ปัญหาใหญ่ทว่าหากชักช้าไปจะไม่ทันกาล พยัคฆ์อัคคียอมปล่อยลูกของตนออกจากหน้าท้อง สายตาทุกคู่จับจ้องไปยังเจ้าพยัคฆ์ตัวน้อย
กายพยัคฆ์ที่ห่อหุ้มด้วยเปลวอัคคีครึ่งหนึ่งถูกพิษสีเขียว หนอนพิษชอนไชจนเห็นกระดูก นัยน์ตาใสซื่อบริสุทธิ์ของมันเอ่อคลอหยดน้ำใส มันไม่แม้จะส่งเสียงร้องออกมา
เหล่าเทพถึงจะไม่ชอบสัตว์อสูรสักเท่าไร อดไม่ได้ที่จะสงสารเวทนาเจ้าพยัคฆ์ตัวกระจ้อยร่อย
“ตำราเล่มหนึ่งกล่าวว่าสัตว์อสูรจำพวกพยัคฆาไม่แสดงความอ่อนแอออกมาให้ผู้ใดเห็นเป็นอันขาด นิสัยของท่านช่างคล้ายคลึงกับตัวข้านัก...”
“ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับข้า”
เทพอู่เฉินเอ่ยขึ้น ชิงลงมือนำหน้า วาดวงเวทสีดำเสกสายน้ำเป็นระลอกคลื่น ดึงแผ่นน้ำขึ้นสูงเพื่อจัดการกับมัจฉาก้าวร้าวให้ขาดอากาศหายใจไปเสีย ไม่ปล่อยให้เสียเวลาแม้สักน้อย
ใต้เท้าจีกงรีบปราม “ระวังด้วยเทพอู่เฉิน ดอกบัวสีทองจะขาดน้ำหล่อเลี้ยงรากไม่ได้เป็นอันขาด จะแห้งตายในทันที”
“ข้าว่าไม่ง่าย... ต้องร่วมใจเป็นหนึ่ง”
อาเป้ยสะบัดปลายเท้า กระโดดข้ามอากาศไปยืนถัดจากเทพอู่เฉินในระยะห่างพอสมควร เพื่อมองทิศทางน้ำในอีกด้านหนึ่ง เทพแห่งสายน้ำทั้งสองเห็นพ้องต้องกัน รีบไปยืนคนละทิศ ทั้งสี่มุมสระบัว ประสานสายตาเข้าหากันโดยรอบบริเวณ
ทั้งสามบุรุษเทพและหนึ่งเซียนหญิง วาดวรยุทธ์คนละสายวิชา ช่วยกันโจมตีมัจฉาดุร้าย ซึ่งปรากฏตัวออกมามากมาย นับได้เป็นร้อย ๆ ตัว
ฟันแหลมคมไล่กัดน้ำอย่างบ้าคลั่ง พวกมันพยายามปกป้องดอกบัวสีทองไม่ให้ผู้ใดเข้าใกล้ได้แม้สักน้อย ต่อให้เป็นสายน้ำที่มันอยู่อาศัย สาดกระเซ็นออกเป็นสาย กลายเป็นหยดหย่อม คมกริบราวใบมีด
พวกมันพร้อมพลีชีพเพื่อปกป้องดอกบัวสีทอง
ชลธารอันเงียบสงบซึ่งถูกบังคับจากบุคคลภายนอก ผู้ใช้พลังภายในดันสายน้ำให้กลายเป็นใบมีด เหล่ามัจฉาเริ่มล่วงรู้ว่ามีผู้บงการอยู่เบื้องหลัง กลุ่มสีส้มนับหลายสิบตัวและสีขาวอีกจำนวนมากจึงกระโดดออกมานอกอาณาเขตเพื่อโจมตี แต่พอออกมานอกสระบัวก็ถูกสังหารด้วยน้ำรูปทรงแหลมทะลวงเข้ากลางลำตัว
ศพมัจฉาเกลื่อนกลาด ทว่าสังหารไปสักเท่าไร ก็ยิ่งงอกเงยออกมาใหม่ หากนำมาประกอบอาหารอาจเลี้ยงใหญ่ได้ทั้งเกาะเทพทีเดียว
“นานเท่าไรที่เรือนข้าไม่ครึกครื้นเอิกเกริก เต็มไปด้วยเทพเซียนเยี่ยงนี้ ดี ๆ ข้าชื่นชมพวกท่าน วิทยายุทธ์เป็นเลิศ นับเป็นบุญตาของข้ายิ่งนัก”
ใต้เท้าจีกงยืนหัวเราะชอบใจ ชื่นชมเหล่าเซียนอยู่เคียงข้างภริยาของท่าน
แม้นบ่อน้ำกำลังจะไร้เหล่ามัจฉา ยังเหลือค่ายกลอีก ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่
เทพอู่เฉินเร่งทำเวลา ลงมืออย่างระวัง ใช้ช่องว่างของหมู่ปลาแทรกเข้าไปตัดเฉือนรากบัวแข็งแกร่ง
อาเป้ยคาดการณ์ว่าเทพสักคนหนึ่งคงสามารถนำดอกบัวออกมาจากบ่อพร้อมกับสายน้ำ หล่อเลี้ยงดอกบัวสีทองไว้ไม่ให้มันตาย
ปัญหาอยู่ที่ตัดรากบัวสักกี่ครั้ง กลับประสานเข้าด้วยกันเช่นเดิม
“รากบัวสีทองหยั่งลึกลงไปถึงค่ายกล สายน้ำเกรี้ยวกราดไม่ให้ความร่วมมือ”
อาเป้ยได้ยินเทพอู่เฉินพูดดังนั้นก็ใจเสีย นางหันไปมองลมหายใจรวยรินของพยัคฆ์ตัวน้อย ตัดสินใจใช้อาวุธชิ้นสุดท้ายของอาจารย์ฮุ่ยหมิงซึ่งนางได้แอบนำติดตัวมาด้วยตอนลงเรือ แอบซ่อนเอาไว้บนข้อมือนางเหมือนเครื่องประดับชิ้นหนึ่ง
นางพลิกฝ่ามือและปลายนิ้วทั้งสอง หมุนตัวครั้งหนึ่งเพื่อปลดลูกประคำสีน้ำขาวราวมุกสว่างใสออกจากข้อมือ ด้วยท่วงท่าสง่างามราวการร่ายรำ คุกเข่าข้างหนึ่งลงแตะพื้น วาดฝ่าเท้าตีลังกา ซัดพาคลื่นน้ำระลอกใหญ่ไปพร้อมลูกประคำ
ลูกประคำหยางสลักด้วยอักขระสีทอง ฝ่าฝูงมัจฉาไป เมื่อถึงใต้น้ำก็ขยายใหญ่ด้วยตัวของมันเพื่อทุบค่ายกล ทว่าทันใดนั้นเอง อาการเจ็บปวดราวถูกกริชคมปักเข้ากลางอก ทำให้นางทรุดลงไปกองกับพื้น
“อาเป้ย...!”
