ผ่านไปสามราตรีกาลไม่มีอะไรคืบหน้า
ปีศาจนับสิบตนยังพยายามตามหาเทพอู่เฉินในเรือนแต่ไม่พบท่านตามที่นางว่า
ทางด้านฝั่งเทพเลิกต่อต้านอสูรปีศาจ ปล่อยให้เดินไปเดินมาตามใจ ระหว่างรอก็ชักชวนกันฆ่าเวลา นั่งฝึกปัญญาด้วยหมากเซี่ยงฉี เหล่าเทพผู้น้อยช่วยกันซ่อมแซมพื้นเรือนด้านหน้าให้กลับมาสวยสะอาดเรียบร้อยดังเดิมแล้ว บ่าวงูทั้งสองยังกลับมาเอาความกับนางเรื่องเทพอู่เฉินไปอยู่ที่ใด
“หวังว่าเจ้าจะไม่โป้ปดพวกข้า มิฉะนั้นเจ้าจะถูกลงโทษสถานหนักทีเดียว”
“ท่านรอถามเทพอู่เฉินด้วยตัวท่านเองก็แล้วกัน ท่านซื่อหยูอี้ ท่านเซียวอี้หรู ข้าหน่ายจะอธิบายความให้ท่านฟัง เพราะว่าท่านไม่เคยจะฟัง”
อาเป้ยกำลังวัดฝีมือกับเทพแห่งสายน้ำ บนโต๊ะหินใต้ต้นไม้สูงใหญ่ ลมพัดเย็นสบาย นางคีบหมากเฉียมุ่งไปดักโจมตีถึงในบ้านของอีกฝ่าย ทว่านางคงไม่ชำนาญงาน จึงไม่ได้ดูเลยว่ามีองครักษ์คอยป้องกันอยู่
"เก็บพลังเวทไว้ใช้ยามจำเป็น กำชัยชนะโดยไม่ต้องออกรบ เจ้าเฉลียวฉลาดนัก อาเป้ย” เทพแห่งสายน้ำเอ่ยคำชื่นชมนาง จากเคยว่านางเป็นสตรีควรนิ่งเงียบเสียก็เปลี่ยนความคิดใหม่
บนโลกของทวยเทพ เทพสตรีออกเรือนแล้วยังต้องเชื่อฟังและอยู่ในโอวาทสามีเช่นเดียวกับมนุษย์ ในขณะที่บุรุษเทพยอมโอนอ่อนให้ภริยาบ้างเพื่อประคับประคองชีวิตคู่ ต่างฝ่ายให้เกียรติกัน ครองคู่กันไปตลอดกาลตราบจนกายเทพจะแตกสลาย
“สมกับที่เป็นศิษย์นักพรตฮุ่ยหมิง ข้าเคยได้ยินจากท่านพ่อว่าเซียนผู้นั้นเก่งฉกาจ เดิมทีเป็นนักพรตผู้บำเพ็ญเพียร อุตสาหพยายามอย่างยากยิ่ง จนได้เป็นเซียน มีพละกำลังเยี่ยงเทพ จึงเรียกว่าเป็นเทพเซียน”
บุรุษเทพรูปงามพูดไปเล่นไปอย่างคล่องแคล่ว ตรงข้ามกับอาเป้ย นางขมวดคิ้วเข้าหากันยุ่ง คิดแล้วคิดอีกกว่าจะเดินหมากแต่ละตาได้ กระทั่งถึงตาสุดท้าย นางถูกโจมตีย่อยยับไม่มีเหลือ แม้แต่เบี้ยก็ถูกสังหารเรียบ
นางจะไปเก่งหมากรุกได้อย่างไรเล่า!
นอกจากงานดูแลนักพรต ฝึกวรยุทธ์ ทำการบ้านส่งอาจารย์ฮุ่ยหมิงให้ครบถ้วน ด้วยเวลาที่มีจำกัดในชีวิตของนางแต่ละวันก็ว่ายากเย็นแสนเข็ญแล้ว
อาเป้ยยกมือขึ้น ก้มศีรษะลงอย่างนอบน้อม เคารพท่านเทพแห่งสายน้ำคนพี่
“ข้าแพ้ราบคาบไม่มีเหลือแม้เบี้ยสักตัวบนกระดาน หมากกระดานหน้า ข้าเดินผิดถูกตรงไหนอย่างไร รบกวนท่านให้คำชี้แนะข้าด้วย เทพเฟยหลิง”
ศึกประลองสมองควรเป็นเรื่องชำนาญงานของนักปราชญ์ ผู้เฉลียวฉลาดเช่นนาง แต่พูดไปใครจะเชื่อ
นางแพ้ราบคาบ!
