บทที่ 33 รับคนพิการและเด็กทำงานด้วยยามเช้าของวันที่อากาศสดใส ลุงจงนายทหารผ่านศึกผู้พิการจากสงคราม มายืนแอบมองการจ้างงานของตระกูลเฟิงอย่างลับๆ หัวใจของเขาหนักอึ้ง จากการถูกปฏิเสธเมื่อวานนี้ แม้จะพยายามแล้ว แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ศาลาว่าการเห็นว่าเขาพิการพวกเขาจึงไม่ให้เขาลงชื่อทำให้ลุงจงผิดหวังมากพอสมควร แต่ทว่านี่ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาเสมอมา นั้นคือการถูกปฎิเสธนั้นเอง และที่ยืนอยู่กับเขาเป็นกลุ่มเด็กชายที่มีอายุประมาณ 8 - 10 ปี เจ้าหน้าที่ก็บอกว่าพวกเขาเด็กไปเลยไม่ให้ลงชื่อเช่นกันแต่ว่าทางเจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้ปิดโอกาสเขาบอกว่าหากว่าพรุ่งนี้พวกเขาลองไปดูก็ได้ ไม่แน่ว่าทางนายจ้างอาจจะมีงานอย่างอื่นให้พวกเขาทำ ตอนนี้ไม่ว่าใครก็ต้องการงานต้องการเงินทั้งนั้นพวกเขาหน้าที่ก็ไม่อยากที่จะตัดโอกาสใครแต่พวกเขาก็ไม่อยากจะตัดสินใจโดยพลการ กลุ่มลุงจงและเด็กๆ 10 กว่าคนจึงยืนมองพวกชาวบ้านที่ต่อแถวรับอาหารอยู่ไกลๆ ไม่ได้เข้าไปวุ่นวายถึงแม้ว่าพวกเขาจะแอบกลืนน้ำลายเมื่อเห็นคนงานที่ได้มีรายชื่อต่างก็กัดกินซาลาเปาไส้เนื้อกันอย่างเอร็ดอร่อยเฟิงหยวนเจี๋ยนายท่านเจ้าตระกูลเฟิง เดินไปมาด้วยความกระตือรือร้น ใ
บทที่ 34 เซรุ่มเมื่อชาวบ้านได้รับมอบหมายงานจากเจ้าหน้าที่ศาลาว่าการพวกเขาต่างก็แยกย้ายกันไป กลุ่มที่ต้องตัดไม้ล้วนเป็นชายฉกรรจ์มีแรงเยอะก็แยกออกไป กลุ่มคนแก่และเด็กก็แยกออกไป ส่วนกลุ่มที่อาสาเป็นแม่ครัวที่เฟิงหย่าเสวี่ยให้แยกออกมา นั้นตอนนี้พวกนางทั้ง 20 คนต่างก็รอว่านายหญิงจะให้พวกนางทำอาหารอะไรเป็นมื้อเที่ยง เฟิงหย่าเสวี่ยให้อาหงไปเรียกเหล่าแม่บ้านมาที่บริเวณที่พวกนางจะตั้งเป็นโรงครัวที่ได้กางเต้นท์ ตั้งโต๊ะวางอาหารสด เครื่องปรุงเอาไว้มากมายเมื่อชาวบ้านมาถึงบริเวณที่ตั้งโรงครัวที่ทางตระกูลเฟิงจัดเตรียมไว้ พวกเขาต่างก็ต้องตกตะลึงกับภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า ภายในบริเวณที่จัดให้เป็นโรงครัวนั้นเต็มไปด้วยเนื้อหมูสดใหม่ที่หั่นเป็นชิ้นใหญ่ ไก่ที่ถอนขนแล้วกองเป็นภูเขาเล็กๆ อยู่บนภาชนะขนาดใหญ่ และอาหารทะเลสด ๆ ทั้งกุ้ง หอย ปู ปลา ซึ่งเฟิงหย่าเสวี่ยได้ซื้อมาจากชาวบ้านในเมืองอวี้ไห่ นอกจากนี้ยังมีผักสด ๆ เป็นตะกร้าใหญ่ ๆ เรียงรายเอาไว้เต็มพื้นที่ไปหมด"นี่... นี่มันอาหารที่พวกเราจะได้ทำกินเองหรือ?" ป้าถิงที่เป็นหนึ่งในแม่ครัวมือฉมังของเมืองอวี้ไห่เอ่ยขึ้นมา"ใช่เจ้าค่ะท่านป้า " เฟิงหย่าเสวี่ยต
