บทที่ 46 ความเค็มของเกลือคือรสชาติของชีวิต...ชีวิตที่ร่ำรวย!!ความเสียอกเสียใจของเสนาบดีเจียงเฉินนั้นคนตระกูลเฟิงแห่งเมืองอวี้ไห่ หาได้รับรู้ไม่ พวกนางรออยู่ไม่กี่วัน ท่านเจ้าเมืองและเหล่าเจ้าหน้าที่เมืองอวี้ไห่ก็แห่กันมาที่คฤหาสน์พวกนาง การมาครั้งนี้พวกเขามีจุดมุ่งหมายคือการนำเอกสารการเป็นผู้ถือสัมปทานค้าเกลือกับทางราชสำนักมาให้ ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่มากจริงๆ อย่างที่ทุกคนทราบ เกลือนั้นประดุจทองคำสีขาว ทุกคนต่างก็ต้องการ หากว่าตระกูลเฟิงแห่งอวี้ไห่ผลิตออกมาได้ ความเจริญมั่งคั่งนั้นจะต้องเผื่อแผ่มาที่เมืองอวี้ไห่อย่างแน่นอน แรกสุดคือการจ้างแรงงานที่พวกชาวเมืองจะได้รับอย่างแน่นอน ดังนั้นพวกเขาจึงถือเป็นเกียรติที่ยิ่งใหญ่จึงได้พากันมาเพื่อแสดงความยินดีเมื่อทางคฤหาสน์เฟิงเห็นเหล่าเจ้าหน้าที่ของเมืองมากันหลายสิบคน ไหนจะท่านเจ้าเมืองที่มาเอง พวกนางจึงถือโอกาสจัดเลี้ยงพวกเขาทั้งหมดเสียเลย เพื่อเป็นการขอบคุณที่พวกเขาช่วยกันทำให้เอกสารสำเร็จโดยเร็ว บรรยากาศในงานเลี้ยงนั้นเต็มไปด้วยความสนุกสนาน อาหารคาวหวานมากมายถูกจัดเตรียมอย่างพิถีพิถัน มีทั้งเป็ดย่าง หมูกรอบ เนื้อตุ๋น และอาหารทะเลท
บทที่ 47 เมื่อหยกล้ำค่าหลุดมือขณะที่ท่านเจ้าเมืองอวี้ไห่กำลังตกลงเรื่องการซื้อขายที่ดินห่างไกลให้กับตระกูลเฟิง เพื่อที่จะนำมาใช้ในการทำนาเกลือ เจ้าหน้าที่ตำแหน่งเล็ก ๆ ในศาลาว่าการก็วิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก เขาหอบหายใจหนักก่อนจะกล่าวออกมา "ท่านเจ้าเมืองขอรับ บ่าวที่จวนของท่านมาตาม บอกว่าฮูหยินผู้เฒ่าล้มศีรษะฟาดพื้น ตอนนี้ยังไม่ได้สติเลยขอรับ"เมื่อฉินเจิ้งได้ยินเช่นนั้น เขารู้สึกราวกับเกลือที่แสนเค็มซึ่งกำลังทำให้ลิ้นของเขาชุ่มไปด้วยรสอร่อย กลับเปลี่ยนเป็นรสขมที่กรีดแทงขึ้นมาในใจทันที เขารู้สึกได้ถึงความร้ายแรงของการล้มสำหรับคนชรา ภาพของท่านแม่ที่นอนหมดสติ บาดเจ็บ และอาจจะไม่มีวันฟื้นขึ้นมา ทำให้หัวใจของเขาแทบหยุดเต้น "ท่านแม่ของข้า!" เขาอุทานเบา ๆ แต่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและเป็นห่วง พลางวางเกลือในมือลงโดยไม่ลังเล ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยความเร่งรีบและความกลัวที่กำลังแทรกซึม "ข้าจะรีบไปเดี๋ยวนี้!"เมื่อเห็นท่าทางตกใจและรีบร้อนของท่านเจ้าเมือง เหล่าเจ้าหน้าที่ในศาลาว่าการต่างก็ตกใจเช่นกัน พวกเขาทราบดีว่าท่านเจ้าเมืองรักท่านแม่ของเขามากเพียงใด หลายคนเริ่มซุบซิบกันด้วยความเป็นห่วง
