทำนาเกลือ 5000 หมู่ท่านเจ้าเมืองฉินเจิ้งเดินออกจากคฤหาสน์เฟิงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แววตาของเขายังคงสั่นไหวด้วยความกังวลจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเรือนของหลินเหมย เมื่อเดินมาถึงใต้ต้นไม้ใหญ่ที่เขามัดม้าทิ้งไว้ เขารู้สึกว่าหน้าอกของเขาร้อนขึ้นมาอย่างไม่คาดคิด ความร้อนนั้นค่อยๆ แผ่กระจายไปทั่วร่าง เขายกมือขึ้นมาลูบและถูบริเวณหน้าอกเบาๆ พยายามระงับความเจ็บปวดที่ก่อตัวขึ้นมา แต่ไม่ทันไร ร่างของเขาก็กระอักเลือดออกมา หยดเลือดสีแดงเข้มไหลรินลงบนพื้นดิน ฉินเจิ้งรีบพยุงตัวเองไปที่ต้นไม้ใหญ่เพื่อหาที่พักพิง เขาหายใจแรงๆ หลายครั้ง พยายามใช้เวลาสักครู่เพื่อบรรเทาความเจ็บปวดนั้นให้คลายลง“ข้าอาจจะเครียดเรื่องท่านแม่มากเกินไป...หรือเรื่องของหลินเหมย…” เขาพึมพำกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะยกมือเช็ดคราบเลือดที่มุมปาก หลับตาลงครู่หนึ่งเพื่อรวบรวมกำลังใจและพลังงานให้กลับคืนมา เมื่อรู้สึกดีขึ้น เขาจึงค่อยๆ ลุกขึ้นยืนและเดินไปที่ม้าของเขา ก่อนจะขี่ม้าตรงไปยังศาลาว่าการ เพื่อทำหน้าที่ในฐานะเจ้าเมืองอวี้ไห่ แม้ว่าเรื่องราวในเรือนจะยังคงสับสนและวุ่นวายเพียงใด เขาก็รู้ดีว่างานของเขายังคงต้องดำเนินต่อไปเม
บทที่ 52 เลขอารบิกและสูตรคูณบรรยากาศในศาลาว่าการเมืองเป็นไปด้วยความคึกคักในยามบ่าย หลังจากที่พวกเขากลับจากการไปตรวจที่ดินกับท่างตระกูลเฟิง เมื่อท่านเจ้าเมืองและเหล่าเจ้าหน้าที่นั่งตรงหน้าเฟิงหย่าเสวี่ย ซึ่งนางให้ท่านเจ้าเมืองนั้นจัดเก้าอี้เป็นแบบห้องเรียนในยุคปัจจุบันและนำกระดานดำและถ่านสีขาวที่นางวาดออกมาสำหรับการสอนในครั้งนี้โดยให้ติดเอาไว้สูงเพื่อให้ทุกคนที่นั่งอยู่ได้เห็น โดยตัวนางนั้นขอเก้าอี้เพื่อที่จะเขียนตัวหนังสือบนกระดานได้ถึง จากนั้นเมื่อท่านเจ้าเมืองนั้นสั่งให้เจ้าหน้าที่ทุกคนในศาลาว่าการวางมือจากงานที่ทำอยู่และให้หาเก้าอี้มานั่งเรียนรู้วิชาที่คุณหนูเฟิงกำลังจะสอนทันที ท่านเจ้าเมืองนั้นให้ความสำคัญกับเรื่องการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และยิ่งสิ่งที่กำลังจะเรียนรู้นี้จะนำประโยชน์มาให้พวกเขาทุกคนเขาจึงได้ถือเป็นเรื่องใหญ่เป็นวาระสำคัญแห่งเมืองอวี้ไห่ก็ว่าได้ ซึ่งเหล่าเจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ถึงแม้จะไม่เข้าใจแต่ก็ไม่มีใครที่คิดจะขัดท่านเจ้าเมืองฉินเจิ้งท่านนี้ พวกเขาต่างก็รีบหาเก้าอี้มานั่งต่อๆ กันไป ตอนนี้เมื่อเฟิงหย่าเสวี่ยหันหลังมองกลับมานั้นความรู้สึกของนางนั้นช่างเหมือนกับการมองนักเ
