บทที่ 49 ข้าผิดไปแล้ว!! ep 1 ท่านเจ้าเมืองฉินเจิ้งนั่งนิ่งในห้องของท่านแม่ ฮูหยินผู้เฒ่าที่บัดนี้อยู่ในสภาพที่อ่อนแอจนไม่สามารถลุกขึ้นจากเตียงได้ นางนอนอยู่บนเตียงด้วยใบหน้าซีดเซียวและดวงตาที่ดูเหนื่อยล้า เหมือนวิญญาณจะหลุดลอยไปได้ทุกเมื่อ ร่างกายที่เคยแข็งแรงบัดนี้กลับกลายเป็นเพียงเงาของอดีต ผิวหนังแห้งเหี่ยวและเต็มไปด้วยรอยย่นที่เพิ่มขึ้นในเวลาเพียงไม่กี่วัน ท่านหมอประจำตระกูลทำการรักษานางอย่างดีที่สุดแล้ว แต่ท่านแม่ก็ยังไม่ฟื้นฟูกำลังวังชาเช่นเดิม ชีวิตของนางเหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้ายพร้อมที่จะขาดลงได้ทุกขณะ ท่านเจ้าเมืองมองสภาพของแม่ด้วยความเศร้าและความรู้สึกผิดที่ทิ่มแทงใจ นึกถึงสิ่งที่บ่าวชราซื่อสัตย์คนสนิทของท่านแม่เล่าให้ฟัง ถึงการที่หลินเหมยเป็นผู้ดูแลท่านแม่มาตลอดเวลาความรู้สึกผิดแผ่ซ่านในหัวใจของท่านเจ้าเมืองฉินเจิ้ง เขารู้สึกว่าตนเองได้ทำผิดพลาดมากที่สุดในชีวิต ขณะที่ท่านหมอกำลังดูแลท่านแม่ของเขาอยู่ ฉินเจิ้งก็ยืนอยู่ข้างเตียง จ้องมองมารดาที่ตอนนี้ดูชราและอ่อนแอกว่าเดิมมาก เขาไม่สามารถที่จะช่วยเหลือท่านแม่ได้เลย นั่นทำให้เขารู้สึกเสียใจและรู้สึกอับอายกับการที่ตนเองไม่ใส่
บทที่ 50 ข้าผิดไปแล้ว!! ep 2ท่านเจ้าเมืองฉินเจิ้งยืนอยู่หน้าประตูคฤหาสน์ของตระกูลเฟิง หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความกังวลและความรู้สึกผิดที่ท่วมท้น เขาไม่เคยรู้สึกอ่อนแอเช่นนี้มาก่อน แต่ตอนนี้เขาก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าตัวเองผิดมหันต์ เขาพยายามหายใจเข้าลึกๆ แม้ว่าจะหวาดกลัวอยู่บ้าง ก่อนจะส่งสายตาไปยังป้าจวงที่ยืนอยู่หน้าประตูป้าจวงขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจเมื่อนางเห็นท่านเจ้าเมืองมาถึง แต่ถึงแม้ว่านางจะไม่พอใจเพียงใดก็ตาม นางก็รู้ดีว่าเขาคือเจ้าเมืองของอวี้ไห่ และไม่มีทางที่จะปฏิเสธไม่ให้เข้าได้ นางถอนหายใจยาวก่อนจะหันไปเรียกคนรับใช้ให้พาท่านเจ้าเมืองเข้ามา"เชิญท่านเจ้าเมืองเข้ามา!!" ป้าจวงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมที่แฝงไปด้วยความไม่พอใจ นางไม่อาจซ่อนความโกรธและความเกลียดชังที่มีต่อผู้ชายคนนี้ได้ คนที่ทิ้งได้กระทั่งลูกเมียของตัวเอง ไม่ว่าจะหาเหตุผลใดมารองรับการกระทำสำหรับนางแล้วก็คือ คนเลวไม่มีความรับผิดชอบนั้นเอง …ท่านเจ้าเมืองฉินเจิ้งเดินตามบ่าวเข้าไปในห้องรับรอง ซึ่งมีหลินเหมยนั่งอยู่กับลูกสาว นางสวมชุดสีเขียวอ่อนที่ดูเรียบง่าย แต่กลับให้ความรู้สึกสง่างามและมีออร่าที่เปล่งประกายออกมาร
