บทที่ 39 ขิงราข่าแก่วันนั้นหลังจากที่ทุกคนได้ไปเที่ยวชมคฤหาสน์หลังใหม่ต่างก็ชื่นชอบและมีความสุขมากที่จะได้ย้ายเข้าไปอยู่ เฟิงหย่าเสวี่ยนั้นได้บอกท่านแม่ ท่านน้าหลินเหมยและป้าจวง ให้เลือกเรือนที่พวกนางชอบ ส่วนป้าจวงนั้นนึกขึ้นได้ว่าที่บ้านเช่าในเมือง ยังมีชายความจำเสื่อมที่พวกนางเก็บมาได้อยู่ นางจึงได้บอกว่าเดี๋ยวนางจะไปรับเขามาที่คฤหาสน์ด้วย ป้าจวงเลือกนำรถม้าคันเล็กที่คุณหนูเล็กวาดขึ้นมาใหม่ออกไปรับเขา ส่วนเฟิงหย่าเสวี่ยนั้นก็ให้เสี่ยวลิ่วไปเลือกเรือนที่เขาอยากได้เช่นกัน และนางก็จะได้เตรียมการผ่าตัดให้เขาด้วย โดยภายในคฤหาสน์นั้น เฟิงหย่าเสวี่ยได้ วาดห้องพยาบาลขึ้นมาให้เหมือนกับโรงพยาบาลเล็กๆ ที่มีทุกอย่างแม้แต่ห้องผ่าตัดเครื่องไม้เครื่องมือครบครัน การผ่าตัดนิ้วให้เสี่ยวลิ่วนั้นถือเป็นการผ่าตัดเล็กนางไม่ห่วงมากนัก แต่อย่างไรก็จะต้องทำให้ดี นางบอกท่านแม่ว่าจะทำการผ่าตัดให้เสี่ยวลิ่ว ท่านแม่และคนอื่นๆ จึงได้มานั่งรอด้านหน้าเรือนนี้ นางให้เสี่ยวลิ่วตามเข้ามาในห้องจากนั้นก็เตรียมตัวสำหรับที่จะทำการผ่าตัด เสี่ยวลิ่วนั้นทั้งตื่นเต้นและเศร้าไปด้วยที่เขาจะต้องจากลากับเจ้าเสี่ยวลิ่วตัวจริงแล้
บทที่ 40 ตรงไหนที่ข้าประทับรอยแล้วย่อมเป็นของข้า!!!เมื่อป้าจวงขนชายความจำเสื่อมกลับมาที่คฤหาสน์นางจึงได้ทราบว่าคุณหนูเล็กเข้าไปผ่าตัดให้คุณชายน้อยอยู่ นางจึงพาชายปริศนาที่ตอนนี้หลับสนิทไม่รู้ว่าเพราะอะไรเข้าไปที่เรือนที่เตรียมเอาไว้ และให้อาหานเข้าไปดูแลเขาแทน จากนั้นก็เดินออกมานั่งรอเหมือนคนอื่นภายในห้องผ่าตัดที่จัดขึ้นอย่างทันสมัย เฟิงหย่าเสวี่ยกำลังใช้เครื่องมือผ่าตัดที่นางนำมาจากอนาคต เครื่องมือที่ส่องประกายแวววับในมือของนางถูกใช้อย่างคล่องแคล่ว นางทำการผ่าตัดนิ้วที่งอกเกินออกมาของเสี่ยวลิ่วอย่างมั่นใจ ท่ามกลางแสงสว่างจากโคมไฟผ่าตัด นางตัดเนื้อเยื่ออย่างระมัดระวัง เลือดที่ออกมาเล็กน้อยถูกซับด้วยผ้าก๊อซที่นางเตรียมไว้ ทุกขั้นตอนดำเนินไปด้วยความแม่นยำ ราวกับนางเป็นหมอที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างดีเมื่อเฟิงหย่าเสวี่ยใช้ไหมเย็บแผลอย่างเบามือ เสี่ยวลิ่วที่หลับสนิทไม่รู้สึกตัว ทำให้นางยิ้มอย่างอ่อนโยน เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย นางเก็บเจ้าเสี่ยวลิ่วเอาไว้ก่อนเพราะไม่แน่ว่าน้อยชายของนางอาจจะอยากจะบอกลากับมัน เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็อยู่กันมาตั้งแต่เกิด ตอนนี้นิ้วของน้อยชายนางมี 10 นิ้วเหมือนคนปร
