日进斗金 ยื่อจิ้นโต้วจิน
ขอให้ได้รับชัยชนะ เงินทองไหลมาเทมา
金玉满堂 จินอวี้หม่านถัง
ขอให้ร่ำรวยเงินทอง ทองหยกเต็มบ้าน
เสียงโห่ร้องสรรเสริญจากชาวบ้านดังลั่นไปทั่วเมือง ไม่นานนัก พวกเขาก็ชะโงกหน้าออกมาปิดหน้าต่างประตูทุกบาน ตะโกนออกมาจากภายในบ้านตนแทน ด้วยความเคารพยำเกรงเทพจนตัวสั่น บ้านไหนมีลูกเด็กเล็กแดงคงไม่อยากจะให้เห็นภาพนี้
เจ้าสาวรึ? น่าขันสิ้นดี!
อาเป้ยยิ้มหยันใต้ผ้าคลุมหน้าผืนบาง ซึ่งสามารถมองทะลุผ่านเห็นโลกภายนอกได้ไม่ชัดเจนนัก นางไม่ได้รับอนุญาตให้เปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวโดยเด็ดขาดเพราะจะถือเป็นลางร้าย
นางใช้วิชาตัวเบากระโดดลงบนเรือ เหยียบยืนอย่างมั่นคงด้วยรองเท้าถักสานสีแดงอย่างดีของนาง
เมื่อเรือลำน้อยแล่นออกจากฝั่งด้วยแรงผลักขององครักษ์ที่พลิกฝ่ามือ ใช้พลังภายในดันสายน้ำ เสียงผู้คนป่าวร้องตะโกนด้วยความยินดี เว้นเพียงมารดาของนางที่กำลังคร่ำครวญปานขาดใจอยู่บริเวณท่าเรือ อาเป้ยเหลียวคอมองร่างสั่นเทาบนพื้นที่ไกลออกไปเรื่อย ๆ เป็นครั้งสุดท้าย ดวงตาคู่สวยเอ่อคลอหยาดน้ำตา ด้วยความสงสารมารดาจับใจ
นางจะยอมทำเพื่อบ้านเกิดเมืองนอนของท่านแม่ก็แล้วกัน
นางคิด พลันหันกลับมายืนตรงอย่างสง่าผ่าเผย ทำความเคารพเทพเจ้าในแบบของนักปราชญ์ ยกฝ่ามือขึ้นเก็บปลายนิ้วโป้ง ก้มศีรษะลงคำนับเทพทั้งสี่ทิศเริ่มจากทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ทิศใต้แล้วจบที่ทิศเหนือ
การส่งสตรีพรหมจรรย์เป็นเครื่องสังเวยแด่เทพ เป็นเรื่องที่ทำทุกสิบสองปี ตามปีนักษัตรซึ่งท่านเจ้าเมืองเลือกที่จะบูชาแค่เทพหลงเหนียนเพียงเทพเดียวเท่านั้น
ท่านเจ้าเมืองหลงอี้จินสืบสานงานสำคัญมาจากบรรพบุรุษ ด้วยความเชื่อว่าทุกสรรพสิ่งบนโลกได้ถือกำเนิดขึ้น และพัฒนาไปข้างหน้า ต้นเหตุทั้งมวลมาจาก ‘น้ำ’ ท่านจึงเลือกบูชาเทพแห่งน้ำเสียมากกว่าเทพแห่งการเกษตร[1] และเทพปฐมกษัตริย์ห้าธัญพืช[2]
นางมีความคิดว่าแสนแปลกประหลาดพิสดาร บูชาเทพด้วยคนเป็น ๆ ทำไปเพื่ออะไร แถมมีสตรีกล้าหาญลงเรือมาก่อนนางถึงสิบสองคน ไม่มีผู้ใดรอดชีวิตกลับมา
ใช่เพียงเท่านั้น ท่านเจ้าเมืองหลงอี้จินได้กำชับให้นางล่องเรือผ่านสายน้ำตามทิศทางลมทะเล เพื่อความเป็นสิริมงคล ให้บ้านเมืองร่มเย็นเป็นสุข ทั้งที่เมืองเจิ้นกันก็สงบร่มเย็นดีกว่าเมืองที่นางจากมาเสียอีก
เหตุผลท่านไม่เข้าท่าเลยสักนิด! เกรงว่านางจะเอาชีวิตมาทิ้งเปล่า ๆ น่ะสิ
อาเป้ยถอนหายใจออกมา นางหันหน้าไปทางทิศเหนือ หลับตาลงตั้งสติ เหยียดฝ่ามือออกชนชิดติดกัน จรดปลายนิ้วโป้งไว้กลางอกอย่างนักพรต อีกข้างนั้นกำลูกประคำของขวัญจากอาจารย์นางไว้มั่น ทันใดนั้นเอง นางได้ยินเสียงตะโกนก้องดังทั่วฟ้า
“อาเป้ย! ชะตาฟ้าลิขิตมิอาจฝืน แต่สำหรับข้า...” ปลายเสียงที่เงียบไปปรากฏแสงสีเหลืองทองผุดวาบขึ้นมา จากการวาดฝ่ามือสั้น ๆ ทว่าทรงพลัง กระทบลงบนร่างของเจ้าสาวกลางลำน้ำ
“จะฝืนบ้างก็ได้... ฮ่า ๆ”
เสียงหัวเราะร่าเริงดังต่อเนื่องจากอีกฝั่งของแม่น้ำ เหล่าทหารนับสิบซึ่งประจำการอยู่รอบแม่น้ำทั้งสองฝั่งพยายามจะเข้าไปจับกุมตัวหลวงจีนนอกรีต
อาจารย์ฮุ่ยหมิงสวมอาภรณ์สง่างาม ในชุดนักบวชสีดำคาดสีเหลืองส้ม เพื่อไว้อาลัยและให้เกียรติแด่เจ้าสาวของทวยเทพ มือข้างหนึ่งกำลูกประคำสีขาวมุก เปล่งประกายสว่างไสวด้วยพลังแห่งหยาง
เซียนพรตระดับปรมาจารย์มิได้กลัวเกรงทหารองครักษ์ของเจ้าเมืองหลงอี้จิน ถีบฝ่าเท้าหนีขึ้นอากาศ วาดลีลาวิทยายุทธ์สูงส่งด้วยท่วงท่าสง่างาม ประหนึ่งการร่ายรำส่งศิษย์เอกผู้ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันมา เป็นทั้งลูกศิษย์และข้ารับใช้ท่านมาตลอดชีวิตของนาง
พร้อมกันนั้น คลื่นน้ำขยับระลอกใหญ่ บอกถึงการปรากฏตัวของเทพ ทหารองครักษ์จึงหยุดการจับกุม วิ่งไปคนละทิศคนละทาง บางคนรีบหาที่กำบังด้านหลังกำแพง เคาะประตูที่พักซึ่งแน่นอนว่าตามธรรมเนียมแล้วจะไม่มีใครเปิดประตู
เจ้าสาวกลางลำน้ำเงยหน้าขึ้นมองแสงสีทองอร่ามราวดวงอาทิตย์ในยามราตรี แสงสว่างสุดท้ายเหนือศีรษะของนาง
“ข้าเชื่อว่าการเสียสละของเจ้าเพื่อบ้านเมืองครั้งนี้จะไม่สูญเปล่า ไม่ว่าจิตวิญญาณของเจ้าอยู่ที่ใด จงจำไว้ว่าเจ้าเป็นศิษย์ข้า อาจารย์ฮุ่ยหมิง! ข้ามีเมตตาต่อเจ้า จะนำทางแห่งแสงสว่างให้เจ้าเสมอ”
“ขอบคุณท่านอาจารย์ บุญคุณนี้ที่ท่านชุบเลี้ยงศิษย์มา อาเป้ยไม่มีวันลืม ขอบคุณที่มาส่งข้า!”