บทที่ 35 นายทหารผ่านศึกจงซีเหยียนท่ามกลางแสงแดดยามบ่าวที่ร้อนแรงลุงจงหรือชื่อเต็มคือจงซีเหยียนกำลังนั่งพักผ่อนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ หลังจากที่เขาเพิ่งฟื้นตัวจากพิษงูอย่างน่าอัศจรรย์เพราะว่ายาวิเศษที่นายหญิงน้อยนั้นบอกว่าฉีดเข้าไปในร่างกายของเขา ความจริงแล้วนายหญิงน้อยนั้นให้เขากลับบ้านไปพักผ่อนและเงินค่าจ้างของวันนี้ก็ยังจะให้เขาอยู่ แต่ว่าเขาบอกว่าเขาดีขึ้นแล้วเขาขอนั่งดูชาวบ้านทำงานเถิดหากว่ามีงานเล็กๆ อะไรที่ไม่ต้องใช้แรงมากเขาอยากจะทำ เขาไม่อยากจะเอาเปรียบตระกูลของนางหญิง เฟิงหย่าเสวี่ยนั้นเมื่อเห็นว่าเขาไม่เป็นอะไรและยังไม่อยากกลับจึงให้คนพาเขาไปนั่งที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลและให้เสี่ยวลิ่วเอาเสื่อไปปูและนั่งเล่นกับท่านลุงคนนี้ได้ จะว่าไปเขาถือเป็นคนที่ช่วยชีวิตเจ้าเสี่ยวลิ่วก็ให้พวกเขาไปนั่งรออยู่ด้วยกันก็แล้วกันใต้ต้นไม้ใหญ่ตอนนี้มีลมพัดมาเย็นสบาย จงซีเหยี่ยนนั่งถอนใจระลึกถึงอดีตครั้งยังหนุ่ม ที่เขาเคยเป็นนายกองทหารในกองทัพ ช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยการต่อสู้เพื่อปกป้องบ้านเมืองของตนเอง รอยยิ้มบาง ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา แม้แต่ตอนที่เขาหลับตา เสียงกลองรบยังคงก้องอยู่ในหู เสียงดา
บทที่ 36 สึนามิ!!"ไม่... ไม่นะ..." นางพึมพำกับตัวเอง พลางสูดหายใจเข้าลึก พยายามควบคุมความหวาดกลัวที่เริ่มเกาะกุมจิตใจเสียงของนางดังก้องไปทั่วบริเวณ ชาวบ้านที่กำลังเดินกลับบ้านอย่างเพลิดเพลินหยุดชะงัก พวกเขาหันมามองตามเสียงของนายหญิงน้อยด้วยความงุนงง "เกิดอะไรขึ้นหรือ ท่านนายหญิงน้อย?" บางคนถามด้วยเสียงเต็มไปด้วยความสงสัย"น้ำทะเล! มันกำลังลดลงเร็วเกินไป!" เฟิงหย่าเสวี่ยตะโกน นางวิ่งเข้ามาหาชาวบ้านที่อยู่ใกล้ "มันเป็นสัญญาณของคลื่นยักษ์! พวกเราต้องหนีขึ้นที่สูงเดี๋ยวนี้!"ชาวบ้านเริ่มมองไปยังทะเล บางคนยังคงงุนงง แต่บางคนที่เริ่มเข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เริ่มร้องเตือนและชักชวนคนอื่น ๆ "คลื่นยักษ์! เร็วเข้า ทุกคน รีบหนีขึ้นที่สูง!"ขณะที่ชาวบ้านหันไปมองทะเลพวกเขาเห็นคลื่นยักษ์ที่กำลังรวมตัวกันและกำลังพุ่งเข้าหาฝังซึ่งก็คือเมืองอวี้ไห่ของพวกเขานั้นเอง พวกเขาต่างก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจ มือไม้สั่นขาสั่นจนก้าวขาไม่ออก หลายคนต่างก็ทิ้งข้าวของในมือ หลายคนยัดมันใส่เสื้อและวิ่งไปลากจูงคนที่ยังตกตะลึงเฟิงหย่าเสวี่ยเห็นชาวบ้านต่างก็วิ่งสับสนวนว่ายไปทั่วนางหันหลังและเดินไปข้างหน้าที่ชายหาด"คุ