บทที่ 51 ที่ดินทำนาเกลือ 5000 หมู่ท่านเจ้าเมืองฉินเจิ้งเดินออกจากคฤหาสน์เฟิงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แววตาของเขายังคงสั่นไหวด้วยความกังวลจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเรือนของหลินเหมย เมื่อเดินมาถึงใต้ต้นไม้ใหญ่ที่เขามัดม้าทิ้งไว้ เขารู้สึกว่าหน้าอกของเขาร้อนขึ้นมาอย่างไม่คาดคิด ความร้อนนั้นค่อยๆ แผ่กระจายไปทั่วร่าง เขายกมือขึ้นมาลูบและถูบริเวณหน้าอกเบาๆ พยายามระงับความเจ็บปวดที่ก่อตัวขึ้นมา แต่ไม่ทันไร ร่างของเขาก็กระอักเลือดออกมา หยดเลือดสีแดงเข้มไหลรินลงบนพื้นดิน ฉินเจิ้งรีบพยุงตัวเองไปที่ต้นไม้ใหญ่เพื่อหาที่พักพิง เขาหายใจแรงๆ หลายครั้ง พยายามใช้เวลาสักครู่เพื่อบรรเทาความเจ็บปวดนั้นให้คลายลง“ข้าอาจจะเครียดเรื่องท่านแม่มากเกินไป...หรือเรื่องของหลินเหมย…” เขาพึมพำกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะยกมือเช็ดคราบเลือดที่มุมปาก หลับตาลงครู่หนึ่งเพื่อรวบรวมกำลังใจและพลังงานให้กลับคืนมา เมื่อรู้สึกดีขึ้น เขาจึงค่อยๆ ลุกขึ้นยืนและเดินไปที่ม้าของเขา ก่อนจะขี่ม้าตรงไปยังศาลาว่าการ เพื่อทำหน้าที่ในฐานะเจ้าเมืองอวี้ไห่ แม้ว่าเรื่องราวในเรือนจะยังคงสับสนและวุ่นวายเพียงใด เขาก็รู้ดีว่างานของเขายังคงต้องดำเนินต่อไปเม
บทที่ 52 เลขอารบิกและสูตรคูณบรรยากาศในศาลาว่าการเมืองเป็นไปด้วยความคึกคักในยามบ่าย หลังจากที่พวกเขากลับจากการไปตรวจที่ดินกับท่างตระกูลเฟิง เมื่อท่านเจ้าเมืองและเหล่าเจ้าหน้าที่นั่งตรงหน้าเฟิงหย่าเสวี่ย ซึ่งนางให้ท่านเจ้าเมืองนั้นจัดเก้าอี้เป็นแบบห้องเรียนในยุคปัจจุบันและนำกระดานดำและถ่านสีขาวที่นางวาดออกมาสำหรับการสอนในครั้งนี้โดยให้ติดเอาไว้สูงเพื่อให้ทุกคนที่นั่งอยู่ได้เห็น โดยตัวนางนั้นขอเก้าอี้เพื่อที่จะเขียนตัวหนังสือบนกระดานได้ถึง จากนั้นเมื่อท่านเจ้าเมืองนั้นสั่งให้เจ้าหน้าที่ทุกคนในศาลาว่าการวางมือจากงานที่ทำอยู่และให้หาเก้าอี้มานั่งเรียนรู้วิชาที่คุณหนูเฟิงกำลังจะสอนทันที ท่านเจ้าเมืองนั้นให้ความสำคัญกับเรื่องการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และยิ่งสิ่งที่กำลังจะเรียนรู้นี้จะนำประโยชน์มาให้พวกเขาทุกคนเขาจึงได้ถือเป็นเรื่องใหญ่เป็นวาระสำคัญแห่งเมืองอวี้ไห่ก็ว่าได้ ซึ่งเหล่าเจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ถึงแม้จะไม่เข้าใจแต่ก็ไม่มีใครที่คิดจะขัดท่านเจ้าเมืองฉินเจิ้งท่านนี้ พวกเขาต่างก็รีบหาเก้าอี้มานั่งต่อๆ กันไป ตอนนี้เมื่อเฟิงหย่าเสวี่ยหันหลังมองกลับมานั้นความรู้สึกของนางนั้นช่างเหมือนกับการมองนักเ
บทที่ 53 กองกำลังรักษาตระกูลเฟิงหลังจากทางเมืองอวี้ไห่ได้ทำการขายที่ดินขนาดใหญ่ถึง 5,000 หมู่ให้กับทางตระกูลเฟิง ซึ่งพวกนางก็จ่ายเงินไปมากถึง 10 ล้านตำลึงให้กับทางเมืองอวี้ไห่ ตอนนี้เฟิงซิ่วเหยา เฟิงหย่าเสวี่ย และป้าจวงมานั่งล้อมวงกันอีกครั้งเพื่อที่จะดูว่าเงินที่เหลือตอนนี้มีอยู่มากเท่าไหร่“หลังจากจ่ายค่าที่ไปแล้ว ตอนนี้บ้านเราเหลือเงินอยู่ 7 แสนกว่าตำลึง” ป้าจวงที่ล้วงเงินออกมาจากตะกร้าไม้ไผ้นับและบอกออกไป“7 แสนตำลึงจะว่ามากก็มาก จะว่าน้อยก็น้อย หากว่าพวกเราจะทำให้ตระกูลเฟิงของเรามั่นคงมากกว่านี้ เงินเก็บของตระกูลไม่ควรจะน้อยกว่า 100 ล้านตำลึง”เฟิงหย่าเสวี่ยที่ในยุคก่อนเป็นผู้ที่ไม่เคยขาดเงินทอง เพราะในยุคก่อนที่จะทะลุมิติมานั้น นางมีเงินเก็บมากกว่า 1,000 ล้านจากการขายภาพวาดของนางที่มีชื่อเสียงและเป็นที่ต้องการมาก บางภาพนั้นประมูลได้มากถึง 300 ล้านก็มี ทำให้นางนั้นไม่ค่อยพอใจกับจำนวนเงิน 7 แสนตำลึงที่ตระกูลของนางมีในตอนนี้มาก ส่วนป้าจวงกับท่านแม่เมื่อได้ยินจำนวนเงินที่ลูกสาวต้องการ พวกนางถึงกับแอบกลืนน้ำลายเลยทีเดียว…อะไรคือมีเงิน 100 ล้านตำลึง ในชาตินี้พวกนางไม่เคยนึกฝันมาก่อน
บทที่ 54 ย้อนเกล็ดมังกร!!ความเจ็บปวดแสบร้อนที่หน้าอกของท่านเจ้าเมืองฉินเจิ้งเริ่มเกิดบ่อยขึ้น เขามักจะกระอักเลือดเป็นระยะ ๆ แต่เขาก็ไม่คิดอะไรมากนัก"ข้า..ข้าแค่เครียดมากไปหน่อยเท่านั้น"เขาพูดกับตัวเองพยายามให้กำลังใจ แม้ว่าอาการจะเริ่มทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ แต่เขาก็เชื่อว่ามันเกิดจากความเครียดจากการทำงานและความกังวลใจเกี่ยวกับอาการของท่านแม่ของเขา ที่นับวันยิ่งแย่ลงเรื่อย ๆ แม้เขาจะรู้สึกกังวลใจลึก ๆ แต่ท่านเจ้าเมืองก็พยายามทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุดเหมือนเดิม ทุกเช้าก่อนออกจากบ้านเขาจะแวะไปหาท่านแม่ของเขานั่งป้อนข้าวให้นางเสร็จก่อนจะไปทำงานวันหนึ่งขณะที่เขากลับจากการเดินตลาดเพื่อสำรวจความเป็นอยู่ของประชาชน เขาได้เห็นร้านขายของเล่นเด็กและเห็นรองเท้าเด็กคู่เล็ก ๆ ที่น่ารัก ดวงตาของเขาเป็นประกายเมื่อนึกถึงลูกสาวของตน ภาพความทรงจำในวันที่เขาไปหาหลินเหมยนั้นผุดขึ้นมา เมื่อตอนที่เขาเห็นลูกสาววัยแรกเกิดผุดขึ้นมาในใจ ใบหน้าของนางน่ารักราวกับนางฟ้า ดวงตากลมโตจ้องมองเขาอย่างไร้เดียงสา ทำให้หัวใจของเขาอ่อนยวบทุกครั้งที่มอง นางช่างตัวเล็กและน่าทะนุถนอมเสียจนเขาอยากจะกอดขึ้นมาสักครั้ง แต่ติ
บทที่ 55 ในเมื่อเจ้าไม่ยอมหยุด...ข้าจะเป็นคนหยุดเจ้าเอง!!ท่านเจ้าเมืองฉินเจิ้งนั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่ แสงไฟจากตะเกียงสะท้อนใบหน้าที่ดูเคร่งขรึมและเย็นชา เขาสั่งพ่อบ้านให้ไปบอกอี้เหนียงหวังเหลียนฮวาว่าเขากลับมาแล้วและต้องการให้เธอมาพบ ด้วยคำพูดที่แฝงความเหนื่อยล้า"บอกนางว่าข้ากลับมาแล้ว ข้าเหนื่อย อยากให้หวังเหลียนฮวามาหาข้าเดี๋ยวนี้"ไม่นานนัก