นางตะโกนก้องสุดเสียงด้วยความภาคภูมิใจ คงมิใช่เพราะการเป็นเครื่องสังเวยแด่บ้านเมือง หากเป็นเพราะนางได้เป็นศิษย์ของท่านอาจารย์ฮุ่ยหมิงมาตลอดชั่วชีวิตของนาง ฉับพลันนั้นเอง โลกของนางก็ถูกปกคลุมด้วยความมืดมิด
อาเป้ยหาได้ล่วงรู้ชะตากรรมข้างหน้าของนาง เมื่องูตัวใหญ่ยักษ์ความสูงเสียดฟ้าที่มีเกล็ดบนลำตัวเป็นสีนิลสนิท ผงาดกางกรงเล็บแหลมคมบนเท้าทั้งสี่ข้างลักษณะคล้ายอุ้งมือมังกรขึ้นมาจากผืนน้ำ อ้าปากงาบนางเข้าไปในคำเดียว
นั่น...
เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นเทพ แต่ก็เป็นไปแล้ว นางมองว่าเหมือนปีศาจงูเสียมากกว่า! ขนาดอาจารย์ฮุ่ยหมิง ผู้บำเพ็ญพรตจนเป็นเทพเซียนได้ยังเผ่นป่าราบ โบกมือล่ำลานางเป็นที่เรียบร้อย สภาพของนางหรือจะเหลือ...
เรือไม้ลำเล็กที่จิตรกรเอกบรรจงวาดอย่างสุดฝีมือกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ละลายหายไปเหมือนถูกเผาไหม้จากสายพิรุณพิโรธที่ร้อนจัดจนถึงจุดเดือด แต่นับว่ายังดี ท่านเทพหลงไม่กลืนนางลงท้อง ยังไม่นิยมเคี้ยวอาหารอันโอชะอย่างนาง หรือเป็นเพราะท่านมีเพียงเขี้ยวแหลมคมสองข้างซ้ายขวา นางมองไม่เห็นว่าท่านจะมีฟันสำหรับบดอาหารเยี่ยงมนุษย์
สถานที่มืดมิดแห่งนี้อากาศร้อนอบอ้าว กลิ่นก็ไม่ค่อยดีนัก น่าอึดอัดไม่น้อย เสียงเสียดสีของพิษสีเหลืองที่เดือดพล่านกระทบกับเขตอาคมของอาจารย์ฮุ่ยหมิง ได้กางเอาไว้เป็นเกราะกำบังให้นาง
นางระลึกถึงบุญคุณท่านอาจารย์ผู้มอบแสงสว่างให้กับนางเสมอมา แม้ในครานี้ ท่านยังชี้หนทางรอดให้นาง
----------
[1] เทพเฉินหนง 神農 เทพแห่งการเกษตร
[2] เทพอู๋กู่เซียนตี้ 五穀先帝 ปฐมกษัตริย์ห้าธัญพืช
เสียงน้ำจากภายนอกเป็นระลอกคลื่นสูงมหึมาทำให้รับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือน เมื่อนั่งหลับตาเพ่งจิต ตั้งสมาธิให้มั่น นางพอที่จะควบคุมสถานการณ์โคลงเคลง กระเด็นไปมาเหมือนลูกบอลกลิ้งในขวดแก้วได้ ถึงไม่รู้ว่าอยู่ในปากงูนานเท่าไรกระทั่งมาถึงแหล่งน้ำที่ไหนสักแห่ง จากการสัมผัสได้ถึงเสียงระลอกคลื่นสาดกระจาย กายอสรพิษโผล่พ้นขึ้นเหนือน้ำ นางอาศัยจังหวะที่ท่านเผยอปาก ลอดช่องเล็ก ๆ ถีบตัวเองออกมาในท่านอนหงาย สะบัดปลายเท้ากระโดดขึ้นอากาศ ถือวิสาสะเหยียบบนอุ้งมือหยาบซึ่งมีเล็บแหลมคมราวอุ้งมือของมังกร กระตุกดึงผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวโยนทิ้งไปตาสบตาใต้แสงจันทร์มืดสลัว เทพผู้ยิ่งใหญ่ท่าทางประหลาดใจ ยกนิ้วอันโอฬารขึ้นเพื่อพิจารณานางเป็นมนุษย์ สตรี ตัวเล็กกว่าดวงตาสีแดงอันน่ากลัวของท่านเสียอีก“เจ้า... ยังมีชีวิตอยู่หรือ?”“ท่านเทพหลงเหนียนจะแสดงความยินดีกับข้าไหมเล่า สงสัยว่าข้าหนังเหนียวไปสักหน่อย”“เครื่องสังเวยที่ข้าพากลับมาทั้งสิบสองชีวิตเหลือเพียงเถ้ากระดูก พวกนางไม่สามารถทนพิษจากน้ำลายข้าได้ ไม่คิดว่าปีนี้... เจ้าเมืองหลงอี้จินจะส่งเซียนหญิงมา... หรือจะเป็นไปได้ว่า... คิดเป็นกบฏ ต่อต้านเทพ...” ปลายเสียงข่ม
