เฉินฝานตบบั้นท้ายกลมกลึงของโอวหยางน่าหลันทีหนึ่ง “พอได้แล้ว ไม่ต้องเสแสร้งแล้ว!”“ข้าไม่ได้เสแสร้งนะ จริง ๆ แล้วข้า...”เสียงของโอวหยางน่าหลันขาดหายไป เพราะว่า...“ข้าจากเมืองหลวงของต้าชิ่งมาเกือบครึ่งเดือนแล้ว เป็นห่วงลูกเมียที่บ้าน ไม่อาจไปแคว้นหลู่จัดพิธีแต่งงานกับท่านได้ จัดขึ้นที่เมืองลู่ตูแห่งนี้ละกัน”“จริงหรือ? ช่างดีเหลือเกิน!”โอวหยางน่าหลันโผเข้าหาตัวเฉินฝานทันที“สามี ช่วงเวลาที่งดงามเช่นนี้ เหตุใดเราไม่สู้...”มือของโอวหยางน่าหลันเริ่มอยู่ไม่สุขอีกครั้งเฉินฝานบีบเอวบางของโอวหยางน่าหลัน“ร่านนัก!”เสียงยั่วยวนดังขึ้นอีกครั้ง.....ตอนที่ฉินเย่ว์เหมยส่งโอวหยางน่าหลันกลับไป ก็ถามนางว่าเหตุใดถึงยืนกรานจะแต่งงานกับเฉินฝานให้ได้คำตอบของโอวหยางน่าหลันธรรมดามากเหตุผลแรกคือนางชอบเฉินฝานเหตุผลข้อที่สองคือแคว้นหลู่มีเฉินฝานก็จะดำรงอยู่ได้ตลอดไป“เหตุผลข้อที่สองของท่านมันเกินจริงไปหรือไม่” ฉินเย่ว์เหมยกล่าว“ข้ากล่าวเกินจริงหรือไม่? ท่านรู้ดีกว่าข้ามิใช่หรือ?” โอวหยางน่าหลันฉุนเฉียวเล็กน้อย“ท่านอย่าได้ไม่รู้ผิดชอบชั่วดีเพียงเพราะว่าเขาใส่ใจท่าน หากท่านไม่ทะนุถนอ
ตอนแรกเสิ่นหมิงหยวนยังคิดจะใช้ข้ออ้างเรื่องขาดแรงงานมาสร้างความลำบากให้เฉินฝาน ผลปรากฏว่าทางฝั่งของโอวหยางน่าหลันกลับจัดการหาแรงงานคนมาให้ทันทีตอนนี้ต้าชิ่งได้แบ่งปันเสบียงอาหารมากมายให้แก่แคว้นหลู่ ชาวแคว้นหลู่หวาดกลัวความอดอยาก ถึงได้อาสามาที่ต้าชิ่ง ช่วยต้าชิ่งขุดคลองส่งน้ำ แม้ว่าไม่มีเงินให้ก็ไม่เป็นไร ดูแลอาหารสามมื้อเป็นหลักก็พอนอกจากนี้ทุกคนต่างรู้ว่าสตรีชาวต้าชิ่งทำอาหารเก่งมากมาทำงาน หากโชคดีอาจได้แต่งภรรยากลับไปที่บ้าน ต่อให้ไม่ได้แต่งงานก็ยังได้กินอาหารเลิศรสไปอีกหลายเดือนวันนี้ เฉินฝานเพิ่งกลับมาจากกรมโยธาช่วงนี้เขาไปที่กรมโยธาทุกวันเพื่อหารือเรื่องการขุดคลองส่งน้ำตอนที่กลับถึงบ้าน ฟ้าก็มืดแล้ว“ปัง!” มีหินก้อนหนึ่งกระแทกใส่รถม้าของเฉินฝานอย่างแรง ห่างจากเฉินฝานไม่ถึงสองเซนติเมตรแม้ว่าหินก้อนนั้นจะไม่ใหญ่ แต่ถ้ากระแทกโดนหัวของเฉินฝานเข้าละก็ เฉินฝานคงหัวแตกเลือดไหลแล้ว“ใครน่ะ!”เย่ว์หนูพุ่งตัวออกไปไม่นานก็ลากตัวคนผู้หนึ่งออกมาจากความมืด“ท่านแม่ทัพเย่ว์หนู ท่านเบามือหน่อยเถิด ข้าเอง ข้าคือเสี่ยวซื่อ!”“เย่ว์หนู! รีบปล่อยคนเสีย!” เวลานี้เฉินฝานก็ฟังออกเ