บทที่ 48 พู่กันชิงหลงและการปลุกพรสวรรค์ของเฟิงหยวนเจี๋ยในขณะที่ท่านเจ้าเมืองอวี้ไห่ฉินเจิ้งนั้นรู้ว่าตัวเองทำสิ่งมีค่าอย่างหลินเหมยหลุดมือไปเสียแล้ว และได้เริ่มสืบดูแรงจูงใจของอี้เหนียงที่รักของเขาว่าเหตุใดนางจึงได้คิดที่จะวางยาคนในจวนทางด้านเฟิงหย่าเสวี่ยท่านแม่และป้าจวงก็ได้กลับมาถึงคฤหาสน์แล้ว เมื่อกลับมาถึงผู้ที่นั่งรอพวกนางอยู่ในห้องนั้นไม่ใช่ใครแต่เป็น เจ้าตระกูลน้อยผู้ยิ่งใหญ่ของตระกูลเฟิงที่ฟื้นจากการผ่าตัดและการพักฟื้นแล้ว…เฟิงหยวนเจี๋ยนั้นเอง เมื่อเขาเห็นพี่ใหญ่ท่านแม่และท่านป้าจวงกลับมาแล้วก็กระโดดลงจากเก้าอี้วิ่งมาให้ทันที…"ท่านแม่! พี่ใหญ่! ป้าจวง! พวกท่านกลับมาแล้ว!" เสียงเล็ก ๆ ของเฟิงหยวนเจี๋ยดังขึ้นด้วยความตื่นเต้น เขาวิ่งมาด้วยท่าทีร่าเริง ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มสดใส นัยน์ตากลมโตส่องประกายเหมือนดาวที่สดใสในยามค่ำคืนเฟิงหย่าเสวี่ยยิ้มอย่างอ่อนโยน นางก้มลงอ้าแขนรับเด็กน้อย "เสี่ยวลิ่ว..เอะ.ไม่ใช่แล้วสิต่อไปต้องเป็นท่านเจ้าตระกูลน้อยหยวนเจี๋ยแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง พักฟื้นดีหรือไม่?" พี่สาวคุณกับน้องชายของนางขณะที่ท่านแม่มองดูลู
บทที่ 49 ข้าผิดไปแล้ว!! ep 1 ท่านเจ้าเมืองฉินเจิ้งนั่งนิ่งในห้องของท่านแม่ ฮูหยินผู้เฒ่าที่บัดนี้อยู่ในสภาพที่อ่อนแอจนไม่สามารถลุกขึ้นจากเตียงได้ นางนอนอยู่บนเตียงด้วยใบหน้าซีดเซียวและดวงตาที่ดูเหนื่อยล้า เหมือนวิญญาณจะหลุดลอยไปได้ทุกเมื่อ ร่างกายที่เคยแข็งแรงบัดนี้กลับกลายเป็นเพียงเงาของอดีต ผิวหนังแห้งเหี่ยวและเต็มไปด้วยรอยย่นที่เพิ่มขึ้นในเวลาเพียงไม่กี่วัน ท่านหมอประจำตระกูลทำการรักษานางอย่างดีที่สุดแล้ว แต่ท่านแม่ก็ยังไม่ฟื้นฟูกำลังวังชาเช่นเดิม ชีวิตของนางเหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้ายพร้อมที่จะขาดลงได้ทุกขณะ ท่านเจ้าเมืองมองสภาพของแม่ด้วยความเศร้าและความรู้สึกผิดที่ทิ่มแทงใจ นึกถึงสิ่งที่บ่าวชราซื่อสัตย์คนสนิทของท่านแม่เล่าให้ฟัง ถึงการที่หลินเหมยเป็นผู้ดูแลท่านแม่มาตลอดเวลาความรู้สึกผิดแผ่ซ่านในหัวใจของท่านเจ้าเมืองฉินเจิ้ง เขารู้สึกว่าตนเองได้ทำผิดพลาดมากที่สุดในชีวิต ขณะที่ท่านหมอกำลังดูแลท่านแม่ของเขาอยู่ ฉินเจิ้งก็ยืนอยู่ข้างเตียง จ้องมองมารดาที่ตอนนี้ดูชราและอ่อนแอกว่าเดิมมาก เขาไม่สามารถที่จะช่วยเหลือท่านแม่ได้เลย นั่นทำให้เขารู้สึกเสียใจและรู้สึกอับอายกับการที่ตนเองไม่ใส่