อี้เหนียงหวังเหลียนฮวาก็เดินเข้ามาพร้อมกับบ่าวหญิงที่ถือถ้วยน้ำแกงไก่เข้ามาด้วย นางมีท่าทางงดงามและอ่อนช้อยน่าทะนุถนอมเช่นเดิม เสื้อผ้าที่สวมใส่สวยงาม ดูหรูหราและสะดุดตาโดยที่ไม่ได้ดูเลยว่าตอนนี้ที่จวนท่านแม่ของเขากำลังเจ็บป่วยอยู่ นางยิ้มเอียงอายเมื่อเห็นท่านเจ้าเมืองฉินเจิ้ง ยิ้มพลางพยายามแอบมองเขาอย่างสนใจ ใบหน้าของท่านเจ้าเมืองยังคงดึงดูดใจและทรงพลังสำหรับหญิงสาวเขาเหลือบตามองนางและเก็บสายตากลับจากที่ใบหน้าเหยือกเย็นตอนนี้เขาทำให้ใบหน้าของตัวเองมีรอยยิ้มที่มุมปากทรงเสน่ห์ และเฝ้ารอการมาถึงของนางหวังเหลียนฮวาค่อยๆ เข้ามาหยุดยืนตรงหน้าเขา ดวงตาที่เต็มไปด้วยความหลงใหลมองสบสายตาของท่านเจ้าเมือง ใบหน้าของท่านเจ้าเมืองฉินเจิ้งนั้นหล่อเหลาราวกับภ
บทที่ 56 โอกาสที่สองของชีวิตเฟิงหย่าเสวี่ยอยู่ในสวนของคฤหาสน์ ขณะที่กำลังวางแผนการทำนาเกลือกับป้าจวงและท่านแม่ ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงบและเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้"ท่านแม่ ป้าจวงเจ้าคะ ข้าคิดว่าการวางรากฐานในการทำนาเกลือครั้งแรกนี้จำเป็นต้องใช้ผู้ที่เชี่ยวชาญมากพอสมควร เพราะพื้นที่ของเรามันกว้างใหญ่ หากใช้การผันน้ำตามธรรมชาติ เกรงว่าน้ำอาจจะไปไม่ถึง" เฟิงหย่าเสวี่ยเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงใคร่ครวญป้าจวงพยักหน้าเห็นด้วย "จริงเจ้าค่ะ ข้าก็คิดเช่นนั้น การทำนาเกลือในพื้นที่ใหญ่ขนาดนี้ต้องการการจัดการที่ดีมาก มิฉะนั้นจะได้ผลผลิตไม่เต็มที่"เฟิงหย่าเสวี่ยพยักก่อนจะกล่าวต่อ "ข้าคิดว่าเราควรใช้เครื่องสูบน้ำเพื่อสูบน้ำจากทะเลเข้าสู่นาที่อยู่บริเวณห่างไกล ข้าต้องการวาดแบบอุปกรณ์ขึ้นมาเพื่อให้พวกช่างได้ลงมือทำ"ท่านแม่ฟังแล้วมองบุตรสาวด้วยความสงสัย "เครื่องสูบน้ำ? เสวี่ยเออร์ เจ้าหมายถึงสิ่งใดหรือ? แม่ไม่เข้าใจนัก" เฟิงซิ่วเหยาไม่เคยได้ป้าจวงเองก็มองเฟิงหย่าเสวี่ยด้วยความงุนงง "เครื่องสูบน้ำนี้คือสิ่งใดเจ้าคะ? ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเช่นกัน"เฟิงหย่าเสวี่ยยิ้มบาง ๆ ก่อนจะอธิบาย "มันคืออุปกรณ์
ตอนพิเศษ 3 บทส่งท้ายแห่งความสุข EP 2 NC...“…อา อื๊อ อี้หลง”เจิ้งอี้หลงใช้ความจัดเจนดูดดุนปลายลิ้นกับทรวงอกอวบสวยทำให้นางแอ่นหน้าอกขึ้นมาด้วยเสียวซ่าน ขณะที่มืออีกข้างก็เขี่ยคลึงเล่นไปที่ปลายถันที่ยังว่างอยู่จนยอดแข็งชันสู้มือหญิงสาวส่ายร่างบิดไปมาบนที่นอนด้วยด้วยความกระสันซ่าน อารมณ์ปรารถนาของนางถูกปลุกเร้าจนตื่นเพริศ เนื้อตัวเร่าร้อนไปหมดนางปรารถนาเขาจริงๆ ส่วนเจิ้งอี้หลงนั้น เมื่อหญิงสาวตอบสนองและไม่หวงเนื้อหวงตัว เขาจึงจัดเต็มตามอารมณ์ที่เก็บกดไว้ ริมฝีปากของเขาหยอกเย้าดูดดุนอยู่ที่ปลายถัน ส่วนมือก็บีบเค้นปทุมถันอวบใหญ่แรงขึ้นจนผิวขาวๆ เริ่มเป็นจ้ำสีแดงตามรอยมือและปาก จนเมื่อเขาละริมฝีปากจากปลายถันก็เล็มไล้ไต่ลงมาที่เนินหน้าท้อง แล้วซุกไซ้จมูกและปากอยู่ที่สะดือสวย ก่อนจะใช้นิ้วเลื่อนลูบไปที่เนินเนื้อโหนกนูนที่บิดส่ายอยู่ใต้ร่างเขา“อ๊า…อี้หลงค่ะ ฉัน..”