บทที่ 37 ข่าวลือเรื่องมังกรทองแห่งตระกูลเฟิงหลังจากเหตุการณ์นั้น ชาวเมืองอวี้ไห่ต่างก็ร่ำลือถึงคุณหนูเฟิงหย่าเสวี่ยแห่งตระกูลเฟิงผู้ที่ปกป้องชาวบ้านไว้จากหายนะครั้งใหญ่ บางคนเล่าขานว่านางเป็นเทพธิดาที่ถูกส่งมาจากสวรรค์เพื่อปกป้องเมืองนี้ บ้างก็กล่าวถึงความงดงามของเฟิงหย่าเสวี่ย ราวกับเทพธิดาที่มาเยือนโลก ภาพที่แสนกล้าหาญและเสียสละของนาง ที่ยืนอยู่ตรงหน้าชายหาดเพียงลำพังภาพนั้นมันทั้งโดดเดี่ยวและยิ่งใหญ่ในสายตาของพวกเขาที่อยู่ในเหตุการณ์ เพื่อที่จะปกป้องพวกเขาซึ่งยังคงตราตรึงใจความทรงจำ นางมีใบหน้าที่งดงามดุจภาพวาด ดวงตาคมสวยที่ส่องประกายราวกับดวงดาว เส้นผมยาวสลวยดั่งไหมทอง ทำให้ชาวเมืองต่างพูดถึงนางด้วยความชื่นชมและศรัทธาคืนนั้นชาวเมืองอวี้ไห่แทบไม่มีใครนอนหลับสักคน ด้วยความตื่นเต้นและความประทับใจในสิ่งที่เกิดขึ้น ทุกคนต่างพูดคุยถึงเหตุการณ์และคุณหนูเฟิงหย่าเสวี่ย จนกระทั่งรุ่งเช้า ผู้คนเกือบทั้งเมืองต่างก็พุ่งมาที่ที่ดินเปล่าของตระกูลเฟิง บ้างก็ต้องการจะช่วยนางทำงานโดยไม่ต้องให้ค่าจ้าง บ้างก็อยากจะเห็นหน้าคนของตระกูลเฟิงที่หลายคนร่ำลือถึงความงามและความสามารถของนาง"เจ้าว่าคุณหนูเฟิ
บทที่ 38 คฤหาสน์สี่ฤดูของตระกูลเฟิงสามวันหลังจากที่ดินของตระกูลเฟิงได้รับการทำความสะอาดและทำรั้วเรียบร้อยแล้ว คืนหนึ่งที่ฟ้าสว่างด้วยแสงจันทร์สีเงินส่องประกาย ภายในบริเวณที่ดินด้านในกลับมีสิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้น คฤหาสน์สี่ฤดูขนาดใหญ่มหึมาได้ปรากฏขึ้นอย่างไม่คาดคิด คฤหาสน์นี้ถูกสร้างด้วยพู่กันชิงหลง และทุกส่วนถูกวาดขึ้นอย่างงดงามอลังการ ล้อมรอบด้วยสวนที่ถูกจัดแต่งอย่างประณีตราวกับเนรมิตออกมาเองเช้าวันต่อมา คนตระกูลเฟิงทั้งหมดได้มารวมตัวกันเพื่อจะได้ชมคฤหาสน์ที่เฟิงหย่าเสวี่ยสร้างเสร็จเมื่อคืนนี้ โดยในขบวนประกอบไปด้วยท่านแม่ มังก….เออ….ท่านป้าจวง ท่านน้าหลินเหมยที่ตอนนี้ลุกเดินได้แล้วนางถึงกับอุ้มลูกสาวตัวจิ๋วของนางมาร่วมขบวนทัวร์คฤหาสน์ครั้งนี้ด้วยตอนนี้นางยังไม่ตั้งชื่อให้ลูกสาวเพราะรอแม่บุญธรรมของนางตั้งให้ ซึ่งนางก็เหมือนคนอื่นๆ ที่อยากถามแต่ท่านแม่บุญธรรม (มังกรชรา) ของนางปลายตามอง ซึ่งความหมายนั้นชัดเจนในแววตา นั้นคือ…ไม่ต้องถาม!อยู่ไปอะไรประมาณนั้น!!! นอกจากนี้ในขบวนยังมีคนสำคัญที่สุดคือนายน้อยเจ้าตระกูลเฟิงนั้นคือเจ้าเสี่ยวลิ่วนั้นเอง ซึ่งเขาเดินจับนิ้วก้อยของพี่สาวแกว่งไปมาพลาง
บทที่ 39 ขิงราข่าแก่วันนั้นหลังจากที่ทุกคนได้ไปเที่ยวชมคฤหาสน์หลังใหม่ต่างก็ชื่นชอบและมีความสุขมากที่จะได้ย้ายเข้าไปอยู่ เฟิงหย่าเสวี่ยนั้นได้บอกท่านแม่ ท่านน้าหลินเหมยและป้าจวง ให้เลือกเรือนที่พวกนางชอบ ส่วนป้าจวงนั้นนึกขึ้นได้ว่าที่บ้านเช่าในเมือง ยังมีชายความจำเสื่อมที่พวกนางเก็บมาได้อยู่ นางจึงได้บอกว่าเดี๋ยวนางจะไปรับเขามาที่คฤหาสน์ด้วย ป้าจวงเลือกนำรถม้าคันเล็กที่คุณหนูเล็กวาดขึ้นมาใหม่ออกไปรับเขา