เหล่าปีศาจและอสูรเริ่มเหน็ดเหนื่อยกับการตามหาหยกพันปี ด้วยความที่เกาะเทพในฝั่งทิศอุดรนี้ช่างกว้างใหญ่ไพศาล ในป่าทึบมีพรรณพฤกษามากมายหลากหลายชนิด ท้องนทีสีมรกตยาวสุดลูกหูลูกตา เทือกเขาทอดยาวเชื่อมต่อไปถึงทิศประจิม
ฝั่งยักษาอสูรวิ่งไปทั่วพื้นหญ้า พื้นหิน พื้นทราย ตามหาในแหล่งหนองน้ำก็หาได้พบไม่ หลายตนถือวิสาสะเข้ามาในเรือน ตามหาเทพอู่เฉินแต่ไม่พบท่านแม้เงา
ฝั่งเทพไม่ได้ออกแรงต่อสู้ แค่คอยเฝ้าดูแลข้าวของให้อยู่ที่เดิมของมัน ของวิเศษชิ้นอื่นนั้นไม่ได้รับอนุญาตให้แตะต้อง ของหายากไปกว่านั้นเทพอู่เฉินก็ไม่ได้วางเอาไว้ให้ใครหยิบง่าย ๆ และเหล่าปีศาจได้รับการให้เกียรติเป็นแขกจึงมีศักดิ์ศรีพอสมควร
อีกหนึ่งราตรีกาลผ่านพ้นไป ปีศาจต่างอ่อนล้าเหนื่อยแรงจึงกลับมาที่เรือนเทพอู่เฉินอีกครั้ง พยัคฆ์อัคคีก็ตามมาเอาเรื่องนาง
“เจ้า... หลอกลวงข้า หยกพันปีไม่ได้อยู่บนเกาะแห่งนี้”
“พวกท่านต่างมากันเอง ทึกทักกันเอาเอง ท่านหาของไม่พบเองจะมากล่าวหาว่าข้าไปหลอกอะไรท่าน ข้าล่ะสงสัยจริง ๆ ผู้ใดบอกท่านว่ามันอยู่กับท่านอู่เฉิน หากข้าเป็นเจ้าสวรรค์ ข้าจะไม่ปล่อยให้ของสำคัญเท่านี้อยู่ในมือครึ่งเทพครึ่งปีศาจ”
อาเป้ยยังคงใจเย็นแม้ต่างฝ่ายตั้งท่าเตรียมต่อสู้ นางรินชาใส่ถ้วยใบเล็ก ยกขึ้นจิบโดยไม่ใช้เวทเซียนแต่ทำทุกอย่างด้วยสองมือ
ถึงแม้ว่าเพลิงโทสะล้อมรอบกายพยัคฆ์อัคคี ด้วยความเกลียดชังเคียดแค้น สงครามกำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า
“แม่เฒ่าไม่มีทางโกหกพวกข้าหยกพันปีจะต้องอยู่ที่เรือนท่านอู่เฉิน”
“ท่านเคยได้ยินหรือไม่ว่า ‘เลือดข้นกว่าน้ำ’ เกิดวันใดเทพอู่เฉินส่งหยกพันปีให้กับมารดาของท่าน ไม่คิดหรือว่าภัยพิบัติจะมาเยือนเทวโลก หากเป็นข้าคงเลือกเก็บไว้เบื้องบน ในสถานที่ปลอดภัยกว่าไว้กับเทพอู่เฉิน ข้าว่า... พวกท่านมาเสียเที่ยวแล้วล่ะ”
“นี่เจ้า! จงใจหลอกพวกข้าอย่างนั้นรึ”
เหล่าปีศาจแสนโง่เขลาเบาปัญญา ตั้งท่าต่อสู้อย่างสุดกำลังเมื่อโทสะเข้าครอบงำ
ยิ่งพยัคฆ์อัคคีดันถูกนางหลอกเข้าเสียแล้ว
ร่างพยัคฆ์ลุกเป็นไฟโชติช่วง ส่งเสียงคำรามลั่น ทั่วทั้งท้องฟ้าเกิดอสุนีบาต แสงเสียงดังสะท้านไปทั่วก่อนกระโจนกายเข้าหานาง
อาเป้ยตกเป็นผู้กระทำความผิดอย่างไม่เข้าท่าเอาเสียเลย นางกระโดดหลบสายฟ้าลูกใหญ่จากพยัคฆ์และคมกระบี่จากยักษาสองตน โต๊ะชากระเด็นกระดอน ถ้วยชาลายดอกเหมยในมือของนางแตกกระจาย นางถีบทะยานขึ้นฟ้าพร้อมเทพแห่งสายน้ำ วาดวงเวทสร้างตาข่ายจับกุมสัตว์อสูร
ศัตรูกำลังคลุ้มคลั่งเพราะถูกนางยั่วยุ จึงไม่ทันโจมตีนางด้วยกรงเล็บทั้งสี่
ขาของสัตว์อสูรถูกตรึงด้วยเวทสีเขียวอานุภาพร้ายแรง ธาตุน้ำดับธาตุไฟ บุตรชายของใต้เท้าจีกงทั้งสองเทพผู้มีพลังมหาศาล ยักษาอีกสี่ตนจะเข้าช่วยก็ไม่เป็นผล ซ้ำยังถูกมัดรวมกันไว้ด้วยเวทสีเหลืองทองอร่าม อักขระโบราณของสำนักวัดเทียนหลง
เหล่าปีศาจไม่สามารถต่อกรกับเทพในเวลานี้ ยังมีเซียนปราชญ์อีกหนึ่งคน ตัดกำลังให้เหน็ดเหนื่อยเสียก่อน จึงยอมจำนนรับความพ่ายแพ้ ถูกจับกุมตัว มัดรวมกันไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่