คิดว่าเฉินฝานมิใช่คนเช่นนี้ เมื่อโต้เถียงกับผู้อื่น ปรากฏว่าพูดสู้ผู้อื่นมิได้ เขาจึงสะกดกลั้นความโกรธไว้ ก่อนจะเดินมาถึงด้านนอกบ้านเฉินฝานโดยไม่รู้ตัว“นายท่านของเราปฏิบัติกับพี่น้องกองทัพลาดตระเวนเช่นใด พวกเจ้ายังไม่รู้อีกหรือไร? พวกเจ้าพูดเช่นนี้ลับหลัง ทำให้คนผิดหวังมากเหลือเกิน โดยเฉพาะเจ้าเสี่ยวซื่อ นายท่านของข้าปฏิบัติกับเจ้าอย่างไร? ในใจเจ้าไม่รู้อีกหรือ?” ฉินเย่ว์เจียวที่ไม่หายโกรธยังคงตำหนิต่อ เสี่ยวซื่อเก็บงำความรู้สึกไว้จนหน้าแดงก่ำขึ้นเรื่อย ๆ สุดท้ายก็คุกเข่าลงต่อหน้าเฉินฝานดังตุบ“ใต้เท้า เป็นความผิดของข้าน้อยเองขอรับ ข้าน้อยไม่ควรเชื่อคำพูดส่งเดชของผู้อื่นจนเข้าใจใต้เท้าผิดไป ข้าน้อยสมควรตายหมื่นครั้ง!”เสี่ยวซื่อกล่าวพลางตบหน้าตนเองดังเพียะ ๆๆ“เสี่ยวซื่อ อย่าทำเช่นนี้เลย!” เฉินฝานโน้มตัวลง จับมือเสี่ยวซื่อไว้ ประคองเขาให้ลุกขึ้นมาการจัดพิธีศพอย่างยิ่งใหญ่ให้แก่พี่น้องกองทัพลาดตระเวนที่เสียสละชีวิต รวมถึงการส่งเงินชดเชยไปยังที่บ้านของพี่น้องเหล่านั้น เขาไม่ได้ไปเนื่องจากงานยุ่งมากเกินไป แต่ได้สั่งการเหอจื่อหลินแล้ว เหอจื่อหลินก็ไปจัดการด้วยตนเองหมดแล้วตอนนี้
“เงื่อนไขอะไรกัน? ท่านจงรีบกล่าวมา ฝ่าบาทย่อมทรงตัดสินพระทัยได้” เสิ่นหมิงหยวนกล่าว“ทูตจากแคว้นจ้าวกล่าวว่า ช่วงเวลาที่ผ่านมาเมืองเฟิ่งหวงตกอยู่ในความวุ่นวาย โจรผู้ร้ายชุกชุม ประชาชนอยู่กันอย่างทุกข์ยากลำบาก มีชาวเมืองเฟิ่งหวงไปขอร้องฮ่องเต้จ้าวที่แคว้นจ้าว ฮ่องเต้จ้าวทรงมีเมตตา เมื่อเห็นว่าต้าชิ่งกับแคว้นหลู่กำลังทำสงครามกัน ไม่มีเวลาว่างมาดูแล จึงดูแลแทนให้ชั่วคราว”“หลังจากแคว้นจ้าวเข้ามาดูแลเมืองเฟิ่งหวงก็ได้ทุ่มกำลังทหารและทรัพย์สิน แก้ไขสถานการณ์ความวุ่นวายและความเป็นอยู่ที่ยากลำเค็ญของประชาชนเมืองเฟิ่งหวง”“ตอนนี้ขอเพียงต้าชิ่งของเรายินดีมอบเงินสิบล้านตำลึงเงินให้แก่แคว้นจ้าว จ้าวป๋อก็จะคืนเมืองเฟิ่งหวงให้แก่ต้าชิ่งของเรา ทูตกล่าวว่าฮ่องเต้จ้าวทรงเน้นย้ำว่าเงินสิบล้านตำลึงนี้ มิใช่เป็นการเรียกร้องจากต้าชิ่งของเรา แต่เป็นเพียงการขอเงินคืนจากการที่แคว้นจ้าวได้ลงทุนให้กับเมืองเฟิ่งหวงในช่วงหลายเดือนมานี้”“ฮ่องเต้จ้าวยังตรัสอีกว่า ปีที่แล้วแคว้นจ้าวประสบภัยน้ำท่วม ปัจจุบันก็ยังลำบากมาก หวังว่าฝ่าบาทจะทรงเข้าใจ”หลิวเกาจัวเพิ่งจะกล่าวจบ ก็มีขุนนางพยักหน้าติดต่อกันเมืองเฟิ่งห