บทที่ 41 การมาเยือนของจิตรกรเอก หวังหรู..เย็นวันนั้นหลังจากป้าจวงกลับมาพร้อมกับริมฝีปากที่บวมเจ่อ และดูเหมือนนางจะหงุดหงิดอยู่มาก พวกนางจึงไม่ได้คุยอะไรกับนางมากนัก เพราะคิดว่าป้าจวงอาจจะเหนื่อยเพราะถึงอย่างไร นางก็เกิดมานานเกินกว่าคนอื่นๆเยอะ เป็นไปได้ที่บางวันอาจจะเหนื่อย และอารมณ์หงุดหงิด เฟิงหย่าเสวี่ยเมื่อได้อาหารสดมาก็ลงมือทำอาหารมื้ออะไร เลี้ยงคนในตระกูลของนางและน้าหลินเหมยและบ่าวของพวกนางทันที รายการอาหารที่นางทำวันนี้ เป็น เป็ดปักกิ่ง, หม่าล่าเสฉวน, กุ้งผัดพริกเกลือ และเต้าหู้หมาล่า และนางทำข้าวต้มหมูสับกลิ่นหอมกรุ่นสำหรับคนเจ็บสองคนและแม่ลูกอ่อนที่ยังกินอาหารรสจัดและมันไม่ได้ เสี่ยวเจี๋ยฟื้นแล้ว แต่นางยังให้เขานอนพักที่ห้องไม่ได้ออกมาทานอาหารกับคนอื่นๆ เช่นเดียวกับแม่ลูกอ่อน และคนความจำเสื่อมผู้นั้นเมื่ออาหารทั้งหมดถูกจัดเรียงบนโต๊ะ เหล่าคนในตระกูลเฟิงต่างมองด้วยความตื่นตะลึง กลิ่นหอมของอาหารกระจายไปทั่วห้อง ทำให้ทุกคนท้องร้องและรอคอยที่จะได้ลิ้มลองท่านแม่ยิ้มพลางพูดขึ้น "เจ้าใหญ่ นี่เจ้าก็ช่างทำเหลือเกิน รายการอาหารที่ทำไม่ซ้ำกันเลยแม่ไม่เคยเห็นอาหารที่มีกลิ่นหอมและหน้าต
บทที่ 42 ข้า!!!จะเป็นคนหนุนหลังพวกเจ้าเอง!!ภายในห้องนั่งเล่นที่เงียบสงบของคฤหาสน์สี่ฤดู เฟิงหย่าเสวี่ยนั่งอยู่กับท่านแม่และป้าจวง ทั้งสามคนกำลังปรึกษากันเกี่ยวกับวิธีจัดการกับปัญหาการขนเกลือเถื่อนที่หวังหรูนำมาบอก นางคิดอย่างลึกซึ้งถึงวิธีที่จะช่วยผู้คนในเมืองอวี้ไห่ รวมถึงจัดการกับพวกที่ใช้ประโยชน์จากประชาชนอย่างผิดกฎหมายนี้"ท่านแม่ ป้าจวง ข้ามีเรื่องสำคัญที่ต้องการปรึกษา" เฟิงหย่าเสวี่ยเริ่มต้นด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง ก่อนจะอธิบายเรื่องการขนเกลือเถื่อนที่จิตรกรหวังหรูนำมาบอก รวมถึงความกังวลของนางเกี่ยวกับความปลอดภัยของเมืองอวี้ไห่ท่านแม่ฟังแล้วคิ้วขมวดเล็กน้อย "ลูกแม่ แม่เห็นว่าปัญหานี้ไม่ใช่สิ่งที่เราควรนิ่งเฉย การขนเกลือเถื่อนนั้นไม่เพียงแต่เป็นการกระทำผิดกฎหมาย แต่ยังเป็นการทำให้ประชาชนเดือดร้อนอีกด้วย เราควรหาทางจัดการเรื่องนี้ แต่พวกเรามีเพียงผู้หญิงและเด็กแถมยังอ่อนแอพวกเราจะเอาอะไรไปสู่พวกเขา" ความกังวลของนางนั้นอยู่บนพื้นฐานของการเป็นแม่และหญิงที่ไม่เคยมีอำนาจป้าจวงซึ่งนั่งฟังอยู่อย่างสงบกล่าวขึ้น "คุณหนูเล็ก เรื่องนี้เป็นเรื่องซับซ้อน ข้าคิดว่ามีสองทางเลือกที่พวกเราอาจจะท