บทที่ 53 กองกำลังรักษาตระกูลเฟิงหลังจากทางเมืองอวี้ไห่ได้ทำการขายที่ดินขนาดใหญ่ถึง 5,000 หมู่ให้กับทางตระกูลเฟิง ซึ่งพวกนางก็จ่ายเงินไปมากถึง 10 ล้านตำลึงให้กับทางเมืองอวี้ไห่ ตอนนี้เฟิงซิ่วเหยา เฟิงหย่าเสวี่ย และป้าจวงมานั่งล้อมวงกันอีกครั้งเพื่อที่จะดูว่าเงินที่เหลือตอนนี้มีอยู่มากเท่าไหร่“หลังจากจ่ายค่าที่ไปแล้ว ตอนนี้บ้านเราเหลือเงินอยู่ 7 แสนกว่าตำลึง” ป้าจวงที่ล้วงเงินออกมาจากตะกร้าไม้ไผ้นับและบอกออกไป“7 แสนตำลึงจะว่ามากก็มาก จะว่าน้อยก็น้อย หากว่าพวกเราจะทำให้ตระกูลเฟิงของเรามั่นคงมากกว่านี้ เงินเก็บของตระกูลไม่ควรจะน้อยกว่า 100 ล้านตำลึง”เฟิงหย่าเสวี่ยที่ในยุคก่อนเป็นผู้ที่ไม่เคยขาดเงินทอง เพราะในยุคก่อนที่จะทะลุมิติมานั้น นางมีเงินเก็บมากกว่า 1,000 ล้านจากการขายภาพวาดของนางที่มีชื่อเสียงและเป็นที่ต้องการมาก บางภาพนั้นประมูลได้มากถึง 300 ล้านก็มี ทำให้นางนั้นไม่ค่อยพอใจกับจำนวนเงิน 7 แสนตำลึงที่ตระกูลของนางมีในตอนนี้มาก ส่วนป้าจวงกับท่านแม่เมื่อได้ยินจำนวนเงินที่ลูกสาวต้องการ พวกนางถึงกับแอบกลืนน้ำลายเลยทีเดียว…อะไรคือมีเงิน 100 ล้านตำลึง ในชาตินี้พวกนางไม่เคยนึกฝันมาก่อน
บทที่ 54 ย้อนเกล็ดมังกร!!ความเจ็บปวดแสบร้อนที่หน้าอกของท่านเจ้าเมืองฉินเจิ้งเริ่มเกิดบ่อยขึ้น เขามักจะกระอักเลือดเป็นระยะ ๆ แต่เขาก็ไม่คิดอะไรมากนัก"ข้า..ข้าแค่เครียดมากไปหน่อยเท่านั้น"เขาพูดกับตัวเองพยายามให้กำลังใจ แม้ว่าอาการจะเริ่มทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ แต่เขาก็เชื่อว่ามันเกิดจากความเครียดจากการทำงานและความกังวลใจเกี่ยวกับอาการของท่านแม่ของเขา ที่นับวันยิ่งแย่ลงเรื่อย ๆ แม้เขาจะรู้สึกกังวลใจลึก ๆ แต่ท่านเจ้าเมืองก็พยายามทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุดเหมือนเดิม ทุกเช้าก่อนออกจากบ้านเขาจะแวะไปหาท่านแม่ของเขานั่งป้อนข้าวให้นางเสร็จก่อนจะไปทำงานวันหนึ่งขณะที่เขากลับจากการเดินตลาดเพื่อสำรวจความเป็นอยู่ของประชาชน เขาได้เห็นร้านขายของเล่นเด็กและเห็นรองเท้าเด็กคู่เล็ก ๆ ที่น่ารัก ดวงตาของเขาเป็นประกายเมื่อนึกถึงลูกสาวของตน ภาพความทรงจำในวันที่เขาไปหาหลินเหมยนั้นผุดขึ้นมา เมื่อตอนที่เขาเห็นลูกสาววัยแรกเกิดผุดขึ้นมาในใจ ใบหน้าของนางน่ารักราวกับนางฟ้า ดวงตากลมโตจ้องมองเขาอย่างไร้เดียงสา ทำให้หัวใจของเขาอ่อนยวบทุกครั้งที่มอง นางช่างตัวเล็กและน่าทะนุถนอมเสียจนเขาอยากจะกอดขึ้นมาสักครั้ง แต่ติ