หลิวเกาจัวที่ระมัดระวังตัวสังเกตสีหน้าของแคว้นอื่นมานาน ชินกับโดนกดขี่โดนรังแกมาตั้งนานแล้ว ดังนั้นเมื่อครู่นี้แคว้นจ้าวบอกว่าจะคืนเมืองเฟิ่งหวงให้แลกกับเงินสิบล้านตำลึง หลิวเกาจัวจึงดีใจมากจริง ๆ“ใช่! ค่ายึดครองสิบล้านตำลึง ต้องไม่ขาดแม้แต่แดงเดียว!” เสียงของเฉินฝานเด็ดเดี่ยวมั่นคง“ขอรับ ใต้เท้า ข้าน้อยจะไปเดี๋ยวนี้”หลิวเกาจัวเดินไปที่โถงด้านข้างด้วยความรู้สึกกระวนกระวายใจสุดขีดเพื่อเจรจากับทูตของแคว้นจ้าวต่อ ไม่นานนัก หลิวเกาจัวกลับมาพร้อมกับสีหน้าที่ดูย่ำแย่มาก“ใต้เท้า ฝ่าบาท แคว้นจ้าวไม่ยอมตกลง ยืนกรานว่าจะเอาสิบล้านตำลึงให้ได้ มิเช่นนั้นทหารของแคว้นจ้าวจะไม่ยอมถอนตัว นอกจากนี้...”หลิวเกาจัวมองเฉินฝานแวบหนึ่ง “แคว้นจ้าวพูดอีกว่าเงินสิบล้านตำลึงนี้จะขาดแม้แต่แดงเดียวไม่ได้” เมื่อฟังคำพูดของหลิวเกาจัวจบ เสิ่นหมิงหยวนที่เงียบมาตลอดก็ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยเป็นอัครเสนาบดีเบื้องซ้ายได้ไม่กี่วัน โชคดีเอาชนะศึกกับแคว้นหลู่มาได้ก็คิดว่าตนเองยิ่งใหญ่เสียแล้ว“นี่แคว้นจ้าวรังแกกันเกินไปแล้วจริง ๆ หลิวเกาจัว ท่าทีรับปากลูกเดียวของเจ้าเช่นนี้จะไปเจรจาได้อย่างไร?”เสิ่นหมิงหยวนตำ
หกล้มค่อนข้างรุนแรง มีเลือดไหลทั้งที่มือและหัวเข่า“ใต้เท้า ๆ!” คนข้างกายเสิ่นหมิงหยวนตื่นตระหนกทันที“ไม่ต้องเอะอะโวยวาย ข้าไม่เป็นไร การเจรจาต่อรองสำคัญกว่า!”เสิ่นหมิงหยวนผลักคนข้างกาย พลางฝืนลุกยืนขึ้น“ใต้เท้าเฉิน ต้องขออภัยที่ทำตัวน่าขัน ข้าแก่เกินกว่าที่จะมาเจรจาต่อรองแล้วจริงๆ แค่การเดินลงบันไดก็ยังจะสะดุดล้มอีก” เมื่อลุกขึ้นได้ เสิ่นหมิงหยวนก็กล่าวขอโทษเฉินฝานทันที“ใต้เท้าจะไม่ไปทำแผลก่อนรึ?” เฉินฝานมองดูหัวเข่าที่เลือดไหลของเสิ่นหมิงหยวนพลางกล่าวถาม“ไม่ต้องหรอก เรื่องของบ้านเมืองต้องรีบจัดการโดยด่วน!”เสิ่นหมิงหยวนกล่าวพลางเดินรุดหน้าขึ้นมา ยิ่งเขาฝืนมากเพียงใด เลือดที่ไหลอยู่ที่หัวเข่าก็มากเพียงนั้น เขาที่หกล้มจนเลือดไหล สีหน้าเริ่มซีดเซียวเฉินฝานก็ไม่ได้พูดอันใดอีกเสิ่นหมิงหยวนจงใจทำเขาทุ่มเทแรงกายแสดงมาตั้งนาน เพราะต้องการให้เฉินฝานเผชิญหน้ากับราชทูตแคว้นจ้าวโดยลำพังหากท้ายที่สุดเจรจาไม่ลงตัว ความผิดจะตกอยู่เฉินฝานเพียงผู้เดียว“ใต้เท้า!”เสียงร้อนใจดังขึ้นอีกครั้ง เสิ่นหมิงหยวนที่เจ็บปวดสุดขีดจนอิดโรยได้ลื่นล้มไปแล้ว“ไม่ต้องเป็นห่วงข้า พยุงข้าขึ้น ทำ
ไหวพริบในการพูดของเจียงเฉินหยูยอดเยี่ยมสมคำร่ำลือจริงๆผ่านไปครู่เดียว ก็ทำให้หลิวเกาจัวเดือดดาลจนพูดไม่ออกคำพูด จังหวะ หลักเหตุผลที่เจียงเฉินหยูใช้ในตอนพูดถูกต้องแม่นยำอย่างมาก ทุกคำที่เขาพูดล้วนมีสาระหลิวเกาจัวถือว่าเป็นคนที่ไหวพริบในการพูดค่อนข้างดีในต้าชิ่ง ทว่าเมื่อมาเผชิญหน้ากับเจียงเฉินหยู ประชันฝีปากไม่ถึงสามรอบก็สู้ไม่ไหวแล้ว“สรุป โดยสรุปแล้ว พวกเจ้าแคว้นจ้าวไร้เหตุผลและทำเกินเหตุ”หลิวเกาจัวหน้าแดงก่ำ พูดพร่ำคำว่าไร้เหตุผลและทำเกินเหตุไม่หยุดหย่อนเจียงเฉินหยูสามารถพูดจาตอกหน้ากลับได้อย่างรุนแรง เขาจ้องไปที่เฉินฝานและเสิ่นหมิงหยวน สีหน้าเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน “ทำไมล่ะ ในแคว้นต้าชิ่งของพวกเจ้า มีแค่เลขาธิการกรมพิธีการพูดได้คนเดียวงั้นรึ?”