ส่วนเฟิงหย่าเสวี่ยนั้นก็ให้เสี่ยวลิ่วไปเลือกเรือนที่เขาอยากได้เช่นกัน และนางก็จะได้เตรียมการผ่าตัดให้เขาด้วย โดยภายในคฤหาสน์นั้น เฟิงหย่าเสวี่ยได้ วาดห้องพยาบาลขึ้นมาให้เหมือนกับโรงพยาบาลเล็กๆ ที่มีทุกอย่างแม้แต่ห้องผ่าตัดเครื่องไม้เครื่องมือครบครัน การผ่าตัดนิ้วให้เสี่ยวลิ่วนั้นถือเป็นการผ่าตัดเล็กนางไม่ห่วงมากนัก แต่อย่างไรก็จะต้องทำให้ดี นางบอกท่านแม่ว่าจะทำการผ่าตัดให้เสี่ยวลิ่ว ท่านแม่และคนอื่นๆ จึงได้มานั่งรอด้านหน้าเรือนนี้ นางให้เสี่ยวลิ่วตามเข้ามาในห้องจากนั้นก็เตรียมตัวสำหรับที่จะทำการผ่าตัด เสี่ยวลิ่วนั้นทั้งตื่นเต้นและเศร้าไปด้วยที่เขาจะต้องจากลากับเจ้าเสี่ยวลิ่วตัวจริงแล้
บทที่ 40 ตรงไหนที่ข้าประทับรอยแล้วย่อมเป็นของข้า!!!เมื่อป้าจวงขนชายความจำเสื่อมกลับมาที่คฤหาสน์นางจึงได้ทราบว่าคุณหนูเล็กเข้าไปผ่าตัดให้คุณชายน้อยอยู่ นางจึงพาชายปริศนาที่ตอนนี้หลับสนิทไม่รู้ว่าเพราะอะไรเข้าไปที่เรือนที่เตรียมเอาไว้ และให้อาหานเข้าไปดูแลเขาแทน จากนั้นก็เดินออกมานั่งรอเหมือนคนอื่นภายในห้องผ่าตัดที่จัดขึ้นอย่างทันสมัย เฟิงหย่าเสวี่ยกำลังใช้เครื่องมือผ่าตัดที่นางนำมาจากอนาคต เครื่องมือที่ส่องประกายแวววับในมือของนางถูกใช้อย่างคล่องแคล่ว นางทำการผ่าตัดนิ้วที่งอกเกินออกมาของเสี่ยวลิ่วอย่างมั่นใจ ท่ามกลางแสงสว่างจากโคมไฟผ่าตัด นางตัดเนื้อเยื่ออย่างระมัดระวัง เลือดที่ออกมาเล็กน้อยถูกซับด้วยผ้าก๊อซที่นางเตรียมไว้ ทุกขั้นตอนดำเนินไปด้วยความแม่นยำ ราวกับนางเป็นหมอที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างดีเมื่อเฟิงหย่าเสวี่ยใช้ไหมเย็บแผลอย่างเบามือ เสี่ยวลิ่วที่หลับสนิทไม่รู้สึกตัว ทำให้นางยิ้มอย่างอ่อนโยน เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย นางเก็บเจ้าเสี่ยวลิ่วเอาไว้ก่อนเพราะไม่แน่ว่าน้อยชายของนางอาจจะอยากจะบอกลากับมัน เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็อยู่กันมาตั้งแต่เกิด ตอนนี้นิ้วของน้อยชายนางมี 10 นิ้วเหมือนคนปร
บทที่ 131 ผู้ถือครองพู่กันมังกรดำคนใหม่ / ป้ายทองเว้นโทษตายพู่กันมังกรดำส่องประกายวูบวาบ ก่อนจะพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าและมุ่งหน้าตรงไปที่แคว้นต้าโจวมันพุ่งอย่างเร็วและแรงเลยผ่านหลายเมืองของแคว้นต้าโจวไม่ว่าจะเป็นดินแดนทางเหนือเลยผ่านเมืองหลวง และมุ่งหน้าลงใต้และในที่สุดมันก็สิ้นสุดลงที่่เมืองอวี้ไห่จากนั้นก็ค่อยๆ ลอยไปที่คฤหาสน์หลังใหญ่ของตระกูลเฟิงที่ตอนนี้มีผู้ที่อยู่ที่นั่นมีเพียงแค่หลินเหมยและเฟิงซินซินลูกสาวตัวน้อยของนางนั้นเองในห้องที่อบอุ่นของคฤหาสน์ตระกูลเฟิง