อาเป้ยได้พบเทพหลงเหนียนในร่างบุรุษเพียงครั้ง นางอยากจะนับว่าครั้งเดียวเพราะครั้งแรกนั้นท่านแปลงกายแล้วหนีหน้านางไปในทันทีครั้งที่สอง ท่านต่อว่านางโกหกข้อหนึ่ง แล้วเหาะเหินเดินอากาศไปเช่นเดิมครั้งที่สาม ท่านมาส่งนางหน้าห้องพัก นางถึงได้พิจารณาใบหน้าคมคายไร้ที่ติของท่านคิ้วเข้มหนาขนานไปกับดวงตาเรียวรี หางคิ้วยกขึ้นสูง นัยน์ตาสีโลหิตดูก้าวร้าวดุดัน ทว่าหากมองให้ดีแล้วนางว่าสวยงามดึงดูดเหล่าอิสตรีเป็นอย่างมาก จมูกโด่งเป็นสันคมรับกับสันกรามแกร่งเยี่ยงชายชาตรี ทำให้ท่านดูองอาจและสง่างาม ริมฝีปากอมแดงอมชมพูดูนุ่มนวลอ่อนหวานประหนึ่งกลีบดอกเหมยฮวาบุรุษเทพผู้นี้รูปงามปานหยกสลัก นางหาได้เคยพบบุรุษรูปงามเท่านี้ไม่ใช่ว่านางหลงใหลในรูปลักษณ์เทพหลงเหนียนนักหรอก นางเพียงไม่มีโอกาสชื่นชมความงามของผู้ใด ด้วยความที่นางพำนักอาศัยอยู่ในกระท่อมตีนเขาวัดเทียนหลง ปลอมตัวเป็นข้ารับใช้ชาย ลูบหน้าตนด้วยถ่านหินมาทั้งชีวิต บุรุษมากมายผู้ที่นางจะได้พบเจอมีแต่หลวงจีนหัวล้าน นักพรตเฒ่า พ่อค้าในตลาดนางพบเห็นบุปผางาม สตรีใบหน้าสะสวยในหอนางโลม ซึ่งนางเคยแอบหนีไปเที่ยวเพราะว่าอยากพบท่านแม่บ้างนาน ๆ ครั้ง นางก็ว่าง
อาเป้ยกำลังสำรวจรอบที่พักอาศัยของเทพหลงเหนียน โดยไม่รบกวนท่านตามคำสั่ง นางทึกทักเอาว่านางแค่ออกมาเชยชมเรือนของท่านนิด ๆ หน่อย ๆ ไม่ได้ทำเรื่องเสียหายรองเท้าถักสานสีดำปักด้วยลวดลายบุปผางามเยื้องย่างไปข้างหน้าอย่างเงียบเชียบและระมัดระวัง ไม่ให้เกิดเสียงแม้สักน้อย นางก้าวข้ามสะพานไม้เล็ก ๆ ชะโงกหน้าลงมองหมู่มัจฉานานาชนิดใต้พื้นไม้ที่มีแหล่งน้ำสีมรกตไหลเวียนไปทั่วคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นเรือนสี่ประสาน[1] ที่พักอาศัยของนักพรตซึ่งนางขึ้นไปส่งข้าวปลาอาหาร แต่ด้วยความที่ด้านหน้าเรือนเปิดโล่งเป็นลานกว้างไว้ฝึกวิทยายุทธ์ หรืออาจจะไว้รับรองแขก มีประตูบานใหญ่กั้นพื้นที่แห่งนี้ไว้จากป่าทึบและเทือกเขา จึงไม่เชิงว่าใช่เสียทีเดียว เรือนสี่ประสานจะมีลานฝึกอยู่ตรงกลาง รายล้อมด้วยเรือนพักอาศัยโดยรอบเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า“เรือนท่านอยู่ท่ามกลางป่าเขา ทิวทัศน์งดงามถึงเพียงนี้ สบายข้าจริง ๆ”อาเป้ยส่ายคอมองไปรอบ ๆ อย่างสดชื่นแจ่มใส เพียงได้ออกมาสูดอากาศข้างนอกเสียบ้างหลังอุดอู้อยู่แต่ในห้อง นางเงยหน้าขึ้นมองต้นโบตั๋น ต้นท้อ ต้นหอมหมื่นลี้ ออกดอกบานสะพรั่งแข่งกัน ก็ส่งยิ้มให้พวกมันบุปผชาติเหล่านี้ได้งอกเง
เสียงของบุรุษเทพตวาดดังลั่น นัยน์ตาแดงก่ำประหนึ่งจะปลิดชีพอีกฝ่ายซึ่งมีตัวประกันเป็นคนไม่สำคัญเอาเสียเลย ทางฝ่ายเทพสมควรปล่อยให้นางถูกสังหารไปเสีย มิใช่ทำให้ศัตรูเห็นว่านางยังมีประโยชน์“ส่งหยกพันปีมาให้ข้า... เทพอู่เฉิน”ทั้งสองฝ่ายสบมองกันอย่างเชือดเฉือน กระชับอาวุธในมือแน่น เมื่อกระบี่บนคอนางบาดลงลึกจนเลือดซึมอาเป้ยถูกกระบี่คมกริบเฉือนลึกเข้าไปในเนื้อ ชายแปลกหน้ายังบีบคอนาง โดยที่นางไม่แม้แต่จะแสดงออกทางสีหน้าว่าเจ็บปวด นางสงสัยใคร่รู้ว่าหยกพันปีนี่คืออะไร ทั้งเทพและปีศาจถึงได้ต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย แล้วผู้ใดคือเทพอู่เฉิน!“ข้าไม่รู้ว่าหยกพันปีอยู่ที่ใดบนเกาะนี้ เจ้าอยากได้ก็ต้องลองค้นหาเอาเอง”“นางตายแน่... หากว่าท่านไม่รู้”“ข้าขอโทษด้วย เจ้า...”“อาเป้ย ข้าชื่ออาเป้ย” นางแนะนำตัวอย่างยินดี เมื่อท่านเทพรู้สึกผิดต่อนางแทนที่จะว่านางเป็นปัญหา พร้อมกันนั้นนางยกมือขึ้นจับใบมีดกระบี่ อาศัยจังหวะที่ศัตรูกำลังตกใจ ผลักยันอาวุธออกจากคอด้วยแรงทั้งหมดที่มีโลหิตหลั่งไหลจากอุ้งมือเล็ก ๆ ของนางราวสายน้ำ มือของนางยังเกือบจะขาด หากไม่เป็นเพราะพลังกายเทพอันกล้าแกร่งซึ่งนางได้รับมาในร่างนี