เมื่อเห็นว่าเฉินฝานและเสิ่นหมิงหยวนไม่กล่าวอันใด เจียงเฉินหยูจึงพูดจารุนแรงกว่าเดิม “ดูแล้วน่าจะมีเขาที่พูดได้คนเดียว และเขาผู้นี้ความสามารถในการพูดเหมือนกับเด็กน้อยไม่มีผิด คนอื่นก็ล้วนเป็นใบ้กันหมด”“หากไม่เป็นเช่นนั้น ไยต้าชิ่งจะตกต่ำถึงจุดนี้ได้อย่างไรกัน” อัครเสนาบดีแคว้นจ้าวเซี่ยงเทียนหยินที่เงียบมาโดยตลอดและไม่ได้ทักทายเฉิ
ความขาดสติจะทำให้ลดประสิทธิภาพการคิดวิเคราะห์ของสมองคนให้แย่ลง ส่งผลให้ตัดสินใจหลายอย่างผิดพลาด“ในเมื่อเจ้าออกมาแล้วก็เริ่มเจรจากับข้าเถอะ”“เจ้าอยากเจรจาอย่างไร? จะให้ยี่สิบล้านตำลึงเงินกับพวกเราทันทีหรือจะให้เจรจาจนถึงยามค่ำคืนจำนวนเงินจะเปลี่ยนเป็นสามสิบล้านตำลึง”“เฉินฝาน ก่อนที่จะมาที่นี้ ข้าได้สืบเรื่องของเจ้ามาแล้ว!”“ความจำของเจ้าดี ได้ยินมาว่าเคยแข่งท่องจำตำรากับบัณฑิตคนหนึ่งจนทำบัณฑิตผู้นั้นกระอักเลือด”“ว่ามาสิ...” สายตาดูแคลนของเจียงเฉินหยูเด่นชัดมากขึ้น “ท่องข้อบังคับในการเจรจาต่อรองที่เจ้าจำออกมาให้ข้าทั้งหมด วรรคใดที่เจ้าจำไม่ได้ ข้าสามารถสอนเจ้าได้”“ข้าไม่ได้จำของพรรค์นั้นหรอก” เฉินฝานกล่าวอย่างเรียบนิ่ง“ไม่ได้ท่องจำมาก็ดีแล้ว เพราะสิ่งเหล่านั้นจะทำให้เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ ข้าดูแล้วเจ้าเป็นคนที่เข้าใจในสถานการณ์ดี สู้ส่งเงินยี่สิบล้านตำลึงมาตอนนี้เสียดีกว่า อย่ามัวชักช้าเลย”“ใช่!” เฉินฝานพยักหน้า “ชักช้าไปจริงๆ”เมื่อกล่าวจบ ก็ชักดาบปลายปืนขนาดเล็กตรงช่วงเอว ฟาดฟันไปที่เจียงเฉินหยูทันทีร่างกายของเจียงเฉินหยูราวกับถูกไฟฟ้าดูด กระตุกชักอย่างรุนแรง สิ้นล
“อะไรนะ!?”“ตอนนี้องค์หญิงเสี่ยวฉู่พาฝ่าบาทไปที่ประตูอู่แล้วขอรับ เจ้าสิ่งนั้น ปะ ปะ...”“ปืนไรเฟิล”“ใช่ ๆ ปืนไรเฟิล ปากกระบอกปืนไรเฟิลจ่อพระเศียรของฝ่าบาทอยู่เลยขอรับ!”“หา นี่เป็นเพราะอะไรกัน?”บรรดาพี่สาวน้องสาวตระกูลฉินได้ยินข่าวขึ้นมา“กราบทูลบรรดาองค์หญิง ข้อเรียกร้องขององค์หญิงเสี่ยวฉู่คืออยากให้ท่านอัครเสนาบดีกับฝ่าบาทอภิเษกสมรสกันเดี๋ยวนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ”“เหลวไหล!”