พยัคฆ์อัคคียอมบอกความจริงต่อเทพว่าต้องการหยกพันปีไปฟื้นฟูพลังกายของบุตรชายตัวน้อย ซึ่งเล่นซนไปสักหน่อยจึงถูกพิษของป๋ายเซี่ยสัตว์อสูรจำพวกปูยักษ์มีวิถีนักล่าที่แปลกประหลาด ไม่กลืนเหยื่อเข้าไปทว่าจะฝังคมเขี้ยวไว้ รอให้แผลเน่าและถูกพิษกัดกินเสียก่อน ให้เหยื่อทุรนทุราย ร่างกายขยับไม่ได้เมื่อไรค่อยกลับมาจัดการอีกครั้งหนึ่งทั้งปีศาจและอสูรไม่ใช่ทุกเผ่าจะเป็นมิตรที่ดีต่อกัน อสูรหลายตนนี้เป็นพวกเดียวกับพยัคฆ์อัคคี ซึ่งเป็นสัตว์อสูรในตำนาน จัดอยู่ในระดับที่มีพละกำลังใกล้เคียงกับปีศาจส่วนอสูรปักษาซึ่งมาก่อกวนคราวก่อนนั้นต้องการหยกพันปีไปทำอะไรไม่รู้ได้ ถึงคราวนี้ไม่มาปรากฏตัวแต่คราวหน้าไม่รู้ว่าจะมาหรือไม่อาเป้ยเห็นสัจธรรมอีกข้อหนึ่งว่ามนุษย์มีการแบ่งแยกเป็นหลายชนเผ่า เหล่าปีศาจและอสูรก็เช่นกัน ถึงบนเทวโลกไม่วุ่นวายเท่าโลกมนุษย์ แสนจะวุ่นวายนัก ต่างฝ่ายสู้รบกันเพื่อสนองกิเลส ยกตัวอย่างเช่นท่านเจ้าเมืองหลงอี้จินผู้ส่งเครื่องสังเวยให้แด่เทพด้วยความเชื่อของท่าน ก็ปรารถนาต้องการอำนาจจากเทพ หวังให้ผู้คนเคารพสยบต่อท่านณ สถานที่แห่งนี้ปีศาจยังอาจกลืนกินปีศาจด้วยกันเองเพื่อสูบพลังเวท ในขณะที่เทพ
“ข้าเชื่อก็คือเชื่อ... ท่านเคยได้ยินไหมว่าเปลี่ยนความเชื่อมนุษย์นี้ยากกว่ายกภูเขาทั้งลูกเสียอีก”“ข้าเพิ่งจะเอ็ดเจ้า”“ข้าขอนับเป็นความหวังดี ใช่ว่าท่านอยากจะเอ็ดจะว่าข้าเสียเมื่อไร ท่านใจดีกับข้า” นางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนลง “และที่ท่านยอมช่วยเหลือพยัคฆาน้อยวันนี้ นับเป็นบุญกุศลของท่าน ข้าเชื่อเรื่องบุญกรรมวาสนา การทำความดี สิ่งดี ๆ จะย้อนกลับมา”อาเป้ยยิ้ม เงยหน้ามองเทพอู่เฉินในร่างสีดำทะมึนด้วยแววตาใสซื่อบริสุทธิ์ ถึงแม้ว่าเทพอู่เฉินคงไม่สบอารมณ์นางนัก ไม่หลงกลคารมนาง“เจ้าพูดจาได้ดี... ทั้งที่เพิ่งจะขังเทพผู้ยิ่งใหญ่ของมนุษย์เอาไว้ใต้ที่นอนในห้องใต้ดิน ห่อร่างข้าด้วยผ้าห่มเหม็นเน่าของเจ้า ทำให้ข้าในร่างครึ่งงูครึ่งบุรุษต้องติดอยู่ใต้เตียงถึงสองคืน”อาเป้ยเพิ่งนึกออกว่าลืมท่านเทพเอาไว้ หลังร่ายเวทอำพรางตาเปลี่ยนประตูให้กลายเป็นกำแพง ส่วนตัวนางนั่งน่ะหรือ เล่นหมากเซี่ยงฉี หัวเราะร่าเริงบันเทิงใจ ไปเที่ยวชมพรรณพฤกษาในป่ากับสองบุรุษเทพแห่งสายน้ำ!阿贝 อาเป้ย...宝贝 bǎobèi (เป่าเป้ย)ลูกรัก ที่รัก...ชื่อของนางคงมีรากฐานมาจากคำในความหมายว่านางคือผู้เป็นที่รักต่อทุกสรรพสิ่งเทพอู่เฉินมองเ
ปัญหาใหญ่ทว่าหากชักช้าไปจะไม่ทันกาล พยัคฆ์อัคคียอมปล่อยลูกของตนออกจากหน้าท้อง สายตาทุกคู่จับจ้องไปยังเจ้าพยัคฆ์ตัวน้อยกายพยัคฆ์ที่ห่อหุ้มด้วยเปลวอัคคีครึ่งหนึ่งถูกพิษสีเขียว หนอนพิษชอนไชจนเห็นกระดูก นัยน์ตาใสซื่อบริสุทธิ์ของมันเอ่อคลอหยดน้ำใส มันไม่แม้จะส่งเสียงร้องออกมาเหล่าเทพถึงจะไม่ชอบสัตว์อสูรสักเท่าไร อดไม่ได้ที่จะสงสารเวทนาเจ้าพยัคฆ์ตัวกระจ้อยร่อย“ตำราเล่มหนึ่งกล่าวว่าสัตว์อสูรจำพวกพยัคฆาไม่แสดงความอ่อนแอออกมาให้ผู้ใดเห็นเป็นอันขาด นิสัยของท่านช่างคล้ายคลึงกับตัวข้านัก...”“ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับข้า”เทพอู่เฉินเอ่ยขึ้น ชิงลงมือนำหน้า วาดวงเวทสีดำเสกสายน้ำเป็นระลอกคลื่น ดึงแผ่นน้ำขึ้นสูงเพื่อจัดการกับมัจฉาก้าวร้าวให้ขาดอากาศหายใจไปเสีย ไม่ปล่อยให้เสียเวลาแม้สักน้อย ใต้เท้าจีกงรีบปราม “ระวังด้วยเทพอู่เฉิน ดอกบัวสีทองจะขาดน้ำหล่อเลี้ยงรากไม่ได้เป็นอันขาด จะแห้งตายในทันที”“ข้าว่าไม่ง่าย... ต้องร่วมใจเป็นหนึ่ง”อาเป้ยสะบัดปลายเท้า กระโดดข้ามอากาศไปยืนถัดจากเทพอู่เฉินในระยะห่างพอสมควร เพื่อมองทิศทางน้ำในอีกด้านหนึ่ง เทพแห่งสายน้ำทั้งสองเห็นพ้องต้องกัน รีบไปยืนคนละทิศ ทั้งสี่มุมสร