“ทะ... ท่านอาจารย์ฮุ่ยหมิงสั่งไม่ให้ข้าเข้าใกล้บุรุษเกินสามย่างก้าว ข้าจะต้องระวังตัว... แล้ว ๆ ท่านควรขออนุญาตข้าก่อน... จับตัวข้ารักษาหรือทำอะไรก็ตาม ข้ารอให้แผลหายเองได้ท่านเทพหลงเหนียน... ช่วยปล่อยข้า...”“ปีศาจนั่นเพิ่งจะกอดคอเจ้าอย่างสนิทสนมทีเดียว นับเป็นบุรุษด้วยหรือไม่?”“เหตุสุดวิสัย นับไม่ได้ ท่านเทพหลงเหนียน...”เทพหลงเหนียนนึกขันนางขึ้นมาว่านางคิดอะไรไม่เข้าท่า แสยะยิ้มตรงมุมปาก“ข้าไม่ใช่เทพผู้น่ากลัวเกรงถึงเพียงนั้น ข้าเสกฟ้าฝนทำลายโลกมนุษย์ไม่ได้ ท่านพ่อข้าเป็นชนเผ่ามังกรบนสวรรค์ ท่านแม่ข้าเป็นปีศาจอสรพิษ ข้าชื่ออู่เฉิน” พูดจบ บาดแผลที่ได้รับการดูแลอย่างดีด้วยพลังเพียงเล็กน้อยจากฝ่ามือเทพ จางหายไปจนเหลือเพียงขีดสีแดงจาง ๆ บุรุษเทพจึงปล่อยนางให้เป็นอิสระ“ข้าอนุญาตให้เจ้าเรียกข้าว่าเทพอู่เฉินได้”“ท่าน... เทพอู่เฉิน?”“ใช่แล้วล่ะอาเป้ย ข้าคือเทพอู่เฉิน หาใช่เทพหลงเหนียนเยี่ยงมนุษย์กล่าวอ้าง ข้าคงเป็นบุรุษผู้ไร้เกียรติเป็นอย่างมาก จึงไม่ได้บอกเจ้าว่าไม่มีเทพหลงเหนียนบนเทวโลก ข้าไม่เคยได้ยินว่ามีผู้ใดชื่อเทพหลงเหนียน”ในน้ำเสียงที่อ่อนโยนลงต่างจากวันแรก บอกความจริงกับนาง
คราแรกพบสตรีแปลกหน้า นางสบมองนัยน์ตาสีแดงก่ำประหนึ่งดวงตาแห่งเทพสงครามอย่างไร้ความกลัวเกรงหาใช่ความใจกล้าของนางผู้ไม่หวาดหวั่นต่อเทพ เหมือนนางเป็นสตรีประหลาด ผู้ไม่หวาดกลัวในสิ่งใดเทพอู่เฉินรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของตน ยังค่อนข้างให้ความสนใจอาเป้ย นางสร้างความประหลาดใจให้เขาเป็นอย่างมาก ดวงตาคู่สวยสว่างใสของนางหยุดลมหายใจของเขาไปชั่วขณะหนึ่ง วันต่อมาเขาจึงเริ่มส่งของสวยงามไปให้นางหลายชิ้น เสื้อผ้าอาภรณ์ ปิ่นปักผมสตรี เรือนนี้ไม่เคยมีข้าวของเครื่องใช้สตรีมาก่อน ก็วานให้บ่าวประจำตัวทั้งสองไปหาวัตถุดิบจากสวรรค์มาสร้างมันด้วยพลังเวท ส่วนหนึ่งนั้นก็สร้างมันด้วยพลังปีศาจเทพอู่เฉินเป็นครึ่งเทพครึ่งปีศาจ ทว่ามีนิสัยรักความสงบ ตามหาความสงบอยู่เป็นนิจ เขาใคร่อยากจะรู้นักว่าคำทำนายนั่นมีมูลความจริงหรือไม่ หากว่านางเป็นบุคคลตามคำทำนาย เขาจะพบความสงบสุขได้จริงหรือ?ตลอดหลายร้อยปีมานี้ ภาระปัญหามากมายรบกวนเขาอยู่เรื่อยไป ปีศาจตามรังควาน แม้แต่ทวยเทพยังผลักภาระมาให้เขาจำเป็นต้องรับผิดชอบ ชีวิตวุ่นวายแม้เป็นเทพยังหาได้พบความสุขตัวเขากำลังคิดว่าหากใช่นางจริง การบีบบังคับนางไม่น่าจะทำให้นางยอมปฏิ
นอกจากเหล่าเทพแห่งสายน้ำจะได้รับข่าวอันไม่น่าภิรมย์เรื่องมนุษย์เครื่องสังเวย บรรดาปีศาจแค่มาทักทาย หาเรื่องก่อกวนใต้เท้าจีกงเสียมากกว่าต่อสู้จริงจัง ไม่ทันได้แพ้ราบคาบหรือหมดสภาพก็พากันหนีไปเสียแล้วอย่างปักษา ยักษา สัตว์อสูรสุนัขสามหัวอยู่ตระกูลจำพวกลมคงกลับไปฟื้นพลังที่เทวโลกชั้นฟ้าหรือนรกภูมิของตน น่าจะไม่เดินทางมาอีกสักพักเทวโลกในแต่ละชั้นไม่ใช่คิดจะมาก็มา หากมิใช่ถูกส่งมาโดยอำนาจแห่งราชาสวรรค์ ปีศาจผู้ทรงพลังเช่นเฟยอี๋และตนอื่นซึ่งมีไม่มากนัก ต้องรอเวลาประตูระหว่างภพภูมิเปิด ต่อให้เป็นเทพผู้ปกครองเทวโลกชั้นใหญ่ทั้งสามชั้นฟ้า ชั้นดิน ชั้นน้ำยังไม่ใช่เรื่องง่ายดาย ต้องใช้พลังเวทมหาศาลในการเดินทางข้ามภพภูมิเทวโลกแต่ละครั้ง ขนาดใต้เท้าจีกงเองไม่ใคร่จะเดินทางข้ามภพภูมิบ่อยครั้งหากว่าท่านไม่มีธุระจำเป็นต้องไปจริง ๆบริเวณตั่งนั่งไม้สนแดงกลางเรือน ใต้เท้าจีกงได้ชื่นชมวิทยายุทธ์ของบุตรชาย จนญาติทางฝ่ายภริยาเดินเข้ามาสนทนาเรื่องเทพอู่เฉิน จึงมีท่าทางสงสัยใคร่รู้“เครื่องสังเวยผู้รอดชีวิตเป็นศิษย์ตาเฒ่าฮุ่ยหมิงอย่างนั้นรึ?”“ใช่แล้วใต้เท้า ท่านซื่อหยูอี้แจ้งข่าวข้ามาว่านางเป็นศิษย์ลับ ๆ
เทพอู่เฉินในร่างปีศาจมีช่วงเวลาจำศีลหลายราตรี สักห้าสิบถึงหนึ่งร้อยปีจะลอกคราบเก่าของตนสักครั้งเช่นเดียวกับนางเฟยอี๋ ใช้เวลามากหรือน้อยขึ้นอยู่กับพลังเวทในกาย ซึ่งหลังจากลงไปรับเครื่องบรรณาการบนโลกมนุษย์ เดินทางข้ามภพภูมิกลับมายังเทวโลกทำให้สูญเสียพลังไปมาก คงซ่อมแซมตนได้ไม่ดีนักเทพและปีศาจต่อสู้กันมาสองราตรีแล้ว...อาเป้ยเดินไปเดินมาอย่างระวังไม่ให้เป็นภาระผู้ใด นางหลบเข้าไปนอนบ้าง เอามือปิดหูปิดประตูห้องเงียบเชียบ เสียงกระบี่ดังกระทบกัน พื้นดินแตกหักเป็นเศษเป็นชิ้น เสียงตะโกนบริภาษอย่างเกรี้ยวกราด แสงสีเสียงทอดดังมาเป็นระยะ ต่างฝ่ายตะโกนโหวกเหวกโวยวายทะเลาะวิวาทกันไม่จบสิ้น ไม่มีวี่แววว่าฝ่ายใดจะยอมเลิกราท้ายที่สุดนางก็ทนไม่ไหว จึงลองเดินหาห้องพักจำศีลของเทพอู่เฉินดูว่าอยู่ที่ใดห้องพักของเทพอู่เฉินหาไม่ยากนัก อยู่ถัดจากลานกว้างที่พวกเขากำลังต่อสู้กัน นางคิดว่าท่านเทพคงไม่กลัวเกรงในสิ่งใดเลยจำศีลอย่างโจ่งแจ้ง นางยังเห็นว่ามีบุรุษเทพรูปงามร่างสูงใหญ่แต่งการด้วยอาภรณ์งดงามดูมีภูมิฐาน และอีกสี่คงเป็นลูกสมุนของฝั่งเทพแห่งสายน้ำตามมาสมทบนางเคาะประตูห้องอย่างมีมารยาท ทว่าไม่ได้ยินเสีย
ปัญหาใหญ่ทว่าหากชักช้าไปจะไม่ทันกาล พยัคฆ์อัคคียอมปล่อยลูกของตนออกจากหน้าท้อง สายตาทุกคู่จับจ้องไปยังเจ้าพยัคฆ์ตัวน้อยกายพยัคฆ์ที่ห่อหุ้มด้วยเปลวอัคคีครึ่งหนึ่งถูกพิษสีเขียว หนอนพิษชอนไชจนเห็นกระดูก นัยน์ตาใสซื่อบริสุทธิ์ของมันเอ่อคลอหยดน้ำใส มันไม่แม้จะส่งเสียงร้องออกมาเหล่าเทพถึงจะไม่ชอบสัตว์อสูรสักเท่าไร อดไม่ได้ที่จะสงสารเวทนาเจ้าพยัคฆ์ตัวกระจ้อยร่อย“ตำราเล่มหนึ่งกล่าวว่าสัตว์อสูรจำพวกพยัคฆาไม่แสดงความอ่อนแอออกมาให้ผู้ใดเห็นเป็นอันขาด นิสัยของท่านช่างคล้ายคลึงกับตัวข้านัก...”“ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับข้า”เทพอู่เฉินเอ่ยขึ้น ชิงลงมือนำหน้า วาดวงเวทสีดำเสกสายน้ำเป็นระลอกคลื่น ดึงแผ่นน้ำขึ้นสูงเพื่อจัดการกับมัจฉาก้าวร้าวให้ขาดอากาศหายใจไปเสีย ไม่ปล่อยให้เสียเวลาแม้สักน้อย ใต้เท้าจีกงรีบปราม “ระวังด้วยเทพอู่เฉิน ดอกบัวสีทองจะขาดน้ำหล่อเลี้ยงรากไม่ได้เป็นอันขาด จะแห้งตายในทันที”“ข้าว่าไม่ง่าย... ต้องร่วมใจเป็นหนึ่ง”อาเป้ยสะบัดปลายเท้า กระโดดข้ามอากาศไปยืนถัดจากเทพอู่เฉินในระยะห่างพอสมควร เพื่อมองทิศทางน้ำในอีกด้านหนึ่ง เทพแห่งสายน้ำทั้งสองเห็นพ้องต้องกัน รีบไปยืนคนละทิศ ทั้งสี่มุมสร