เฟิงซินซินน้อยเพิ่งดื่มนมมารดาเสร็จ ดวงตากลมโตเริ่มหรี่ลงด้วยความง่วง ริมฝีปากน้อยๆ ยังเปื้อนรอยนม หลินเหมยได้อุ้มลูกน้อยไปนอนในเปลและเมื่อเห็นว่าลูกน้อยหลับนางจึงได้ออกจากห้องไปแต่แล้วลมเย็นก็พัดผ่านเข้ามาในห้อง พู่กันมังกรดำลอยเข้ามาอย่างเงียบเชียบ มันวนเวียนอยู่เหนือเปลเด็ก ปลายพู่กันแตะเบาๆ ที่ปลายจมูกเล็กๆ ของเฟิงซินซินเด็กน้อยขยับตัว มือป้อมๆ ยกขึ้นปัดราวกับกำลังขับไล่แมลงหรือสิ่งก่อกวนที่ไม่พึงปรารถนาแต่แค่มือเล็กนุ่มนิ่มของนางปัดเบาๆ ของเด็กน้อยคราวนี้กลับสัมผัสเข้ากับด้ามพู่กันที่เย็นเยียบเป็นพู่กันมังกรดำโบราณท
บทที่ 130 การต่อสู้ครั้งสุดท้ายของมังกรทองเสียงหยดน้ำที่กระทบพื้นหินดังสะท้อนก้องภายในถ้ำมืดมิดราวกับโถงใต้พิภพที่ไร้จุดสิ้นสุด บรรยากาศชวนให้หัวใจเต้นระส่ำราวกับมีมือที่มองไม่เห็นกำลังบีบรัดอยู่รอบคอ ทุกคนค่อยๆ ก้าวลึกเข้าไปทีละน้อยอย่างระแวดระวัง เสียงสวดที่ดังก้องอยู่รอบข้างฟังดูเหมือนเสียงครวญครางของวิญญาณซึ่งโหยหาการปลดปล่อย เสียงหอบหายใจของเหล่าทหารและคนในคณะเดินทางประสานเข้ากับเสียงน้ำหยด ท่ามกลางความมืดที่สลัว แสงจากคบเพลิงสาดส่องให้เห็นภาพวาดโบราณบนผนังถ้ำ เป็นภาพของมังกรดำกำลังกลืนกินดวงจันทร์อย่างดุร้าย สะท้อนให้เห็นร่องรอยความน่าสะพรึงในอดีตที่เคยถูกผนึกไว้ในถ้ำแห่งนี้กลางโถงถ้ำกว้าง เหวินเทียนหลงผู้ถูกครอบงำด้วยพลังมืดแห่งพู่กันมังกรดำกำลังตกอยู่ในสภาพอันชวนขนลุก ร่างกายของเขาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นร่างครึ่งมังกร เกล็ดสีดำทะมึนขึ้นปกคลุมเนื้อหนัง ลามไปถึงใบหน้าจนเห็นเค้าโครงแทบไม่เหลือเค้าคนเดิม ดวงตาสีแดงฉานเบิกกว้างดุจสัตว์ร้ายที่กระหายเลือด เสียงหัวเราะของเขาแหลมสูงสะท้อนก้องราวกับภูตผีที่อาละวาดในคืนเดือนมืด"หยุดเดี๋ยวนี้!" ฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงตรัส "เจ้ากำลังทำลายชีวิตผู้บ
บทที่ 131 ถ้ำศักดิ์สิทธิ์ตระกูลเหวิน"เป็นแค่งู จะสู้มังกรได้อย่างไร? ชิงหลง!!"เฟิงหย่าเสวี่ยตะโกนขึ้นมายกพู่กันขึ้นตวัดวาดอักขระด้วยจังหวะที่สงบนิ่ง แต่เต็มไปด้วยพลังที่ซ่อนอยู่ แสงสีเงินเริ่มเปล่งประกายจากพู่กัน และทันใดนั้น เสียงคำรามแผ่วลึกก็ดังก้องไปทั่วป่า มังกรที่นางวาดคราวนี้ไม่ใช้มังกรทองแต่ทว่าเป็นมังกรเหล็กขนาดมหึมาปรากฏขึ้นจากแสงอักขระ ร่างของมันแวววาวด้วยเกล็ดโลหะคมกริบ ดวงตาสีแดงเพลิงจับจ้องไปยังงูยักษ์มังกรเหล็กพุ่งเข้าโจมตีอย่างดุเดือด กรงเล็บและหางของมันกวาดผ่านนางพญางูยักษ์ เกล็ดแข็งของงูไม่อาจต้านทานพลังอันมหาศาลนี้ได้ เสียงคำรามของงูดังสะท้อนป่า ขณะที่มังกรเหล็กใช้กรงเล็บจับงูไว้แน่น