ในวสันตฤดูเดือนยี่ เวียนบรรจบครบรอบทุกสิบสองปี ปีที่มนุษย์จะเข้าใกล้โลกของเหล่าทวยเทพมากที่สุด ทั่วทุกแห่งหนของเมืองรายล้อมรอบด้วยแม่น้ำทอดยาวสุดตา ประดับประดาด้วยโคมไฟสีดำแดงห้อยลงมาในระดับเท่า ๆ กัน สลักตัวอักษร 平安 píng ānหมายความว่าสันติสุขจอมยุทธผู้เดินทางไปทั่วหล้าผู้หนึ่งเคยกล่าวเอาไว้ว่า ‘ดินแดนแห่งสุวรรณ พื้นดินชุ่มชื้น ผืนหญ้าเขียวชอุ่ม ฟ้าฝนตกต้องตามฤดูกาล เพาะปลูกพืชพันธุ์ชนิดใดออกดอกผลอย่างงดงาม ซ้ำยังไม่เคยเกิดภัยพิบัติใหญ่มาตลอดในรอบหลายศตวรรษ ชาวประชาสงบร่มเย็น ภายใต้การปกครองของเจ้าเมืองมากความสามารถ มีเพียงแห่งเดียวเท่านั้น‘เมืองเจิ้นกัน’ท่ามกลางท้องนทีสีมรกต สะอาดใสจนเห็นตัวปลานานาชนิดกำลังแหวกว่าย ทางเดินเท้าทั้งสองฝั่งทำมาจากอิฐ สลับไปกับพื้นดินทราย ที่พักอาศัยของชาวบ้านส่วนใหญ่สร้างขึ้นจากไม้สนจีนเมืองแห่งสันติสุขในปีนี้จัดงานเฉลิมฉลองขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ผู้คนล้วนแต่งตัวด้วยสีดำสลับแดง สมราคาฐานะความเป็นอยู่ ทั้งโรงเตี๊ยม ร้านค้าขายอาหาร ตลอดจนหนทางเดินมีตุ๊กตาเจ้าสาวในชุดสีแดงสดและผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวสีดำ ถักทอด้วยมือ ห้อยติดคู่กับโคมไฟ ป้ายร้านค้าของชำต่าง ๆ ตกแ
日进斗金 ยื่อจิ้นโต้วจินขอให้ได้รับชัยชนะ เงินทองไหลมาเทมา金玉满堂 จินอวี้หม่านถังขอให้ร่ำรวยเงินทอง ทองหยกเต็มบ้านเสียงโห่ร้องสรรเสริญจากชาวบ้านดังลั่นไปทั่วเมือง ไม่นานนัก พวกเขาก็ชะโงกหน้าออกมาปิดหน้าต่างประตูทุกบาน ตะโกนออกมาจากภายในบ้านตนแทน ด้วยความเคารพยำเกรงเทพจนตัวสั่น บ้านไหนมีลูกเด็กเล็กแดงคงไม่อยากจะให้เห็นภาพนี้เจ้าสาวรึ? น่าขันสิ้นดี! อาเป้ยยิ้มหยันใต้ผ้าคลุมหน้าผืนบาง ซึ่งสามารถมองทะลุผ่านเห็นโลกภายนอกได้ไม่ชัดเจนนัก นางไม่ได้รับอนุญาตให้เปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวโดยเด็ดขาดเพราะจะถือเป็นลางร้ายนางใช้วิชาตัวเบากระโดดลงบนเรือ เหยียบยืนอย่างมั่นคงด้วยรองเท้าถักสานสีแดงอย่างดีของนางเมื่อเรือลำน้อยแล่นออกจากฝั่งด้วยแรงผลักขององครักษ์ที่พลิกฝ่ามือ ใช้พลังภายในดันสายน้ำ เสียงผู้คนป่าวร้องตะโกนด้วยความยินดี เว้นเพียงมารดาของนางที่กำลังคร่ำครวญปานขาดใจอยู่บริเวณท่าเรือ อาเป้ยเหลียวคอมองร่างสั่นเทาบนพื้นที่ไกลออกไปเรื่อย ๆ เป็นครั้งสุดท้าย ดวงตาคู่สวยเอ่อคลอหยาดน้ำตา ด้วยความสงสารมารดาจับใจนางจะยอมทำเพื่อบ้านเกิดเมืองนอนของท่านแม่ก็แล้วกันนางคิด พลันหันกลับมายืนตรงอย่างสง่าผ่าเผย
เสียงน้ำจากภายนอกเป็นระลอกคลื่นสูงมหึมาทำให้รับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือน เมื่อนั่งหลับตาเพ่งจิต ตั้งสมาธิให้มั่น นางพอที่จะควบคุมสถานการณ์โคลงเคลง กระเด็นไปมาเหมือนลูกบอลกลิ้งในขวดแก้วได้ ถึงไม่รู้ว่าอยู่ในปากงูนานเท่าไรกระทั่งมาถึงแหล่งน้ำที่ไหนสักแห่ง จากการสัมผัสได้ถึงเสียงระลอกคลื่นสาดกระจาย กายอสรพิษโผล่พ้นขึ้นเหนือน้ำ นางอาศัยจังหวะที่ท่านเผยอปาก ลอดช่องเล็ก ๆ ถีบตัวเองออกมาในท่านอนหงาย สะบัดปลายเท้ากระโดดขึ้นอากาศ ถือวิสาสะเหยียบบนอุ้งมือหยาบซึ่งมีเล็บแหลมคมราวอุ้งมือของมังกร กระตุกดึงผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวโยนทิ้งไปตาสบตาใต้แสงจันทร์มืดสลัว เทพผู้ยิ่งใหญ่ท่าทางประหลาดใจ ยกนิ้วอันโอฬารขึ้นเพื่อพิจารณานางเป็นมนุษย์ สตรี ตัวเล็กกว่าดวงตาสีแดงอันน่ากลัวของท่านเสียอีก“เจ้า... ยังมีชีวิตอยู่หรือ?”“ท่านเทพหลงเหนียนจะแสดงความยินดีกับข้าไหมเล่า สงสัยว่าข้าหนังเหนียวไปสักหน่อย”“เครื่องสังเวยที่ข้าพากลับมาทั้งสิบสองชีวิตเหลือเพียงเถ้ากระดูก พวกนางไม่สามารถทนพิษจากน้ำลายข้าได้ ไม่คิดว่าปีนี้... เจ้าเมืองหลงอี้จินจะส่งเซียนหญิงมา... หรือจะเป็นไปได้ว่า... คิดเป็นกบฏ ต่อต้านเทพ...” ปลายเสียงข่ม