เทพแห่งสายน้ำผู้พี่ปรี่เข้ามาประคองร่างบาง กระชับนางไว้ในอ้อมแขน นางไม่สามารถที่จะต่อสู้ได้อีก โลหิตไหลทะลักออกจากริมฝีปากนางราวสายน้ำ
“ลูกประคำหยางของตาเฒ่าฮุ่ยหมิง ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะใช้ได้ในร่างนี้ เจ้าเป็นสมบัติของเทพอู่เฉินผู้มีพลังด้านหยิน พลังแห่งความมืดและการทำลาย เจ้าจะต้องใช้พลังร่วมกัน พร้อมกัน ทั้งหยินและหยาง เพื่อรักษาสมดุลในกาย หรือเจ้าจะใช้เพียงพลังด้านมืดเท่านั้น”
“กายเทพมิใช่ถาวรยั่งยืน แม้นเป็นอมตะ ก็ดับสิ้นลงได้เช่นกัน”
ใต้เท้าจีกงลูบเคราหงอกขาว ยืนชมเหล่าเซียนวาดวิชา ชิงดอกบัวสีทองอย่างตั้งใจ ไม่สนใจนางด้วยซ้ำ ยังส่งเสียงหัวเราะคล้ายเสียงของอาจารย์ฮุ่ยหมิง
“ท่าน... อาจารย์”
“ใช่ที่ไหนกันเล่าอาเป้ย ข้าใต้เท้าจีกง แต่เสียงคลับคล้ายคลับคลาใช่ไหม?”
ก็ไม่แปลกว่าทำไมถึงเป็นมิตรสหายกันได้ โดยทั่วไปแล้วไม่มีผู้ใดคบหานักพรตเยี่ยงท่านนัก
อาเป้ยไม่รู้เรื่องนี้มาก่อนหากว่าใต้เท้าจีกงไม่บอกนาง จะบอกให้เร็วกว่านี้หน่อยก็ไม่ได้!
ธาตุหยินหยางในร่างกายต่อต้านกันเกินกว่าร่างบอบบางของนางจะรับไหว ยิ่งธาตุหลักในร่างของนางบัดนี้ ต้นกำเนิดมาจากปีศาจผู้ทรงพลังมาก อาจถึงขั้นทำลายเทวโลกราบคาบได้ทั้งชั้น นางจึงหมดสติไปในอ้อมแขนของเทพแห่งสายน้ำ
ไม่มีผู้ใดทันสังเกตสายตาอีกคู่หนึ่ง นัยน์ตาสีโลหิตทอประกายกร้าว แม้ไม่เหลียวคอมองทั้งสอง เพ่งสติอยู่กับการดึงดอกบัวสีทองออกมาให้จงได้
เทพอู่เฉินวาดวงเวทสีดำขนาดใหญ่ หลายเท่าตัวของลูกประคำหยาง อาวุธเวทของนักพรตระดับปรมาจารย์ ไม่อาจเทียบเท่าเทพผู้มีพลังปีศาจเต็มกายยามบันดาลโทสะอย่างแรงกล้า เมื่อสำเร็จลุล่วงการตัดรากบัว
บรุษรูปงามพลันกลับกลายเป็นปีศาจอสรพิษกายายิ่งใหญ่โอฬาร เอ่ยวาจาบันดาลโทสะเสียงดังคับฟ้า
“ปล่อยมือจากนางเสียเทพเฟยหลิง นางมิใช่ธุระกงการอะไรของท่าน นางเป็นสมบัติของข้า!”
ในวสันตฤดูเดือนยี่ เวียนบรรจบครบรอบทุกสิบสองปี ปีที่มนุษย์จะเข้าใกล้โลกของเหล่าทวยเทพมากที่สุด ทั่วทุกแห่งหนของเมืองรายล้อมรอบด้วยแม่น้ำทอดยาวสุดตา ประดับประดาด้วยโคมไฟสีดำแดงห้อยลงมาในระดับเท่า ๆ กัน สลักตัวอักษร 平安 píng ānหมายความว่าสันติสุขจอมยุทธผู้เดินทางไปทั่วหล้าผู้หนึ่งเคยกล่าวเอาไว้ว่า ‘ดินแดนแห่งสุวรรณ พื้นดินชุ่มชื้น ผืนหญ้าเขียวชอุ่ม ฟ้าฝนตกต้องตามฤดูกาล เพาะปลูกพืชพันธุ์ชนิดใดออกดอกผลอย่างงดงาม ซ้ำยังไม่เคยเกิดภัยพิบัติใหญ่มาตลอดในรอบหลายศตวรรษ ชาวประชาสงบร่มเย็น ภายใต้การปกครองของเจ้าเมืองมากความสามารถ มีเพียงแห่งเดียวเท่านั้น‘เมืองเจิ้นกัน’ท่ามกลางท้องนทีสีมรกต สะอาดใสจนเห็นตัวปลานานาชนิดกำลังแหวกว่าย ทางเดินเท้าทั้งสองฝั่งทำมาจากอิฐ สลับไปกับพื้นดินทราย ที่พักอาศัยของชาวบ้านส่วนใหญ่สร้างขึ้นจากไม้สนจีนเมืองแห่งสันติสุขในปีนี้จัดงานเฉลิมฉลองขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ผู้คนล้วนแต่งตัวด้วยสีดำสลับแดง สมราคาฐานะความเป็นอยู่ ทั้งโรงเตี๊ยม ร้านค้าขายอาหาร ตลอดจนหนทางเดินมีตุ๊กตาเจ้าสาวในชุดสีแดงสดและผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวสีดำ ถักทอด้วยมือ ห้อยติดคู่กับโคมไฟ ป้ายร้านค้าของชำต่าง ๆ ตกแ
日进斗金 ยื่อจิ้นโต้วจินขอให้ได้รับชัยชนะ เงินทองไหลมาเทมา金玉满堂 จินอวี้หม่านถังขอให้ร่ำรวยเงินทอง ทองหยกเต็มบ้านเสียงโห่ร้องสรรเสริญจากชาวบ้านดังลั่นไปทั่วเมือง ไม่นานนัก พวกเขาก็ชะโงกหน้าออกมาปิดหน้าต่างประตูทุกบาน ตะโกนออกมาจากภายในบ้านตนแทน ด้วยความเคารพยำเกรงเทพจนตัวสั่น บ้านไหนมีลูกเด็กเล็กแดงคงไม่อยากจะให้เห็นภาพนี้เจ้าสาวรึ? น่าขันสิ้นดี! อาเป้ยยิ้มหยันใต้ผ้าคลุมหน้าผืนบาง ซึ่งสามารถมองทะลุผ่านเห็นโลกภายนอกได้ไม่ชัดเจนนัก นางไม่ได้รับอนุญาตให้เปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวโดยเด็ดขาดเพราะจะถือเป็นลางร้ายนางใช้วิชาตัวเบากระโดดลงบนเรือ เหยียบยืนอย่างมั่นคงด้วยรองเท้าถักสานสีแดงอย่างดีของนางเมื่อเรือลำน้อยแล่นออกจากฝั่งด้วยแรงผลักขององครักษ์ที่พลิกฝ่ามือ ใช้พลังภายในดันสายน้ำ เสียงผู้คนป่าวร้องตะโกนด้วยความยินดี เว้นเพียงมารดาของนางที่กำลังคร่ำครวญปานขาดใจอยู่บริเวณท่าเรือ อาเป้ยเหลียวคอมองร่างสั่นเทาบนพื้นที่ไกลออกไปเรื่อย ๆ เป็นครั้งสุดท้าย ดวงตาคู่สวยเอ่อคลอหยาดน้ำตา ด้วยความสงสารมารดาจับใจนางจะยอมทำเพื่อบ้านเกิดเมืองนอนของท่านแม่ก็แล้วกันนางคิด พลันหันกลับมายืนตรงอย่างสง่าผ่าเผย
เสียงน้ำจากภายนอกเป็นระลอกคลื่นสูงมหึมาทำให้รับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือน เมื่อนั่งหลับตาเพ่งจิต ตั้งสมาธิให้มั่น นางพอที่จะควบคุมสถานการณ์โคลงเคลง กระเด็นไปมาเหมือนลูกบอลกลิ้งในขวดแก้วได้ ถึงไม่รู้ว่าอยู่ในปากงูนานเท่าไรกระทั่งมาถึงแหล่งน้ำที่ไหนสักแห่ง จากการสัมผัสได้ถึงเสียงระลอกคลื่นสาดกระจาย กายอสรพิษโผล่พ้นขึ้นเหนือน้ำ นางอาศัยจังหวะที่ท่านเผยอปาก ลอดช่องเล็ก ๆ ถีบตัวเองออกมาในท่านอนหงาย สะบัดปลายเท้ากระโดดขึ้นอากาศ ถือวิสาสะเหยียบบนอุ้งมือหยาบซึ่งมีเล็บแหลมคมราวอุ้งมือของมังกร กระตุกดึงผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวโยนทิ้งไปตาสบตาใต้แสงจันทร์มืดสลัว เทพผู้ยิ่งใหญ่ท่าทางประหลาดใจ ยกนิ้วอันโอฬารขึ้นเพื่อพิจารณานางเป็นมนุษย์ สตรี ตัวเล็กกว่าดวงตาสีแดงอันน่ากลัวของท่านเสียอีก“เจ้า... ยังมีชีวิตอยู่หรือ?”“ท่านเทพหลงเหนียนจะแสดงความยินดีกับข้าไหมเล่า สงสัยว่าข้าหนังเหนียวไปสักหน่อย”“เครื่องสังเวยที่ข้าพากลับมาทั้งสิบสองชีวิตเหลือเพียงเถ้ากระดูก พวกนางไม่สามารถทนพิษจากน้ำลายข้าได้ ไม่คิดว่าปีนี้... เจ้าเมืองหลงอี้จินจะส่งเซียนหญิงมา... หรือจะเป็นไปได้ว่า... คิดเป็นกบฏ ต่อต้านเทพ...” ปลายเสียงข่ม