บทที 43 ขอสัมปทานค้าเกลือป้าจวงอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด รวมถึงการพบกับแม่ทัพซู่หลิงและข้อเสนอของเขา เฟิงหย่าเสวี่ยและท่านแม่ฟังอย่างตั้งใจทั้งสองมองหน้ากันและพยักหน้าทันที..ในเมื่อมีคนหนุนหลังใหญ่โตเช่นนี้พวกนางยังจะกลัวอะไรอีก…ลุยกันเลย!!!!“ว่าแต่ว่า ป้าจวงไปรู้จักกับท่านแม่ทัพซู่หลิงตั้งแต่เมื่อไหร่หรือเจ้าคะ?” เฟิงหย่าเสวี่ยก็เกิดจะเป็นเจ้าหนูจำไมขึ้นมา ถามต่อไปอีกสักเล็กน้อยป้าจวงเหลือบตามองหน้าคุณหนูเล็กก่อนจะรีบเก็บสายตากลับอย่างคนมีพิรุธ จากนั้นนางก็หันข้างให้มือไพล่หลังใบหน้าเชิดขึ้นมาเล็กน้อย ลมเริ่มผัดชายเสื้อของนางให้ปลิวไสว ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาเสียงเบาพร้อมใบหน้าที่แดงเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย“รู้จักกันนานแล้ว!!!”อะไรกั้น!!!! เพิ่งจะเจอกัน2-3 ครั้งเองกลายเป็นคนรู้จักที่รู้ใจนานแล้วเช่นนั้นหรือป้าจวง : ไรท์เอง….“แล้วรู้จักกันได้อย่างไรเจ้าคะ? ” คราวนี้เป็นท่านแม่ที่เกิดอยากจะจำไมขึ้นมาบ้าง ป้าจวงถอนหายใจเบาๆ กับสองแม่ลูกที่เกิดอยากจะสอดรู้สอดเห็นขึ้นมา ก่อนจะเอ่ยว่า“มาคุยเรื่องสำคัญกันก่อนเถอะเจ้าคะเรื่องของข้ากับแม่ทัพซู่หลิงนั้นไม่สำคัญ” ….กลายเป็นเรื่องของเขาสองคน
บทที่ 44 อนุมัติการขอสัมปทานค้าเกลือด้วยการทำงานที่รวดเร็วของท่านเจ้าเมืองและเจ้าหน้าที่ของเมืองอวี้ไห่ เอกสารก็ถูกส่งเข้าเมืองหลวงในไม่กี่วัน และมันก็ได้ถูกส่งไปถึงเสนาบดีเจียงเฉินผู้รับผิดชอบด้านนี้โดยตรง เขาเปิดเอกสารที่ส่งมาด้วยสีหน้าที่สงบนิ่ง แต่เมื่อสายตาของเขาเห็นตราประทับที่ประทับอยู่บนเอกสารนั้น คิ้วของเขาก็ขมวดขึ้นเล็กน้อย"ตราประทับของชินอ๋อง...และตราของแม่ทัพซู่หลิงอย่างนั้นหรือ..." เสนาบดีเจียงเฉินพึมพำกับตัวเอง สายตาของเขาเต็มไปด้วยความสงสัย สับสน และมีความหวาดกลัวอยู่ในนั้น ความรู้สึกกังวลเริ่มกัดกินในใจของเขา เพราะว่าเขารู้ดีว่าชินอ๋องกับแม่ทัพซู่หลิงนั้นอยู่ที่อวี้ไห่กำลังตามสืบเรื่องการขนเกลือเถื่อนอยู่ แล้วจู่ ๆ วันนี้เขาก็เห็นเอกสารการขอเป็นผู้ได้สัมปทานการค้าเกลือกับทางราชสำนัก ซึ่งมีตราประทับของพวกเขาทั้งคู่ประทับมาพร้อมกับชื่อตระกูลที่ต้องการขอสัมปทานคือตระกูลเฟิงแห่งอวี้ไห่ ความหวาดกลัวที่ไม่อาจควบคุมได้เริ่มพุ่งขึ้นมาในจิตใจ เขารู้สึกเหมือนมีบางสิ่งที่เขาไม่อาจควบคุมได้กำลังจะเกิดขึ้น และนั่นทำให้เขารู้สึกไม่มั่นคงยิ่งกว่าเดิม“ตระกูลเฟิงแห่งเมืองอวี้ไห่เช
บทที่ 45 ความจริงและการเลือกของเสนาบดีเจียงเฉินในยามเย็นอันเงียบสงบ เสนาบดีเจียงเฉินนั่งอยู่ในห้องทำงานของเขา ข้างหน้าของเขามีเอกสารจากสายลับที่เขาส่งไปสืบเกี่ยวกับตระกูลเฟิงแห่งเมืองอวี้ไห่ ใบหน้าของเขาตึงเครียดเมื่ออ่านข้อความในนั้น ความรู้สึกหลากหลายแล่นผ่านจิตใจของเขา เขาไม่อาจเชื่อได้ว่านางคนนั้นที่เขาเคยรักอย่างสุดหัวใจ เจียงซิ่วเหยา อดีตฮูหยินเอกของเขา ผู้ที่เคยเป็นหญิงงามที่ได้ครอบครองหัวใจของเขาแต่เขานั้นได้เลือกที่ตัดทิ้งไปรวมทั้งลูกๆ ของเขาอีก 2 คนเพื่อที่จะเลือกอำนาจและเงินทองจากตระกูลหลิวของฮูหยินรองของเขาแทนนั้น ตอนนี้พวกนางได้กลายมาเป็นตระกูลเฟิงแห่งเมืองอวี้ไห่ที่สามารถขอสัมปทานการค้าเกลือกับทางราชสำนักได้ โดยที่ข้อมูลนั้นบอกมาว่าผู้ที่สามารถผลิตเกลือได้นั้นไม่ใช่แม่ทัพซู่หลิงหรือชินอ๋องแต่ว่าเป็นคนของตระกูลเฟิง ซึ่งนั้นหมายถึงพวกนาง 3 คนแม่ลูกนั้นเองในใจของเจียงเฉินเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ขัดแย้ง เขารู้ดีว่าการตัดสินใจครั้งนั้นที่ทิ้งเจียงซิ่วเหยาและลูกๆ ของเขาไป มันเป็นการเลือกที่เห็นแก่ตัว แต่เขาก็ไม่เคยรู้สึกเสียใจจริงๆ เพราะสิ่งที่เขาได้มาแทนนั้นคืออำนาจและความมั
บทที่ 46 ความเค็มของเกลือคือรสชาติของชีวิต...ชีวิตที่ร่ำรวย!!ความเสียอกเสียใจของเสนาบดีเจียงเฉินนั้นคนตระกูลเฟิงแห่งเมืองอวี้ไห่ หาได้รับรู้ไม่ พวกนางรออยู่ไม่กี่วัน ท่านเจ้าเมืองและเหล่าเจ้าหน้าที่เมืองอวี้ไห่ก็แห่กันมาที่คฤหาสน์พวกนาง การมาครั้งนี้พวกเขามีจุดมุ่งหมายคือการนำเอกสารการเป็นผู้ถือสัมปทานค้าเกลือกับทางราชสำนักมาให้ ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่มากจริงๆ อย่างที่ทุกคนทราบ เกลือนั้นประดุจทองคำสีขาว ทุกคนต่างก็ต้องการ หากว่าตระกูลเฟิงแห่งอวี้ไห่ผลิตออกมาได้ ความเจริญมั่งคั่งนั้นจะต้องเผื่อแผ่มาที่เมืองอวี้ไห่อย่างแน่นอน แรกสุดคือการจ้างแรงงานที่พวกชาวเมืองจะได้รับอย่างแน่นอน ดังนั้นพวกเขาจึงถือเป็นเกียรติที่ยิ่งใหญ่จึงได้พากันมาเพื่อแสดงความยินดีเมื่อทางคฤหาสน์เฟิงเห็นเหล่าเจ้าหน้าที่ของเมืองมากันหลายสิบคน ไหนจะท่านเจ้าเมืองที่มาเอง พวกนางจึงถือโอกาสจัดเลี้ยงพวกเขาทั้งหมดเสียเลย เพื่อเป็นการขอบคุณที่พวกเขาช่วยกันทำให้เอกสารสำเร็จโดยเร็ว บรรยากาศในงานเลี้ยงนั้นเต็มไปด้วยความสนุกสนาน อาหารคาวหวานมากมายถูกจัดเตรียมอย่างพิถีพิถัน มีทั้งเป็ดย่าง หมูกรอบ เนื้อตุ๋น และอาหารทะเลท
บทที่ 131 ผู้ถือครองพู่กันมังกรดำคนใหม่ / ป้ายทองเว้นโทษตายพู่กันมังกรดำส่องประกายวูบวาบ ก่อนจะพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าและมุ่งหน้าตรงไปที่แคว้นต้าโจวมันพุ่งอย่างเร็วและแรงเลยผ่านหลายเมืองของแคว้นต้าโจวไม่ว่าจะเป็นดินแดนทางเหนือเลยผ่านเมืองหลวง และมุ่งหน้าลงใต้และในที่สุดมันก็สิ้นสุดลงที่่เมืองอวี้ไห่จากนั้นก็ค่อยๆ ลอยไปที่คฤหาสน์หลังใหญ่ของตระกูลเฟิงที่ตอนนี้มีผู้ที่อยู่ที่นั่นมีเพียงแค่หลินเหมยและเฟิงซินซินลูกสาวตัวน้อยของนางนั้นเองในห้องที่อบอุ่นของคฤหาสน์ตระกูลเฟิง เฟิงซินซินน้อยเพิ่งดื่มนมมารดาเสร็จ ดวงตากลมโตเริ่มหรี่ลงด้วยความง่วง ริมฝีปากน้อยๆ ยังเปื้อนรอยนม