อาเป้ยได้พบเทพหลงเหนียนในร่างบุรุษเพียงครั้ง นางอยากจะนับว่าครั้งเดียวเพราะครั้งแรกนั้นท่านแปลงกายแล้วหนีหน้านางไปในทันทีครั้งที่สอง ท่านต่อว่านางโกหกข้อหนึ่ง แล้วเหาะเหินเดินอากาศไปเช่นเดิมครั้งที่สาม ท่านมาส่งนางหน้าห้องพัก นางถึงได้พิจารณาใบหน้าคมคายไร้ที่ติของท่านคิ้วเข้มหนาขนานไปกับดวงตาเรียวรี หางคิ้วยกขึ้นสูง นัยน์ตาสีโลหิตดูก้าวร้าวดุดัน ทว่าหากมองให้ดีแล้วนางว่าสวยงามดึงดูดเหล่าอิสตรีเป็นอย่างมาก จมูกโด่งเป็นสันคมรับกับสันกรามแกร่งเยี่ยงชายชาตรี ทำให้ท่านดูองอาจและสง่างาม ริมฝีปากอมแดงอมชมพูดูนุ่มนวลอ่อนหวานประหนึ่งกลีบดอกเหมยฮวาบุรุษเทพผู้นี้รูปงามปานหยกสลัก นางหาได้เคยพบบุรุษรูปงามเท่านี้ไม่ใช่ว่านางหลงใหลในรูปลักษณ์เทพหลงเหนียนนักหรอก นางเพียงไม่มีโอกาสชื่นชมความงามของผู้ใด ด้วยความที่นางพำนักอาศัยอยู่ในกระท่อมตีนเขาวัดเทียนหลง ปลอมตัวเป็นข้ารับใช้ชาย ลูบหน้าตนด้วยถ่านหินมาทั้งชีวิต บุรุษมากมายผู้ที่นางจะได้พบเจอมีแต่หลวงจีนหัวล้าน นักพรตเฒ่า พ่อค้าในตลาดนางพบเห็นบุปผางาม สตรีใบหน้าสะสวยในหอนางโลม ซึ่งนางเคยแอบหนีไปเที่ยวเพราะว่าอยากพบท่านแม่บ้างนาน ๆ ครั้ง นางก็ว่าง
อาเป้ยกำลังสำรวจรอบที่พักอาศัยของเทพหลงเหนียน โดยไม่รบกวนท่านตามคำสั่ง นางทึกทักเอาว่านางแค่ออกมาเชยชมเรือนของท่านนิด ๆ หน่อย ๆ ไม่ได้ทำเรื่องเสียหายรองเท้าถักสานสีดำปักด้วยลวดลายบุปผางามเยื้องย่างไปข้างหน้าอย่างเงียบเชียบและระมัดระวัง ไม่ให้เกิดเสียงแม้สักน้อย นางก้าวข้ามสะพานไม้เล็ก ๆ ชะโงกหน้าลงมองหมู่มัจฉานานาชนิดใต้พื้นไม้ที่มีแหล่งน้ำสีมรกตไหลเวียนไปทั่วคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นเรือนสี่ประสาน[1] ที่พักอาศัยของนักพรตซึ่งนางขึ้นไปส่งข้าวปลาอาหาร แต่ด้วยความที่ด้านหน้าเรือนเปิดโล่งเป็นลานกว้างไว้ฝึกวิทยายุทธ์ หรืออาจจะไว้รับรองแขก มีประตูบานใหญ่กั้นพื้นที่แห่งนี้ไว้จากป่าทึบและเทือกเขา จึงไม่เชิงว่าใช่เสียทีเดียว เรือนสี่ประสานจะมีลานฝึกอยู่ตรงกลาง รายล้อมด้วยเรือนพักอาศัยโดยรอบเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า“เรือนท่านอยู่ท่ามกลางป่าเขา ทิวทัศน์งดงามถึงเพียงนี้ สบายข้าจริง ๆ”อาเป้ยส่ายคอมองไปรอบ ๆ อย่างสดชื่นแจ่มใส เพียงได้ออกมาสูดอากาศข้างนอกเสียบ้างหลังอุดอู้อยู่แต่ในห้อง นางเงยหน้าขึ้นมองต้นโบตั๋น ต้นท้อ ต้นหอมหมื่นลี้ ออกดอกบานสะพรั่งแข่งกัน ก็ส่งยิ้มให้พวกมันบุปผชาติเหล่านี้ได้งอกเง
ปัญหาใหญ่ทว่าหากชักช้าไปจะไม่ทันกาล พยัคฆ์อัคคียอมปล่อยลูกของตนออกจากหน้าท้อง สายตาทุกคู่จับจ้องไปยังเจ้าพยัคฆ์ตัวน้อยกายพยัคฆ์ที่ห่อหุ้มด้วยเปลวอัคคีครึ่งหนึ่งถูกพิษสีเขียว หนอนพิษชอนไชจนเห็นกระดูก นัยน์ตาใสซื่อบริสุทธิ์ของมันเอ่อคลอหยดน้ำใส มันไม่แม้จะส่งเสียงร้องออกมาเหล่าเทพถึงจะไม่ชอบสัตว์อสูรสักเท่าไร อดไม่ได้ที่จะสงสารเวทนาเจ้าพยัคฆ์ตัวกระจ้อยร่อย“ตำราเล่มหนึ่งกล่าวว่าสัตว์อสูรจำพวกพยัคฆาไม่แสดงความอ่อนแอออกมาให้ผู้ใดเห็นเป็นอันขาด นิสัยของท่านช่างคล้ายคลึงกับตัวข้านัก...”“ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับข้า”เทพอู่เฉินเอ่ยขึ้น ชิงลงมือนำหน้า วาดวงเวทสีดำเสกสายน้ำเป็นระลอกคลื่น ดึงแผ่นน้ำขึ้นสูงเพื่อจัดการกับมัจฉาก้าวร้าวให้ขาดอากาศหายใจไปเสีย ไม่ปล่อยให้เสียเวลาแม้สักน้อย ใต้เท้าจีกงรีบปราม “ระวังด้วยเทพอู่เฉิน ดอกบัวสีทองจะขาดน้ำหล่อเลี้ยงรากไม่ได้เป็นอันขาด จะแห้งตายในทันที”“ข้าว่าไม่ง่าย... ต้องร่วมใจเป็นหนึ่ง”อาเป้ยสะบัดปลายเท้า กระโดดข้ามอากาศไปยืนถัดจากเทพอู่เฉินในระยะห่างพอสมควร เพื่อมองทิศทางน้ำในอีกด้านหนึ่ง เทพแห่งสายน้ำทั้งสองเห็นพ้องต้องกัน รีบไปยืนคนละทิศ ทั้งสี่มุมสร
“ข้าเชื่อก็คือเชื่อ... ท่านเคยได้ยินไหมว่าเปลี่ยนความเชื่อมนุษย์นี้ยากกว่ายกภูเขาทั้งลูกเสียอีก”“ข้าเพิ่งจะเอ็ดเจ้า”“ข้าขอนับเป็นความหวังดี ใช่ว่าท่านอยากจะเอ็ดจะว่าข้าเสียเมื่อไร ท่านใจดีกับข้า” นางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนลง “และที่ท่านยอมช่วยเหลือพยัคฆาน้อยวันนี้ นับเป็นบุญกุศลของท่าน ข้าเชื่อเรื่องบุญกรรมวาสนา การทำความดี สิ่งดี ๆ จะย้อนกลับมา”อาเป้ยยิ้ม เงยหน้ามองเทพอู่เฉินในร่างสีดำทะมึนด้วยแววตาใสซื่อบริสุทธิ์ ถึงแม้ว่าเทพอู่เฉินคงไม่สบอารมณ์นางนัก ไม่หลงกลคารมนาง“เจ้าพูดจาได้ดี... ทั้งที่เพิ่งจะขังเทพผู้ยิ่งใหญ่ของมนุษย์เอาไว้ใต้ที่นอนในห้องใต้ดิน ห่อร่างข้าด้วยผ้าห่มเหม็นเน่าของเจ้า ทำให้ข้าในร่างครึ่งงูครึ่งบุรุษต้องติดอยู่ใต้เตียงถึงสองคืน”อาเป้ยเพิ่งนึกออกว่าลืมท่านเทพเอาไว้ หลังร่ายเวทอำพรางตาเปลี่ยนประตูให้กลายเป็นกำแพง ส่วนตัวนางนั่งน่ะหรือ เล่นหมากเซี่ยงฉี หัวเราะร่าเริงบันเทิงใจ ไปเที่ยวชมพรรณพฤกษาในป่ากับสองบุรุษเทพแห่งสายน้ำ!阿贝 อาเป้ย...宝贝 bǎobèi (เป่าเป้ย)ลูกรัก ที่รัก...ชื่อของนางคงมีรากฐานมาจากคำในความหมายว่านางคือผู้เป็นที่รักต่อทุกสรรพสิ่งเทพอู่เฉินมองเ
พยัคฆ์อัคคียอมบอกความจริงต่อเทพว่าต้องการหยกพันปีไปฟื้นฟูพลังกายของบุตรชายตัวน้อย ซึ่งเล่นซนไปสักหน่อยจึงถูกพิษของป๋ายเซี่ยสัตว์อสูรจำพวกปูยักษ์มีวิถีนักล่าที่แปลกประหลาด ไม่กลืนเหยื่อเข้าไปทว่าจะฝังคมเขี้ยวไว้ รอให้แผลเน่าและถูกพิษกัดกินเสียก่อน ให้เหยื่อทุรนทุราย ร่างกายขยับไม่ได้เมื่อไรค่อยกลับมาจัดการอีกครั้งหนึ่งทั้งปีศาจและอสูรไม่ใช่ทุกเผ่าจะเป็นมิตรที่ดีต่อกัน อสูรหลายตนนี้เป็นพวกเดียวกับพยัคฆ์อัคคี ซึ่งเป็นสัตว์อสูรในตำนาน จัดอยู่ในระดับที่มีพละกำลังใกล้เคียงกับปีศาจส่วนอสูรปักษาซึ่งมาก่อกวนคราวก่อนนั้นต้องการหยกพันปีไปทำอะไรไม่รู้ได้ ถึงคราวนี้ไม่มาปรากฏตัวแต่คราวหน้าไม่รู้ว่าจะมาหรือไม่อาเป้ยเห็นสัจธรรมอีกข้อหนึ่งว่ามนุษย์มีการแบ่งแยกเป็นหลายชนเผ่า เหล่าปีศาจและอสูรก็เช่นกัน ถึงบนเทวโลกไม่วุ่นวายเท่าโลกมนุษย์ แสนจะวุ่นวายนัก ต่างฝ่ายสู้รบกันเพื่อสนองกิเลส ยกตัวอย่างเช่นท่านเจ้าเมืองหลงอี้จินผู้ส่งเครื่องสังเวยให้แด่เทพด้วยความเชื่อของท่าน ก็ปรารถนาต้องการอำนาจจากเทพ หวังให้ผู้คนเคารพสยบต่อท่านณ สถานที่แห่งนี้ปีศาจยังอาจกลืนกินปีศาจด้วยกันเองเพื่อสูบพลังเวท ในขณะที่เทพ