ก่อนที่มันจะอ้าปากพ่นไฟสีเงินบริสุทธิ์ที่ในเปลวไฟนั้นเป็นพิษที่เหมือนกับตะกั่วใส่ร่างของนางพญางูยักษ์ภายในพริบตา นางพญางูยักษ์ก็ถูกพิษตะกั่วลามไปทั่วทั้งร่างไม่สามารถขยับตัวได้ จากนั้นมังกรเหล็กก็ใช้หางฟาดอย่างแรงไปที่ร่างของมันทำให้มันแตกเป็นเสี่ยงๆ ราวกับกระจกแตกและในที่สุดก็สลายเป็นเถ้าถ่านกระจายไปในอากาศทันที เฟิงหยวนเจี๋ยลดพู่กันลง มังกรเหล็กยังคงลอยอยู่บนท้องฟ้าจากนั้นก็ค่อยล
บทที่ 128 ป่าพิษกับนางพญางูยักษ์คณะของเฟิงหย่าเสวี่ยค่อยๆ เดินทางมาเรื่อยๆ ระหว่างทาง เฟิงหย่าเสวี่ยสังเกตเห็นเมฆดำก่อตัวเหนือยอดเขาที่เป็นจุดหมายปลายทาง นางรู้สึกถึงลางสังหรณ์บางอย่าง... บางสิ่งที่ชั่วร้ายกำลังรอคอยพวกเขาอยู่...คณะเดินทางมุ่งหน้าไปตามเส้นทางที่ปรากฏในแผนที่ เมื่อพระอาทิตย์คล้อยต่ำ เฟิงหยวนเจี๋ยสังเกตเห็นสัญลักษณ์แปลกๆ สลักอยู่บนก้อนหินริมทาง"หยุดก่อน!" เขาร้องเตือน "ตรงนี้มีค่ายกลซ่อนอยู่"แม่ทัพเว่ยสิง เดินเข้าไปตรวจสอบสัญลักษณ์อย่างละเอียด “มันคล้ายกับค่ายกล” เขาเอ่ยขึ้นมา"เป็นค่ายกลนำทาง" เฟิงหย่าเสวี่ยกล่าว นางจ้องมองสัญลักษณ์บนก้อนหิน "ถ้าเราเดินผ่านไปโดยไม่ทำตามที่มันบอก จะเจอกับดัก"เฟิงหยวนเจี๋ยพยักหน้า "และดูเหมือนว่าจะมีคนผ่านมาที่นี่ไม่นานมานี้" เขาชี้ไปที่รอยเท้าบนพื้น "รอยเท้าเหล่านี้ยังใหม่มาก""เหวินเทียนหลงและพรรคพวก" ฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงกล่าว ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่รอยเท้า "พวกเขาต้องมุ่งหน้าไปที่ถ้ำแน่นอน""ทูลฝ่าบาท" ทหารนายหนึ่งชี้ไปที่เส้นทางข้างหน้า "มีควันลอยขึ้นมาจากทางนั้น"ทุกคนมองไปตามทิศทางที่ทหารชี้ เห็นควันบางๆ ลอยขึ้นมาจากป่าทึบ กลิ่น
บทที่ 121 เดินทางสู่ถ้ำศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลเหวินแสงแรกของวันทอดผ่านบานหน้าต่างพระราชวัง เฟิงหย่าเสวี่ยมองออกไปยังลานกว้างเบื้องล่าง ใจหนึ่งยังคงหนักอึ้งเมื่อครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่เพิ่งค้นพบเกี่ยวกับพู่กันมังกรดำ แต่ในขณะเดียวกันนั้น ก็มีความอบอุ่นบางอย่างก่อเกิดขึ้นภายในใจ ทุกครั้งที่นางละสายตาจากภาพยามเช้า นางจะพบว่าฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงยืนอยู่ไม่ไกล ราวกับต้องการคุ้มกันนางอย่างเงียบ ๆ“เมื่อคืนเจ้าคงหลับไม่ค่อยสนิทกระมัง” เสียงทุ้มของฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงเอ่ยถาม เขาเดินมายืนข้าง ๆ เฟิงหย่าเสวี่ยพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็ยื่นแก้วกาแฟดำที่ตอนนี้ได้กลายเป็นเครื่องดื่มที่เจิ้งอี้หลงนั้นชื่นชอบมากที่สุดก็ว่าได้ ข้างๆ นั้นเฟิงหยวนเจี๋ยกำลังดื่มนมผสมช็อกโกแลตที่พี่ใหญ่วาดออกมาให้เขาเช่นกัน และแน่นอนว่ามันคือเครื่องดื่มที่เขานั้นชอบมากที่สุดในตอนนี้ “เพคะ” นางพยักหน้า ก่อนจะกล่าวอย่างจริงจัง “เรื่องพู่กันมังกรดำทำให้หม่อมฉันเป็นกังวล มันน่าหวั่นเกรงกว่าที่เคยรู้มาเสียอีก”เจิ้งอี้หลงรับฟังด้วยสีหน้าเรียบขรึม จากนั้นก็เหล่ตามองเจ้าเจี๋ยหยวนที่กำลังก้มหน้าก้มตาดื่มนมช็อกโกแลตของตัวเองอยู่ ก่อนจะโน