บทที่ 50 ข้าผิดไปแล้ว!! ep 2ท่านเจ้าเมืองฉินเจิ้งยืนอยู่หน้าประตูคฤหาสน์ของตระกูลเฟิง หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความกังวลและความรู้สึกผิดที่ท่วมท้น เขาไม่เคยรู้สึกอ่อนแอเช่นนี้มาก่อน แต่ตอนนี้เขาก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าตัวเองผิดมหันต์ เขาพยายามหายใจเข้าลึกๆ แม้ว่าจะหวาดกลัวอยู่บ้าง ก่อนจะส่งสายตาไปยังป้าจวงที่ยืนอยู่หน้าประตูป้าจวงขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจเมื่อนางเห็นท่านเจ้าเมืองมาถึง แต่ถึงแม้ว่านางจะไม่พอใจเพียงใดก็ตาม นางก็รู้ดีว่าเขาคือเจ้าเมืองของอวี้ไห่ และไม่มีทางที่จะปฏิเสธไม่ให้เข้าได้ นางถอนหายใจยาวก่อนจะหันไปเรียกคนรับใช้ให้พาท่านเจ้าเมืองเข้ามา"เชิญท่านเจ้าเมืองเข้ามา!!" ป้าจวงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมที่แฝงไปด้วยความไม่พอใจ นางไม่อาจซ่อนความโกรธและความเกลียดชังที่มีต่อผู้ชายคนนี้ได้ คนที่ทิ้งได้กระทั่งลูกเมียของตัวเอง ไม่ว่าจะหาเหตุผลใดมารองรับการกระทำสำหรับนางแล้วก็คือ คนเลวไม่มีความรับผิดชอบนั้นเอง …ท่านเจ้าเมืองฉินเจิ้งเดินตามบ่าวเข้าไปในห้องรับรอง ซึ่งมีหลินเหมยนั่งอยู่กับลูกสาว นางสวมชุดสีเขียวอ่อนที่ดูเรียบง่าย แต่กลับให้ความรู้สึกสง่างามและมีออร่าที่เปล่งประกายออกมาร
บทที่ 51 ที่ดินทำนาเกลือ 5000 หมู่ท่านเจ้าเมืองฉินเจิ้งเดินออกจากคฤหาสน์เฟิงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แววตาของเขายังคงสั่นไหวด้วยความกังวลจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเรือนของหลินเหมย เมื่อเดินมาถึงใต้ต้นไม้ใหญ่ที่เขามัดม้าทิ้งไว้ เขารู้สึกว่าหน้าอกของเขาร้อนขึ้นมาอย่างไม่คาดคิด ความร้อนนั้นค่อยๆ แผ่กระจายไปทั่วร่าง เขายกมือขึ้นมาลูบและถูบริเวณหน้าอกเบาๆ พยายามระงับความเจ็บปวดที่ก่อตัวขึ้นมา แต่ไม่ทันไร ร่างของเขาก็กระอักเลือดออกมา หยดเลือดสีแดงเข้มไหลรินลงบนพื้นดิน ฉินเจิ้งรีบพยุงตัวเองไปที่ต้นไม้ใหญ่เพื่อหาที่พักพิง เขาหายใจแรงๆ หลายครั้ง พยายามใช้เวลาสักครู่เพื่อบรรเทาความเจ็บปวดนั้นให้คลายลง“ข้าอาจจะเครียดเรื่องท่านแม่มากเกินไป...หรือเรื่องของหลินเหมย…” เขาพึมพำกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะยกมือเช็ดคราบเลือดที่มุมปาก หลับตาลงครู่หนึ่งเพื่อรวบรวมกำลังใจและพลังงานให้กลับคืนมา เมื่อรู้สึกดีขึ้น เขาจึงค่อยๆ ลุกขึ้นยืนและเดินไปที่ม้าของเขา ก่อนจะขี่ม้าตรงไปยังศาลาว่าการ เพื่อทำหน้าที่ในฐานะเจ้าเมืองอวี้ไห่ แม้ว่าเรื่องราวในเรือนจะยังคงสับสนและวุ่นวายเพียงใด เขาก็รู้ดีว่างานของเขายังคงต้องดำเนินต่อไปเม
บทที่ 52 เลขอารบิกและสูตรคูณบรรยากาศในศาลาว่าการเมืองเป็นไปด้วยความคึกคักในยามบ่าย หลังจากที่พวกเขากลับจากการไปตรวจที่ดินกับท่างตระกูลเฟิง เมื่อท่านเจ้าเมืองและเหล่าเจ้าหน้าที่นั่งตรงหน้าเฟิงหย่าเสวี่ย ซึ่งนางให้ท่านเจ้าเมืองนั้นจัดเก้าอี้เป็นแบบห้องเรียนในยุคปัจจุบันและนำกระดานดำและถ่านสีขาวที่นางวาดออกมาสำหรับการสอนในครั้งนี้โดยให้ติดเอาไว้สูงเพื่อให้ทุกคนที่นั่งอยู่ได้เห็น โดยตัวนางนั้นขอเก้าอี้เพื่อที่จะเขียนตัวหนังสือบนกระดานได้ถึง จากนั้นเมื่อท่านเจ้าเมืองนั้นสั่งให้เจ้าหน้าที่ทุกคนในศาลาว่าการวางมือจากงานที่ทำอยู่และให้หาเก้าอี้มานั่งเรียนรู้วิชาที่คุณหนูเฟิงกำลังจะสอนทันที ท่านเจ้าเมืองนั้นให้ความสำคัญกับเรื่องการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และยิ่งสิ่งที่กำลังจะเรียนรู้นี้จะนำประโยชน์มาให้พวกเขาทุกคนเขาจึงได้ถือเป็นเรื่องใหญ่เป็นวาระสำคัญแห่งเมืองอวี้ไห่ก็ว่าได้ ซึ่งเหล่าเจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ถึงแม้จะไม่เข้าใจแต่ก็ไม่มีใครที่คิดจะขัดท่านเจ้าเมืองฉินเจิ้งท่านนี้ พวกเขาต่างก็รีบหาเก้าอี้มานั่งต่อๆ กันไป ตอนนี้เมื่อเฟิงหย่าเสวี่ยหันหลังมองกลับมานั้นความรู้สึกของนางนั้นช่างเหมือนกับการมองนักเ
บทที่ 53 กองกำลังรักษาตระกูลเฟิงหลังจากทางเมืองอวี้ไห่ได้ทำการขายที่ดินขนาดใหญ่ถึง 5,000 หมู่ให้กับทางตระกูลเฟิง ซึ่งพวกนางก็จ่ายเงินไปมากถึง 10 ล้านตำลึงให้กับทางเมืองอวี้ไห่ ตอนนี้เฟิงซิ่วเหยา เฟิงหย่าเสวี่ย และป้าจวงมานั่งล้อมวงกันอีกครั้งเพื่อที่จะดูว่าเงินที่เหลือตอนนี้มีอยู่มากเท่าไหร่“หลังจากจ่ายค่าที่ไปแล้ว ตอนนี้บ้านเราเหลือเงินอยู่ 7 แสนกว่าตำลึง” ป้าจวงที่ล้วงเงินออกมาจากตะกร้าไม้ไผ้นับและบอกออกไป“7 แสนตำลึงจะว่ามากก็มาก จะว่าน้อยก็น้อย หากว่าพวกเราจะทำให้ตระกูลเฟิงของเรามั่นคงมากกว่านี้ เงินเก็บของตระกูลไม่ควรจะน้อยกว่า 100 ล้านตำลึง”เฟิงหย่าเสวี่ยที่ในยุคก่อนเป็นผู้ที่ไม่เคยขาดเงินทอง เพราะในยุคก่อนที่จะทะลุมิติมานั้น นางมีเงินเก็บมากกว่า 1,000 ล้านจากการขายภาพวาดของนางที่มีชื่อเสียงและเป็นที่ต้องการมาก บางภาพนั้นประมูลได้มากถึง 300 ล้านก็มี ทำให้นางนั้นไม่ค่อยพอใจกับจำนวนเงิน 7 แสนตำลึงที่ตระกูลของนางมีในตอนนี้มาก ส่วนป้าจวงกับท่านแม่เมื่อได้ยินจำนวนเงินที่ลูกสาวต้องการ พวกนางถึงกับแอบกลืนน้ำลายเลยทีเดียว…อะไรคือมีเงิน 100 ล้านตำลึง ในชาตินี้พวกนางไม่เคยนึกฝันมาก่อน
บทที่ 133 ใต้ร่มพระบารมีของฮ่องเต้ผู้ทรงเมตตาตรงลานกว้างตอนนี้ถูกจัดให้เป็นที่ตั้งโต๊ะสำหรับวางอาหารถึงห้าร้อยโต๊ะเรียงรายจนสุดลูกหูลูกตา เสียงแม่ครัวและนายทหารขะมักเขม้นตระเตรียมหม้อโจ๊กขนาดใหญ่ กลิ่นของข้าวตุ๋นที่เดือดปุด ๆ ส่งไอร้อนฉุยขึ้นสู่ยอดผ้าใบกันแดด จนใครที่เดินผ่านก็อดกลืนน้ำลายไม่ได้ ขณะเดียวกัน กลิ่นร้อนกรุ่นของซาลาเปาหอม ๆ ก็ลอยอบอวลกระตุ้นความหิวโหยในหัวใจผู้คนหลายพันชีวิตที่รอต่อคิวอยู่ ทั้งเด็กตัวน้อยที่มีตาโหลลึก และคนเฒ่าคนแก่ที่นั่งพิงไม้เท้า ต่างพากันขยี้ตาเพราะคิดว่าตัวเองกำลังฝันไป ซาลาเปาเป็นพันเป็นหมื่นลูกจะมีจริง ๆ หรือ!