อาเป้ยได้พบเทพหลงเหนียนในร่างบุรุษเพียงครั้ง นางอยากจะนับว่าครั้งเดียวเพราะครั้งแรกนั้นท่านแปลงกายแล้วหนีหน้านางไปในทันทีครั้งที่สอง ท่านต่อว่านางโกหกข้อหนึ่ง แล้วเหาะเหินเดินอากาศไปเช่นเดิมครั้งที่สาม ท่านมาส่งนางหน้าห้องพัก นางถึงได้พิจารณาใบหน้าคมคายไร้ที่ติของท่านคิ้วเข้มหนาขนานไปกับดวงตาเรียวรี หางคิ้วยกขึ้นสูง นัยน์ตาสีโลหิตดูก้าวร้าวดุดัน ทว่าหากมองให้ดีแล้วนางว่าสวยงามดึงดูดเหล่าอิสตรีเป็นอย่างมาก จมูกโด่งเป็นสันคมรับกับสันกรามแกร่งเยี่ยงชายชาตรี ทำให้ท่านดูองอาจและสง่างาม ริมฝีปากอมแดงอมชมพูดูนุ่มนวลอ่อนหวานประหนึ่งกลีบดอกเหมยฮวาบุรุษเทพผู้นี้รูปงามปานหยกสลัก นางหาได้เคยพบบุรุษรูปงามเท่านี้ไม่ใช่ว่านางหลงใหลในรูปลักษณ์เทพหลงเหนียนนักหรอก นางเพียงไม่มีโอกาสชื่นชมความงามของผู้ใด ด้วยความที่นางพำนักอาศัยอยู่ในกระท่อมตีนเขาวัดเทียนหลง ปลอมตัวเป็นข้ารับใช้ชาย ลูบหน้าตนด้วยถ่านหินมาทั้งชีวิต บุรุษมากมายผู้ที่นางจะได้พบเจอมีแต่หลวงจีนหัวล้าน นักพรตเฒ่า พ่อค้าในตลาดนางพบเห็นบุปผางาม สตรีใบหน้าสะสวยในหอนางโลม ซึ่งนางเคยแอบหนีไปเที่ยวเพราะว่าอยากพบท่านแม่บ้างนาน ๆ ครั้ง นางก็ว่าง
อาเป้ยกำลังสำรวจรอบที่พักอาศัยของเทพหลงเหนียน โดยไม่รบกวนท่านตามคำสั่ง นางทึกทักเอาว่านางแค่ออกมาเชยชมเรือนของท่านนิด ๆ หน่อย ๆ ไม่ได้ทำเรื่องเสียหายรองเท้าถักสานสีดำปักด้วยลวดลายบุปผางามเยื้องย่างไปข้างหน้าอย่างเงียบเชียบและระมัดระวัง ไม่ให้เกิดเสียงแม้สักน้อย นางก้าวข้ามสะพานไม้เล็ก ๆ ชะโงกหน้าลงมองหมู่มัจฉานานาชนิดใต้พื้นไม้ที่มีแหล่งน้ำสีมรกตไหลเวียนไปทั่วคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นเรือนสี่ประสาน[1] ที่พักอาศัยของนักพรตซึ่งนางขึ้นไปส่งข้าวปลาอาหาร แต่ด้วยความที่ด้านหน้าเรือนเปิดโล่งเป็นลานกว้างไว้ฝึกวิทยายุทธ์ หรืออาจจะไว้รับรองแขก มีประตูบานใหญ่กั้นพื้นที่แห่งนี้ไว้จากป่าทึบและเทือกเขา จึงไม่เชิงว่าใช่เสียทีเดียว เรือนสี่ประสานจะมีลานฝึกอยู่ตรงกลาง รายล้อมด้วยเรือนพักอาศัยโดยรอบเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า“เรือนท่านอยู่ท่ามกลางป่าเขา ทิวทัศน์งดงามถึงเพียงนี้ สบายข้าจริง ๆ”อาเป้ยส่ายคอมองไปรอบ ๆ อย่างสดชื่นแจ่มใส เพียงได้ออกมาสูดอากาศข้างนอกเสียบ้างหลังอุดอู้อยู่แต่ในห้อง นางเงยหน้าขึ้นมองต้นโบตั๋น ต้นท้อ ต้นหอมหมื่นลี้ ออกดอกบานสะพรั่งแข่งกัน ก็ส่งยิ้มให้พวกมันบุปผชาติเหล่านี้ได้งอกเง
เสียงของบุรุษเทพตวาดดังลั่น นัยน์ตาแดงก่ำประหนึ่งจะปลิดชีพอีกฝ่ายซึ่งมีตัวประกันเป็นคนไม่สำคัญเอาเสียเลย ทางฝ่ายเทพสมควรปล่อยให้นางถูกสังหารไปเสีย มิใช่ทำให้ศัตรูเห็นว่านางยังมีประโยชน์“ส่งหยกพันปีมาให้ข้า... เทพอู่เฉิน”ทั้งสองฝ่ายสบมองกันอย่างเชือดเฉือน กระชับอาวุธในมือแน่น เมื่อกระบี่บนคอนางบาดลงลึกจนเลือดซึมอาเป้ยถูกกระบี่คมกริบเฉือนลึกเข้าไปในเนื้อ ชายแปลกหน้ายังบีบคอนาง โดยที่นางไม่แม้แต่จะแสดงออกทางสีหน้าว่าเจ็บปวด นางสงสัยใคร่รู้ว่าหยกพันปีนี่คืออะไร ทั้งเทพและปีศาจถึงได้ต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย แล้วผู้ใดคือเทพอู่เฉิน!