สตรีวัยกลางคนสะอึกสะอื้น นัยน์ตาของนางเปี่ยมล้นไปด้วยความเคียดแค้น“ลูกชายของข้า รอขุนนางชั่วถูกประหาร แก้แค้นให้ลูกสำเร็จ แม่จะตามลูกและพ่อของลูกไปนะ!”“อั๊ยย๊า!” หลิวเกาจัวกระเด้งตัวออกมาพูด “คนหนึ่งอายุห้าสิบ? อีกคนอายุสิบสอง? คนหนึ่งแก่ชราไร้เรี่ยวแรง อีกคนยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม กลับถูกบังคับไปเป็นทหาร นี่เป็นการฆ่ากันชัดๆ ไม่ใช่หรือ? ใต้เท้าฟาง ใต้เท้าฟาง ท่านกระทำเกินไปแล้ว”“เกินไปจริงๆ”ภายในท้องพระโรง ขุนนางจำนวนไม่น้อยเห็นด้วยกับคำพูดของหลิวเกาจัว“ปัจจุบันแคว้นของเราบุรุษน้อย การเกณฑ์ทหารเป็นเรื่องยากลำบาก ทว่าบังคับให้คนแก่วัยห้าสิบและเด็กวัยสิบสองไปเป็นทหารเช่นนี้เกินไปเล็กน้อย”“ฝ่าบาท ท่านคือจักรพรรดิแคว้นต้าชิ่ง รักปวงประชาดั่งลูก ฝ่าบาทโปรดทวงคืนความยุติธรรมให้หม่อมฉันด้วยเพคะ”“พู่...”หญิงวัยกลางคนอาเจียนเป็นเลือดอีกครั้ง“ตึ้ง!”นางล้มลงบนพื้นอย่างแรง นอนหายใจรวยรินอยู่ตรงนั้น“เร็วเข้า!” ฉินเย่ว์เหมยร้องเรียกหลี่เต๋อฉวนเร็วควัน “เอาตัวนางลงไป ให้หมอหลวงดูอาการ”“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!”หลี่เต๋อฉวนเดินนำหมอลวงสองคนวิ่งไปทางหญิงวัยกลางคน“อย่า!”หมอหลวงเพิ่งแ
“ปัจจุบันการเกณฑ์ทหารเป็นเรื่องยาก ทุกเมืองและทุกอำเภอ บวกกับกองทัพหมาป่า ตอนนี้มีกำลังพลไม่ถึงห้าแสนนาย กองทัพหมาป่าทำสงครามกับชาวหูทางตอนเหนือมานาน เวลานี้สูญเสียกำลังทหารไปกว่าห้าหมื่นนายแล้ว ต้องการกำลังเพิ่มอย่างเร่งด่วน เกณฑ์ในการเกณฑ์ทหารก็เปลี่ยนจากอายุสิบเจ็ดถึงสามสิบปี เป็นอายุสิบห้าถึงสามสิบห้าปี แต่ว่า...”น้ำเสียงของฟางซินฮุ่ยหนักแน่น “ไม่มีทางจากสิบสองถึงห้าสิบปีแน่นอน”“ฟางซินฮุ่ย เจ้า...พูดเช่นนี้ไม่กลัวฟ้าผ่าหรือ?” หญิงวัยกลางคนพยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้น ชี้หน้าฟางซินฮุ่ยพร้อมกับด่าทอ“ประกาศการเกณฑ์ทหาร ข้าต้องการบุคคลที่อายุไม่เกินเกณฑ์” ฟางซินฮุ่ยพูดไม่เก่ง ใบหน้าของเขาแดงเล็กน้อย”“ข้าเชื่อท่านเลขาธิการ!” จู่ๆ เสิ่นหมิงหยวนก็พูดเข้าข้างฟางซินฮุ่ย “ทว่าเวลานี้แคว้นของเราภายในไม่สงบและยังถูกภายนอกรุกราน กรมกลาโหมงานค่อนข้างหนัก หรือว่านายกองเกณฑ์ทหารภายใต้การดูแลของกรมกลาโหมกระทำการนี้ เพื่อปฏิบัติกิจให้สำเร็จตามที่ได้รับมอบหมาย?”“พี่สาวท่านนี้” เสิ่นหมิงหยวนเดินไปตรงหน้าหญิงวัยกลางคน โน้มตัวลงแล้วพูดอย่างอ่อนโยน “บ้านของท่านอยู่ที่ใด?”หญิงวัยกลางคนเพิ่งบอกว่า