เหนือศีรษะ หลักไม้ถูกตั้งเรียงเป็นแนวค้ำผ้าใบขนาดใหญ่เพื่อกันแดด แต่ก็ทำได้เพียงบรรเทาความร้อนแผดเผาลงมาเล็กน้อย บางคนมีเหงื่อไหลอาบจนเสื้อผ้าติดเนื้อ บ้างหน้ามืดแสบตาเพราะไม่ได้กินข้าวมาหลายมื้อ แต่ถึงกระนั้นก็ยังอดทนต่อแถวอย่างเป็นระเบียบเพื่อหวังจะได้รับเสบียงอาหารอันล้ำค่านี้องค์ฮ่องเต้เจิ้งอี้หลง ประทับยืนอยู่ด้านหน้าสุด ตรงโต๊ะไม้ตัวใหญ่ที่ทีมงานใช้เป็นจุดศูนย์กลางในการแจกจ่ายเสบียง พระองค์ฉลองพระองค์อย่างเรียบง่ายในโทนสีอ่อน แฝงไว้ด
บทที่ 132 พระราชามาแจกอาหารยามอรุณรุ่ง แสงสีทองบางเบาแตะแต้มผืนฟ้าเหนือค่ายพักแรม เหล่าทหารและขุนนางของแคว้นต้าหมิงเริ่มเคลื่อนไหวเพื่อเริ่มต้นวันใหม่ สายลมอ่อนโยนพัดผ่านพุ่มไม้และผืนหญ้า ส่งกลิ่นดินชื้นหลังการต่อสู้มาเหนื่อยหนักหลายคืน เมื่อยามราตรีถูกแทนที่ด้วยแสงของอรุณ วันใหม่ก็เริ่มต้นขึ้น โดยมีร่องรอยของอดีตเป็นเครื่องเตือนว่าการฟื้นฟูแคว้นนี้ยังอีกยาวไกลท่ามกลางลานกว้างในค่ายพักแรม ฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงยืนอยู่เบื้องหน้า สายพระเนตรจับจ้องไปยังสองพี่น้องตระกูลเฟิงที่ยืนสงบนิ่งเบื้องพระพักตร์ พวกเขาเป็นแขกผู้มาเยือนจากแคว้นต้าโจว แต่กลับต้องต่อสู้ร่วมกันเพื่อปกป้องผู้บริสุทธิ์ จากอำนาจอันโหดร้ายของอดีตฮองเฮาเหวินลี่หรงและเหล่าบริวารที่กดขี่ราษฎรมานานแสนนาน หลังจากที่สองพี่น้องตระกูลเฟิงได้ช่วยเหลือฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงจัดการกับเหวินเทียนหลงและจัดการระเบิดถ้ำแห่งนั้นแล้วทั้งสองก็จะกลับมาแคว้นต้าโจวก่อนจากกันเฟิงหย่าเสวี่ยและเฟิงหยวนเจี๋ยยืนอยู่ตรงหน้าฮ่องเต้เจิ้งอี้หลง ท่ามกลางสายลมยามเช้าที่พัดโชยเฟิงหยวนเจี๋ยและเฟิงหย่าเสวี่ยสวมเสื้อผ้าเดินทางอย่างเรียบง่าย ทว่าท่วงท่าของทั้งคู่เต็ม
บทที่ 131 ผู้ถือครองพู่กันมังกรดำคนใหม่ / ป้ายทองเว้นโทษตายพู่กันมังกรดำส่องประกายวูบวาบ ก่อนจะพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าและมุ่งหน้าตรงไปที่แคว้นต้าโจวมันพุ่งอย่างเร็วและแรงเลยผ่านหลายเมืองของแคว้นต้าโจวไม่ว่าจะเป็นดินแดนทางเหนือเลยผ่านเมืองหลวง และมุ่งหน้าลงใต้และในที่สุดมันก็สิ้นสุดลงที่่เมืองอวี้ไห่จากนั้นก็ค่อยๆ ลอยไปที่คฤหาสน์หลังใหญ่ของตระกูลเฟิงที่ตอนนี้มีผู้ที่อยู่ที่นั่นมีเพียงแค่หลินเหมยและเฟิงซินซินลูกสาวตัวน้อยของนางนั้นเองในห้องที่อบอุ่นของคฤหาสน์ตระกูลเฟิง เฟิงซินซินน้อยเพิ่งดื่มนมมารดาเสร็จ ดวงตากลมโตเริ่มหรี่ลงด้วยความง่วง ริมฝีปากน้อยๆ ยังเปื้อนรอยนม หลินเหมยได้อุ้มลูกน้อยไปนอนในเปลและเมื่อเห็นว่าลูกน้อยหลับนางจึงได้ออกจากห้องไปแต่แล้วลมเย็นก็พัดผ่านเข้ามาในห้อง พู่กันมังกรดำลอยเข้ามาอย่างเงียบเชียบ มันวนเวียนอยู่เหนือเปลเด็ก ปลายพู่กันแตะเบาๆ ที่ปลายจมูกเล็กๆ ของเฟิงซินซินเด็กน้อยขยับตัว มือป้อมๆ ยกขึ้นปัดราวกับกำลังขับไล่แมลงหรือสิ่งก่อกวนที่ไม่พึงปรารถนาแต่แค่มือเล็กนุ่มนิ่มของนางปัดเบาๆ ของเด็กน้อยคราวนี้กลับสัมผัสเข้ากับด้ามพู่กันที่เย็นเยียบเป็นพู่กันมังกรดำโบราณท