บทที่ 55 ในเมื่อเจ้าไม่ยอมหยุด...ข้าจะเป็นคนหยุดเจ้าเอง!!ท่านเจ้าเมืองฉินเจิ้งนั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่ แสงไฟจากตะเกียงสะท้อนใบหน้าที่ดูเคร่งขรึมและเย็นชา เขาสั่งพ่อบ้านให้ไปบอกอี้เหนียงหวังเหลียนฮวาว่าเขากลับมาแล้วและต้องการให้เธอมาพบ ด้วยคำพูดที่แฝงความเหนื่อยล้า"บอกนางว่าข้ากลับมาแล้ว ข้าเหนื่อย อยากให้หวังเหลียนฮวามาหาข้าเดี๋ยวนี้"ไม่นานนัก อี้เหนียงหวังเหลียนฮวาก็เดินเข้ามาพร้อมกับบ่าวหญิงที่ถือถ้วยน้ำแกงไก่เข้ามาด้วย นางมีท่าทางงดงามและอ่อนช้อยน่าทะนุถนอมเช่นเดิม เสื้อผ้าที่สวมใส่สวยงาม ดูหรูหราและสะดุดตาโดยที่ไม่ได้ดูเลยว่าตอนนี้ที่จวนท่านแม่ของเขากำลังเจ็บป่วยอยู่ นางยิ้มเอียงอายเมื่อเห็นท่านเจ้าเมืองฉินเจิ้ง ยิ้มพลางพยายามแอบมองเขาอย่างสนใจ ใบหน้าของท่านเจ้าเมืองยังคงดึงดูดใจและทรงพลังสำหรับหญิงสาวเขาเหลือบตามองนางและเก็บสายตากลับจากที่ใบหน้าเหยือกเย็นตอนนี้เขาทำให้ใบหน้าของตัวเองมีรอยยิ้มที่มุมปากทรงเสน่ห์ และเฝ้ารอการมาถึงของนางหวังเหลียนฮวาค่อยๆ เข้ามาหยุดยืนตรงหน้าเขา ดวงตาที่เต็มไปด้วยความหลงใหลมองสบสายตาของท่านเจ้าเมือง ใบหน้าของท่านเจ้าเมืองฉินเจิ้งนั้นหล่อเหลาราวกับภ
บทที่ 56 โอกาสที่สองของชีวิตเฟิงหย่าเสวี่ยอยู่ในสวนของคฤหาสน์ ขณะที่กำลังวางแผนการทำนาเกลือกับป้าจวงและท่านแม่ ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงบและเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้"ท่านแม่ ป้าจวงเจ้าคะ ข้าคิดว่าการวางรากฐานในการทำนาเกลือครั้งแรกนี้จำเป็นต้องใช้ผู้ที่เชี่ยวชาญมากพอสมควร เพราะพื้นที่ของเรามันกว้างใหญ่ หากใช้การผันน้ำตามธรรมชาติ เกรงว่าน้ำอาจจะไปไม่ถึง" เฟิงหย่าเสวี่ยเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงใคร่ครวญป้าจวงพยักหน้าเห็นด้วย "จริงเจ้าค่ะ ข้าก็คิดเช่นนั้น การทำนาเกลือในพื้นที่ใหญ่ขนาดนี้ต้องการการจัดการที่ดีมาก มิฉะนั้นจะได้ผลผลิตไม่เต็มที่"เฟิงหย่าเสวี่ยพยักก่อนจะกล่าวต่อ "ข้าคิดว่าเราควรใช้เครื่องสูบน้ำเพื่อสูบน้ำจากทะเลเข้าสู่นาที่อยู่บริเวณห่างไกล ข้าต้องการวาดแบบอุปกรณ์ขึ้นมาเพื่อให้พวกช่างได้ลงมือทำ"ท่านแม่ฟังแล้วมองบุตรสาวด้วยความสงสัย "เครื่องสูบน้ำ? เสวี่ยเออร์ เจ้าหมายถึงสิ่งใดหรือ? แม่ไม่เข้าใจนัก" เฟิงซิ่วเหยาไม่เคยได้ป้าจวงเองก็มองเฟิงหย่าเสวี่ยด้วยความงุนงง "เครื่องสูบน้ำนี้คือสิ่งใดเจ้าคะ? ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเช่นกัน"เฟิงหย่าเสวี่ยยิ้มบาง ๆ ก่อนจะอธิบาย "มันคืออุปกรณ์