“ข้าไม่รู้ว่าหยกพันปีอยู่ที่ใดบนเกาะนี้ เจ้าอยากได้ก็ต้องลองค้นหาเอาเอง”“นางตายแน่... หากว่าท่านไม่รู้”“ข้าขอโทษด้วย เจ้า...”“อาเป้ย ข้าชื่ออาเป้ย” นางแนะนำตัวอย่างยินดี เมื่อท่านเทพรู้สึกผิดต่อนางแทนที่จะว่านางเป็นปัญหา พร้อมกันนั้นนางยกมือขึ้นจับใบมีดกระบี่ อาศัยจังหวะที่ศัตรูกำลังตกใจ ผลักยันอาวุธออกจากคอด้วยแรงทั้งหมดที่มีโลหิตหลั่งไหลจากอุ้งมือเล็ก ๆ ของนางราวสายน้ำ มือของนางยังเกือบจะขาด หากไม่เป็นเพราะพลังกายเทพอันกล้าแกร่งซึ่งนางได้รับมาในร่างนี
“ทะ... ท่านอาจารย์ฮุ่ยหมิงสั่งไม่ให้ข้าเข้าใกล้บุรุษเกินสามย่างก้าว ข้าจะต้องระวังตัว... แล้ว ๆ ท่านควรขออนุญาตข้าก่อน... จับตัวข้ารักษาหรือทำอะไรก็ตาม ข้ารอให้แผลหายเองได้ท่านเทพหลงเหนียน... ช่วยปล่อยข้า...”“ปีศาจนั่นเพิ่งจะกอดคอเจ้าอย่างสนิทสนมทีเดียว นับเป็นบุรุษด้วยหรือไม่?”“เหตุสุดวิสัย นับไม่ได้ ท่านเทพหลงเหนียน...”เทพหลงเหนียนนึกขันนางขึ้นมาว่านางคิดอะไรไม่เข้าท่า แสยะยิ้มตรงมุมปาก“ข้าไม่ใช่เทพผู้น่ากลัวเกรงถึงเพียงนั้น ข้าเสกฟ้าฝนทำลายโลกมนุษย์ไม่ได้ ท่านพ่อข้าเป็นชนเผ่ามังกรบนสวรรค์ ท่านแม่ข้าเป็นปีศาจอสรพิษ ข้าชื่ออู่เฉิน” พูดจบ บาดแผลที่ได้รับการดูแลอย่างดีด้วยพลังเพียงเล็กน้อยจากฝ่ามือเทพ จางหายไปจนเหลือเพียงขีดสีแดงจาง ๆ บุรุษเทพจึงปล่อยนางให้เป็นอิสระ“ข้าอนุญาตให้เจ้าเรียกข้าว่าเทพอู่เฉินได้”“ท่าน... เทพอู่เฉิน?”“ใช่แล้วล่ะอาเป้ย ข้าคือเทพอู่เฉิน หาใช่เทพหลงเหนียนเยี่ยงมนุษย์กล่าวอ้าง ข้าคงเป็นบุรุษผู้ไร้เกียรติเป็นอย่างมาก จึงไม่ได้บอกเจ้าว่าไม่มีเทพหลงเหนียนบนเทวโลก ข้าไม่เคยได้ยินว่ามีผู้ใดชื่อเทพหลงเหนียน”ในน้ำเสียงที่อ่อนโยนลงต่างจากวันแรก บอกความจริงกับนาง
คราแรกพบสตรีแปลกหน้า นางสบมองนัยน์ตาสีแดงก่ำประหนึ่งดวงตาแห่งเทพสงครามอย่างไร้ความกลัวเกรงหาใช่ความใจกล้าของนางผู้ไม่หวาดหวั่นต่อเทพ เหมือนนางเป็นสตรีประหลาด ผู้ไม่หวาดกลัวในสิ่งใดเทพอู่เฉินรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของตน ยังค่อนข้างให้ความสนใจอาเป้ย นางสร้างความประหลาดใจให้เขาเป็นอย่างมาก ดวงตาคู่สวยสว่างใสของนางหยุดลมหายใจของเขาไปชั่วขณะหนึ่ง วันต่อมาเขาจึงเริ่มส่งของสวยงามไปให้นางหลายชิ้น เสื้อผ้าอาภรณ์ ปิ่นปักผมสตรี เรือนนี้ไม่เคยมีข้าวของเครื่องใช้สตรีมาก่อน ก็วานให้บ่าวประจำตัวทั้งสองไปหาวัตถุดิบจากสวรรค์มาสร้างมันด้วยพลังเวท ส่วนหนึ่งนั้นก็สร้างมันด้วยพลังปีศาจเทพอู่เฉินเป็นครึ่งเทพครึ่งปีศาจ ทว่ามีนิสัยรักความสงบ ตามหาความสงบอยู่เป็นนิจ เขาใคร่อยากจะรู้นักว่าคำทำนายนั่นมีมูลความจริงหรือไม่ หากว่านางเป็นบุคคลตามคำทำนาย เขาจะพบความสงบสุขได้จริงหรือ?ตลอดหลายร้อยปีมานี้ ภาระปัญหามากมายรบกวนเขาอยู่เรื่อยไป ปีศาจตามรังควาน แม้แต่ทวยเทพยังผลักภาระมาให้เขาจำเป็นต้องรับผิดชอบ ชีวิตวุ่นวายแม้เป็นเทพยังหาได้พบความสุขตัวเขากำลังคิดว่าหากใช่นางจริง การบีบบังคับนางไม่น่าจะทำให้นางยอมปฏิ