การกระทำของนายกองเกณฑ์ทหารคนนี้น่าโมโหยิ่งนัก แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นครึ่งปีที่ผ่านมานี้ ฟางซินฮุ่ยสั่งปลดนายกองเกณฑ์ทหารหลายต่อหลายคน โดยเหตุผลในการสั่งปลดแทบจะเหมือนกันทุกคน ซึ่งก็คือจำนวนทหารเกณฑ์ไม่ถึงเป้าเปลี่ยนทหารกลุ่มใหม่มาทำงาน ทว่าปัญหาที่พบเจอยังคงเหมือนเดิมความเป็นจริงฟางซินฮุ่ยรู้ว่านี่ไม่ใช่ปัญหาของนายกองเกณฑ์ทหาร เขาทำเช่นนี้ ก็เพราะจนปัญญาจริงๆหากไม่ปลดพวกเขา ยามราชสำนักกล่าวโทษ พวกเขาไม่เพียงจะเสียงาน แต่ยังต้องถูกลงโทษอีก“เฮ้อ!”เสิ่นหมิงหยวนถอนหายใจ “แม้จะลงโทษนายกองเกณฑ์ทหารคนนี้ ทว่าอนาคตย่อมมีนายกองเกณฑ์ทหารเช่นนี้อีกหลายคนต้องโดนลงโทษ ท้ายที่สุดแล้ว เป็นเพราะแคว้นของเราประสบปัญหาขาดแคลนผู้ชาย”“ฝ่าบาท!” เสิ่นหยวนเลี่ยงคุกเข่าอย่างกะทันหัน “ก่อนหน้านี้กระหม่อมทำหน้าที่ได้ไม่ดี ไม่ดูแลผู้ใต้บัญชาการให้ดี นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป กระหม่อมจะดูแลท้องพระคลังด้วยตนเอง ใช้เงินครึ่งหนึ่งของท้องพระคลัง แก้ปัญหาขาดแคลนบุรุษ”“เรื่องเงินไม่มีปัญหาแล้ว เรื่องต่อไปคือ...” หลิวเกาจัวชำเลืองมองซื่อหลางกรมขุนนางเหลยชางเจียน “เรื่องของกรมขุนนาง”เสิ่นหมิงหยวน “เหลยซื
“เป็นถึงจักรพรรดิ แต่กลับพูดพร่ามร่ายยาว ไม่แปลกที่ตอนนี้ต้าชิ่งตกอยู่ในสภาพเช่นนี้!”โอวหยางน่าหลันยิ่งพูดก็ยิ่งเหิมเกริม การกระทำของนางไม่ได้เป็นการหยามเกียรติฉินเย่ว์เหมยแล้ว แต่เป็นการดูแคลนจักรพรรดิต้าชิ่งณ ท้องพระโรงต้าชิ่ง ต่อหน้าขุนนางฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ โอวหยางน่าหลันที่เป็นเพียงองค์หญิงจากแคว้นอื่น ดูหมิ่นจักรพรรดิต้าชิ่งโอวหยางน่าหลันไม่กลัว ในทางตรงกันข้ามนางลำพองใจยิ่งนัก นางมั่นใจว่า แม้นางจะด่าทอด้วยวาจาหยาบคายกว่านี้ พวกขุนนางต้าชิ่งก็ทำได้เพียงโมโหแต่ไม่กล้าพูดสิ่งใดเป็นจริงตามคาด...โอวหยางน่าหลันกวาดสายตาไปยังรอบๆ ท้องพระโรง จากนั้นถอนสายตากลับด้วยความพอใจในท้องพระโรง หลายต่อหลายคนเคืองขุ่น โดยเฉพาะขุนนางฝ่ายบุ๊น แต่พวกเขาก็ทำได้เพียงเงียบแม้แคว้นหลู่จะมีขนาดเล็ก แต่กลับเป็นแคว้นที่ไม่ขาดแคลนบุรุษที่สุด แคว้นหนึ่งในแผ่นดินใหญ่ อีกทั้งแคว้นหลู่เต็มไปด้วยเหมืองเหล็ก การตีเหล็กของแคว้นหลู่ล้ำเลิศ อาวุธสงครามเป็นหนึ่งหลังจากบุรุษแคว้นต้าชิ่งลดน้อยลง แคว้นหลู่ก็จ้องจะเขมิบพื้นที่ของแคว้นต้าชิ่ง หลายปีมานี้พวกเขาบีบต้อนต้าชิ่งทุกทาง ตั้งแต่จักรพรรดิ จวบจนถึงสา