บทที่ 57 ดื่มน้ำสัตย์สาบานร่างของท่านเจ้าเมืองฉินเจิ้งยังคงนอนนิ่งไม่ไหวติงบนเตียง แม้ร่างกายของเขาจะกลับมามีลมหายใจอีกครั้ง แต่ด้วยพิษที่ฝังลึกยังทำให้เขาไม่สามารถฟื้นตัวได้ในทันที ป้าจวงจึงให้หมอชราเป็นผู้ดูแลเขาต่อ โดยนางกล่าวกำชับกับหมอชราอย่างเข้มงวดให้ดูแลท่านเจ้าเมืองอย่างดีที่สุด จากนั้นนางก็จากจวนเจ้าเมืองและกลับไปยังคฤหาสน์เฟิงเพื่อรายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ท่านแม่เฟิงซิ่งเหยาและเฟิงหย่าเสวี่ยรับทราบเฟิงซิ่งเหยาและเฟิงหย่าเสวี่ยฟังเหตุการณ์ที่ป้าจวงเล่าแล้วถอนหายใจพร้อมกัน ความสูญเสียที่เกิดขึ้นนั้นนับว่าเลวร้าย แต่ก็ยังดีที่ท่านเจ้าเมืองสามารถรักษาชีวิตไว้ได้ พวกนางต่างรู้ดีว่าผู้ที่สูญเสียมากที่สุดในครั้งนี้คือท่านเจ้าเมืองเอง ทั้งผู้เป็นมารดาที่สิ้นไป และอี้เหนียงที่ต้องสิ้นใจ ทว่าในการสูญเสียก็ยังมีความหวังที่ส่องแสงอยู่ ที่แสงที่ว่านั้นพักอยู่ภายในเรือนของพวกนางนั้นเองขณะที่ป้าจวงกำลังเล่าเรื่องนั้น นอกประตูห้องก็มีคนผู้หนึ่งยืนฟังอยู่โดยไม่ได้ตั้งใจ เงาของบุคคลนั้นทอดยาวไปในความมืด ทำให้ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นใคร นางยืนสงบ แต่หูของนางกลับตั้งใจฟังอย่างระมัดระวัง
บทที่ 58 ส่งตัวอย่างเกลือเกล็ดหิมะขาวเข้าวังหลวง ep 1“ตอนนี้เกลือตัวอย่างได้สำเร็จแล้ว ข้าคิดที่จะส่งเข้าราชสำนักให้พวกเขาได้เห็นตัวอย่างของเกลือเกล็ดหิมะของตระกูลเฟิงของพวกเราเจ้าค่ะ” เฟิงหย่าเสวี่ยคุยกับทุกคนขณะที่พวกเขาทานอาหารเย็นเสร็จและนั่งล้อมปรึกษางานกันเช่นปรกติทุกวัน“แม่ก็เห็นด้วยนะเพราะว่าการที่ตระกูลเฟิงส่งเกลือตัวอย่างเข้าวังเป็นการยืนยันว่าพวกเราสามารถที่จะผลิตเกลือบริสุทธิ์ได้แล้วจริงๆ หากว่าเกลือเถื่อนนั้นได้กระจายออกไปแล้วมันจะเป็นข้อเปรียบเทียบที่ชัดเจนที่สุด และเมื่อประชาชนได้เห็นเกลือบริสุทธิ์ของตระกูลเฟิง ทั้งราคาที่พวกเราขายก็ไม่แพง แม่คิดว่าพวกเขาจะต้องการเกลือของเรามากกว่าแน่นอน" เฟิงซิ่วเหยาเอ่ยขึ้นมาพลางใช้มือกำเกลือบริสุทธิ์สีขาวสะอาดราวกับหิมะอย่างที่เจ้าเล็กว่าขึ้นมาดูอีกครั้งก่อนจะยิ้มมุมปากด้วยความพึงพอใจ ….100 ล้านตำลึงที่ลูกสาวนางอยากได้น่าจะอยู่ไม่ไกลหากว่ามีเกลือคุณภาพดีขนาดนี้นางคิด…“เช่นนั้นข้าจะให้เจ้าไป่หลิวและอวิ่นหลิวนำเกลือไปส่งที่เมืองหลวง แต่ว่าเมื่อถึงที่นั่นแล้วจะต้องมีคนคอยรับนะเจ้าคะแล้วใครที่พวกเราพอใจไว้ใจได้ในการรับเกลือเกล็ดหิมะตร
บทที่ 136 ปรับความเข้าใจในเวลาเดียวกันที่วังหย่งเฮ่า องค์หญิงเฟยเหยาเองก็ต้องเผชิญกับความจริงที่น่าผิดหวังเกี่ยวกับตระกูลของราชครูหลิ่ว ซึ่งเป็นตระกูลฝั่งมารดาของนาง ซึ่งนางเคยเคารพและเชื่อฟังเป็นอย่างมากมาตลอดหลายปี เมื่อนางได้รู้ว่าตระกูลของราชครูหลิ่วได้คิดกบฏและขายชาติ ความรู้สึกผิดหวังและเสียใจถาโถมเข้ามาในจิตใจของนาง แม้ในเวลาที่ตระกูลหลิ่วกำลังจะถูกเนรเทศ ท่านยายของนางยังให้บ่าวคนสนิทมาหานางเพื่อขอความช่วยเหลือ“องค์หญิงเพคะ ท่านยายฝากให้หม่อมฉันนำจดหมายนี้มาให้องค์หญิง…” บ่าวคนสนิทคุกเข่าต่อหน้าองค์หญิงพร้อมยื่นจดหมาย นางลังเลเล็กน้อยก่อนจะเปิดอ่าน เมื่ออ่านข้อความจบลง นางถอนหายใจยาว“บอกท่านยายเถิด ข้าไม่อาจช่วยอะไรได้ คดีของพวกเขาหนักหนานัก แม้แต่ข้าก็ไม่อาจฝืนกฎหมายของบ้านเมือง…” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า ก่อนจะเรียกนางกำนัลคนสนิทเข้ามา“เจ้าจงนำตั๋วเงินสามพันตำลึงไปมอบให้ท่านยาย บอกนางว่าเก็บไว้ให้ดี อย่าได้แสดงออกมาให้ใครเห็นในระหว่างเดินทาง เข้าใจหรือไม่?” องค์หญิงเฟยเหยาสั่งอย่างเด็ดขาด แม้จะรู้สึกสะเทือนใจ แต่สิ่งเดียวที่นางทำได้คือช่วยให้พวกเขามีทุนในการดำรงชีวิตร
บทที่ 135 ปลอบใจข้าหน่อยข้าขวัญหายเพราะพี่สาวของเจ้า..ในค่ำคืนที่บรรยากาศเงียบสงบ รอบนอกจวนแม่ทัพซู่หลิงมีเพียงเสียงแมลงกลางคืนและสายลมบาง ๆ พัดโชย แสงจันทร์ขับให้น้ำค้างบนใบไม้ทอประกายวิบวับ ดูเหมาะแก่การพักผ่อนยิ่งนักแม่ทัพซู่หลิง ที่สวมเสื้อคลุมหลังจากอาบน้ำอาบท่าเสร็จกลับนั่งอย่างกระสับกระส่ายอยู่ตรงห้องนอน สีหน้าเขาฉายแววเหมือนคนเพิ่งผ่านศึกสำคัญมา แต่ไม่ใช่ศึกกลางสนามรบ หากเป็น “ศึก” ที่มี พี่สาวภรรยา เป็นตัวการ"อวี้เออร์… ค่ำมืดแล้ว เหตุใดเจ้าถึงยังไม่มาปลอบข้าอีก” มีเขาผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถเรียกจวงหลิวอวี้ว่าอวี้เออร์เขาพึมพำแผ่วเบาด้วยความเฝ้ารอ พลางยกชาอุ่นขึ้นจิบครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่ารสชาติของชาในปากกลับจืดชืด ไม่อาจบรรเทาจิตใจให้สงบลงได้ หลังจากที่โดน จวงหลิวเฟิง พี่สาวของภรรยาระเบิดรูปปั้นสิงโตใส่ไปสองตัว ด้วยโทสะเมื่อช่วงกลางวัน ความหวาดกลัวปนความอายก็เล่นงานแม่ทัพหนุ่มไม่เลิก และเขาก็คิดว่านี่คือความผิดของภรรยาของเขานางจะต้องมาปลอบใจปลอบขวัญเขาเพราะว่าพี่สาวของนางทำให้เขาขวัญกระเจิงหมด..ใช่แล้วความผิดของหญิงชราของเขา นางต้องรับผิดชอบบบ!!! ความคิดของแม่ทัพซู่หล
บทที่ 134 ประหาร / เนรเทศในขณะที่ ฮ่องเต้เจิ้งอี้หลง กำลังทรงงานหนักในการแจกข้าวสารอาหารแห้งให้แก่ประชาชนในแคว้นต้าหมิง เพื่อบรรเทาความอดอยากที่โหมกระหน่ำทั่วแผ่นดินนั้น—อีกฟากหนึ่งของยุทธภพ ณ เมืองหลวงของ แคว้นต้าโจว กลับเกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญที่เกี่ยวข้องกับคนที่สองพี่น้องตระกูลเฟิงรู้จักดีเฟิงหย่าเสวี่ย และ เฟิงหยวนเจี๋ย เดินทางกลับมาถึง เมืองหลวงแคว้นต้าโจว หลังผ่านการผจญภัยทั้งร้อนและหนาว พวกเขาคิดว่าจะได้พักผ่อนสักระยะ ทว่าเมื่อก้าวเข้าประตูเมืองได้เพียงไม่นาน สองพี่น้องกลับพบเห็นภาพขบวนเชลยที่กำลังถูกคุมตัวไปยัง ลานประหาร โดยมีฝูงชนเบียดเสียดมุงดูอยู่รายรอบ ใบหน้าของผู้คนเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวและสาปแช่งเสียงแหลม สายตาของสองพี่น้องกวาดไปยังเหล่านักโทษในชุดผ้าขาดรุ่ยสกปรก มีทั้งขุนนางเก่าและบ่าวไพร่ที่ทรยศแผ่นดิน ทั้งหมดถูกตีตรวนตรึงมือไพล่หลังไว้แน่นเสียงโซ่ตรวนดังกรุ๋งกริ๋งบนถนนหลวง เมื่อขบวนนักโทษทรยศถูกนำตัวมุ่งหน้าสู่ลานประหาร แดดยามสายแผดเผาไร้ความปรานี เหงื่อไหลอาบใบหน้าของเหล่านักโทษแผ่นดินที่เดินตามกันไปสู่ลานประหารทว่ามีร่างหนึ่งที่ทั้งเฟิงหยวนเจี๋ยและเฟิงหย่าเ
บทที่ 133 ใต้ร่มพระบารมีของฮ่องเต้ผู้ทรงเมตตาตรงลานกว้างตอนนี้ถูกจัดให้เป็นที่ตั้งโต๊ะสำหรับวางอาหารถึงห้าร้อยโต๊ะเรียงรายจนสุดลูกหูลูกตา เสียงแม่ครัวและนายทหารขะมักเขม้นตระเตรียมหม้อโจ๊กขนาดใหญ่ กลิ่นของข้าวตุ๋นที่เดือดปุด ๆ ส่งไอร้อนฉุยขึ้นสู่ยอดผ้าใบกันแดด จนใครที่เดินผ่านก็อดกลืนน้ำลายไม่ได้ ขณะเดียวกัน กลิ่นร้อนกรุ่นของซาลาเปาหอม ๆ ก็ลอยอบอวลกระตุ้นความหิวโหยในหัวใจผู้คนหลายพันชีวิตที่รอต่อคิวอยู่ ทั้งเด็กตัวน้อยที่มีตาโหลลึก และคนเฒ่าคนแก่ที่นั่งพิงไม้เท้า ต่างพากันขยี้ตาเพราะคิดว่าตัวเองกำลังฝันไป ซาลาเปาเป็นพันเป็นหมื่นลูกจะมีจริง ๆ หรือ!เหนือศีรษะ หลักไม้ถูกตั้งเรียงเป็นแนวค้ำผ้าใบขนาดใหญ่เพื่อกันแดด แต่ก็ทำได้เพียงบรรเทาความร้อนแผดเผาลงมาเล็กน้อย บางคนมีเหงื่อไหลอาบจนเสื้อผ้าติดเนื้อ บ้างหน้ามืดแสบตาเพราะไม่ได้กินข้าวมาหลายมื้อ แต่ถึงกระนั้นก็ยังอดทนต่อแถวอย่างเป็นระเบียบเพื่อหวังจะได้รับเสบียงอาหารอันล้ำค่านี้องค์ฮ่องเต้เจิ้งอี้หลง ประทับยืนอยู่ด้านหน้าสุด ตรงโต๊ะไม้ตัวใหญ่ที่ทีมงานใช้เป็นจุดศูนย์กลางในการแจกจ่ายเสบียง พระองค์ฉลองพระองค์อย่างเรียบง่ายในโทนสีอ่อน แฝงไว้ด
บทที่ 132 พระราชามาแจกอาหารยามอรุณรุ่ง แสงสีทองบางเบาแตะแต้มผืนฟ้าเหนือค่ายพักแรม เหล่าทหารและขุนนางของแคว้นต้าหมิงเริ่มเคลื่อนไหวเพื่อเริ่มต้นวันใหม่ สายลมอ่อนโยนพัดผ่านพุ่มไม้และผืนหญ้า ส่งกลิ่นดินชื้นหลังการต่อสู้มาเหนื่อยหนักหลายคืน เมื่อยามราตรีถูกแทนที่ด้วยแสงของอรุณ วันใหม่ก็เริ่มต้นขึ้น โดยมีร่องรอยของอดีตเป็นเครื่องเตือนว่าการฟื้นฟูแคว้นนี้ยังอีกยาวไกลท่ามกลางลานกว้างในค่ายพักแรม ฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงยืนอยู่เบื้องหน้า สายพระเนตรจับจ้องไปยังสองพี่น้องตระกูลเฟิงที่ยืนสงบนิ่งเบื้องพระพักตร์ พวกเขาเป็นแขกผู้มาเยือนจากแคว้นต้าโจว แต่กลับต้องต่อสู้ร่วมกันเพื่อปกป้องผู้บริสุทธิ์ จากอำนาจอันโหดร้ายของอดีตฮองเฮาเหวินลี่หรงและเหล่าบริวารที่กดขี่ราษฎรมานานแสนนาน หลังจากที่สองพี่น้องตระกูลเฟิงได้ช่วยเหลือฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงจัดการกับเหวินเทียนหลงและจัดการระเบิดถ้ำแห่งนั้นแล้วทั้งสองก็จะกลับมาแคว้นต้าโจวก่อนจากกันเฟิงหย่าเสวี่ยและเฟิงหยวนเจี๋ยยืนอยู่ตรงหน้าฮ่องเต้เจิ้งอี้หลง ท่ามกลางสายลมยามเช้าที่พัดโชยเฟิงหยวนเจี๋ยและเฟิงหย่าเสวี่ยสวมเสื้อผ้าเดินทางอย่างเรียบง่าย ทว่าท่วงท่าของทั้งคู่เต็ม