ปัญหาใหญ่ทว่าหากชักช้าไปจะไม่ทันกาล พยัคฆ์อัคคียอมปล่อยลูกของตนออกจากหน้าท้อง สายตาทุกคู่จับจ้องไปยังเจ้าพยัคฆ์ตัวน้อยกายพยัคฆ์ที่ห่อหุ้มด้วยเปลวอัคคีครึ่งหนึ่งถูกพิษสีเขียว หนอนพิษชอนไชจนเห็นกระดูก นัยน์ตาใสซื่อบริสุทธิ์ของมันเอ่อคลอหยดน้ำใส มันไม่แม้จะส่งเสียงร้องออกมาเหล่าเทพถึงจะไม่ชอบสัตว์อสูรสักเท่าไร อดไม่ได้ที่จะสงสารเวทนาเจ้าพยัคฆ์ตัวกระจ้อยร่อย“ตำราเล่มหนึ่งกล่าวว่าสัตว์อสูรจำพวกพยัคฆาไม่แสดงความอ่อนแอออกมาให้ผู้ใดเห็นเป็นอันขาด นิสัยของท่านช่างคล้ายคลึงกับตัวข้านัก...”“ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับข้า”เทพอู่เฉินเอ่ยขึ้น ชิงลงมือนำหน้า วาดวงเวทสีดำเสกสายน้ำเป็นระลอกคลื่น ดึงแผ่นน้ำขึ้นสูงเพื่อจัดการกับมัจฉาก้าวร้าวให้ขาดอากาศหายใจไปเสีย ไม่ปล่อยให้เสียเวลาแม้สักน้อย ใต้เท้าจีกงรีบปราม “ระวังด้วยเทพอู่เฉิน ดอกบัวสีทองจะขาดน้ำหล่อเลี้ยงรากไม่ได้เป็นอันขาด จะแห้งตายในทันที”“ข้าว่าไม่ง่าย... ต้องร่วมใจเป็นหนึ่ง”อาเป้ยสะบัดปลายเท้า กระโดดข้ามอากาศไปยืนถัดจากเทพอู่เฉินในระยะห่างพอสมควร เพื่อมองทิศทางน้ำในอีกด้านหนึ่ง เทพแห่งสายน้ำทั้งสองเห็นพ้องต้องกัน รีบไปยืนคนละทิศ ทั้งสี่มุมสร
“ข้าเชื่อก็คือเชื่อ... ท่านเคยได้ยินไหมว่าเปลี่ยนความเชื่อมนุษย์นี้ยากกว่ายกภูเขาทั้งลูกเสียอีก”“ข้าเพิ่งจะเอ็ดเจ้า”“ข้าขอนับเป็นความหวังดี ใช่ว่าท่านอยากจะเอ็ดจะว่าข้าเสียเมื่อไร ท่านใจดีกับข้า” นางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนลง “และที่ท่านยอมช่วยเหลือพยัคฆาน้อยวันนี้ นับเป็นบุญกุศลของท่าน ข้าเชื่อเรื่องบุญกรรมวาสนา การทำความดี สิ่งดี ๆ จะย้อนกลับมา”อาเป้ยยิ้ม เงยหน้ามองเทพอู่เฉินในร่างสีดำทะมึนด้วยแววตาใสซื่อบริสุทธิ์ ถึงแม้ว่าเทพอู่เฉินคงไม่สบอารมณ์นางนัก ไม่หลงกลคารมนาง“เจ้าพูดจาได้ดี... ทั้งที่เพิ่งจะขังเทพผู้ยิ่งใหญ่ของมนุษย์เอาไว้ใต้ที่นอนในห้องใต้ดิน ห่อร่างข้าด้วยผ้าห่มเหม็นเน่าของเจ้า ทำให้ข้าในร่างครึ่งงูครึ่งบุรุษต้องติดอยู่ใต้เตียงถึงสองคืน”อาเป้ยเพิ่งนึกออกว่าลืมท่านเทพเอาไว้ หลังร่ายเวทอำพรางตาเปลี่ยนประตูให้กลายเป็นกำแพง ส่วนตัวนางนั่งน่ะหรือ เล่นหมากเซี่ยงฉี หัวเราะร่าเริงบันเทิงใจ ไปเที่ยวชมพรรณพฤกษาในป่ากับสองบุรุษเทพแห่งสายน้ำ!阿贝 อาเป้ย...宝贝 bǎobèi (เป่าเป้ย)ลูกรัก ที่รัก...ชื่อของนางคงมีรากฐานมาจากคำในความหมายว่านางคือผู้เป็นที่รักต่อทุกสรรพสิ่งเทพอู่เฉินมองเ
พยัคฆ์อัคคียอมบอกความจริงต่อเทพว่าต้องการหยกพันปีไปฟื้นฟูพลังกายของบุตรชายตัวน้อย ซึ่งเล่นซนไปสักหน่อยจึงถูกพิษของป๋ายเซี่ยสัตว์อสูรจำพวกปูยักษ์มีวิถีนักล่าที่แปลกประหลาด ไม่กลืนเหยื่อเข้าไปทว่าจะฝังคมเขี้ยวไว้ รอให้แผลเน่าและถูกพิษกัดกินเสียก่อน ให้เหยื่อทุรนทุราย ร่างกายขยับไม่ได้เมื่อไรค่อยกลับมาจัดการอีกครั้งหนึ่งทั้งปีศาจและอสูรไม่ใช่ทุกเผ่าจะเป็นมิตรที่ดีต่อกัน อสูรหลายตนนี้เป็นพวกเดียวกับพยัคฆ์อัคคี ซึ่งเป็นสัตว์อสูรในตำนาน จัดอยู่ในระดับที่มีพละกำลังใกล้เคียงกับปีศาจส่วนอสูรปักษาซึ่งมาก่อกวนคราวก่อนนั้นต้องการหยกพันปีไปทำอะไรไม่รู้ได้ ถึงคราวนี้ไม่มาปรากฏตัวแต่คราวหน้าไม่รู้ว่าจะมาหรือไม่อาเป้ยเห็นสัจธรรมอีกข้อหนึ่งว่ามนุษย์มีการแบ่งแยกเป็นหลายชนเผ่า เหล่าปีศาจและอสูรก็เช่นกัน ถึงบนเทวโลกไม่วุ่นวายเท่าโลกมนุษย์ แสนจะวุ่นวายนัก ต่างฝ่ายสู้รบกันเพื่อสนองกิเลส ยกตัวอย่างเช่นท่านเจ้าเมืองหลงอี้จินผู้ส่งเครื่องสังเวยให้แด่เทพด้วยความเชื่อของท่าน ก็ปรารถนาต้องการอำนาจจากเทพ หวังให้ผู้คนเคารพสยบต่อท่านณ สถานที่แห่งนี้ปีศาจยังอาจกลืนกินปีศาจด้วยกันเองเพื่อสูบพลังเวท ในขณะที่เทพ