“แค่ขุนนางคนหนึ่งเท่านั้น ท่านไม่อาจยกให้ได้ ดูเหมือนว่า...” โอวหยางน่าหลันทำสีหน้าเข้าใจ“ว่ากันว่า จักรพรรดิต้าชิ่งชื่นชอบพรรณไม้เดียวกัน เวลานี้ดูแล้ว คล้ายข่าวลือนี้จะเป็นความจริง เฮ้อ!”โอวหยางน่าหลันถอนหายใจ ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “ของเล่นที่ผู้อื่นเล่นแล้ว ข้าเองก็ไม่อยากเล่น จักรพรรดิต้าชิ่ง เมื่อครู่ท่านบอกว่าหากข้ามีธุระก็ให้เข้าประเด็น ใช่หรือไม่?”พูดถึงตอนท้าย สีหน้าของโอวหยางน่าหลันเย็นชา“จักรพรรดิต้าชิ่ง สัญญาสั่งซื้ออาวุธของแคว้นต้าชิ่งของพวกท่านในปีนี้เล่า?”เมื่อครั้นจักรพรรดิองค์ก่อนของต้าชิ่งประชวรหนัก แคว้นหลู่อาศัยจังหวะช่วงที่ต้าชิ่งชุลมุนวุ่นวาย ส่งทูตมายังต้าชิ่ง บังคับให้ต้าชิ่งสั่งอาวุธอย่างน้อยปีละสิบล้านตำลึงเงินในเวลานั้นจักรพรรดิต้าชิ่งทำได้เพียงตอบตกลง เพราะหากไม่ตกลง แคว้นหลู่จะนำทัพเข้าโจมตีตอนนั้น แคว้นต้าชิ่งไม่เพียงได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ จำนวนชายหญิงก็อยู่ในขั้นวิกฤต บุรุษเริ่มลดน้อยลง อีกทั้งชาวหูทางตอนเหนือ ก็เริ่มร้ายกาจขึ้น ราวกับสุนัขจิ้งจอกหิวโซจ้องจะเขมือบดินแดนทางเหนือของแคว้นต้าชิ่งฉินเย่ว์เหมยมองหน้าฟางซินฮุ่ย “ฟางซ
“ใต้เท้าเสิ่น อาวุธสงครามของแคว้นหลู่คุณภาพดี แต่แคว้นหลู่ไม่ได้ขายอาวุธดีๆ ให้กับพวกเรา” ฟางซินฮุ่ยพูดด้วยความจนปัญญา“เรื่องนี้ข้าเป็นพยานได้ แคว้นหลู่ตั้งใจขายอาวุธที่ขึ้นสนิม ไม่อาจใช้งานได้มาให้ต้าชิ่งของเรา”เหอจื่อหลินไม่อาจทนต่อความร้ายกาจของโอวหยางน่าหลันมานานแล้ว เพียงแต่ก่อนหน้านี้ไม่มีโอกาสพูดหลังกลับมาถึงเมืองหลวง เหอจื่อหลินไปหาฟางซินฮุ่ยเพื่อเติมอาวุธเพิ่ม แต่ฟางซินฮุ่ยกลับไม่อาจนำออกมาให้เขาเมื่อร้อนใจ เหอจื่อหลินจึงไปที่คลังอาวุธด้วยตนเอง ด้วยเหตุนี้เขาจึงเห็นอาวุธที่แคว้นหลู่ส่งมา ล้วนเป็นอาวุธขึ้นสนิมเรื่องนี้เหอจื่อหลินอยากบอกเฉินฝานและฉินเย่ว์เหมยมานานแล้ว เพียงแต่ก่อนหน้านี้เฉินฝานและฉินเย่ว์เหมยง่วนอยู่กับเรื่องจำนวนบุรุษปัญหาเรื่องบุรุษนั้นร้ายแรง เหอจื่อหลินจึงเก็บเรื่องนี้เอาไว้ไม่ได้พูดออกไป“ฝ่าบาท ท่านดูสิเพคะ!”หงอิงหยิบดาบเล่มหนึ่งและลูกธนูดอกหนึ่งมาตรงหน้าฉินเย่ว์เหมยเมื่อครู่ฟางซินฮุ่ยกล่าวว่าอาวุธที่แคว้นหลู่ส่งมาไม่อาจใช้งานได้ นางก็แอบไปคลังเก็บอาวุธแล้วดาบและธนูในมือหงอิงเต็มไปด้วยสนิม ไม่อาจใช้งานได้“หงอิง เจ้าเพิ่งนำมาจากคลังเก็บ