บทที่ 131 ผู้ถือครองพู่กันมังกรดำคนใหม่ / ป้ายทองเว้นโทษตายพู่กันมังกรดำส่องประกายวูบวาบ ก่อนจะพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าและมุ่งหน้าตรงไปที่แคว้นต้าโจวมันพุ่งอย่างเร็วและแรงเลยผ่านหลายเมืองของแคว้นต้าโจวไม่ว่าจะเป็นดินแดนทางเหนือเลยผ่านเมืองหลวง และมุ่งหน้าลงใต้และในที่สุดมันก็สิ้นสุดลงที่่เมืองอวี้ไห่จากนั้นก็ค่อยๆ ลอยไปที่คฤหาสน์หลังใหญ่ของตระกูลเฟิงที่ตอนนี้มีผู้ที่อยู่ที่นั่นมีเพียงแค่หลินเหมยและเฟิงซินซินลูกสาวตัวน้อยของนางนั้นเองในห้องที่อบอุ่นของคฤหาสน์ตระกูลเฟิง เฟิงซินซินน้อยเพิ่งดื่มนมมารดาเสร็จ ดวงตากลมโตเริ่มหรี่ลงด้วยความง่วง ริมฝีปากน้อยๆ ยังเปื้อนรอยนม หลินเหมยได้อุ้มลูกน้อยไปนอนในเปลและเมื่อเห็นว่าลูกน้อยหลับนางจึงได้ออกจากห้องไปแต่แล้วลมเย็นก็พัดผ่านเข้ามาในห้อง พู่กันมังกรดำลอยเข้ามาอย่างเงียบเชียบ มันวนเวียนอยู่เหนือเปลเด็ก ปลายพู่กันแตะเบาๆ ที่ปลายจมูกเล็กๆ ของเฟิงซินซินเด็กน้อยขยับตัว มือป้อมๆ ยกขึ้นปัดราวกับกำลังขับไล่แมลงหรือสิ่งก่อกวนที่ไม่พึงปรารถนาแต่แค่มือเล็กนุ่มนิ่มของนางปัดเบาๆ ของเด็กน้อยคราวนี้กลับสัมผัสเข้ากับด้ามพู่กันที่เย็นเยียบเป็นพู่กันมังกรดำโบราณท
บทที่ 130 การต่อสู้ครั้งสุดท้ายของมังกรทองเสียงหยดน้ำที่กระทบพื้นหินดังสะท้อนก้องภายในถ้ำมืดมิดราวกับโถงใต้พิภพที่ไร้จุดสิ้นสุด บรรยากาศชวนให้หัวใจเต้นระส่ำราวกับมีมือที่มองไม่เห็นกำลังบีบรัดอยู่รอบคอ ทุกคนค่อยๆ ก้าวลึกเข้าไปทีละน้อยอย่างระแวดระวัง เสียงสวดที่ดังก้องอยู่รอบข้างฟังดูเหมือนเสียงครวญครางของวิญญาณซึ่งโหยหาการปลดปล่อย เสียงหอบหายใจของเหล่าทหารและคนในคณะเดินทางประสานเข้ากับเสียงน้ำหยด ท่ามกลางความมืดที่สลัว แสงจากคบเพลิงสาดส่องให้เห็นภาพวาดโบราณบนผนังถ้ำ เป็นภาพของมังกรดำกำลังกลืนกินดวงจันทร์อย่างดุร้าย สะท้อนให้เห็นร่องรอยความน่าสะพรึงในอดีตที่เคยถูกผนึกไว้ในถ้ำแห่งนี้กลางโถงถ้ำกว้าง เหวินเทียนหลงผู้ถูกครอบงำด้วยพลังมืดแห่งพู่กันมังกรดำกำลังตกอยู่ในสภาพอันชวนขนลุก ร่างกายของเขาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นร่างครึ่งมังกร เกล็ดสีดำทะมึนขึ้นปกคลุมเนื้อหนัง ลามไปถึงใบหน้าจนเห็นเค้าโครงแทบไม่เหลือเค้าคนเดิม ดวงตาสีแดงฉานเบิกกว้างดุจสัตว์ร้ายที่กระหายเลือด เสียงหัวเราะของเขาแหลมสูงสะท้อนก้องราวกับภูตผีที่อาละวาดในคืนเดือนมืด"หยุดเดี๋ยวนี้!" ฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงตรัส "เจ้ากำลังทำลายชีวิตผู้บ