เฉินฝานพุ่งตัวออกไปราวกับพายุเวลานี้บรรดาพี่น้องตระกูลฉินที่เพิ่งแสดงท่าทีรีบร้อนทำหน้าร้อนใจกลับมีสีหน้าแจ่มใส ถึงขนาดที่นั่งลงปรึกษาหารือกันฉินเย่ว์โหรว “พี่หญิงรอง ท่านมีฝีมือดี ท่านรีบไปขวางอยู่ที่หอด้านบนประตูอู่ อย่าให้นายท่านลงมา” ฉินเย่ว์เจียว “ไม่มีปัญหา พอถึงเวลานั้นข้าจะเรียกน้องหวั่นเอ๋อร์ นายท่านหนีไม่รอดแน่”ฉินเย่ว์ฉิน “เช่นนั้นข้าจะให้พี่น้องในวังเซียวเหยาก่อนหน้านี้ไปเดินเล่นแถว ๆ ประตูอู่ให้หมดเลย จะต้องครึกครื้นเป็นแน่ รับรองว่าพี่น้องทหารองครักษ์พวกนั้นจะต้องมองสาวงามอย่างไม่หวาดไม่ไหว”สามพี่น้อง “ความปรารถนาของเสี่ยวฉู่ พวกเราในฐานะพี่สาวจะต้องช่วยอย่างเต็มที่!”เมื่อมองถนนละแวกป
“ข้าไม่ได้ขัดขืนจริง ๆ” เย่ลวี่เลี่ยก้มหน้าลง ชายสูงแปดฉื่อทำสีหน้าที่เต็มไปด้วยความท้อแท้ใจ เขาอยากขัดขืนอยู่แล้ว แต่ฉินเย่ว์ฉู่ไม่ได้ให้โอกาสนั้นกับเขาเลยตอนที่ฉินเย่ว์ฉู่บุกเข้ามาในกระโจมใหญ่ของเย่ลวี่เลี่ย ก็ยิงปืนกำจัดองครักษ์ของเย่ลวี่เลี่ยก่อนพูดแล้วก็น่าอับอาย เย่ลวี่เลี่ยที่เคยผ่านศึกมาอย่างโชกโชนตกใจกลัวรูเลือดตรงกลางหน้าผากขององครักษ์ เขาไม่เคยเห็นอาวุธที่รวดเร็วขนาดนี้มาก่อนเลยได้ยินแค่เสียงดังปัง หน้าผากขององครักษ์ก็มีรูเลือดใหญ่ขนาดนี้แล้ว ความเร็วที่แม้แต่เทพเซียนก็ทำไม่ได้ ความแม่นยำที่แม้แต่เทพเซียนก็ยังทำไม่ได้ในตอนที่ฉินเย่ว์ฉู่ยกปืนขึ้นแล้วลั่นไกอีกครั้ง เมื่อเย่ลวี่เลี่ยได้ยินเสียง เขาก็ตกใจจนสลบไปทันที หลับไปตื่นหนึ่งถึงค่อยพบว่าฉินเย่ว์ฉินยิงใส่หมวกเล็กของเขาเท่านั้นตกใจสาวน้อยจนสลบไป ไม่ว่าสือจิ่งซานผู้นี้จะถามอย่างไร เย่ลวี่เลี่ยก็ไม่บอกเขา .....ในคืนที่เย่ลวี่เลี่ยถูกจับ ข่าวก็ไปถึงเมืองหลวงแล้ว “เครื่องอัดเสียงพลังงานแสงอาทิตย์ เครื่องเสียง...” ขณะที่ฉินเย่ว์เหมยอ่านคำเหล่านี้ก็ถามเฉินฝานด้วยความมึนงงว่า “จดหมายของเสี่ยวฉู่บอกว่า นางแค่อาศ
“นางไม่รู้หรือว่าพวกเราไม่อยากลงมือจริงจัง?” “พอไปถึงค่ายทหารของชาวหู ไม่ใช่แค่โดนฆ่าธรรมดาแบบนั้นหรอกนะ” ชาวหูไม่มีทางปล่อยสตรีชาวต้าชิ่งใด ๆ ที่ตกอยู่ในมือพวกเขา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสตรีชาวต้าชิ่งที่หน้าตางดงามฐานะสูงศักดิ์อย่างฉินเย่ว์ฉู่ พฤติกรรมของพวกเขาใช้คำว่าเดรัจฉานมาอธิบายยังไม่พอเลย สือจิ่งซานสะบัดแขนเสื้อ “พอได้แล้ว สตรีนางเดียวไม่มีค่าพอให้เราต้องใส่ใจหรอก นางอยากตายก็ปล่อยนางไปเถิด โจวจวี่ เจ้าส่งคนไปบอกเยลวี่เลี่ยว่าให้พวกเขาเหลือศพไว้ครบถ้วน ข้าจะซื้อศพไว้ใช้ประโยชน์” ไม่ต้องให้สือจิ่งซานรอนานเกินไป วันรุ่งขึ้นทหารลาดตระเวนก็มารายงาน “ว่าไงนะ? เยลวี่เลี่ยมาด้วยตนเอง?”