แต่เป็นเพราะแคว้นหลู่ยกทัพโจมตีเมืองลู่ตู ไม่ส่งผลดีใดๆ ต่อเขาเมืองลู่ตูคือเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของต้าชิ่ง ทั้งยังเป็นฐานสำคัญที่มั่นคงที่สุดของเสิ่นหมิงหยวน หากแคว้นหลู่ยึดครองเมืองลู่ตู เช่นนั้นก็เท่ากับว่าฐานของเขาถูกทำลายอีกเรื่องหนึ่ง โอวหยางน่าหลันเกลียดเสิ่นหมิงหยวนมากโอวหยางน่าหลันในฐานะผู้ครองอำนาจแท้จริงของแคว้นหลู่ เช่นเดียวกับฉินเย่ว์เหมย เกลียดขุนนางชั่วอย่างเสิ่นหมิงหยวนเป็นที่สุดหากว่า ถ้าหาก สุดท้ายแคว้นหลู่ถูกต้าชิ่งยึดครอง คนแรกที่โอวหยางน่าหลันจะจัดการก็คือเสิ่นหมิงหยวน“องค์หญิงโอวหยางเข้าใจความหมายของข้าผิดแล้ว ทำให้องค์หญิงโอวหยางเข้าใจผิด ข้าต้องขอโทษด้วย”ตอนพูดถ้อยคำนี้ ริมฝีปากของฉินเย่ว์เหมยขยับอย่างไม่เป็นตัวเองหากบุรุษแคว้นต้าชิ่งมากกว่านี้เล็กน้อย นางจะท้าชนกับโอวหยางน่าหลันแล้ว“เข้าใจผิดหรือ? ข้าว่าไม่ใช่กระมัง” จุดประสงค์ของโอวหยางน่าหลันในครั้งนี้ คือเมืองลู่ตูของแคว้นต้าชิ่ง ไม่ง่ายเลยกว่าจะหาเหตุผลประกาศสงคราม นางไม่อาจปล่อยให้โอกาสนี้หลุดมือไปง่ายๆนอกเสียจากว่า แคว้นต้าชิ่งจะเป็นฝ่ายยกเมืองลู่ตูให้นางเอง“องค์หญิง ท่านเข้าใจผิดแล้
“เรื่องเข้าใจผิดคลี่คลายลงแล้ว เช่นนั้นพวกเรามาคุยเรื่องสำคัญกันต่อเถิด!”ถึงอย่างไรในฐานะผู้ปกครองแคว้นหนึ่ง โอวหยางน่าหลันใจเย็นลงอย่างรวดเร็ว กลับมามีท่าทางหยิ่งยโสโอหังดังเดิม“ใช่ ๆ คุยเรื่องสำคัญ ๆ” เสิ่นหมิงหยวนรีบเอ่ยตามทันที “การที่องค์หญิงเสด็จมาในครานี้ หลัก ๆ ก็ด้วยเรื่องการสั่งซื้ออาวุธอันล่าช้าระหว่างสองแคว้น บัดนี้ลงมือเสียเลยดีกว่าจะมัวรอเลือกวันดี แคว้นเราจะสั่งซื้อในตอนนี้เลย”“จากอาวุธหนึ่งแสนห้าหมื่นชิ้นแต่เดิม เปลี่ยนเป็นสามแสนชิ้น ของทุกชิ้นจากแคว้นหลู่ล้วนเป็นของชั้นเลิศ องค์หญิงสามารถส่งของมาได้ตามพระราชอัธยาศัย ทรงคิดเห็นอย่างไร?”ส่งของได้ตามใจ นั่นก็หมายความว่าแคว้นหลู่สามารถส่งขยะมาได้เรื่อย ๆ ทุกคนในท้องพระโรงรวมถึงฉินเย่ว์เหมยล้วนเป็นชาวต้าชิ่ง ฟังแล้วก็รู้สึกโกรธเกรี้ยวในใจไม่หยุด ทว่าก็ทำได้เพียงข่มกลั้นไว้ใครใช้ให้...ตอนนี้ชายฉกรรจ์ของต้าชิ่งร่วงโรยลงเล่า“เป็นอย่างไร?”ดวงหน้าของโอวหยางน่าหลันมีรอยยิ้ม แต่รอยยิ้มนั้นดูบิดเบี้ยวดุร้ายน่ากลัว“หากตอนที่ข้าเพิ่งมา พวกท่านเสนอมาเช่นนี้ ข้ายังคงพิจารณาดูได้บ้าง แต่ทว่าตอนนี้...”โอวหยางน่าหล
“อะไรนะ!?”“ตอนนี้องค์หญิงเสี่ยวฉู่พาฝ่าบาทไปที่ประตูอู่แล้วขอรับ เจ้าสิ่งนั้น ปะ ปะ...”“ปืนไรเฟิล”“ใช่ ๆ ปืนไรเฟิล ปากกระบอกปืนไรเฟิลจ่อพระเศียรของฝ่าบาทอยู่เลยขอรับ!”“หา นี่เป็นเพราะอะไรกัน?”บรรดาพี่สาวน้องสาวตระกูลฉินได้ยินข่าวขึ้นมา“กราบทูลบรรดาองค์หญิง ข้อเรียกร้องขององค์หญิงเสี่ยวฉู่คืออยากให้ท่านอัครเสนาบดีกับฝ่าบาทอภิเษกสมรสกันเดี๋ยวนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ”“เหลวไหล!”