บทที่ 129 ถ้ำศักดิ์สิทธิ์ตระกูลเหวิน"เป็นแค่งู จะสู้มังกรได้อย่างไร? ชิงหลง!!"เฟิงหย่าเสวี่ยตะโกนขึ้นมายกพู่กันขึ้นตวัดวาดอักขระด้วยจังหวะที่สงบนิ่ง แต่เต็มไปด้วยพลังที่ซ่อนอยู่ แสงสีเงินเริ่มเปล่งประกายจากพู่กัน และทันใดนั้น เสียงคำรามแผ่วลึกก็ดังก้องไปทั่วป่า มังกรที่นางวาดคราวนี้ไม่ใช้มังกรทองแต่ทว่าเป็นมังกรเหล็กขนาดมหึมาปรากฏขึ้นจากแสงอักขระ ร่างของมันแวววาวด้วยเกล็ดโลหะคมกริบ ดวงตาสีแดงเพลิงจับจ้องไปยังงูยักษ์มังกรเหล็กพุ่งเข้าโจมตีอย่างดุเดือด กรงเล็บและหางของมันกวาดผ่านนางพญางูยักษ์ เกล็ดแข็งของงูไม่อาจต้านทานพลังอันมหาศาลนี้ได้ เสียงคำรามของงูดังสะท้อนป่า ขณะที่มังกรเหล็กใช้กรงเล็บจับงูไว้แน่น ก่อนที่มันจะอ้าปากพ่นไฟสีเงินบริสุทธิ์ที่ในเปลวไฟนั้นเป็นพิษที่เหมือนกับตะกั่วใส่ร่างของนางพญางูยักษ์ภายในพริบตา นางพญางูยักษ์ก็ถูกพิษตะกั่วลามไปทั่วทั้งร่างไม่สามารถขยับตัวได้ จากนั้นมังกรเหล็กก็ใช้หางฟาดอย่างแรงไปที่ร่างของมันทำให้มันแตกเป็นเสี่ยงๆ ราวกับกระจกแตกและในที่สุดก็สลายเป็นเถ้าถ่านกระจายไปในอากาศทันที เฟิงหยวนเจี๋ยลดพู่กันลง มังกรเหล็กยังคงลอยอยู่บนท้องฟ้าจากนั้นก็ค่อยลด
บทที่ 128 ป่าพิษกับนางพญางูยักษ์คณะของเฟิงหย่าเสวี่ยค่อยๆ เดินทางมาเรื่อยๆ ระหว่างทาง เฟิงหย่าเสวี่ยสังเกตเห็นเมฆดำก่อตัวเหนือยอดเขาที่เป็นจุดหมายปลายทาง นางรู้สึกถึงลางสังหรณ์บางอย่าง... บางสิ่งที่ชั่วร้ายกำลังรอคอยพวกเขาอยู่...คณะเดินทางมุ่งหน้าไปตามเส้นทางที่ปรากฏในแผนที่ เมื่อพระอาทิตย์คล้อยต่ำ เฟิงหยวนเจี๋ยสังเกตเห็นสัญลักษณ์แปลกๆ สลักอยู่บนก้อนหินริมทาง"หยุดก่อน!" เขาร้องเตือน "ตรงนี้มีค่ายกลซ่อนอยู่"แม่ทัพเว่ยสิง เดินเข้าไปตรวจสอบสัญลักษณ์อย่างละเอียด “มันคล้ายกับค่ายกล” เขาเอ่ยขึ้นมา"เป็นค่ายกลนำทาง" เฟิงหย่าเสวี่ยกล่าว นางจ้องมองสัญลักษณ์บนก้อนหิน "ถ้าเราเดินผ่านไปโดยไม่ทำตามที่มันบอก จะเจอกับดัก"เฟิงหยวนเจี๋ยพยักหน้า "และดูเหมือนว่าจะมีคนผ่านมาที่นี่ไม่นานมานี้" เขาชี้ไปที่รอยเท้าบนพื้น "รอยเท้าเหล่านี้ยังใหม่มาก""เหวินเทียนหลงและพรรคพวก" ฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงกล่าว ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่รอยเท้า "พวกเขาต้องมุ่งหน้าไปที่ถ้ำแน่นอน""ทูลฝ่าบาท" ทหารนายหนึ่งชี้ไปที่เส้นทางข้างหน้า "มีควันลอยขึ้นมาจากทางนั้น"ทุกคนมองไปตามทิศทางที่ทหารชี้ เห็นควันบางๆ ลอยขึ้นมาจากป่าทึบ กลิ่น