ผ่านไปสามราตรีกาลไม่มีอะไรคืบหน้าปีศาจนับสิบตนยังพยายามตามหาเทพอู่เฉินในเรือนแต่ไม่พบท่านตามที่นางว่าทางด้านฝั่งเทพเลิกต่อต้านอสูรปีศาจ ปล่อยให้เดินไปเดินมาตามใจ ระหว่างรอก็ชักชวนกันฆ่าเวลา นั่งฝึกปัญญาด้วยหมากเซี่ยงฉี เหล่าเทพผู้น้อยช่วยกันซ่อมแซมพื้นเรือนด้านหน้าให้กลับมาสวยสะอาดเรียบร้อยดังเดิมแล้ว บ่าวงูทั้งสองยังกลับมาเอาความกับนางเรื่องเทพอู่เฉินไปอยู่ที่ใด“หวังว่าเจ้าจะไม่โป้ปดพวกข้า มิฉะนั้นเจ้าจะถูกลงโทษสถานหนักทีเดียว”“ท่านรอถามเทพอู่เฉินด้วยตัวท่านเองก็แล้วกัน ท่านซื่อหยูอี้ ท่านเซียวอี้หรู ข้าหน่ายจะอธิบายความให้ท่านฟัง เพราะว่าท่านไม่เคยจะฟัง”อาเป้ยกำลังวัดฝีมือกับเทพแห่งสายน้ำ บนโต๊ะหินใต้ต้นไม้สูงใหญ่ ลมพัดเย็นสบาย นางคีบหมากเฉียมุ่งไปดักโจมตีถึงในบ้านของอีกฝ่าย ทว่านางคงไม่ชำนาญงาน จึงไม่ได้ดูเลยว่ามีองครักษ์คอยป้องกันอยู่"เก็บพลังเวทไว้ใช้ยามจำเป็น กำชัยชนะโดยไม่ต้องออกรบ เจ้าเฉลียวฉลาดนัก อาเป้ย” เทพแห่งสายน้ำเอ่ยคำชื่นชมนาง จากเคยว่านางเป็นสตรีควรนิ่งเงียบเสียก็เปลี่ยนความคิดใหม่บนโลกของทวยเทพ เทพสตรีออกเรือนแล้วยังต้องเชื่อฟังและอยู่ในโอวาทสามีเช่นเดียวกับมน
นางยิ้มแล้วจึงพูด “ข้าขออภัย แต่อาจารย์ข้าพร่ำสอนเรื่องการมีมารยาท หากผู้ใดถามคำถามข้า ข้าควรต้องตอบให้ชัดเจนเท่าที่ข้าทราบ แถมตัวข้ายังมิใช่สตรี มิใช่ภรรยาของผู้ใด ข้าอยู่เยี่ยงบุรุษมาทั้งชีวิต บนโลกมนุษย์ข้ามีป้ายชื่อเด็กชาย เป็นข้ารับใช้นักพรต ตัวข้าไม่เคยมีแม้โอกาสจะได้ปักปิ่นผมเยี่ยงสตรีด้วยซ้ำ”นางยังอวดป้ายชื่อบุรุษของนางว่าอาเป้ย ซึ่งมีสีแตกต่างไปตามแคว้นที่อาศัยให้เทพดูเสียด้วย ทว่าเหล่าเทพคงไม่ได้สนใจ ถือโอกาสพักเอาแรงระหว่างทุกคนหันมองนางเป็นตาเดียวในเมื่อนางเป็นผู้ไม่เกี่ยวข้อง จึงไม่มีผู้ใดชิงชังนาง อย่างมากคงแค่รำคาญใจเท่านั้น อาเป้ยถีบขาทะยานขึ้นอากาศ เหยียบลงบนพื้นหินหน้าพยัคฆา นางเกิดมีความคิดว่าสัตว์อสูรตนนี้เฉลียวฉลาดกว่าตนอื่น น่าจะพูดจารู้เรื่อง“ข้าว่าท่านเอาเวลาไปตามหาหยกพันปีเสียดีกว่า ในเมื่อท่านอู่เฉินให้คำอนุญาตแล้ว ท่านบอกด้วยตัวท่านเองว่ามันอยู่บนเกาะเทพอุดรแห่งนี้ ยังฝากข้าเป็นธุระมา ทั้งเทพและปีศาจ เชิญตามอัธยาศัย” นางก้มศีรษะทำความเคารพทั้งสองฝั่งอย่างนักปราชญ์ ผู้มีปัญญาเป็นที่ตั้ง ต่างฝ่ายจึงสงบสติอารมณ์ลงเพราะคารมของนาง“ข้าเอง... อยู่เฉย ๆ ไม่มีอ
เทพอู่เฉินในร่างปีศาจมีช่วงเวลาจำศีลหลายราตรี สักห้าสิบถึงหนึ่งร้อยปีจะลอกคราบเก่าของตนสักครั้งเช่นเดียวกับนางเฟยอี๋ ใช้เวลามากหรือน้อยขึ้นอยู่กับพลังเวทในกาย ซึ่งหลังจากลงไปรับเครื่องบรรณาการบนโลกมนุษย์ เดินทางข้ามภพภูมิกลับมายังเทวโลกทำให้สูญเสียพลังไปมาก คงซ่อมแซมตนได้ไม่ดีนักเทพและปีศาจต่อสู้กันมาสองราตรีแล้ว...อาเป้ยเดินไปเดินมาอย่างระวังไม่ให้เป็นภาระผู้ใด นางหลบเข้าไปนอนบ้าง เอามือปิดหูปิดประตูห้องเงียบเชียบ เสียงกระบี่ดังกระทบกัน พื้นดินแตกหักเป็นเศษเป็นชิ้น เสียงตะโกนบริภาษอย่างเกรี้ยวกราด แสงสีเสียงทอดดังมาเป็นระยะ ต่างฝ่ายตะโกนโหวกเหวกโวยวายทะเลาะวิวาทกันไม่จบสิ้น ไม่มีวี่แววว่าฝ่ายใดจะยอมเลิกราท้ายที่สุดนางก็ทนไม่ไหว จึงลองเดินหาห้องพักจำศีลของเทพอู่เฉินดูว่าอยู่ที่ใดห้องพักของเทพอู่เฉินหาไม่ยากนัก อยู่ถัดจากลานกว้างที่พวกเขากำลังต่อสู้กัน นางคิดว่าท่านเทพคงไม่กลัวเกรงในสิ่งใดเลยจำศีลอย่างโจ่งแจ้ง นางยังเห็นว่ามีบุรุษเทพรูปงามร่างสูงใหญ่แต่งการด้วยอาภรณ์งดงามดูมีภูมิฐาน และอีกสี่คงเป็นลูกสมุนของฝั่งเทพแห่งสายน้ำตามมาสมทบนางเคาะประตูห้องอย่างมีมารยาท ทว่าไม่ได้ยินเสีย