หลินเหมยได้อุ้มลูกน้อยไปนอนในเปลและเมื่อเห็นว่าลูกน้อยหลับนางจึงได้ออกจากห้องไปแต่แล้วลมเย็นก็พัดผ่านเข้ามาในห้อง พู่กันมังกรดำลอยเข้ามาอย่างเงียบเชียบ มันวนเวียนอยู่เหนือเปลเด็ก ปลายพู่กันแตะเบาๆ ที่ปลายจมูกเล็กๆ ของเฟิงซินซินเด็กน้อยขยับตัว มือป้อมๆ ยกขึ้นปัดราวกับกำลังขับไล่แมลงหรือสิ่งก่อกวนที่ไม่พึงปรารถนาแต่แค่มือเล็กนุ่มนิ่มของนางปัดเบาๆ ของเด็กน้อยคราวนี้กลับสัมผัสเข้ากับด้ามพู่กันที่เย็นเยียบเป็นพู่กันมังกรดำโบราณท
บทที่ 130 การต่อสู้ครั้งสุดท้ายของมังกรทองเสียงหยดน้ำที่กระทบพื้นหินดังสะท้อนก้องภายในถ้ำมืดมิดราวกับโถงใต้พิภพที่ไร้จุดสิ้นสุด บรรยากาศชวนให้หัวใจเต้นระส่ำราวกับมีมือที่มองไม่เห็นกำลังบีบรัดอยู่รอบคอ ทุกคนค่อยๆ ก้าวลึกเข้าไปทีละน้อยอย่างระแวดระวัง เสียงสวดที่ดังก้องอยู่รอบข้างฟังดูเหมือนเสียงครวญครางของวิญญาณซึ่งโหยหาการปลดปล่อย เสียงหอบหายใจของเหล่าทหารและคนในคณะเดินทางประสานเข้ากับเสียงน้ำหยด ท่ามกลางความมืดที่สลัว แสงจากคบเพลิงสาดส่องให้เห็นภาพวาดโบราณบนผนังถ้ำ เป็นภาพของมังกรดำกำลังกลืนกินดวงจันทร์อย่างดุร้าย สะท้อนให้เห็นร่องรอยความน่าสะพรึงในอดีตที่เคยถูกผนึกไว้ในถ้ำแห่งนี้กลางโถงถ้ำกว้าง เหวินเทียนหลงผู้ถูกครอบงำด้วยพลังมืดแห่งพู่กันมังกรดำกำลังตกอยู่ในสภาพอันชวนขนลุก ร่างกายของเขาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นร่างครึ่งมังกร เกล็ดสีดำทะมึนขึ้นปกคลุมเนื้อหนัง ลามไปถึงใบหน้าจนเห็นเค้าโครงแทบไม่เหลือเค้าคนเดิม ดวงตาสีแดงฉานเบิกกว้างดุจสัตว์ร้ายที่กระหายเลือด เสียงหัวเราะของเขาแหลมสูงสะท้อนก้องราวกับภูตผีที่อาละวาดในคืนเดือนมืด"หยุดเดี๋ยวนี้!" ฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงตรัส "เจ้ากำลังทำลายชีวิตผู้บ
บทที่ 129 ถ้ำศักดิ์สิทธิ์ตระกูลเหวิน"เป็นแค่งู จะสู้มังกรได้อย่างไร? ชิงหลง!!"เฟิงหย่าเสวี่ยตะโกนขึ้นมายกพู่กันขึ้นตวัดวาดอักขระด้วยจังหวะที่สงบนิ่ง แต่เต็มไปด้วยพลังที่ซ่อนอยู่ แสงสีเงินเริ่มเปล่งประกายจากพู่กัน และทันใดนั้น เสียงคำรามแผ่วลึกก็ดังก้องไปทั่วป่า มังกรที่นางวาดคราวนี้ไม่ใช้มังกรทองแต่ทว่าเป็นมังกรเหล็กขนาดมหึมาปรากฏขึ้นจากแสงอักขระ ร่างของมันแวววาวด้วยเกล็ดโลหะคมกริบ ดวงตาสีแดงเพลิงจับจ้องไปยังงูยักษ์มังกรเหล็กพุ่งเข้าโจมตีอย่างดุเดือด กรงเล็บและหางของมันกวาดผ่านนางพญางูยักษ์ เกล็ดแข็งของงูไม่อาจต้านทานพลังอันมหาศาลนี้ได้ เสียงคำรามของงูดังสะท้อนป่า ขณะที่มังกรเหล็กใช้กรงเล็บจับงูไว้แน่น ก่อนที่มันจะอ้าปากพ่นไฟสีเงินบริสุทธิ์ที่ในเปลวไฟนั้นเป็นพิษที่เหมือนกับตะกั่วใส่ร่างของนางพญางูยักษ์ภายในพริบตา นางพญางูยักษ์ก็ถูกพิษตะกั่วลามไปทั่วทั้งร่างไม่สามารถขยับตัวได้ จากนั้นมังกรเหล็กก็ใช้หางฟาดอย่างแรงไปที่ร่างของมันทำให้มันแตกเป็นเสี่ยงๆ ราวกับกระจกแตกและในที่สุดก็สลายเป็นเถ้าถ่านกระจายไปในอากาศทันที เฟิงหยวนเจี๋ยลดพู่กันลง มังกรเหล็กยังคงลอยอยู่บนท้องฟ้าจากนั้นก็ค่อยลด