“ข้าเชื่อก็คือเชื่อ... ท่านเคยได้ยินไหมว่าเปลี่ยนความเชื่อมนุษย์นี้ยากกว่ายกภูเขาทั้งลูกเสียอีก”“ข้าเพิ่งจะเอ็ดเจ้า”“ข้าขอนับเป็นความหวังดี ใช่ว่าท่านอยากจะเอ็ดจะว่าข้าเสียเมื่อไร ท่านใจดีกับข้า” นางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนลง “และที่ท่านยอมช่วยเหลือพยัคฆาน้อยวันนี้ นับเป็นบุญกุศลของท่าน ข้าเชื่อเรื่องบุญกรรมวาสนา การทำความดี สิ่งดี ๆ จะย้อนกลับมา”อาเป้ยยิ้ม เงยหน้ามองเทพอู่เฉินในร่างสีดำทะมึนด้วยแววตาใสซื่อบริสุทธิ์ ถึงแม้ว่าเทพอู่เฉินคงไม่สบอารมณ์นางนัก ไม่หลงกลคารมนาง“เจ้าพูดจาได้ดี... ทั้งที่เพิ่งจะขังเทพผู้ยิ่งใหญ่ของมนุษย์เอาไว้ใต้ที่นอนในห้องใต้ดิน ห่อร่างข้าด้วยผ้าห่มเหม็นเน่าของเจ้า ทำให้ข้าในร่างครึ่งงูครึ่งบุรุษต้องติดอยู่ใต้เตียงถึงสองคืน”อาเป้ยเพิ่งนึกออกว่าลืมท่านเทพเอาไว้ หลังร่ายเวทอำพรางตาเปลี่ยนประตูให้กลายเป็นกำแพง ส่วนตัวนางนั่งน่ะหรือ เล่นหมากเซี่ยงฉี หัวเราะร่าเริงบันเทิงใจ ไปเที่ยวชมพรรณพฤกษาในป่ากับสองบุรุษเทพแห่งสายน้ำ!阿贝 อาเป้ย...宝贝 bǎobèi (เป่าเป้ย)ลูกรัก ที่รัก...ชื่อของนางคงมีรากฐานมาจากคำในความหมายว่านางคือผู้เป็นที่รักต่อทุกสรรพสิ่งเทพอู่เฉินมองเ
พยัคฆ์อัคคียอมบอกความจริงต่อเทพว่าต้องการหยกพันปีไปฟื้นฟูพลังกายของบุตรชายตัวน้อย ซึ่งเล่นซนไปสักหน่อยจึงถูกพิษของป๋ายเซี่ยสัตว์อสูรจำพวกปูยักษ์มีวิถีนักล่าที่แปลกประหลาด ไม่กลืนเหยื่อเข้าไปทว่าจะฝังคมเขี้ยวไว้ รอให้แผลเน่าและถูกพิษกัดกินเสียก่อน ให้เหยื่อทุรนทุราย ร่างกายขยับไม่ได้เมื่อไรค่อยกลับมาจัดการอีกครั้งหนึ่งทั้งปีศาจและอสูรไม่ใช่ทุกเผ่าจะเป็นมิตรที่ดีต่อกัน อสูรหลายตนนี้เป็นพวกเดียวกับพยัคฆ์อัคคี ซึ่งเป็นสัตว์อสูรในตำนาน จัดอยู่ในระดับที่มีพละกำลังใกล้เคียงกับปีศาจส่วนอสูรปักษาซึ่งมาก่อกวนคราวก่อนนั้นต้องการหยกพันปีไปทำอะไรไม่รู้ได้ ถึงคราวนี้ไม่มาปรากฏตัวแต่คราวหน้าไม่รู้ว่าจะมาหรือไม่อาเป้ยเห็นสัจธรรมอีกข้อหนึ่งว่ามนุษย์มีการแบ่งแยกเป็นหลายชนเผ่า เหล่าปีศาจและอสูรก็เช่นกัน ถึงบนเทวโลกไม่วุ่นวายเท่าโลกมนุษย์ แสนจะวุ่นวายนัก ต่างฝ่ายสู้รบกันเพื่อสนองกิเลส ยกตัวอย่างเช่นท่านเจ้าเมืองหลงอี้จินผู้ส่งเครื่องสังเวยให้แด่เทพด้วยความเชื่อของท่าน ก็ปรารถนาต้องการอำนาจจากเทพ หวังให้ผู้คนเคารพสยบต่อท่านณ สถานที่แห่งนี้ปีศาจยังอาจกลืนกินปีศาจด้วยกันเองเพื่อสูบพลังเวท ในขณะที่เทพ
ผ่านไปสามราตรีกาลไม่มีอะไรคืบหน้าปีศาจนับสิบตนยังพยายามตามหาเทพอู่เฉินในเรือนแต่ไม่พบท่านตามที่นางว่าทางด้านฝั่งเทพเลิกต่อต้านอสูรปีศาจ ปล่อยให้เดินไปเดินมาตามใจ ระหว่างรอก็ชักชวนกันฆ่าเวลา นั่งฝึกปัญญาด้วยหมากเซี่ยงฉี เหล่าเทพผู้น้อยช่วยกันซ่อมแซมพื้นเรือนด้านหน้าให้กลับมาสวยสะอาดเรียบร้อยดังเดิมแล้ว บ่าวงูทั้งสองยังกลับมาเอาความกับนางเรื่องเทพอู่เฉินไปอยู่ที่ใด“หวังว่าเจ้าจะไม่โป้ปดพวกข้า มิฉะนั้นเจ้าจะถูกลงโทษสถานหนักทีเดียว”“ท่านรอถามเทพอู่เฉินด้วยตัวท่านเองก็แล้วกัน ท่านซื่อหยูอี้ ท่านเซียวอี้หรู ข้าหน่ายจะอธิบายความให้ท่านฟัง เพราะว่าท่านไม่เคยจะฟัง”อาเป้ยกำลังวัดฝีมือกับเทพแห่งสายน้ำ บนโต๊ะหินใต้ต้นไม้สูงใหญ่ ลมพัดเย็นสบาย นางคีบหมากเฉียมุ่งไปดักโจมตีถึงในบ้านของอีกฝ่าย ทว่านางคงไม่ชำนาญงาน จึงไม่ได้ดูเลยว่ามีองครักษ์คอยป้องกันอยู่"เก็บพลังเวทไว้ใช้ยามจำเป็น กำชัยชนะโดยไม่ต้องออกรบ เจ้าเฉลียวฉลาดนัก อาเป้ย” เทพแห่งสายน้ำเอ่ยคำชื่นชมนาง จากเคยว่านางเป็นสตรีควรนิ่งเงียบเสียก็เปลี่ยนความคิดใหม่บนโลกของทวยเทพ เทพสตรีออกเรือนแล้วยังต้องเชื่อฟังและอยู่ในโอวาทสามีเช่นเดียวกับมน