นอกจากเหล่าเทพแห่งสายน้ำจะได้รับข่าวอันไม่น่าภิรมย์เรื่องมนุษย์เครื่องสังเวย บรรดาปีศาจแค่มาทักทาย หาเรื่องก่อกวนใต้เท้าจีกงเสียมากกว่าต่อสู้จริงจัง ไม่ทันได้แพ้ราบคาบหรือหมดสภาพก็พากันหนีไปเสียแล้วอย่างปักษา ยักษา สัตว์อสูรสุนัขสามหัวอยู่ตระกูลจำพวกลมคงกลับไปฟื้นพลังที่เทวโลกชั้นฟ้าหรือนรกภูมิของตน น่าจะไม่เดินทางมาอีกสักพักเทวโลกในแต่ละชั้นไม่ใช่คิดจะมาก็มา หากมิใช่ถูกส่งมาโดยอำนาจแห่งราชาสวรรค์ ปีศาจผู้ทรงพลังเช่นเฟยอี๋และตนอื่นซึ่งมีไม่มากนัก ต้องรอเวลาประตูระหว่างภพภูมิเปิด ต่อให้เป็นเทพผู้ปกครองเทวโลกชั้นใหญ่ทั้งสามชั้นฟ้า ชั้นดิน ชั้นน้ำยังไม่ใช่เรื่องง่ายดาย ต้องใช้พลังเวทมหาศาลในการเดินทางข้ามภพภูมิเทวโลกแต่ละครั้ง ขนาดใต้เท้าจีกงเองไม่ใคร่จะเดินทางข้ามภพภูมิบ่อยครั้งหากว่าท่านไม่มีธุระจำเป็นต้องไปจริง ๆบริเวณตั่งนั่งไม้สนแดงกลางเรือน ใต้เท้าจีกงได้ชื่นชมวิทยายุทธ์ของบุตรชาย จนญาติทางฝ่ายภริยาเดินเข้ามาสนทนาเรื่องเทพอู่เฉิน จึงมีท่าทางสงสัยใคร่รู้“เครื่องสังเวยผู้รอดชีวิตเป็นศิษย์ตาเฒ่าฮุ่ยหมิงอย่างนั้นรึ?”“ใช่แล้วใต้เท้า ท่านซื่อหยูอี้แจ้งข่าวข้ามาว่านางเป็นศิษย์ลับ ๆ
คราแรกพบสตรีแปลกหน้า นางสบมองนัยน์ตาสีแดงก่ำประหนึ่งดวงตาแห่งเทพสงครามอย่างไร้ความกลัวเกรงหาใช่ความใจกล้าของนางผู้ไม่หวาดหวั่นต่อเทพ เหมือนนางเป็นสตรีประหลาด ผู้ไม่หวาดกลัวในสิ่งใดเทพอู่เฉินรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของตน ยังค่อนข้างให้ความสนใจอาเป้ย นางสร้างความประหลาดใจให้เขาเป็นอย่างมาก ดวงตาคู่สวยสว่างใสของนางหยุดลมหายใจของเขาไปชั่วขณะหนึ่ง วันต่อมาเขาจึงเริ่มส่งของสวยงามไปให้นางหลายชิ้น เสื้อผ้าอาภรณ์ ปิ่นปักผมสตรี เรือนนี้ไม่เคยมีข้าวของเครื่องใช้สตรีมาก่อน ก็วานให้บ่าวประจำตัวทั้งสองไปหาวัตถุดิบจากสวรรค์มาสร้างมันด้วยพลังเวท ส่วนหนึ่งนั้นก็สร้างมันด้วยพลังปีศาจเทพอู่เฉินเป็นครึ่งเทพครึ่งปีศาจ ทว่ามีนิสัยรักความสงบ ตามหาความสงบอยู่เป็นนิจ เขาใคร่อยากจะรู้นักว่าคำทำนายนั่นมีมูลความจริงหรือไม่ หากว่านางเป็นบุคคลตามคำทำนาย เขาจะพบความสงบสุขได้จริงหรือ?ตลอดหลายร้อยปีมานี้ ภาระปัญหามากมายรบกวนเขาอยู่เรื่อยไป ปีศาจตามรังควาน แม้แต่ทวยเทพยังผลักภาระมาให้เขาจำเป็นต้องรับผิดชอบ ชีวิตวุ่นวายแม้เป็นเทพยังหาได้พบความสุขตัวเขากำลังคิดว่าหากใช่นางจริง การบีบบังคับนางไม่น่าจะทำให้นางยอมปฏิ
“ทะ... ท่านอาจารย์ฮุ่ยหมิงสั่งไม่ให้ข้าเข้าใกล้บุรุษเกินสามย่างก้าว ข้าจะต้องระวังตัว... แล้ว ๆ ท่านควรขออนุญาตข้าก่อน... จับตัวข้ารักษาหรือทำอะไรก็ตาม ข้ารอให้แผลหายเองได้ท่านเทพหลงเหนียน... ช่วยปล่อยข้า...”“ปีศาจนั่นเพิ่งจะกอดคอเจ้าอย่างสนิทสนมทีเดียว นับเป็นบุรุษด้วยหรือไม่?”“เหตุสุดวิสัย นับไม่ได้ ท่านเทพหลงเหนียน...”เทพหลงเหนียนนึกขันนางขึ้นมาว่านางคิดอะไรไม่เข้าท่า แสยะยิ้มตรงมุมปาก“ข้าไม่ใช่เทพผู้น่ากลัวเกรงถึงเพียงนั้น ข้าเสกฟ้าฝนทำลายโลกมนุษย์ไม่ได้ ท่านพ่อข้าเป็นชนเผ่ามังกรบนสวรรค์ ท่านแม่ข้าเป็นปีศาจอสรพิษ ข้าชื่ออู่เฉิน” พูดจบ บาดแผลที่ได้รับการดูแลอย่างดีด้วยพลังเพียงเล็กน้อยจากฝ่ามือเทพ จางหายไปจนเหลือเพียงขีดสีแดงจาง ๆ บุรุษเทพจึงปล่อยนางให้เป็นอิสระ“ข้าอนุญาตให้เจ้าเรียกข้าว่าเทพอู่เฉินได้”“ท่าน... เทพอู่เฉิน?”“ใช่แล้วล่ะอาเป้ย ข้าคือเทพอู่เฉิน หาใช่เทพหลงเหนียนเยี่ยงมนุษย์กล่าวอ้าง ข้าคงเป็นบุรุษผู้ไร้เกียรติเป็นอย่างมาก จึงไม่ได้บอกเจ้าว่าไม่มีเทพหลงเหนียนบนเทวโลก ข้าไม่เคยได้ยินว่ามีผู้ใดชื่อเทพหลงเหนียน”ในน้ำเสียงที่อ่อนโยนลงต่างจากวันแรก บอกความจริงกับนาง