บทที่ 130 การต่อสู้ครั้งสุดท้ายของมังกรทองเสียงหยดน้ำที่กระทบพื้นหินดังสะท้อนก้องภายในถ้ำมืดมิดราวกับโถงใต้พิภพที่ไร้จุดสิ้นสุด บรรยากาศชวนให้หัวใจเต้นระส่ำราวกับมีมือที่มองไม่เห็นกำลังบีบรัดอยู่รอบคอ ทุกคนค่อยๆ ก้าวลึกเข้าไปทีละน้อยอย่างระแวดระวัง เสียงสวดที่ดังก้องอยู่รอบข้างฟังดูเหมือนเสียงครวญครางของวิญญาณซึ่งโหยหาการปลดปล่อย เสียงหอบหายใจของเหล่าทหารและคนในคณะเดินทางประสานเข้ากับเสียงน้ำหยด ท่ามกลางความมืดที่สลัว แสงจากคบเพลิงสาดส่องให้เห็นภาพวาดโบราณบนผนังถ้ำ เป็นภาพของมังกรดำกำลังกลืนกินดวงจันทร์อย่างดุร้าย สะท้อนให้เห็นร่องรอยความน่าสะพรึงในอดีตที่เคยถูกผนึกไว้ในถ้ำแห่งนี้กลางโถงถ้ำกว้าง เหวินเทียนหลงผู้ถูกครอบงำด้วยพลังมืดแห่งพู่กันมังกรดำกำลังตกอยู่ในสภาพอันชวนขนลุก ร่างกายของเขาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นร่างครึ่งมังกร เกล็ดสีดำทะมึนขึ้นปกคลุมเนื้อหนัง ลามไปถึงใบหน้าจนเห็นเค้าโครงแทบไม่เหลือเค้าคนเดิม ดวงตาสีแดงฉานเบิกกว้างดุจสัตว์ร้ายที่กระหายเลือด เสียงหัวเราะของเขาแหลมสูงสะท้อนก้องราวกับภูตผีที่อาละวาดในคืนเดือนมืด"หยุดเดี๋ยวนี้!" ฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงตรัส "เจ้ากำลังทำลายชีวิตผู้บ
บทที่ 129 ถ้ำศักดิ์สิทธิ์ตระกูลเหวิน"เป็นแค่งู จะสู้มังกรได้อย่างไร? ชิงหลง!!"เฟิงหย่าเสวี่ยตะโกนขึ้นมายกพู่กันขึ้นตวัดวาดอักขระด้วยจังหวะที่สงบนิ่ง แต่เต็มไปด้วยพลังที่ซ่อนอยู่ แสงสีเงินเริ่มเปล่งประกายจากพู่กัน และทันใดนั้น เสียงคำรามแผ่วลึกก็ดังก้องไปทั่วป่า มังกรที่นางวาดคราวนี้ไม่ใช้มังกรทองแต่ทว่าเป็นมังกรเหล็กขนาดมหึมาปรากฏขึ้นจากแสงอักขระ ร่างของมันแวววาวด้วยเกล็ดโลหะคมกริบ ดวงตาสีแดงเพลิงจับจ้องไปยังงูยักษ์มังกรเหล็กพุ่งเข้าโจมตีอย่างดุเดือด กรงเล็บและหางของมันกวาดผ่านนางพญางูยักษ์ เกล็ดแข็งของงูไม่อาจต้านทานพลังอันมหาศาลนี้ได้ เสียงคำรามของงูดังสะท้อนป่า ขณะที่มังกรเหล็กใช้กรงเล็บจับงูไว้แน่น ก่อนที่มันจะอ้าปากพ่นไฟสีเงินบริสุทธิ์ที่ในเปลวไฟนั้นเป็นพิษที่เหมือนกับตะกั่วใส่ร่างของนางพญางูยักษ์ภายในพริบตา นางพญางูยักษ์ก็ถูกพิษตะกั่วลามไปทั่วทั้งร่างไม่สามารถขยับตัวได้ จากนั้นมังกรเหล็กก็ใช้หางฟาดอย่างแรงไปที่ร่างของมันทำให้มันแตกเป็นเสี่ยงๆ ราวกับกระจกแตกและในที่สุดก็สลายเป็นเถ้าถ่านกระจายไปในอากาศทันที เฟิงหยวนเจี๋ยลดพู่กันลง มังกรเหล็กยังคงลอยอยู่บนท้องฟ้าจากนั้นก็ค่อยลด