นางยิ้มแล้วจึงพูด “ข้าขออภัย แต่อาจารย์ข้าพร่ำสอนเรื่องการมีมารยาท หากผู้ใดถามคำถามข้า ข้าควรต้องตอบให้ชัดเจนเท่าที่ข้าทราบ แถมตัวข้ายังมิใช่สตรี มิใช่ภรรยาของผู้ใด ข้าอยู่เยี่ยงบุรุษมาทั้งชีวิต บนโลกมนุษย์ข้ามีป้ายชื่อเด็กชาย เป็นข้ารับใช้นักพรต ตัวข้าไม่เคยมีแม้โอกาสจะได้ปักปิ่นผมเยี่ยงสตรีด้วยซ้ำ”นางยังอวดป้ายชื่อบุรุษของนางว่าอาเป้ย ซึ่งมีสีแตกต่างไปตามแคว้นที่อาศัยให้เทพดูเสียด้วย ทว่าเหล่าเทพคงไม่ได้สนใจ ถือโอกาสพักเอาแรงระหว่างทุกคนหันมองนางเป็นตาเดียวในเมื่อนางเป็นผู้ไม่เกี่ยวข้อง จึงไม่มีผู้ใดชิงชังนาง อย่างมากคงแค่รำคาญใจเท่านั้น อาเป้ยถีบขาทะยานขึ้นอากาศ เหยียบลงบนพื้นหินหน้าพยัคฆา นางเกิดมีความคิดว่าสัตว์อสูรตนนี้เฉลียวฉลาดกว่าตนอื่น น่าจะพูดจารู้เรื่อง“ข้าว่าท่านเอาเวลาไปตามหาหยกพันปีเสียดีกว่า ในเมื่อท่านอู่เฉินให้คำอนุญาตแล้ว ท่านบอกด้วยตัวท่านเองว่ามันอยู่บนเกาะเทพอุดรแห่งนี้ ยังฝากข้าเป็นธุระมา ทั้งเทพและปีศาจ เชิญตามอัธยาศัย” นางก้มศีรษะทำความเคารพทั้งสองฝั่งอย่างนักปราชญ์ ผู้มีปัญญาเป็นที่ตั้ง ต่างฝ่ายจึงสงบสติอารมณ์ลงเพราะคารมของนาง“ข้าเอง... อยู่เฉย ๆ ไม่มีอ
เทพอู่เฉินในร่างปีศาจมีช่วงเวลาจำศีลหลายราตรี สักห้าสิบถึงหนึ่งร้อยปีจะลอกคราบเก่าของตนสักครั้งเช่นเดียวกับนางเฟยอี๋ ใช้เวลามากหรือน้อยขึ้นอยู่กับพลังเวทในกาย ซึ่งหลังจากลงไปรับเครื่องบรรณาการบนโลกมนุษย์ เดินทางข้ามภพภูมิกลับมายังเทวโลกทำให้สูญเสียพลังไปมาก คงซ่อมแซมตนได้ไม่ดีนักเทพและปีศาจต่อสู้กันมาสองราตรีแล้ว...อาเป้ยเดินไปเดินมาอย่างระวังไม่ให้เป็นภาระผู้ใด นางหลบเข้าไปนอนบ้าง เอามือปิดหูปิดประตูห้องเงียบเชียบ เสียงกระบี่ดังกระทบกัน พื้นดินแตกหักเป็นเศษเป็นชิ้น เสียงตะโกนบริภาษอย่างเกรี้ยวกราด แสงสีเสียงทอดดังมาเป็นระยะ ต่างฝ่ายตะโกนโหวกเหวกโวยวายทะเลาะวิวาทกันไม่จบสิ้น ไม่มีวี่แววว่าฝ่ายใดจะยอมเลิกราท้ายที่สุดนางก็ทนไม่ไหว จึงลองเดินหาห้องพักจำศีลของเทพอู่เฉินดูว่าอยู่ที่ใดห้องพักของเทพอู่เฉินหาไม่ยากนัก อยู่ถัดจากลานกว้างที่พวกเขากำลังต่อสู้กัน นางคิดว่าท่านเทพคงไม่กลัวเกรงในสิ่งใดเลยจำศีลอย่างโจ่งแจ้ง นางยังเห็นว่ามีบุรุษเทพรูปงามร่างสูงใหญ่แต่งการด้วยอาภรณ์งดงามดูมีภูมิฐาน และอีกสี่คงเป็นลูกสมุนของฝั่งเทพแห่งสายน้ำตามมาสมทบนางเคาะประตูห้องอย่างมีมารยาท ทว่าไม่ได้ยินเสีย