บทที่ 128 ป่าพิษกับนางพญางูยักษ์คณะของเฟิงหย่าเสวี่ยค่อยๆ เดินทางมาเรื่อยๆ ระหว่างทาง เฟิงหย่าเสวี่ยสังเกตเห็นเมฆดำก่อตัวเหนือยอดเขาที่เป็นจุดหมายปลายทาง นางรู้สึกถึงลางสังหรณ์บางอย่าง... บางสิ่งที่ชั่วร้ายกำลังรอคอยพวกเขาอยู่...คณะเดินทางมุ่งหน้าไปตามเส้นทางที่ปรากฏในแผนที่ เมื่อพระอาทิตย์คล้อยต่ำ เฟิงหยวนเจี๋ยสังเกตเห็นสัญลักษณ์แปลกๆ สลักอยู่บนก้อนหินริมทาง"หยุดก่อน!" เขาร้องเตือน "ตรงนี้มีค่ายกลซ่อนอยู่"แม่ทัพเว่ยสิง เดินเข้าไปตรวจสอบสัญลักษณ์อย่างละเอียด “มันคล้ายกับค่ายกล” เขาเอ่ยขึ้นมา"เป็นค่ายกลนำทาง" เฟิงหย่าเสวี่ยกล่าว นางจ้องมองสัญลักษณ์บนก้อนหิน "ถ้าเราเดินผ่านไปโดยไม่ทำตามที่มันบอก จะเจอกับดัก"เฟิงหยวนเจี๋ยพยักหน้า "และดูเหมือนว่าจะมีคนผ่านมาที่นี่ไม่นานมานี้" เขาชี้ไปที่รอยเท้าบนพื้น "รอยเท้าเหล่านี้ยังใหม่มาก""เหวินเทียนหลงและพรรคพวก" ฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงกล่าว ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่รอยเท้า "พวกเขาต้องมุ่งหน้าไปที่ถ้ำแน่นอน""ทูลฝ่าบาท" ทหารนายหนึ่งชี้ไปที่เส้นทางข้างหน้า "มีควันลอยขึ้นมาจากทางนั้น"ทุกคนมองไปตามทิศทางที่ทหารชี้ เห็นควันบางๆ ลอยขึ้นมาจากป่าทึบ กลิ่น
บทที่ 121 เดินทางสู่ถ้ำศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลเหวินแสงแรกของวันทอดผ่านบานหน้าต่างพระราชวัง เฟิงหย่าเสวี่ยมองออกไปยังลานกว้างเบื้องล่าง ใจหนึ่งยังคงหนักอึ้งเมื่อครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่เพิ่งค้นพบเกี่ยวกับพู่กันมังกรดำ แต่ในขณะเดียวกันนั้น ก็มีความอบอุ่นบางอย่างก่อเกิดขึ้นภายในใจ ทุกครั้งที่นางละสายตาจากภาพยามเช้า นางจะพบว่าฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงยืนอยู่ไม่ไกล ราวกับต้องการคุ้มกันนางอย่างเงียบ ๆ“เมื่อคืนเจ้าคงหลับไม่ค่อยสนิทกระมัง” เสียงทุ้มของฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงเอ่ยถาม เขาเดินมายืนข้าง ๆ เฟิงหย่าเสวี่ยพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็ยื่นแก้วกาแฟดำที่ตอนนี้ได้กลายเป็นเครื่องดื่มที่เจิ้งอี้หลงนั้นชื่นชอบมากที่สุดก็ว่าได้ ข้างๆ นั้นเฟิงหยวนเจี๋ยกำลังดื่มนมผสมช็อกโกแลตที่พี่ใหญ่วาดออกมาให้เขาเช่นกัน และแน่นอนว่ามันคือเครื่องดื่มที่เขานั้นชอบมากที่สุดในตอนนี้ “เพคะ” นางพยักหน้า ก่อนจะกล่าวอย่างจริงจัง “เรื่องพู่กันมังกรดำทำให้หม่อมฉันเป็นกังวล มันน่าหวั่นเกรงกว่าที่เคยรู้มาเสียอีก”เจิ้งอี้หลงรับฟังด้วยสีหน้าเรียบขรึม จากนั้นก็เหล่ตามองเจ้าเจี๋ยหยวนที่กำลังก้มหน้าก้มตาดื่มนมช็อกโกแลตของตัวเองอยู่ ก่อนจะโน