“ท่านแม่ทัพใหญ่ หากพูดให้ตรงคือเยลวี่เลี่ยโดนฮูหยินเล็กของท่านอัครเสนาบดีจับกุมมาขอรับ”“เจ้าพูดอีกทีสิ?”ทหารลาดตระเวนพูดซ้ำถึงสามรอบเต็ม ๆ สือจิ่งซานก็ยังไม่เชื่อไม่ใช่แค่สือจิ่งซานที่ไม่เชื่อ ต่อให้เป็นผู้ถูกจับกุมอย่างเยลวี่เลี่ยก็ไม่เชื่อเช่นกัน เขาจะโดนสตรีนางเดียวจับกุมได้อย่างไรยิ่งไปกว่านั้นสตรีผู้นี้ยังอายุน้อย พาทหารหญิงรุ่นราวคราวเดียวกันมาแค่ร้อยกว่าคนเมื่อฉินเย่ว์ฉู่พาเยลวี่เล
สือจิ่งซานยกมุมปากยิ้มคลุมเครือ “แปรพักตร์อันใดกัน ฝ่าบาทกับท่านอัครเสนาบดีเห็นอกเห็นใจกองทัพหมาป่าเรา จึงส่งสะใภ้คนเล็กมา เช่นนั้นกองทัพหมาป่าเราย่อมต้องต้อนรับสะใภ้ท่านนี้ให้ดี ๆ”“แม่ทัพใหญ่กล่าวถูกต้อง พวกเราต้อง ‘ต้อนรับ’ ให้ดี ๆ!” โจวจวี่พูดคล้อยตามทันที ไม่นานนักก็มีคำสั่งจากในกระโจมใหญ่ ให้ทหารแม่ทัพทั้งหมดของกองทัพหมาป่าเปลือยท่อนบนยุคโบราณที่จารีตเคร่งครัดอย่างยิ่ง การเปลือยท่อนบนเช่นนี้เป็นพฤติกรรมดูหมิ่นไม่ให้ความกียรติสตรีอย่างรุนแรงยิ่งกว่านั้นฉินเย่ว์ฉู่เป็นภรรยาเอกของอัครเสนาบดีขั้นหนึ่ง องค์หญิงแห่งต้าชิ่ง พระขนิษฐาแท้ๆ ของฮ่องเต้หญิงหากฉินเย่ว์ฉู่เป็นเพียงสตรีทั่วไปในยุคนี้ เกรงว่ามีแต่จะตกใจจนมือไม้อ่อนไปหมดทหารแม่ทัพทั้งหมดของกองทัพหมาป่าเปลือยท่อนบนออกจากกระโจม รอดูท่าทางตกใจกลัวจนร้องไห้โฮยกใหญ่ของฉินเย่ว์ฉู่“ผู้ชายมากมายถึงเพียงนี้ข่มขู่เด็กสาวคนเดียวจะไม่เกินไปหน่อยหรือ” มีบางคนรู้สึกว่าแบบนี้ไม่ค่อยดีนัก แต่คำพูดของเขาก็โดนคนอื่นสวนกลับทันที “เกินไปอันใดเล่า เฉินฝานเป็นคนส่งมา ให้เขาหยามพวกเราได้เท่านั้น แต่ไม่ยอมให้พวกเราตอบโต้คืนหรือ? เปลือย
เย่ว์หนูได้รับบาดเจ็บในระหว่างที่ปกป้องเฉินฝานครั้งหนึ่ง ร่างกายของนางตอนนี้จึงไม่แข็งแรงเหมือนเมื่อก่อน เดิมทีเฉินฝานอยากให้หวงหวั่นเอ๋อร์ตามฉินเย่ว์ฉู่ไป มีหวงหวั่นเอ๋อร์อยู่ อย่างน้อยที่สุดก็ไม่มีปัญหาเรื่องความปลอดภัยของฉินเย่ว์ฉู่ ผลปรากฏว่าฉินเย่ว์ฉู่ปฏิเสธแม้กระทั่งหวงหวั่นเอ๋อร์ด้วยฉินเย่ว์ฉู่พาทหารหญิงไปหนึ่งร้อยกว่าคน มุ่งตรงสู่ทางเหนือ บุกไปยังกองทัพหมาป่าอย่างกล้าหาญ “เจ้าปล่อยให้นางไปเช่นนี้หรือ?” คนที่ตำหนิเฉินฝาน ไม่ใช่แค่พี่น้องตระกูลฉินทั้งสามคนในจวนสกุลเฉิน แม้แต่ฉินเย่ว์เหมยที่อยู่ในวังหลวงก็รีบออกมาเช่นกันนางคิดว่าไม่ว่าอย่างไร อย่างน้อยที่สุดเฉินฝานต้องให้ฉินเย่ว์ฉู่นำกองพลมือปืนไป“เย่ว์ฉู่เป็นน้องเล็กของพวกเจ้า น้องเล็กของพวกเจ้ามีนิสับแบบไหน พวกเจ้าไม่รู้เลยหรือไร?” คำพูดประโยคเดียวของเฉินฝานทำให้พวกนางสำลักแล้วแม้ว่าฉินเย่ว์ฉู่จะเป็นน้องเล็กสุดในตระกูลฉิน ทว่าตั้งแต่เด็กจนโต นางมีความคิดของตัวเองมากที่สุด ขอเพียงเป็นเรื่องที่นางตัดสินใจแล้ว ไม่มีใครสามารถทำให้นางเปลี่ยนใจได้“แต่ว่า...” ฉินเย่ว์โหรวที่เป็นคนกังวลใจมากที่สุด ขมวดคิ้วมุ่น ดูกลัดกล