เฉินฝานพุ่งตัวออกไปราวกับพายุเวลานี้บรรดาพี่น้องตระกูลฉินที่เพิ่งแสดงท่าทีรีบร้อนทำหน้าร้อนใจกลับมีสีหน้าแจ่มใส ถึงขนาดที่นั่งลงปรึกษาหารือกันฉินเย่ว์โหรว “พี่หญิงรอง ท่านมีฝีมือดี ท่านรีบไปขวางอยู่ที่หอด้านบนประตูอู่ อย่าให้นายท่านลงมา” ฉินเย่ว์เจียว “ไม่มีปัญหา พอถึงเวลานั้นข้าจะเรียกน้องหวั่นเอ๋อร์ นายท่านหนีไม่รอดแน่”ฉินเย่ว์ฉิน “เช่นนั้นข้าจะให้พี่น้องในวังเซียวเหยาก่อนหน้านี้ไปเดินเล่นแถว ๆ ประตูอู่ให้หมดเลย จะต้องครึกครื้นเป็นแน่ รับรองว่าพี่น้องทหารองครักษ์พวกนั้นจะต้องมองสาวงามอย่างไม่หวาดไม่ไหว”สามพี่น้อง “ความปรารถนาของเสี่ยวฉู่ พวกเราในฐานะพี่สาวจะต้องช่วยอย่างเต็มที่!”เมื่อมองถนนละแวกป
“ข้าไม่ได้ขัดขืนจริง ๆ” เย่ลวี่เลี่ยก้มหน้าลง ชายสูงแปดฉื่อทำสีหน้าที่เต็มไปด้วยความท้อแท้ใจ เขาอยากขัดขืนอยู่แล้ว แต่ฉินเย่ว์ฉู่ไม่ได้ให้โอกาสนั้นกับเขาเลยตอนที่ฉินเย่ว์ฉู่บุกเข้ามาในกระโจมใหญ่ของเย่ลวี่เลี่ย ก็ยิงปืนกำจัดองครักษ์ของเย่ลวี่เลี่ยก่อนพูดแล้วก็น่าอับอาย เย่ลวี่เลี่ยที่เคยผ่านศึกมาอย่างโชกโชนตกใจกลัวรูเลือดตรงกลางหน้าผากขององครักษ์ เขาไม่เคยเห็นอาวุธที่รวดเร็วขนาดนี้มาก่อนเลยได้ยินแค่เสียงดังปัง หน้าผากขององครักษ์ก็มีรูเลือดใหญ่ขนาดนี้แล้ว ความเร็วที่แม้แต่เทพเซียนก็ทำไม่ได้ ความแม่นยำที่แม้แต่เทพเซียนก็ยังทำไม่ได้ในตอนที่ฉินเย่ว์ฉู่ยกปืนขึ้นแล้วลั่นไกอีกครั้ง เมื่อเย่ลวี่เลี่ยได้ยินเสียง เขาก็ตกใจจนสลบไปทันที หลับไปตื่นหนึ่งถึงค่อยพบว่าฉินเย่ว์ฉินยิงใส่หมวกเล็กของเขาเท่านั้นตกใจสาวน้อยจนสลบไป ไม่ว่าสือจิ่งซานผู้นี้จะถามอย่างไร เย่ลวี่เลี่ยก็ไม่บอกเขา .....ในคืนที่เย่ลวี่เลี่ยถูกจับ ข่าวก็ไปถึงเมืองหลวงแล้ว “เครื่องอัดเสียงพลังงานแสงอาทิตย์ เครื่องเสียง...” ขณะที่ฉินเย่ว์เหมยอ่านคำเหล่านี้ก็ถามเฉินฝานด้วยความมึนงงว่า “จดหมายของเสี่ยวฉู่บอกว่า นางแค่อาศ
“นางไม่รู้หรือว่าพวกเราไม่อยากลงมือจริงจัง?” “พอไปถึงค่ายทหารของชาวหู ไม่ใช่แค่โดนฆ่าธรรมดาแบบนั้นหรอกนะ” ชาวหูไม่มีทางปล่อยสตรีชาวต้าชิ่งใด ๆ ที่ตกอยู่ในมือพวกเขา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสตรีชาวต้าชิ่งที่หน้าตางดงามฐานะสูงศักดิ์อย่างฉินเย่ว์ฉู่ พฤติกรรมของพวกเขาใช้คำว่าเดรัจฉานมาอธิบายยังไม่พอเลย สือจิ่งซานสะบัดแขนเสื้อ “พอได้แล้ว สตรีนางเดียวไม่มีค่าพอให้เราต้องใส่ใจหรอก นางอยากตายก็ปล่อยนางไปเถิด โจวจวี่ เจ้าส่งคนไปบอกเยลวี่เลี่ยว่าให้พวกเขาเหลือศพไว้ครบถ้วน ข้าจะซื้อศพไว้ใช้ประโยชน์” ไม่ต้องให้สือจิ่งซานรอนานเกินไป วันรุ่งขึ้นทหารลาดตระเวนก็มารายงาน “ว่าไงนะ? เยลวี่เลี่ยมาด้วยตนเอง?”