หญิงสาวสะดุ้งเฮือกขึ้นมา แล้วจับข้อมือชายหนุ่มไว้ เจิ้งอี้หลงยกยิ้มที่มุมปากและค่อยดึงมือของเขาออก และยกมือของนางมาจูบและรวบดูดปลายนิ้วเล็กเรียวแสนสวยนั้นเสียเลย เฟิงหย่าเสวี่ยตัวอ่อนระรวย ไม่มีแรงที่จะห้ามปรามเขาเสียแล้ว… (เฮ้อช่าง
ตอนพิเศษ3 บทส่งท้ายแห่งความสุข ep 1ค่ำคืนอันสดใสในฤดูใบไม้ผลิ ท้องฟ้ายามราตรีเหนือพระราชวังต้าหมิงสว่างไสวไปด้วยแสงประกายของดอกไม้ไฟที่พุ่งขึ้นสูง สาดส่องท้องฟ้าด้วยสีสันอันตระการตา เสียงเพลงบรรเลงจากเครื่องดนตรีพื้นบ้านผสมผสานกับเสียงปรบมือและเสียงหัวเราะของเหล่าประชาชนที่มารวมตัวกันอย่างคับคั่ง บรรยากาศเต็มไปด้วยความสุขและความปลื้มปีติภายในพระราชวังงานเฉลิมฉลองครบรอบ 5 ปีแห่งการครองราชย์ของฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงกำลังดำเนินไปอย่างยิ่งใหญ่ ท้องพระโรงอันวิจิตรตระการตาประดับประดาไปด้วยโคมไฟหลากสี เสนาอำมาตย์และขุนนางจากทั้งแคว้นต้าหมิงและแคว้นต้าโจวต่างมาชุมนุมกันอย่างพร้อมเพรียง เพื่อร่วมแสดงความยินดีและสรรเสริญความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของสองแคว้นฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงประทับบนบัลลังก์แกะสลักมังกร พระพักตร์เปี่ยมด้วยความสุขและความภาคภูมิใจ ขณะที่เฟิงฮองเฮา หรือเฟิงหย่าเสวี่ยนั่งเคียงข้างพระสวามี สวมอาภรณ์สีเหลือทองประดับประดาอย่างงดงามสมเกียรติสะท้อนความงดงามหยดย้อยของนางอย่างชัดเจน แววตาของนางแสดงถึงความมุ่งมั่นและความรักและความเมตตาที่มีต่อแผ่นดินและประชาชน"กระหม่อมขอกราบบังคมทูล" เสนาบดีอาวุ
ตอนพิเศษ 2 สองสุดยอดแพทย์แห่งยุคภายในห้องผ่าตัดขนาดกลางที่ถูกดัดแปลงอย่างพิถีพิถัน แสงจากโคมไฟหลากดวงส่องรวมตรงกลาง เผยให้เห็นเตียงผ่าตัดที่ถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ บนเตียงมีชายชราผู้สูญเสียขาจากสงครามนอนหลับสนิทด้วยฤทธิ์ยาชา รอบข้างเต็มไปด้วยเครื่องมือแพทย์ที่ดูแปลกตาสำหรับแพทย์จำนวนไม่น้อยในยุคนี้วันนี้ถือเป็นวาระสำคัญที่หลายคนต่างพูดถึง เพราะจะมีการผ่าตัดเพื่อใส่ขาเทียมให้กับผู้ป่วยที่ขาพิการโดยผู้นำการผ่าตัดคือนายท่านเฟิงหยวนเจี๋ย คุณชายหมอเทวดาซึ่งกำลังมีชื่อเสียงขจรขจาย และถือเป็นคุณชายเนื้อหอมมากๆ ผู้หนึ่งของแคว้นต้าหมิง และอีกผู้ยิ่งใหญ่อีกผู้หนึ่งก็คือฮองเฮาเฟิงหย่าเสวี่ย ซึ่งแม้ร่างกายเพิ่งฟื้นตัวได้ไม่นาน