ผ่านไปสามราตรีกาลไม่มีอะไรคืบหน้าปีศาจนับสิบตนยังพยายามตามหาเทพอู่เฉินในเรือนแต่ไม่พบท่านตามที่นางว่าทางด้านฝั่งเทพเลิกต่อต้านอสูรปีศาจ ปล่อยให้เดินไปเดินมาตามใจ ระหว่างรอก็ชักชวนกันฆ่าเวลา นั่งฝึกปัญญาด้วยหมากเซี่ยงฉี เหล่าเทพผู้น้อยช่วยกันซ่อมแซมพื้นเรือนด้านหน้าให้กลับมาสวยสะอาดเรียบร้อยดังเดิมแล้ว บ่าวงูทั้งสองยังกลับมาเอาความกับนางเรื่องเทพอู่เฉินไปอยู่ที่ใด“หวังว่าเจ้าจะไม่โป้ปดพวกข้า มิฉะนั้นเจ้าจะถูกลงโทษสถานหนักทีเดียว”“ท่านรอถามเทพอู่เฉินด้วยตัวท่านเองก็แล้วกัน ท่านซื่อหยูอี้ ท่านเซียวอี้หรู ข้าหน่ายจะอธิบายความให้ท่านฟัง เพราะว่าท่านไม่เคยจะฟัง”อาเป้ยกำลังวัดฝีมือกับเทพแห่งสายน้ำ บนโต๊ะหินใต้ต้นไม้สูงใหญ่ ลมพัดเย็นสบาย นางคีบหมากเฉียมุ่งไปดักโจมตีถึงในบ้านของอีกฝ่าย ทว่านางคงไม่ชำนาญงาน จึงไม่ได้ดูเลยว่ามีองครักษ์คอยป้องกันอยู่"เก็บพลังเวทไว้ใช้ยามจำเป็น กำชัยชนะโดยไม่ต้องออกรบ เจ้าเฉลียวฉลาดนัก อาเป้ย” เทพแห่งสายน้ำเอ่ยคำชื่นชมนาง จากเคยว่านางเป็นสตรีควรนิ่งเงียบเสียก็เปลี่ยนความคิดใหม่บนโลกของทวยเทพ เทพสตรีออกเรือนแล้วยังต้องเชื่อฟังและอยู่ในโอวาทสามีเช่นเดียวกับมน
นางยิ้มแล้วจึงพูด “ข้าขออภัย แต่อาจารย์ข้าพร่ำสอนเรื่องการมีมารยาท หากผู้ใดถามคำถามข้า ข้าควรต้องตอบให้ชัดเจนเท่าที่ข้าทราบ แถมตัวข้ายังมิใช่สตรี มิใช่ภรรยาของผู้ใด ข้าอยู่เยี่ยงบุรุษมาทั้งชีวิต บนโลกมนุษย์ข้ามีป้ายชื่อเด็กชาย เป็นข้ารับใช้นักพรต ตัวข้าไม่เคยมีแม้โอกาสจะได้ปักปิ่นผมเยี่ยงสตรีด้วยซ้ำ”นางยังอวดป้ายชื่อบุรุษของนางว่าอาเป้ย ซึ่งมีสีแตกต่างไปตามแคว้นที่อาศัยให้เทพดูเสียด้วย ทว่าเหล่าเทพคงไม่ได้สนใจ ถือโอกาสพักเอาแรงระหว่างทุกคนหันมองนางเป็นตาเดียวในเมื่อนางเป็นผู้ไม่เกี่ยวข้อง จึงไม่มีผู้ใดชิงชังนาง อย่างมากคงแค่รำคาญใจเท่านั้น อาเป้ยถีบขาทะยานขึ้นอากาศ เหยียบลงบนพื้นหินหน้าพยัคฆา นางเกิดมีความคิดว่าสัตว์อสูรตนนี้เฉลียวฉลาดกว่าตนอื่น น่าจะพูดจารู้เรื่อง“ข้าว่าท่านเอาเวลาไปตามหาหยกพันปีเสียดีกว่า ในเมื่อท่านอู่เฉินให้คำอนุญาตแล้ว ท่านบอกด้วยตัวท่านเองว่ามันอยู่บนเกาะเทพอุดรแห่งนี้ ยังฝากข้าเป็นธุระมา ทั้งเทพและปีศาจ เชิญตามอัธยาศัย” นางก้มศีรษะทำความเคารพทั้งสองฝั่งอย่างนักปราชญ์ ผู้มีปัญญาเป็นที่ตั้ง ต่างฝ่ายจึงสงบสติอารมณ์ลงเพราะคารมของนาง“ข้าเอง... อยู่เฉย ๆ ไม่มีอ
เทพอู่เฉินในร่างปีศาจมีช่วงเวลาจำศีลหลายราตรี สักห้าสิบถึงหนึ่งร้อยปีจะลอกคราบเก่าของตนสักครั้งเช่นเดียวกับนางเฟยอี๋ ใช้เวลามากหรือน้อยขึ้นอยู่กับพลังเวทในกาย ซึ่งหลังจากลงไปรับเครื่องบรรณาการบนโลกมนุษย์ เดินทางข้ามภพภูมิกลับมายังเทวโลกทำให้สูญเสียพลังไปมาก คงซ่อมแซมตนได้ไม่ดีนักเทพและปีศาจต่อสู้กันมาสองราตรีแล้ว...อาเป้ยเดินไปเดินมาอย่างระวังไม่ให้เป็นภาระผู้ใด นางหลบเข้าไปนอนบ้าง เอามือปิดหูปิดประตูห้องเงียบเชียบ เสียงกระบี่ดังกระทบกัน พื้นดินแตกหักเป็นเศษเป็นชิ้น เสียงตะโกนบริภาษอย่างเกรี้ยวกราด แสงสีเสียงทอดดังมาเป็นระยะ ต่างฝ่ายตะโกนโหวกเหวกโวยวายทะเลาะวิวาทกันไม่จบสิ้น ไม่มีวี่แววว่าฝ่ายใดจะยอมเลิกราท้ายที่สุดนางก็ทนไม่ไหว จึงลองเดินหาห้องพักจำศีลของเทพอู่เฉินดูว่าอยู่ที่ใดห้องพักของเทพอู่เฉินหาไม่ยากนัก อยู่ถัดจากลานกว้างที่พวกเขากำลังต่อสู้กัน นางคิดว่าท่านเทพคงไม่กลัวเกรงในสิ่งใดเลยจำศีลอย่างโจ่งแจ้ง นางยังเห็นว่ามีบุรุษเทพรูปงามร่างสูงใหญ่แต่งการด้วยอาภรณ์งดงามดูมีภูมิฐาน และอีกสี่คงเป็นลูกสมุนของฝั่งเทพแห่งสายน้ำตามมาสมทบนางเคาะประตูห้องอย่างมีมารยาท ทว่าไม่ได้ยินเสีย
