“ต่อให้เสบียงอาหารทั้งหมดต้องถูกจัดสรรปันส่วนอย่างเท่าเทียม เช่นนั้นไฉนอำนาจในการจัดการจัดแบ่งต้องเป็นเจ้าคนเดียวงั้นหรือ? เจ้าเป็นใครกัน?”ชายหนุ่มที่สวมชุดผ้าไหมอย่างดี ศีรษะสวมหมวกสีทองประดับด้วยไข่มุกเดินเข้ามากล่าวถามเฉินฝานด้วยท่าทีโอหังบุคคลนี้คือลูกชายคนโตของตระกูลเหลยเก่าแก่อันดับหนึ่งของเมืองเซียนตู เหลยหย่งอันด้วยความที่ชาติตระกูลมีเงินและอำนาจ เหลยหย่งอันได้รับสมญานามให้เป็นอันธพาลอันดับหนึ่งในเมืองเซียนตู ปกติก็มักจะรังแกผู้ชายข่มเหงผู้หญิง กระทำชั่วทุกรูปแบบสำหรับวีรกรรมของเหลยหย่งอันแล้ว เจ้าเมืองซื่อต้าเผิงต้องยอมปล่อยผ่านไปเหลยหย่งอันรู้สึกว่ามิถูกชะตาเฉินฝานอยู่ก่อนแล้วเรือนเซียนผาสุกมีกฎว่านอกจากผู้ฟังโชคดี่ถูกเมี่ยวอวี่สุ่มเลือกมา บุคคลที่ให้เงินรางวัลจำนวนมากที่สุด เมี่ยวอวี่ก็จะบรรเลงพิณเป็นการส่วนตัวเช่นกันทว่า ทุกปีจะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นต้นปีเหลยหย่งอันก็เริ่มให้เงินรางวัลจำนวนมหาศาล ในที่สุดเมื่อมาถึงเดือนท้ายปีก็ได้ลำดับที่หนึ่งมาครองเห็นว่าตนเองสามารถเข้าไปในกระท่อมหิมะพบกับเมี่ยวอวี่ ได้ฟังพิณที่นางบรรเลงให้ตนเองโดยเฉพาะ กลับคาดมิถึงว่าอย
“ผู้จัดสรร มิสามารถแบ่งให้คนนอกที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าเช่นนี้ได้เด็ดขาด!”“ถูกต้องแล้ว แบ่งให้คนที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้ามิได้!”คนรับใช้สองสามคนข้างกายเหลยหย่งอัน พูดเสริมทันที“เช่นนั้นนายน้อยเหลยคิดว่าผู้ใดเป็นผู้จัดสรรจึงจะเหมาะสม?”มีคนตะโกนถามท่ามกลางผู้เหลือรอดเหลยหย่งอันเลิกคิ้วขึ้นทันที ประโยคที่เขารอก็คือประโยคนี้ผู้นั้นเพิ่งจะกล่าวจบ เหลยหย่งอันก็ส่งสายตาไปที่คนรับใช้ข้างกายทันที“ร้านค้าตระกูลเหลยมากมายมหาศาล นายน้อยของพวกเราก็มีส่วนร่วมดูแล ไปตรวจสอบที่ร้านค้าทุกเดือน”ตรวจสอบแบบใดกัน ไปเกี้ยวพาราสีสตรีในร้านเสียมากกว่าเรื่องนี้ทุกคนในเมืองเซียนตูทราบดี เพียงแต่มิอยากให้เหลยหย่งอันมิพอใจ จึงมิมีผู้ใดกล้าพูดเปิดโปง“ดังนั้น...” คนใช้ผู้นั้นกล่าวต่อ “ผู้จัดสรรนี้ นายน้อยของข้าเป็นคนที่เหมาะสมที่สุด “ทุกคนลงเรือลำเดียวกันแล้ว พวกเจ้า...” เหลยหย่งอันยกมือขึ้นทำท่าทางแบกรับรับความผิดชอบไว้เพียงผู้เดียว “คนที่ร่วมทุกข์กับข้าทุกคน ขอเพียงแค่สามารถมีชีวิตรอดออกไปได้ ก็สามารถไปรับเงินหนึ่งร้อยตำลึงได้ที่ตระกูลเหลยของพวกเรา”เพื่อที่จะได้ตำแหน่งผู้จัดสรรนี้ เหลยห