แต่ความเชี่ยวชาญทางการแพทย์ของนางก็ไม่เป็นสองรองใคร และการผ่าตัดในครั้งนี้ก็เป็นการที่นางต้องการที่จะทำด้วย และวาระสำคัญเช่นนี้ฮ่องเต้ของทั้งสองแคว้นนั้นไม่รอช้าที่จะส่งนายแพทย์มาเพื่อศึกษาดูงาน ซึ่งฮองเฮาเฟิงนั้นก็ยินดีที่จะให้พวกเขาได้เรียนรู้ในการผ่าตัดครั้งนี้ด้วยเหล่าแพทย์ของจากทั้งสองแคว้นคือแคว้นต้าโจวและต้าหมิงรวมตัวกันอยู่รอบ ๆ ทางด้านหลังเพื่อศึกษาขั้นตอนในก
ตอนพิเศษ ครอบครัวสุขสันต์หลังจากที่เฟิงหย่าเสวี่ยฟื้นคืนสติ ข่าวดีนี้ได้แพร่กระจายไปทั่วอย่างรวดเร็วตอนนี้ทั้งประชาชนแคว้นอวี้ไห่และประชาชนแคว้นต้าหมิงต่างก็ความสุขที่ได้รับรู้ว่าเฟิงฮองเฮานั้นได้ฟื้นขึ้นมาแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายในคฤหาสน์หลังใหญ่ที่เมืองอวี้ไห่ในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใส ดอกเหมยท้อบานสะพรั่งทั้งสวนส่งกลิ่นหอมไปทั่ว ภายในสวนที่จัดแต่งเอาไว้อย่างงดงามนั้นมีเสียงหัวเราะและบทบทสนทนาของคนในครอบครัวเฟิงที่นั่งล้อมวงคุยกันอยู่ เฟิงหย่าเสวี่ยหลังจากฟื้นก็ได้รับการดูแลอย่างดีทั้งจากอาจารย์ของนาง ท่านป้าจวงและเฟิงหยวนเจี๋ยที่มักจะนำยาบำรุงชั้นเลิศที่เขาคิดค้นขึ้นมาสำหรับนางโดยเฉพาะมาให้ดื่มเสมอ ทำให้ร่างก่ายของนางนั้นแข็งแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว สมกับที่นางนั้นได้ตกอยู่ในมือของเหล่าหมอเทวดาจริงๆ"ท่านแม่" เฟิงหย่าเสวี่ยเอ่ยเรียกเฟิงซิ่งเหยาที่กำลังนั่งปักรองเท้าอยู่ในสวนดอกไม้ "ท่านแม่ดูอิ่มเอิบขึ้นมากเลยนะเจ้าคะ" เฟิงซิ่งเหยายิ้มอายๆ ขณะที่มือลูบท้องน้อยที่เริ่มนูนขึ้น"เสด็จพ่อของเจ้านี่สิ... ตั้งแต่รู้ว่าข้าตั้งครรภ์บุตรคนนี้ก็เอาแต่แพ้ท้องแทนข้า กินไม่ได้นอนไม่หลับวิงเวียนอยู่ตลอดเ
บทที่ 163 จนกว่าจะพบกัน.. (จบบริบูรณ์)แสงแดดยามเช้าสาดส่องเข้ามาผ่านหน้าต่างโรงพยาบาลในยุคปัจจุบัน เฟิงหย่าเสวี่ยค่อยๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาที่เคยเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวากลับสับสนเล็กน้อย ราวกับจิตวิญญาณของนางยังคงล่องลอย เธอมองเพดานสีขาวสะอาดและพยายามดึงความทรงจำที่กระจัดกระจายกลับคืนมาเธอถูกพาออกจากโลกแห่งยุคโบราณและกลับมายังยุคปัจจุบัน ร่างกายของนางอ่อนแอแต่หัวใจของนางเต็มไปด้วยความทรงจำอันเจ็บปวด นางนึกถึงผู้คนที่นางได้ช่วยเหลือและเสียสละเพื่อพวกเขา นึกถึงท่านแม่และเจ้าเล็กหากว่าพวกเขารู้ข่าวจะเป็นอย่างไรนะ…คงจะเศร้าเสียใจอย่างแน่นอน..ไหนจะป้าจวงที่จะต้องรู้สึกผิดที่ไม่สามารถที่จะช่วยเหลือนางได้ จากนั้นน้ำตาไหลของนางก็ออกมาเงียบๆ ขณะที่นางพึมพำชื่อคนที่คุ้นเคยจากโลกอีกใบหลังจากนั้น เฟิงหย่าเสวี่ยฟื้นตัวและกลับไปดำเนินชีวิตในฐานะจิตรกร นางใช้ศิลปะในการแสดงความรู้สึกและความทรงจำจากอดีต ทุกภาพที่นางวาดล้วนเต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการเสียสละและความหวัง นางกลายเป็นจิตรกรที่มีชื่อเสียง ผู้คนต่างหลงใหลในผลงานของนางโดยไม่รู้ว่านั่นคือเศษเสี้ยวของชีวิตที่นางเคยผ่านพ้นมา แต่ทว่าพู่กันชิงหลงที่เธอใช