การปรากฏตัวของนาง ทำให้ทุกคนรู้สึกปีติยินดีกันมากแต่ฉินเย่ว์เจียวกลับถลึงมองสตรีผู้นั้น “พอได้แล้ว เสี่ยวฉู่เจ้าเด็กตัวแสบ แสร้งทำตัวเป็นผู้ใหญ่อันใด ยังไม่รีบเข้ามาอีก?” ฉินเย่ว์ฉู่ขี่ม้าเข้ามา ขณะที่นางผ่านฉินเย่ว์เจียวยังไม่ลืมเถียงกลับว่า “พี่หญิงรอง ข้าอายุยี่สิบแล้ว เป็นผู้ใหญ่ตั้งนานแล้วนะ”ฉินเย่ว์เจียวเชิดหน้าขึ้นสูง “ไม่ว่าเจ้าจะอายุเท่าไหร่ ถึงอย่างไรในสายตาข้า เจ้าก็เป็นเด็กตลอดกาล” ฉินเย่ว์ฉู่ควบม้าตรงมาหาเฉินฝาน แล้วฟ้องเขาว่า “นายท่านดูสิเจ้าคะ พี่หญิงรองรังแกข้าอีกแล้ว นางรังแกข้ามาตลอด ท่านไม่จัดการนางบ้างหรือ?”เฉินฝานมองฉินเย่ว์ฉู่ที่สดใสมั่นใจในตัวเองตรงหน้า ภาพที่เขาเห็นฉินเย่ว์ฉู่ครั้งแรกเมื่อสิบปีก่อนฉายขึ้นมาในสมอง เกิดความรู้สึกราวกับว่าเวลาผ่านไปชาติหนึ่งเด็กสาวที่ขี้กลัวในวันวาน บัดนี้กลายเป็นโฉมสะคราญที่มีสง่าราศี เฉินฝานรู้สึกภาคภูมิใจเล็กน้อย“เหตุใดที่กลับมาตอนนี้ ไม่ต้องเข้าเรียนแล้วหรือ?” เฉินฝานถามตั้งแต่ฉินเย่ว์ฉู่อายุสิบห้า เฉินฝานก็ส่งนางไปเรียนที่โรงเรียนสตรีในเมืองเซียนตู“นายท่าน ข้าน้อยเรียนจบแล้วเจ้าค่ะ”“เรียนจบแล้ว?”“ข้าน้อยเ
วันนี้เป็นวันหยุดพักผ่อน ซึ่งทั้งเดือนจะมีเพียงวันเดียวเท่านั้น นี่เป็นวันที่หาได้ยาก ในฐานะที่ฉินเย่ว์โหรวเป็นภรรยาเอกที่ดูแลบ้านย่อมไม่ปล่อยให้หลุดมือไปง่าย ๆ นางได้เตรียมการไว้ล่วงหน้าหลายวันแล้วว่าวันนี้พวกเขาจะไปเที่ยวเล่นกินอาหารที่ชานเมืองกันทั้งครอบครัวนี่เป็นสิ่งที่เฉินฝานเสนอขึ้นเมื่อหลายปีก่อน หลังจากครั้งนั้น ฉินเย่ว์โหรวก็หลงใหลอยู่สุดซึ้ง ขอเพียงเฉินฝานมีวันหยุด นางจะต้องออกไปให้ได้สถานที่เที่ยวเล่นกินอาหารกันในครั้งนี้มีทิวทัศน์งดงามราวกับภาพวาดเหมือนเช่นเคยเฉินฝานนั่งอยู่บนเก้าอี้พนักพิง กินผลไม้มองบุตรชายบุตรสาวเล่นกันอย่างสนุกสนานบนทุ่งหญ้า ส่วนบรรดาภรรยาก็ยุ่งอยู่กับการเตรียมอาหารกลางวันกลิ่นอาหารที่เฉินฝานชอบลอยอยู่ในอากาศอาหารของพวกเขาทั้งหมดเป็นรูปแบบยุคปัจจุบัน เนื้อแกะย่างทั้งตัว สเต๊กซี่โครงย่าง หมูสามชั้นย่าง ปีกไก่ย่าง กระดูกอ่อนย่าง... ยังมีหม้อไฟทะเล และผลไม้แช่เย็นต่าง ๆ นานา“อืม~” เฉินฝานสูดจมูก แล้วแค่นเสียงเบา ๆ ด้วยความพึงพอใจ เขาหลับตาพักผ่อน พักผ่อนสักพักก็เริ่มกินได้แล้ว“ฮี่!”เฉินฝานเพิ่งจะนอนหลับก็ตกใจตื่นกับเสียงร้องฮี่ของม้า “