บทที่ 120 ความลับของพู่กันมังกรดำและก่อนที่พวกเขาจะกลับออกมา เฟิงหยวนเจี๋ยได้พบประตูเล็กๆ อีกบานที่อยู่ด้านหลังค่ายอาคมที่เพิ่งระเบิดไป เมื่อเขาเดินไปดูใกล้ๆ ก็เห็นว่าประตูยังปิดสนิทอยู่ เขาค่อยๆ ยกพู่กันมังกรหยกของตัวเองขึ้นมาและใช้มันเหมือนกับกระบี่ที่ค่อยๆ ดันให้ประตูเปิดออก ฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงและเฟิงหย่าเสวี่ยหันไปมองทันทีที่ได้ยินเสียงประตูเปิด พวกเขามองหน้ากัน จากนั้นก็เดินตามเจ้าเล็กเข้าไปเมื่อประตูห้องถูกเปิดออก กลิ่นหมึกและกระดาษเก่าโชยออกมา ภายในห้องมืดสนิท เฟิงหย่าเสวี่ยจึงให้ฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงวาดไฟฉาย LED ขนาดใหญ่ขึ้นมา และจัดการห้อยไว้ตรงประตูทางเข้า ห้องที่เคยมืดสนิทเมื่อเจอแสงสว่างจากหลอด LED เข้าก็ไม่มีส่วนใดมืดมิดอีกต่อไป พวกเขาจึงสามารถมองเห็นทั้งห้องได้อย่างชัดเจน ภายในห้องมีชั้นหนังสือสูงจรดเพดาน แสงจากไฟฉายเผยให้เห็นโต๊ะไม้แกะสลักตัวใหญ่ตั้งอยู่กลางห้อง พวกเขาทั้งสามเดินดูรอบๆ ห้องทันทีพวกเขาหยิบคัมภีร์เหล่านั้นมาดู มีบันทึกเก่าและวิชาของตระกูลเหวินมากมายอยู่บนนั้น รวมทั้งคาถา บันทึกการเดินทางของบรรพบุรุษ และการวางค่ายกลต่างๆ ที่ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ตระกูลเหวินส
บทที่ 119 ขุมทรัพย์ตระกูลเหวินหลังจากที่คณะของแม่ทัพซู่หลิงและชินอ๋องช่วยเหลือจนสามารถกวาดล้างเหล่าผู้ทรยศได้ พวกเขาก็กลับแคว้นต้าโจวพร้อมกับสองพี่น้องจวงและพระชายาเฟิง ซึ่งหากว่าชินอ๋องและแม่ทัพใหญ่แห่งต้าโจวอยู่ด้วยคงจะไม่ดีนักในสายตาของเหล่าขุนนางของแคว้นต้าหมิง ส่วนเฟิงหย่าเสวี่ยและเฟิงหยวนเจี๋ยนั้นยังคงอยู่ที่แคว้นต้าหมิงเพื่อช่วยเหลือองค์ชายอี้หลงให้ขึ้นครองบัลลังก์ก่อนเสียงฝีเท้าเร่งรีบดังก้องในท้องพระโรง ร่างของทหารนายหนึ่งวิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก เลือดไหลซึมจากแผลบนแขนของเขา"ทูลฝ่าบาท! มีเหตุด่วนที่จวนตระกูลเหวินพะยะค่ะ!" ทหารคุกเข่าลงรายงาน "ค่ายอาคมที่ซ่อนอยู่ในจวนได้ทำให้นายทหารของเราบาดเจ็บสาหัสไปสิบนายแล้วพะยะค่ะ และอีกหลายคนได้ดูเหมือนว่าจะรับพิษพะยะค่ะ"เจิ้งอี้หลงทรงขมวดคิ้ว"เกิดอะไรขึ้น?""นายทหารหนึ่งกองร้อยได้ตรงไปที่จวนตระกูลเหวินเพื่อทำการยืดทรัพย์สินของพวกเขาเป็นของแผนดินตามพระราชบัญชา พอถึงประตูจวนพวกเราก็ไม่สามารถเข้าไปได้อย่างง่ายดาย มีนายทหารเริ่มบาดเจ็บและเมื่อเข้าไปได้ พวกเราพยายามค้นห้องลับตามที่ได้รับรายงานพะยะค่ะ แต่พบว่าทั่วทั้งจวนมีกับดักและ