บทที่ 162 พี่ใหญ่...ท่านผิดสัญญาเช่นนั้นหรือ?“จบแล้ว...” เฟิงหย่าเสวี่ยพึมพำ เสียงแผ่วบางราวกับสายลมที่พัดผ่านใบไม้ร่วง ร่างบางของนางค่อยๆ ทรุดลงกับพื้นอย่างช้าๆ ราวกับวิญญาณที่กำลังหลุดลอยไปจากโลกนี้“คุณหลีหนิง!” เสียงของเจิ้งอี้หลงดังขึ้นด้วยความตกใจ พระองค์รีบพุ่งเข้ามาประคองร่างของนางไว้ในอ้อมพระกร พระพักตร์ซีดเผือด น้ำพระเนตรเอ่อคลอ “คุณหลีหนิง! ลืมตาขึ้นมา! อย่าทิ้งข้าไปแบบนี้!”ดวงตาของเฟิงหย่าเสวี่ยค่อยๆ เปิดขึ้นอย่างยากลำบาก เปลือกตาที่หนักอึ้งเผยให้เห็นดวงตาที่แฝงไว้ด้วยความอ่อนล้าและเศร้าสร้อย ริมฝีปากซีดเผือดสั่นระริก “อี้หลง... ข้า... ข้าเหนื่อยเหลือเกิน...”“ไม่เป็นไร ข้าอยู่ตรงนี้” เจิ้งอี้หลงพูดด้วยน้ำเสียงสั่น มือหนาลูบใบหน้าซีดขาวของนางอย่างอ่อนโยน ราวกับพยายามปลอบประโลมความเจ็บปวดของนาง “เจ้าอย่าพูดแบบนี้ เจ้าจะไม่เป็นอะไร ข้าสัญญา...”เฟิงหย่าเสวี่ยพยายามยกมือที่อ่อนแรงขึ้นแตะใบหน้าที่แสนหล่อเหลาของเจิ่งอี้หลง มือที่เย็นเฉียบสั่นระริกจนเจิ้งอี้หลงรู้สึกได้ถึงความสิ้นหวัง “ข้า... ใช้พลังทั้งหมดแล้ว... ทุกหยด... ตอนนี้ข้ารู้สึกเหมือน... เหมือนวิญญาณกำลังหลุดลอย
บทที่ 161 ข้าได้บอกเจ้าหรือยังว่าอาจารย์ของข้าคือ จวงหลิวเฟิง!!!เฟิงหย่าเสวี่ยถูกกับไป่เหลียนใช้มีดจี้ที่คอและถูกจับเอาไว้ พยายามนิ่งมากที่สุดแม้ว่าตอนนี้นางแmบจะไม่มีแรงที่จะยืนแล้ว ขณะนั้นเองมือขวากำเข็มเงินแน่น สายตาจับจ้องทุกการเคลื่อนไหวของอีกตนที่ตอนนี้ทุกคนต่างก็ล้อมไป่เหลียนเอาไว้ ทุกทางส่วนกองทัพเด็กของนางนั้นต่างก็ถูกช่วยเหลือและพาออกจากสถานที่นี้แล้ว ทำให้ตอนนี้กลางลานนั้นมีเพียงนางเท่านั้นที่ยังคงยืนหยัดอยู่พร้อมกับตัวประกันของนางที่เป็นคนที่สำคัญที่สุดด้วย"เจ้าคิดว่าตัวเองจะหยุดข้าได้หรือ?" ไป่เหลียนเอ่ยเสียงเย็น พลางหันมองดวงหน้าที่งดงามของนังเด็กบ้าผู้นี้…เหตุใดนางถึงได้งดงามเช่นนี้แม้ว่าตอนนี้หน้าของนางจะซีดเซียวมากก็ตาม ไป่เหลียนคิด ดวงตาฉายแววอำมหิตขึ้นมาอีกครั้ง "เด็กน้อยอย่างเจ้า ช่างงดงามเสียจริงหากว่าความงามของเจ้าเป็นของข้าคงจะดีไม่น้อย ฮ่าฮ่าฮ่า!" นางพูดขึ้นมา พลางพยักหน้ากับความคิดของตัวเอง และคิดหาทางที่จะใช้ประโยชน์จากความเยาว์วัยนี้ให้ได้"ข้ารู้ว่าท่านกำลังทำผิด" เฟิงหย่าเสวี่ยตอบเสียงมั่นคง มือยังคงกำเข็มเงินแน่น "ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด การทำร้ายผู้บริสุท