หลังจากสือจิ่งซานควบคุมกองทัพหมาป่า เขาก็เปลี่ยนตัวแม่ทัพก่อนหน้านี้ทั้งหมด ตอนนี้ทหารเหล่านี้ล้วนเชื่อฟังสือจิ่งซานเท่านั้น“ใครบังอาจวิจารณ์ฝ่าบาทและท่านอัครเสนาบดีที่นี่?”สือจิ่งซานตวาดอย่างเย็นชา เขาเดินแหวกแม่ทัพเหล่านั้นพร้อมกับเอ่ยวาจา หลังจากนั้นก็หันกาย สายตากวาดมองไปบนร่างแม่ทัพเหล่านั้นห“ข้าน้อยไม่บังอาจวิจารณ์ เดิมทีสิ่งที่ข้าน้อยพูดก็เป็นความจริง หากไม่มีกองทัพหมาป่าของเรา ไม่มีท่านแม่ทัพใหญ่ ต้าชิ่งจะสงบสุขเหมือนทุกวันนี้ได้อย่างไร เวลานี้กลับให้เฉินฝานผู้นั้นยึดความดีความชอบทั้งหมดไว้เพียงผู้เดียว” “ถูกต้อง พวกเรารู้สึกว่าไม่ยุติธรรมกับท่านแม่ทัพใหญ่เลย”แม้ว่าเสียงของพวกแม่ทัพจะเบาลงแล้ว แต่ความโกรธเกรี้ยวและความไม่พอใจในคำพูดกลับยิ่งรุนแรงขึ้น “เหลวไหล เดิมทีความสงบสุขของต้าชิ่งก็เป็นหน้าที่ของกองทัพหมาป่าเรา ในฐานะที่ข้าเป็นแม่ทัพใหญ่ของกองทัพหมาป่ายิ่งต้องทำเช่นเดียว ต่อไปหากมีใครกล้าบังอาจวิจารณ์ฝ่าบาทกับอัครเสนาบดีอีก ลงโทษโบยด้วยไม้พลองทหาร!”“ท่านแม่ทัพใหญ่...”“ทหาร!” สือจิ่งซานตัดบทคนผู้นั้น “นำตัวสวี่ต๋าออกไปโบยด้วยไม้พลองทหารห้าสิบที!” ไม่นานนัก
ตอนนี้น่าจะถือว่ารักษาสัญญาแล้วกระมังฉินเย่ว์เหมยรับประทานอาหารค่ำที่จวนสกุลเฉิน พี่น้องทั้งห้าคุยเล่นกันในห้องจนดึกดื่น หลี่เต๋อฉวนเร่งอยู่หลายครั้ง ฉินเย่ว์เหมยถึงค่อยอำลาบรรดาน้องสาวของตนด้วยความอาลัยอาวรณ์“พี่หญิงใหญ่ ท่านถอนรับสั่งได้หรือไม่?”เมื่อเห็นฉินเย่ว์เหมยกำลังจะจากไป ฉินเย่ว์ฉินก็รีบเอ่ยขึ้นมา“รับสั่งใดเล่า?” ฉินเย่ว์เหมยหันหน้ากลับมาถาม“ก็เรื่อง ก็เรื่อง...” เสียงของฉินเย่ว์ฉินแผ่วเบา หน้าแดงเล็กน้อย “เข้าหอในวันนี้”แม้ยามนี้ฉินเย่ว์ฉินไม่รังเกียจเฉินฝานแล้ว แต่นางยังไม่ได้เตรียมใจแต่งงานกับเฉินฝาน “เหตุใดต้องถอนคืนด้วย เจ้าเองก็อายุไม่น้อยแล้ว ควรจะมีทายาทให้สามีของเจ้าได้แล้ว เช้านี้ข้าตรวจดูปฏิทินโหรแล้ว วันนี้เป็นวันดี ไม่อนุญาตให้ปฏิเสธอีก”นี่ก็คือการปราบปรามโดยสายเลือด ก่อนที่ฉินเย่ว์เหมยจะมา พวกฉินเย่ว์เจียวไม่อาจเอ่ยถึงเรื่องเข้าหอได้เลย เวลานี้เมื่อฉินเย่ว์เหมยเอ่ย ฉินเย่ว์ฉินไม่อาจโต้แย้งได้แม้แต่คำเดียว “ยังจะว่าข้าอีก ท่านก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ ไม่ใช่ว่าท่านเองก็หาเหตุผลต่าง ๆ เพื่อหนีนายท่านหรือไร” ขณะที่ฉินเย่ว์เหมยหันกายเดินจากไป ฉินเย่ว์ฉ