บทที่ 120 ความลับของพู่กันมังกรดำและก่อนที่พวกเขาจะกลับออกมา เฟิงหยวนเจี๋ยได้พบประตูเล็กๆ อีกบานที่อยู่ด้านหลังค่ายอาคมที่เพิ่งระเบิดไป เมื่อเขาเดินไปดูใกล้ๆ ก็เห็นว่าประตูยังปิดสนิทอยู่ เขาค่อยๆ ยกพู่กันมังกรหยกของตัวเองขึ้นมาและใช้มันเหมือนกับกระบี่ที่ค่อยๆ ดันให้ประตูเปิดออก ฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงและเฟิงหย่าเสวี่ยหันไปมองทันทีที่ได้ยินเสียงประตูเปิด พวกเขามองหน้ากัน จากนั้นก็เดินตามเจ้าเล็กเข้าไปเมื่อประตูห้องถูกเปิดออก กลิ่นหมึกและกระดาษเก่าโชยออกมา ภายในห้องมืดสนิท เฟิงหย่าเสวี่ยจึงให้ฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงวาดไฟฉาย LED ขนาดใหญ่ขึ้นมา และจัดการห้อยไว้ตรงประตูทางเข้า ห้องที่เคยมืดสนิทเมื่อเจอแสงสว่างจากหลอด LED เข้าก็ไม่มีส่วนใดมืดมิดอีกต่อไป พวกเขาจึงสามารถมองเห็นทั้งห้องได้อย่างชัดเจน ภายในห้องมีชั้นหนังสือสูงจรดเพดาน แสงจากไฟฉายเผยให้เห็นโต๊ะไม้แกะสลักตัวใหญ่ตั้งอยู่กลางห้อง พวกเขาทั้งสามเดินดูรอบๆ ห้องทันทีพวกเขาหยิบคัมภีร์เหล่านั้นมาดู มีบันทึกเก่าและวิชาของตระกูลเหวินมากมายอยู่บนนั้น รวมทั้งคาถา บันทึกการเดินทางของบรรพบุรุษ และการวางค่ายกลต่างๆ ที่ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ตระกูลเหวินส
บทที่ 119 ขุมทรัพย์ตระกูลเหวินหลังจากที่คณะของแม่ทัพซู่หลิงและชินอ๋องช่วยเหลือจนสามารถกวาดล้างเหล่าผู้ทรยศได้ พวกเขาก็กลับแคว้นต้าโจวพร้อมกับสองพี่น้องจวงและพระชายาเฟิง ซึ่งหากว่าชินอ๋องและแม่ทัพใหญ่แห่งต้าโจวอยู่ด้วยคงจะไม่ดีนักในสายตาของเหล่าขุนนางของแคว้นต้าหมิง ส่วนเฟิงหย่าเสวี่ยและเฟิงหยวนเจี๋ยนั้นยังคงอยู่ที่แคว้นต้าหมิงเพื่อช่วยเหลือองค์ชายอี้หลงให้ขึ้นครองบัลลังก์ก่อนเสียงฝีเท้าเร่งรีบดังก้องในท้องพระโรง ร่างของทหารนายหนึ่งวิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก เลือดไหลซึมจากแผลบนแขนของเขา"ทูลฝ่าบาท! มีเหตุด่วนที่จวนตระกูลเหวินพะยะค่ะ!" ทหารคุกเข่าลงรายงาน "ค่ายอาคมที่ซ่อนอยู่ในจวนได้ทำให้นายทหารของเราบาดเจ็บสาหัสไปสิบนายแล้วพะยะค่ะ และอีกหลายคนได้ดูเหมือนว่าจะรับพิษพะยะค่ะ"เจิ้งอี้หลงทรงขมวดคิ้ว"เกิดอะไรขึ้น?""นายทหารหนึ่งกองร้อยได้ตรงไปที่จวนตระกูลเหวินเพื่อทำการยืดทรัพย์สินของพวกเขาเป็นของแผนดินตามพระราชบัญชา พอถึงประตูจวนพวกเราก็ไม่สามารถเข้าไปได้อย่างง่ายดาย มีนายทหารเริ่มบาดเจ็บและเมื่อเข้าไปได้ พวกเราพยายามค้นห้องลับตามที่ได้รับรายงานพะยะค่ะ แต่พบว่าทั่วทั้งจวนมีกับดักและ