นอกจากเหล่าเทพแห่งสายน้ำจะได้รับข่าวอันไม่น่าภิรมย์เรื่องมนุษย์เครื่องสังเวย บรรดาปีศาจแค่มาทักทาย หาเรื่องก่อกวนใต้เท้าจีกงเสียมากกว่าต่อสู้จริงจัง ไม่ทันได้แพ้ราบคาบหรือหมดสภาพก็พากันหนีไปเสียแล้วอย่างปักษา ยักษา สัตว์อสูรสุนัขสามหัวอยู่ตระกูลจำพวกลมคงกลับไปฟื้นพลังที่เทวโลกชั้นฟ้าหรือนรกภูมิของตน น่าจะไม่เดินทางมาอีกสักพักเทวโลกในแต่ละชั้นไม่ใช่คิดจะมาก็มา หากมิใช่ถูกส่งมาโดยอำนาจแห่งราชาสวรรค์ ปีศาจผู้ทรงพลังเช่นเฟยอี๋และตนอื่นซึ่งมีไม่มากนัก ต้องรอเวลาประตูระหว่างภพภูมิเปิด ต่อให้เป็นเทพผู้ปกครองเทวโลกชั้นใหญ่ทั้งสามชั้นฟ้า ชั้นดิน ชั้นน้ำยังไม่ใช่เรื่องง่ายดาย ต้องใช้พลังเวทมหาศาลในการเดินทางข้ามภพภูมิเทวโลกแต่ละครั้ง ขนาดใต้เท้าจีกงเองไม่ใคร่จะเดินทางข้ามภพภูมิบ่อยครั้งหากว่าท่านไม่มีธุระจำเป็นต้องไปจริง ๆบริเวณตั่งนั่งไม้สนแดงกลางเรือน ใต้เท้าจีกงได้ชื่นชมวิทยายุทธ์ของบุตรชาย จนญาติทางฝ่ายภริยาเดินเข้ามาสนทนาเรื่องเทพอู่เฉิน จึงมีท่าทางสงสัยใคร่รู้“เครื่องสังเวยผู้รอดชีวิตเป็นศิษย์ตาเฒ่าฮุ่ยหมิงอย่างนั้นรึ?”“ใช่แล้วใต้เท้า ท่านซื่อหยูอี้แจ้งข่าวข้ามาว่านางเป็นศิษย์ลับ ๆ
คราแรกพบสตรีแปลกหน้า นางสบมองนัยน์ตาสีแดงก่ำประหนึ่งดวงตาแห่งเทพสงครามอย่างไร้ความกลัวเกรงหาใช่ความใจกล้าของนางผู้ไม่หวาดหวั่นต่อเทพ เหมือนนางเป็นสตรีประหลาด ผู้ไม่หวาดกลัวในสิ่งใดเทพอู่เฉินรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของตน ยังค่อนข้างให้ความสนใจอาเป้ย นางสร้างความประหลาดใจให้เขาเป็นอย่างมาก ดวงตาคู่สวยสว่างใสของนางหยุดลมหายใจของเขาไปชั่วขณะหนึ่ง วันต่อมาเขาจึงเริ่มส่งของสวยงามไปให้นางหลายชิ้น เสื้อผ้าอาภรณ์ ปิ่นปักผมสตรี เรือนนี้ไม่เคยมีข้าวของเครื่องใช้สตรีมาก่อน ก็วานให้บ่าวประจำตัวทั้งสองไปหาวัตถุดิบจากสวรรค์มาสร้างมันด้วยพลังเวท ส่วนหนึ่งนั้นก็สร้างมันด้วยพลังปีศาจเทพอู่เฉินเป็นครึ่งเทพครึ่งปีศาจ ทว่ามีนิสัยรักความสงบ ตามหาความสงบอยู่เป็นนิจ เขาใคร่อยากจะรู้นักว่าคำทำนายนั่นมีมูลความจริงหรือไม่ หากว่านางเป็นบุคคลตามคำทำนาย เขาจะพบความสงบสุขได้จริงหรือ?ตลอดหลายร้อยปีมานี้ ภาระปัญหามากมายรบกวนเขาอยู่เรื่อยไป ปีศาจตามรังควาน แม้แต่ทวยเทพยังผลักภาระมาให้เขาจำเป็นต้องรับผิดชอบ ชีวิตวุ่นวายแม้เป็นเทพยังหาได้พบความสุขตัวเขากำลังคิดว่าหากใช่นางจริง การบีบบังคับนางไม่น่าจะทำให้นางยอมปฏิ
“ทะ... ท่านอาจารย์ฮุ่ยหมิงสั่งไม่ให้ข้าเข้าใกล้บุรุษเกินสามย่างก้าว ข้าจะต้องระวังตัว... แล้ว ๆ ท่านควรขออนุญาตข้าก่อน... จับตัวข้ารักษาหรือทำอะไรก็ตาม ข้ารอให้แผลหายเองได้ท่านเทพหลงเหนียน... ช่วยปล่อยข้า...”“ปีศาจนั่นเพิ่งจะกอดคอเจ้าอย่างสนิทสนมทีเดียว นับเป็นบุรุษด้วยหรือไม่?”“เหตุสุดวิสัย นับไม่ได้ ท่านเทพหลงเหนียน...”เทพหลงเหนียนนึกขันนางขึ้นมาว่านางคิดอะไรไม่เข้าท่า แสยะยิ้มตรงมุมปาก“ข้าไม่ใช่เทพผู้น่ากลัวเกรงถึงเพียงนั้น ข้าเสกฟ้าฝนทำลายโลกมนุษย์ไม่ได้ ท่านพ่อข้าเป็นชนเผ่ามังกรบนสวรรค์ ท่านแม่ข้าเป็นปีศาจอสรพิษ ข้าชื่ออู่เฉิน” พูดจบ บาดแผลที่ได้รับการดูแลอย่างดีด้วยพลังเพียงเล็กน้อยจากฝ่ามือเทพ จางหายไปจนเหลือเพียงขีดสีแดงจาง ๆ บุรุษเทพจึงปล่อยนางให้เป็นอิสระ“ข้าอนุญาตให้เจ้าเรียกข้าว่าเทพอู่เฉินได้”“ท่าน... เทพอู่เฉิน?”“ใช่แล้วล่ะอาเป้ย ข้าคือเทพอู่เฉิน หาใช่เทพหลงเหนียนเยี่ยงมนุษย์กล่าวอ้าง ข้าคงเป็นบุรุษผู้ไร้เกียรติเป็นอย่างมาก จึงไม่ได้บอกเจ้าว่าไม่มีเทพหลงเหนียนบนเทวโลก ข้าไม่เคยได้ยินว่ามีผู้ใดชื่อเทพหลงเหนียน”ในน้ำเสียงที่อ่อนโยนลงต่างจากวันแรก บอกความจริงกับนาง