“ท่านแม่ทัพใหญ่ หากพูดให้ตรงคือเยลวี่เลี่ยโดนฮูหยินเล็กของท่านอัครเสนาบดีจับกุมมาขอรับ”“เจ้าพูดอีกทีสิ?”ทหารลาดตระเวนพูดซ้ำถึงสามรอบเต็ม ๆ สือจิ่งซานก็ยังไม่เชื่อไม่ใช่แค่สือจิ่งซานที่ไม่เชื่อ ต่อให้เป็นผู้ถูกจับกุมอย่างเยลวี่เลี่ยก็ไม่เชื่อเช่นกัน เขาจะโดนสตรีนางเดียวจับกุมได้อย่างไรยิ่งไปกว่านั้นสตรีผู้นี้ยังอายุน้อย พาทหารหญิงรุ่นราวคราวเดียวกันมาแค่ร้อยกว่าคนเมื่อฉินเย่ว์ฉู่พาเยลวี่เล
สือจิ่งซานยกมุมปากยิ้มคลุมเครือ “แปรพักตร์อันใดกัน ฝ่าบาทกับท่านอัครเสนาบดีเห็นอกเห็นใจกองทัพหมาป่าเรา จึงส่งสะใภ้คนเล็กมา เช่นนั้นกองทัพหมาป่าเราย่อมต้องต้อนรับสะใภ้ท่านนี้ให้ดี ๆ”“แม่ทัพใหญ่กล่าวถูกต้อง พวกเราต้อง ‘ต้อนรับ’ ให้ดี ๆ!” โจวจวี่พูดคล้อยตามทันที ไม่นานนักก็มีคำสั่งจากในกระโจมใหญ่ ให้ทหารแม่ทัพทั้งหมดของกองทัพหมาป่าเปลือยท่อนบนยุคโบราณที่จารีตเคร่งครัดอย่างยิ่ง การเปลือยท่อนบนเช่นนี้เป็นพฤติกรรมดูหมิ่นไม่ให้ความกียรติสตรีอย่างรุนแรงยิ่งกว่านั้นฉินเย่ว์ฉู่เป็นภรรยาเอกของอัครเสนาบดีขั้นหนึ่ง องค์หญิงแห่งต้าชิ่ง พระขนิษฐาแท้ๆ ของฮ่องเต้หญิงหากฉินเย่ว์ฉู่เป็นเพียงสตรีทั่วไปในยุคนี้ เกรงว่ามีแต่จะตกใจจนมือไม้อ่อนไปหมดทหารแม่ทัพทั้งหมดของกองทัพหมาป่าเปลือยท่อนบนออกจากกระโจม รอดูท่าทางตกใจกลัวจนร้องไห้โฮยกใหญ่ของฉินเย่ว์ฉู่“ผู้ชายมากมายถึงเพียงนี้ข่มขู่เด็กสาวคนเดียวจะไม่เกินไปหน่อยหรือ” มีบางคนรู้สึกว่าแบบนี้ไม่ค่อยดีนัก แต่คำพูดของเขาก็โดนคนอื่นสวนกลับทันที “เกินไปอันใดเล่า เฉินฝานเป็นคนส่งมา ให้เขาหยามพวกเราได้เท่านั้น แต่ไม่ยอมให้พวกเราตอบโต้คืนหรือ? เปลือย
เย่ว์หนูได้รับบาดเจ็บในระหว่างที่ปกป้องเฉินฝานครั้งหนึ่ง ร่างกายของนางตอนนี้จึงไม่แข็งแรงเหมือนเมื่อก่อน เดิมทีเฉินฝานอยากให้หวงหวั่นเอ๋อร์ตามฉินเย่ว์ฉู่ไป มีหวงหวั่นเอ๋อร์อยู่ อย่างน้อยที่สุดก็ไม่มีปัญหาเรื่องความปลอดภัยของฉินเย่ว์ฉู่ ผลปรากฏว่าฉินเย่ว์ฉู่ปฏิเสธแม้กระทั่งหวงหวั่นเอ๋อร์ด้วยฉินเย่ว์ฉู่พาทหารหญิงไปหนึ่งร้อยกว่าคน มุ่งตรงสู่ทางเหนือ บุกไปยังกองทัพหมาป่าอย่างกล้าหาญ “เจ้าปล่อยให้นางไปเช่นนี้หรือ?” คนที่ตำหนิเฉินฝาน ไม่ใช่แค่พี่น้องตระกูลฉินทั้งสามคนในจวนสกุลเฉิน แม้แต่ฉินเย่ว์เหมยที่อยู่ในวังหลวงก็รีบออกมาเช่นกันนางคิดว่าไม่ว่าอย่างไร อย่างน้อยที่สุดเฉินฝานต้องให้ฉินเย่ว์ฉู่นำกองพลมือปืนไป“เย่ว์ฉู่เป็นน้องเล็กของพวกเจ้า น้องเล็กของพวกเจ้ามีนิสับแบบไหน พวกเจ้าไม่รู้เลยหรือไร?” คำพูดประโยคเดียวของเฉินฝานทำให้พวกนางสำลักแล้วแม้ว่าฉินเย่ว์ฉู่จะเป็นน้องเล็กสุดในตระกูลฉิน ทว่าตั้งแต่เด็กจนโต นางมีความคิดของตัวเองมากที่สุด ขอเพียงเป็นเรื่องที่นางตัดสินใจแล้ว ไม่มีใครสามารถทำให้นางเปลี่ยนใจได้“แต่ว่า...” ฉินเย่ว์โหรวที่เป็นคนกังวลใจมากที่สุด ขมวดคิ้วมุ่น ดูกลัดกล