บทที่ 128 ป่าพิษกับนางพญางูยักษ์คณะของเฟิงหย่าเสวี่ยค่อยๆ เดินทางมาเรื่อยๆ ระหว่างทาง เฟิงหย่าเสวี่ยสังเกตเห็นเมฆดำก่อตัวเหนือยอดเขาที่เป็นจุดหมายปลายทาง นางรู้สึกถึงลางสังหรณ์บางอย่าง... บางสิ่งที่ชั่วร้ายกำลังรอคอยพวกเขาอยู่...คณะเดินทางมุ่งหน้าไปตามเส้นทางที่ปรากฏในแผนที่ เมื่อพระอาทิตย์คล้อยต่ำ เฟิงหยวนเจี๋ยสังเกตเห็นสัญลักษณ์แปลกๆ สลักอยู่บนก้อนหินริมทาง"หยุดก่อน!" เขาร้องเตือน "ตรงนี้มีค่ายกลซ่อนอยู่"แม่ทัพเว่ยสิง เดินเข้าไปตรวจสอบสัญลักษณ์อย่างละเอียด “มันคล้ายกับค่ายกล” เขาเอ่ยขึ้นมา"เป็นค่ายกลนำทาง" เฟิงหย่าเสวี่ยกล่าว นางจ้องมองสัญลักษณ์บนก้อนหิน "ถ้าเราเดินผ่านไปโดยไม่ทำตามที่มันบอก จะเจอกับดัก"เฟิงหยวนเจี๋ยพยักหน้า "และดูเหมือนว่าจะมีคนผ่านมาที่นี่ไม่นานมานี้" เขาชี้ไปที่รอยเท้าบนพื้น "รอยเท้าเหล่านี้ยังใหม่มาก""เหวินเทียนหลงและพรรคพวก" ฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงกล่าว ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่รอยเท้า "พวกเขาต้องมุ่งหน้าไปที่ถ้ำแน่นอน""ทูลฝ่าบาท" ทหารนายหนึ่งชี้ไปที่เส้นทางข้างหน้า "มีควันลอยขึ้นมาจากทางนั้น"ทุกคนมองไปตามทิศทางที่ทหารชี้ เห็นควันบางๆ ลอยขึ้นมาจากป่าทึบ กลิ่น
บทที่ 121 เดินทางสู่ถ้ำศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลเหวินแสงแรกของวันทอดผ่านบานหน้าต่างพระราชวัง เฟิงหย่าเสวี่ยมองออกไปยังลานกว้างเบื้องล่าง ใจหนึ่งยังคงหนักอึ้งเมื่อครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่เพิ่งค้นพบเกี่ยวกับพู่กันมังกรดำ แต่ในขณะเดียวกันนั้น ก็มีความอบอุ่นบางอย่างก่อเกิดขึ้นภายในใจ ทุกครั้งที่นางละสายตาจากภาพยามเช้า นางจะพบว่าฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงยืนอยู่ไม่ไกล ราวกับต้องการคุ้มกันนางอย่างเงียบ ๆ“เมื่อคืนเจ้าคงหลับไม่ค่อยสนิทกระมัง” เสียงทุ้มของฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงเอ่ยถาม เขาเดินมายืนข้าง ๆ เฟิงหย่าเสวี่ยพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็ยื่นแก้วกาแฟดำที่ตอนนี้ได้กลายเป็นเครื่องดื่มที่เจิ้งอี้หลงนั้นชื่นชอบมากที่สุดก็ว่าได้ ข้างๆ นั้นเฟิงหยวนเจี๋ยกำลังดื่มนมผสมช็อกโกแลตที่พี่ใหญ่วาดออกมาให้เขาเช่นกัน และแน่นอนว่ามันคือเครื่องดื่มที่เขานั้นชอบมากที่สุดในตอนนี้ “เพคะ” นางพยักหน้า ก่อนจะกล่าวอย่างจริงจัง “เรื่องพู่กันมังกรดำทำให้หม่อมฉันเป็นกังวล มันน่าหวั่นเกรงกว่าที่เคยรู้มาเสียอีก”เจิ้งอี้หลงรับฟังด้วยสีหน้าเรียบขรึม จากนั้นก็เหล่ตามองเจ้าเจี๋ยหยวนที่กำลังก้มหน้าก้มตาดื่มนมช็อกโกแลตของตัวเองอยู่ ก่อนจะโน