บทที่ 118 การชำระล้างราชวงค์ต้าหมิงเสียงคำรามสุดท้ายของมังกรดำทั้งเก้าดังก้องไปทั่วผืนฟ้า ก่อนที่ร่างของพวกมันจะสลายกลายเป็นละอองแสงสีทองที่ลอยหายไป เฟิงหยวนเจี๋ยยังคงยืนนิ่งกลางวงเวท ร่างเล็กๆ ของเขาส่องแสงอ่อนๆ จากพลังน้ำทิพย์ที่ยังหลงเหลืออยู่ในมือ ทุกสายตาในลานพิธีจับจ้องเขาด้วยความเคารพและทึ่งในความกล้าหาญเฟิงหยวนเจี๋ยนั้นมองไปที่เงาดำมรณะที่เมื่อร่างของฮองไทเฮาสลายไปพวกมันยังคงพยายามที่จะต่อสู้ เขาจึงยกพู่กันขึ้นและตวัด2-3 ครั้งร่างของพวกเขาก็สลายกลายเป็นเถ้าตามฮองไทเฮาไป ส่วนทหารที่เหลือเมื่อเห็นว่าฝ่ายตนนั้นพ่ายแพ้พวกเขาต่างก็รีบหันหลังและวิ่งหนีไปฮ่องเต้เจิ้งหลี่เฟิงก็เหมือนกันที่เห็นว่าตอนนี้พวกเขานั้นพ่ายแพ้แล้วกำลังอาศัยช่วงชุลมุนหลบหนีออกไปโดยการช่วยเหลือของคนของเขา องค์ชายเจิ้งอี้หลงนั้นไม่ได้ติดไปเขาไป แต่เลือกใช้พู่กันชิงหลงวาดอักขระควบคุมวิญญาณแทน แสงสีฟ้าสายหนึ่งพุ่งตรงไปยังร่างของเจิ้งหลี่เฟิงอย่างแม่นยำ รอยอักขระลึกลับเรืองแสงขึ้นบนหน้าผากของอดีตฮ่องเต้หนุ่ม ก่อนที่เขาจะหายลับเข้าไปในความมืด"ข้าคิดว่าเขาจะกลับไปหากองกำลังที่หลงเหลือของอดีตฮองไทเฮา" องค์ชายเจิ้ง
บทที่ 117 การปลดปล่อยมังกรโบราณทั้ง 9 EP 2เขามองดูขวดน้ำทิพย์ในมือ ความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องราวโบราณที่เคยได้ยินผุดขึ้นมา เรื่องของมังกรที่ถูกกักขัง ถูกทรมาน ถูกบังคับให้กลายเป็นอาวุธแห่งความมืด พวกเขาไม่ได้ต้องการการทำลาย แต่ต้องการการไถ่บาป ต้องการคนที่เข้าใจและยอมรับในตัวตนที่แท้จริงของพวกเขา"น้ำยานี้..." เขากระซิบ มองดูของเหลวใสที่เรืองแสงในขวดหยก"มันไม่ควรเป็นอาวุธ แต่ควรเป็นน้ำแห่งการชำระล้างและการปลดปล่อย มันควรจะเป็น น้ำทิพย์!!"เขากัดริมฝีปากความคิดหนึ่งผุดขึ้นในใจ หากเลือดบริสุทธิ์ของเด็กสามารถเปลี่ยนน้ำยาในขวดหยกนี้ให้กลายเป็นน้ำแห่งการไถ่บาปได้... และหากเขาใช้มันไม่ใช่เพื่อทำร้าย แต่เพื่อปลดปล่อยพวกเขาเล่า เด็กน้อยเงยหน้าขึ้นมองเหล่ามังกรดำที่กำลังส่งเสียงคำรามก้องไปทั่วไป ราวกับว่าพวกมันกำลังเรียกร้องหา…อิสรภาพ!!!.."ข้าเข้าใจแล้ว..." เขาลุกขึ้นยืน ดวงตาเปล่งประกายด้วยความหวัง "ศึกครั้งนี้ไม่ใช่การต่อสู้ แต่เป็นการช่วยเหลือ ไม่ใช่การทำลาย แต่เป็นการปลดปล่อย..."เด็กน้อยกัดปลายนิ้ว เลือดสีแดงหยดลงในน้ำยาภายในขวดหยก น้ำยาที่เคยใสกลับเปล่งประกายเรืองรองเป็นสีทองทันที คลื่