การปรากฏตัวของนาง ทำให้ทุกคนรู้สึกปีติยินดีกันมากแต่ฉินเย่ว์เจียวกลับถลึงมองสตรีผู้นั้น “พอได้แล้ว เสี่ยวฉู่เจ้าเด็กตัวแสบ แสร้งทำตัวเป็นผู้ใหญ่อันใด ยังไม่รีบเข้ามาอีก?” ฉินเย่ว์ฉู่ขี่ม้าเข้ามา ขณะที่นางผ่านฉินเย่ว์เจียวยังไม่ลืมเถียงกลับว่า “พี่หญิงรอง ข้าอายุยี่สิบแล้ว เป็นผู้ใหญ่ตั้งนานแล้วนะ”ฉินเย่ว์เจียวเชิดหน้าขึ้นสูง “ไม่ว่าเจ้าจะอายุเท่าไหร่ ถึงอย่างไรในสายตาข้า เจ้าก็เป็นเด็กตลอดกาล” ฉินเย่ว์ฉู่ควบม้าตรงมาหาเฉินฝาน แล้วฟ้องเขาว่า “นายท่านดูสิเจ้าคะ พี่หญิงรองรังแกข้าอีกแล้ว นางรังแกข้ามาตลอด ท่านไม่จัดการนางบ้างหรือ?”เฉินฝานมองฉินเย่ว์ฉู่ที่สดใสมั่นใจในตัวเองตรงหน้า ภาพที่เขาเห็นฉินเย่ว์ฉู่ครั้งแรกเมื่อสิบปีก่อนฉายขึ้นมาในสมอง เกิดความรู้สึกราวกับว่าเวลาผ่านไปชาติหนึ่งเด็กสาวที่ขี้กลัวในวันวาน บัดนี้กลายเป็นโฉมสะคราญที่มีสง่าราศี เฉินฝานรู้สึกภาคภูมิใจเล็กน้อย“เหตุใดที่กลับมาตอนนี้ ไม่ต้องเข้าเรียนแล้วหรือ?” เฉินฝานถามตั้งแต่ฉินเย่ว์ฉู่อายุสิบห้า เฉินฝานก็ส่งนางไปเรียนที่โรงเรียนสตรีในเมืองเซียนตู“นายท่าน ข้าน้อยเรียนจบแล้วเจ้าค่ะ”“เรียนจบแล้ว?”“ข้าน้อยเ
วันนี้เป็นวันหยุดพักผ่อน ซึ่งทั้งเดือนจะมีเพียงวันเดียวเท่านั้น นี่เป็นวันที่หาได้ยาก ในฐานะที่ฉินเย่ว์โหรวเป็นภรรยาเอกที่ดูแลบ้านย่อมไม่ปล่อยให้หลุดมือไปง่าย ๆ นางได้เตรียมการไว้ล่วงหน้าหลายวันแล้วว่าวันนี้พวกเขาจะไปเที่ยวเล่นกินอาหารที่ชานเมืองกันทั้งครอบครัวนี่เป็นสิ่งที่เฉินฝานเสนอขึ้นเมื่อหลายปีก่อน หลังจากครั้งนั้น ฉินเย่ว์โหรวก็หลงใหลอยู่สุดซึ้ง ขอเพียงเฉินฝานมีวันหยุด นางจะต้องออกไปให้ได้สถานที่เที่ยวเล่นกินอาหารกันในครั้งนี้มีทิวทัศน์งดงามราวกับภาพวาดเหมือนเช่นเคยเฉินฝานนั่งอยู่บนเก้าอี้พนักพิง กินผลไม้มองบุตรชายบุตรสาวเล่นกันอย่างสนุกสนานบนทุ่งหญ้า ส่วนบรรดาภรรยาก็ยุ่งอยู่กับการเตรียมอาหารกลางวันกลิ่นอาหารที่เฉินฝานชอบลอยอยู่ในอากาศอาหารของพวกเขาทั้งหมดเป็นรูปแบบยุคปัจจุบัน เนื้อแกะย่างทั้งตัว สเต๊กซี่โครงย่าง หมูสามชั้นย่าง ปีกไก่ย่าง กระดูกอ่อนย่าง... ยังมีหม้อไฟทะเล และผลไม้แช่เย็นต่าง ๆ นานา“อืม~” เฉินฝานสูดจมูก แล้วแค่นเสียงเบา ๆ ด้วยความพึงพอใจ เขาหลับตาพักผ่อน พักผ่อนสักพักก็เริ่มกินได้แล้ว“ฮี่!”เฉินฝานเพิ่งจะนอนหลับก็ตกใจตื่นกับเสียงร้องฮี่ของม้า “