บทที่ 160 เจ้าแพ้แล้ว!!จวงหลิวอวี้จ้องมองเหตุการณ์ที่เบื้องหน้าอย่างแน่นิ่ง สายตาของนางจับจ้องเฟิงหย่าเสวี่ยที่ยกพู่กันชิงหลงขึ้นมา เสียงหัวใจเต้นหนักหน่วงในอกบอกให้นางรู้ว่าสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไปนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก นางรีบพุ่งตัวเข้าหาหลานสาวทันที มือแข็งแรงคว้ามือที่กำพู่กันไว้แน่นก่อนที่จะทันได้วาดอะไรลงในอากาศ“อะไรก็ตามที่เจ้าคิดจะทำและเสียสละ...จงหยุดมันเดี๋ยวนี้!!!” จวงหลิวอวี้เอ่ยเสียงดัง สายตาของนางเต็มไปด้วยความกังวลและห่วงใยเฟิงหย่าเสวี่ยเงยหน้าขึ้นมองป้าจวง ดวงตาคู่นั้นเปี่ยมไปด้วยความรักและเคารพที่นางมีต่อผู้ที่คอยปกป้องและดูแลมาตลอด ทว่าในแววตานั้นกลับแฝงไว้ด้วยความมุ่งมั่นที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลง“ท่านป้า...” เฟิงหย่าเสวี่ยพูดเสียงสั่น ดวงตาเริ่มเอ่อคลอด้วยหยาดน้ำตา “ข้าขอโทษ...” คำพูดนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและความอาลัยจวงหลิวอวี้มองหลานสาวอย่างตกตะลึง นางยื่นมือไปจับใบหน้าของเฟิงหย่าเสวี่ย “เสวี่ยเออร์... เจ้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ เจ้าคือความหวังของตระกูลเฟิง! ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าเสียสละตัวเองเด็ดขาด เจ้านึกถึงท่านแม่และน้องชายของเจ้าสิพวกเขาจะเป็นอย่างไร หากว่า
บทที่ 159 ฉันขอทำหน้าที่ของฮองเฮาที่กล้าเสียสละเพื่อลูกหลาน"และนี่คือผลงานชิ้นเอกของข้า!" ไป่เหลียนผายมือไปที่เด็กๆ "พิษที่ไม่เพียงทำลายร่างกาย แต่ยังบดขยี้จิตวิญญาณ ทำให้พ่อแม่ต้องเห็นลูกของตัวเองกลายเป็นเครื่องมือสังหาร! ความทรมานทั้งผู้ใช้และผู้ถูกใช้ นี่คือสิคือสิ่งที่เรียกว่าพิษที่ดีที่สุดที่ที่ข้าสามารถสร้างขึ้นมาได้ ไม่เพียงทำลายหนึ่งแต่ทำลายได้ทั้งครอบครัวฮ่าฮ่าฮ่า!" เสียงหัวเราะของนางดังลั่นไปทั่วเฟิงซินซินร้องไห้จ้า มือน้อยๆ กำพู่กันแน่นดวงตาเล็กๆ ของนางมองไปที่เหล่าเด็กๆ ที่ถูกทำให้กลายเป็นหุ่นเชิดเป็นร่างที่ไร้ชีวิต"นางสละความเป็นมนุษย์... แลกกับพลังแห่งความชั่วร้าย ยิ่งมีผู้ถูกพิษตาย พิษก็ยิ่งแข็งแกร่ง ยิ่งมีผู้ทุกข์ทรมาน พิษก็ยิ่งร้ายกาจ... วงจรแห่งความชั่วร้ายที่ไม่มีวันสิ้นสุด!"จวงหลิงเฟิงสะท้านเฮือก "นี่มัน... เกินกว่าที่มนุษย์คนใดจะทำได้ไป่เหลียนเจ้านี่มันกู่ไม่กลับจริงๆ ไม่เคยสำนึกถึงความผิดของตัวเอง..""ฮ่าฮ่าฮ่า!!!นี่เจ้ารู้ได้อย่างไรเพื่อนรักว่าข้าไม่ใช่มนุษย์แล้ว!" ไป่เหลียนตะโกนก้องและหันมาจ้องมองเพื่อนรักในอดีตที่ได้กลายมาเป็นศัตรูคู่แค้น และเพราะความแค้น