บทที่ 118 การชำระล้างราชวงค์ต้าหมิงเสียงคำรามสุดท้ายของมังกรดำทั้งเก้าดังก้องไปทั่วผืนฟ้า ก่อนที่ร่างของพวกมันจะสลายกลายเป็นละอองแสงสีทองที่ลอยหายไป เฟิงหยวนเจี๋ยยังคงยืนนิ่งกลางวงเวท ร่างเล็กๆ ของเขาส่องแสงอ่อนๆ จากพลังน้ำทิพย์ที่ยังหลงเหลืออยู่ในมือ ทุกสายตาในลานพิธีจับจ้องเขาด้วยความเคารพและทึ่งในความกล้าหาญเฟิงหยวนเจี๋ยนั้นมองไปที่เงาดำมรณะที่เมื่อร่างของฮองไทเฮาสลายไปพวกมันยังคงพยายามที่จะต่อสู้ เขาจึงยกพู่กันขึ้นและตวัด2-3 ครั้งร่างของพวกเขาก็สลายกลายเป็นเถ้าตามฮองไทเฮาไป ส่วนทหารที่เหลือเมื่อเห็นว่าฝ่ายตนนั้นพ่ายแพ้พวกเขาต่างก็รีบหันหลังและวิ่งหนีไปฮ่องเต้เจิ้งหลี่เฟิงก็เหมือนกันที่เห็นว่าตอนนี้พวกเขานั้นพ่ายแพ้แล้วกำลังอาศัยช่วงชุลมุนหลบหนีออกไปโดยการช่วยเหลือของคนของเขา องค์ชายเจิ้งอี้หลงนั้นไม่ได้ติดไปเขาไป แต่เลือกใช้พู่กันชิงหลงวาดอักขระควบคุมวิญญาณแทน แสงสีฟ้าสายหนึ่งพุ่งตรงไปยังร่างของเจิ้งหลี่เฟิงอย่างแม่นยำ รอยอักขระลึกลับเรืองแสงขึ้นบนหน้าผากของอดีตฮ่องเต้หนุ่ม ก่อนที่เขาจะหายลับเข้าไปในความมืด"ข้าคิดว่าเขาจะกลับไปหากองกำลังที่หลงเหลือของอดีตฮองไทเฮา" องค์ชายเจิ้ง
บทที่ 117 การปลดปล่อยมังกรโบราณทั้ง 9 EP 2เขามองดูขวดน้ำทิพย์ในมือ ความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องราวโบราณที่เคยได้ยินผุดขึ้นมา เรื่องของมังกรที่ถูกกักขัง ถูกทรมาน ถูกบังคับให้กลายเป็นอาวุธแห่งความมืด พวกเขาไม่ได้ต้องการการทำลาย แต่ต้องการการไถ่บาป ต้องการคนที่เข้าใจและยอมรับในตัวตนที่แท้จริงของพวกเขา"น้ำยานี้..." เขากระซิบ มองดูของเหลวใสที่เรืองแสงในขวดหยก"มันไม่ควรเป็นอาวุธ แต่ควรเป็นน้ำแห่งการชำระล้างและการปลดปล่อย มันควรจะเป็น น้ำทิพย์!!"เขากัดริมฝีปากความคิดหนึ่งผุดขึ้นในใจ หากเลือดบริสุทธิ์ของเด็กสามารถเปลี่ยนน้ำยาในขวดหยกนี้ให้กลายเป็นน้ำแห่งการไถ่บาปได้... และหากเขาใช้มันไม่ใช่เพื่อทำร้าย แต่เพื่อปลดปล่อยพวกเขาเล่า เด็กน้อยเงยหน้าขึ้นมองเหล่ามังกรดำที่กำลังส่งเสียงคำรามก้องไปทั่วไป ราวกับว่าพวกมันกำลังเรียกร้องหา…อิสรภาพ!!!.."ข้าเข้าใจแล้ว..." เขาลุกขึ้นยืน ดวงตาเปล่งประกายด้วยความหวัง "ศึกครั้งนี้ไม่ใช่การต่อสู้ แต่เป็นการช่วยเหลือ ไม่ใช่การทำลาย แต่เป็นการปลดปล่อย..."เด็กน้อยกัดปลายนิ้ว เลือดสีแดงหยดลงในน้ำยาภายในขวดหยก น้ำยาที่เคยใสกลับเปล่งประกายเรืองรองเป็นสีทองทันที คลื่