หลังจากสือจิ่งซานควบคุมกองทัพหมาป่า เขาก็เปลี่ยนตัวแม่ทัพก่อนหน้านี้ทั้งหมด ตอนนี้ทหารเหล่านี้ล้วนเชื่อฟังสือจิ่งซานเท่านั้น“ใครบังอาจวิจารณ์ฝ่าบาทและท่านอัครเสนาบดีที่นี่?”สือจิ่งซานตวาดอย่างเย็นชา เขาเดินแหวกแม่ทัพเหล่านั้นพร้อมกับเอ่ยวาจา หลังจากนั้นก็หันกาย สายตากวาดมองไปบนร่างแม่ทัพเหล่านั้นห“ข้าน้อยไม่บังอาจวิจารณ์ เดิมทีสิ่งที่ข้าน้อยพูดก็เป็นความจริง หากไม่มีกองทัพหมาป่าของเรา ไม่มีท่านแม่ทัพใหญ่ ต้าชิ่งจะสงบสุขเหมือนทุกวันนี้ได้อย่างไร เวลานี้กลับให้เฉินฝานผู้นั้นยึดความดีความชอบทั้งหมดไว้เพียงผู้เดียว” “ถูกต้อง พวกเรารู้สึกว่าไม่ยุติธรรมกับท่านแม่ทัพใหญ่เลย”แม้ว่าเสียงของพวกแม่ทัพจะเบาลงแล้ว แต่ความโกรธเกรี้ยวและความไม่พอใจในคำพูดกลับยิ่งรุนแรงขึ้น “เหลวไหล เดิมทีความสงบสุขของต้าชิ่งก็เป็นหน้าที่ของกองทัพหมาป่าเรา ในฐานะที่ข้าเป็นแม่ทัพใหญ่ของกองทัพหมาป่ายิ่งต้องทำเช่นเดียว ต่อไปหากมีใครกล้าบังอาจวิจารณ์ฝ่าบาทกับอัครเสนาบดีอีก ลงโทษโบยด้วยไม้พลองทหาร!”“ท่านแม่ทัพใหญ่...”“ทหาร!” สือจิ่งซานตัดบทคนผู้นั้น “นำตัวสวี่ต๋าออกไปโบยด้วยไม้พลองทหารห้าสิบที!” ไม่นานนัก
ตอนนี้น่าจะถือว่ารักษาสัญญาแล้วกระมังฉินเย่ว์เหมยรับประทานอาหารค่ำที่จวนสกุลเฉิน พี่น้องทั้งห้าคุยเล่นกันในห้องจนดึกดื่น หลี่เต๋อฉวนเร่งอยู่หลายครั้ง ฉินเย่ว์เหมยถึงค่อยอำลาบรรดาน้องสาวของตนด้วยความอาลัยอาวรณ์“พี่หญิงใหญ่ ท่านถอนรับสั่งได้หรือไม่?”เมื่อเห็นฉินเย่ว์เหมยกำลังจะจากไป ฉินเย่ว์ฉินก็รีบเอ่ยขึ้นมา“รับสั่งใดเล่า?” ฉินเย่ว์เหมยหันหน้ากลับมาถาม“ก็เรื่อง ก็เรื่อง...” เสียงของฉินเย่ว์ฉินแผ่วเบา หน้าแดงเล็กน้อย “เข้าหอในวันนี้”แม้ยามนี้ฉินเย่ว์ฉินไม่รังเกียจเฉินฝานแล้ว แต่นางยังไม่ได้เตรียมใจแต่งงานกับเฉินฝาน “เหตุใดต้องถอนคืนด้วย เจ้าเองก็อายุไม่น้อยแล้ว ควรจะมีทายาทให้สามีของเจ้าได้แล้ว เช้านี้ข้าตรวจดูปฏิทินโหรแล้ว วันนี้เป็นวันดี ไม่อนุญาตให้ปฏิเสธอีก”นี่ก็คือการปราบปรามโดยสายเลือด ก่อนที่ฉินเย่ว์เหมยจะมา พวกฉินเย่ว์เจียวไม่อาจเอ่ยถึงเรื่องเข้าหอได้เลย เวลานี้เมื่อฉินเย่ว์เหมยเอ่ย ฉินเย่ว์ฉินไม่อาจโต้แย้งได้แม้แต่คำเดียว “ยังจะว่าข้าอีก ท่านก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ ไม่ใช่ว่าท่านเองก็หาเหตุผลต่าง ๆ เพื่อหนีนายท่านหรือไร” ขณะที่ฉินเย่ว์เหมยหันกายเดินจากไป ฉินเย่ว์ฉ