นอกจากเหล่าเทพแห่งสายน้ำจะได้รับข่าวอันไม่น่าภิรมย์เรื่องมนุษย์เครื่องสังเวย บรรดาปีศาจแค่มาทักทาย หาเรื่องก่อกวนใต้เท้าจีกงเสียมากกว่าต่อสู้จริงจัง ไม่ทันได้แพ้ราบคาบหรือหมดสภาพก็พากันหนีไปเสียแล้วอย่างปักษา ยักษา สัตว์อสูรสุนัขสามหัวอยู่ตระกูลจำพวกลมคงกลับไปฟื้นพลังที่เทวโลกชั้นฟ้าหรือนรกภูมิของตน น่าจะไม่เดินทางมาอีกสักพักเทวโลกในแต่ละชั้นไม่ใช่คิดจะมาก็มา หากมิใช่ถูกส่งมาโดยอำนาจแห่งราชาสวรรค์ ปีศาจผู้ทรงพลังเช่นเฟยอี๋และตนอื่นซึ่งมีไม่มากนัก ต้องรอเวลาประตูระหว่างภพภูมิเปิด ต่อให้เป็นเทพผู้ปกครองเทวโลกชั้นใหญ่ทั้งสามชั้นฟ้า ชั้นดิน ชั้นน้ำยังไม่ใช่เรื่องง่ายดาย ต้องใช้พลังเวทมหาศาลในการเดินทางข้ามภพภูมิเทวโลกแต่ละครั้ง ขนาดใต้เท้าจีกงเองไม่ใคร่จะเดินทางข้ามภพภูมิบ่อยครั้งหากว่าท่านไม่มีธุระจำเป็นต้องไปจริง ๆบริเวณตั่งนั่งไม้สนแดงกลางเรือน ใต้เท้าจีกงได้ชื่นชมวิทยายุทธ์ของบุตรชาย จนญาติทางฝ่ายภริยาเดินเข้ามาสนทนาเรื่องเทพอู่เฉิน จึงมีท่าทางสงสัยใคร่รู้“เครื่องสังเวยผู้รอดชีวิตเป็นศิษย์ตาเฒ่าฮุ่ยหมิงอย่างนั้นรึ?”“ใช่แล้วใต้เท้า ท่านซื่อหยูอี้แจ้งข่าวข้ามาว่านางเป็นศิษย์ลับ ๆ
คราแรกพบสตรีแปลกหน้า นางสบมองนัยน์ตาสีแดงก่ำประหนึ่งดวงตาแห่งเทพสงครามอย่างไร้ความกลัวเกรงหาใช่ความใจกล้าของนางผู้ไม่หวาดหวั่นต่อเทพ เหมือนนางเป็นสตรีประหลาด ผู้ไม่หวาดกลัวในสิ่งใดเทพอู่เฉินรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของตน ยังค่อนข้างให้ความสนใจอาเป้ย นางสร้างความประหลาดใจให้เขาเป็นอย่างมาก ดวงตาคู่สวยสว่างใสของนางหยุดลมหายใจของเขาไปชั่วขณะหนึ่ง วันต่อมาเขาจึงเริ่มส่งของสวยงามไปให้นางหลายชิ้น เสื้อผ้าอาภรณ์ ปิ่นปักผมสตรี เรือนนี้ไม่เคยมีข้าวของเครื่องใช้สตรีมาก่อน ก็วานให้บ่าวประจำตัวทั้งสองไปหาวัตถุดิบจากสวรรค์มาสร้างมันด้วยพลังเวท ส่วนหนึ่งนั้นก็สร้างมันด้วยพลังปีศาจเทพอู่เฉินเป็นครึ่งเทพครึ่งปีศาจ ทว่ามีนิสัยรักความสงบ ตามหาความสงบอยู่เป็นนิจ เขาใคร่อยากจะรู้นักว่าคำทำนายนั่นมีมูลความจริงหรือไม่ หากว่านางเป็นบุคคลตามคำทำนาย เขาจะพบความสงบสุขได้จริงหรือ?ตลอดหลายร้อยปีมานี้ ภาระปัญหามากมายรบกวนเขาอยู่เรื่อยไป ปีศาจตามรังควาน แม้แต่ทวยเทพยังผลักภาระมาให้เขาจำเป็นต้องรับผิดชอบ ชีวิตวุ่นวายแม้เป็นเทพยังหาได้พบความสุขตัวเขากำลังคิดว่าหากใช่นางจริง การบีบบังคับนางไม่น่าจะทำให้นางยอมปฏิ
“ทะ... ท่านอาจารย์ฮุ่ยหมิงสั่งไม่ให้ข้าเข้าใกล้บุรุษเกินสามย่างก้าว ข้าจะต้องระวังตัว... แล้ว ๆ ท่านควรขออนุญาตข้าก่อน... จับตัวข้ารักษาหรือทำอะไรก็ตาม ข้ารอให้แผลหายเองได้ท่านเทพหลงเหนียน... ช่วยปล่อยข้า...”“ปีศาจนั่นเพิ่งจะกอดคอเจ้าอย่างสนิทสนมทีเดียว นับเป็นบุรุษด้วยหรือไม่?”“เหตุสุดวิสัย นับไม่ได้ ท่านเทพหลงเหนียน...”เทพหลงเหนียนนึกขันนางขึ้นมาว่านางคิดอะไรไม่เข้าท่า แสยะยิ้มตรงมุมปาก“ข้าไม่ใช่เทพผู้น่ากลัวเกรงถึงเพียงนั้น ข้าเสกฟ้าฝนทำลายโลกมนุษย์ไม่ได้ ท่านพ่อข้าเป็นชนเผ่ามังกรบนสวรรค์ ท่านแม่ข้าเป็นปีศาจอสรพิษ ข้าชื่ออู่เฉิน” พูดจบ บาดแผลที่ได้รับการดูแลอย่างดีด้วยพลังเพียงเล็กน้อยจากฝ่ามือเทพ จางหายไปจนเหลือเพียงขีดสีแดงจาง ๆ บุรุษเทพจึงปล่อยนางให้เป็นอิสระ“ข้าอนุญาตให้เจ้าเรียกข้าว่าเทพอู่เฉินได้”“ท่าน... เทพอู่เฉิน?”“ใช่แล้วล่ะอาเป้ย ข้าคือเทพอู่เฉิน หาใช่เทพหลงเหนียนเยี่ยงมนุษย์กล่าวอ้าง ข้าคงเป็นบุรุษผู้ไร้เกียรติเป็นอย่างมาก จึงไม่ได้บอกเจ้าว่าไม่มีเทพหลงเหนียนบนเทวโลก ข้าไม่เคยได้ยินว่ามีผู้ใดชื่อเทพหลงเหนียน”ในน้ำเสียงที่อ่อนโยนลงต่างจากวันแรก บอกความจริงกับนาง