บทที่ 120 ความลับของพู่กันมังกรดำและก่อนที่พวกเขาจะกลับออกมา เฟิงหยวนเจี๋ยได้พบประตูเล็กๆ อีกบานที่อยู่ด้านหลังค่ายอาคมที่เพิ่งระเบิดไป เมื่อเขาเดินไปดูใกล้ๆ ก็เห็นว่าประตูยังปิดสนิทอยู่ เขาค่อยๆ ยกพู่กันมังกรหยกของตัวเองขึ้นมาและใช้มันเหมือนกับกระบี่ที่ค่อยๆ ดันให้ประตูเปิดออก ฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงและเฟิงหย่าเสวี่ยหันไปมองทันทีที่ได้ยินเสียงประตูเปิด พวกเขามองหน้ากัน จากนั้นก็เดินตามเจ้าเล็กเข้าไปเมื่อประตูห้องถูกเปิดออก กลิ่นหมึกและกระดาษเก่าโชยออกมา ภายในห้องมืดสนิท เฟิงหย่าเสวี่ยจึงให้ฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงวาดไฟฉาย LED ขนาดใหญ่ขึ้นมา และจัดการห้อยไว้ตรงประตูทางเข้า ห้องที่เคยมืดสนิทเมื่อเจอแสงสว่างจากหลอด LED เข้าก็ไม่มีส่วนใดมืดมิดอีกต่อไป พวกเขาจึงสามารถมองเห็นทั้งห้องได้อย่างชัดเจน ภายในห้องมีชั้นหนังสือสูงจรดเพดาน แสงจากไฟฉายเผยให้เห็นโต๊ะไม้แกะสลักตัวใหญ่ตั้งอยู่กลางห้อง พวกเขาทั้งสามเดินดูรอบๆ ห้องทันทีพวกเขาหยิบคัมภีร์เหล่านั้นมาดู มีบันทึกเก่าและวิชาของตระกูลเหวินมากมายอยู่บนนั้น รวมทั้งคาถา บันทึกการเดินทางของบรรพบุรุษ และการวางค่ายกลต่างๆ ที่ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ตระกูลเหวินส
บทที่ 119 ขุมทรัพย์ตระกูลเหวินหลังจากที่คณะของแม่ทัพซู่หลิงและชินอ๋องช่วยเหลือจนสามารถกวาดล้างเหล่าผู้ทรยศได้ พวกเขาก็กลับแคว้นต้าโจวพร้อมกับสองพี่น้องจวงและพระชายาเฟิง ซึ่งหากว่าชินอ๋องและแม่ทัพใหญ่แห่งต้าโจวอยู่ด้วยคงจะไม่ดีนักในสายตาของเหล่าขุนนางของแคว้นต้าหมิง ส่วนเฟิงหย่าเสวี่ยและเฟิงหยวนเจี๋ยนั้นยังคงอยู่ที่แคว้นต้าหมิงเพื่อช่วยเหลือองค์ชายอี้หลงให้ขึ้นครองบัลลังก์ก่อนเสียงฝีเท้าเร่งรีบดังก้องในท้องพระโรง ร่างของทหารนายหนึ่งวิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก เลือดไหลซึมจากแผลบนแขนของเขา"ทูลฝ่าบาท! มีเหตุด่วนที่จวนตระกูลเหวินพะยะค่ะ!" ทหารคุกเข่าลงรายงาน "ค่ายอาคมที่ซ่อนอยู่ในจวนได้ทำให้นายทหารของเราบาดเจ็บสาหัสไปสิบนายแล้วพะยะค่ะ และอีกหลายคนได้ดูเหมือนว่าจะรับพิษพะยะค่ะ"เจิ้งอี้หลงทรงขมวดคิ้ว"เกิดอะไรขึ้น?""นายทหารหนึ่งกองร้อยได้ตรงไปที่จวนตระกูลเหวินเพื่อทำการยืดทรัพย์สินของพวกเขาเป็นของแผนดินตามพระราชบัญชา พอถึงประตูจวนพวกเราก็ไม่สามารถเข้าไปได้อย่างง่ายดาย มีนายทหารเริ่มบาดเจ็บและเมื่อเข้าไปได้ พวกเราพยายามค้นห้องลับตามที่ได้รับรายงานพะยะค่ะ แต่พบว่าทั่วทั้งจวนมีกับดักและ