“หา?” เหลยหย่งอันชะงัก ทว่ากลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว “แม่นางเมี่ยวอวี่ แม้เจ้าไม่ได้หนีออกมาจากเรือนเซียนผาสุกเหมือนพวกเรา แต่เจ้าแตกต่างกับพวกเขา เจ้าเป็นชาวเซียนตูเหมือนพวกเรา เจ้าติดตามพวกเราได้”เหลยหย่งอันนึกว่า เมี่ยวอวี่เข้าผิด ดังนั้นจึงรีบอธิบาย ตอนอธิบาย เขาเอนตัวไปด้านหน้า ขยับเข้าใกล้เมี่ยวอวี่ สูดลมหายใจเข้าฟอดใหญ่“อื้ม~” เหลยหย่งอันพูดร่ายยาว “แม่นางเมี่ยวอวี่คือนางฟ้ามาจุติจริงๆ ตัวของแม่นางหอมกลิ่นเทพเซียน ยามสูดดม ทำให้คนรู้สึกใจเต้นแรง จิตใจผ่อนคลาย หัวใจเต้นตึกตัก ยากที่จะควบคุมจิตใจของตนเองได้!”เหลยหย่งอันพูดสุภาษิตติดต่อกันสี่คำ สร้างวาทกรรมที่ไพเราะ เพราะอยากแสดงให้เมี่ยวอวี่เห็นความสามารถที่โดดเด่นเหนือผู้อื่นของเขาทว่าเขาใจร้อนเกินไป เพียงครู่หนึ่งก็เปิดเผยความคิดสกปรกที่ซ่อนเร้นอยู่ส่วนลึกในใจออกมายากที่จะควบคุมจิตใจของตนเองได้ตอนนี้เขาไม่อาจควบคุมจิตใจของเขาได้จริงๆ ไม่อาจรีรออยากจะดึงผ้าคลุมหน้าของเมี่ยวอวี่ออก กดนางบนเตียง“แม้ไม่เคยพานพบใบหน้าที่แท้จริงของแม่นาง ทว่าเวลานี้ข้าลุ่มหลวงในดวงตาสีน้ำตาลของแม่นางไปแล้วเหลยหย่งอันยิ่งคิดยิ่งลุ่มห
“เซิงเอ๋อร์ ขอโทษด้วย แม่ทำให้เจ้าเดือดร้อน” นางจางมองลูกชายด้วยความรู้สึกผิดเมื่อปีกลาย เหลยหย่งอันขืนใจลูกสาวของสหายคนสนิทแม่นาง หลังขืนใจเขาก็ไม่ยอมแต่งงานกับหญิงสาวคนนั้น ทั้งยังบอกว่าเด็กสาวคนนั้นยั่วยวนเขา เด็กสาวไม่อาจทนต่อการด่าทอของผู้คนได้จึงผูกคอตาย แม่ของเด็กสาวรับไม่ได้ที่ลูกสาวจากโลกนี้ไป ก็ปลิดชีพตนตามไปแล้วนับตั้งแต่ตอนนั้น ทุกครั้งที่นางจางเห็นเหลยหย่งอันก็อยากอาเจียน“ท่านแม่ อย่าเก็บมาใส่ใจ ข้าเองก็ไม่อยากอยู่กับคุณชายเหลยนั่น” จางเซิงกล่าวจางเซิงเกลียดพฤติกรรมของเหลยหย่งอันเช่นเดียวกัน เพียงแต่เขาไม่ได้แสดงออกมาเด่นชัดก็เท่านั้น สาเหตุที่เขาขยันหมั่นเพียรตั้งใจเยนหนังสือ เพราะหวังว่าจะสอบผ่านขุนนาง เสริมสร้างอำนาจ ร้องขอฝ่าบาท กลับเมืองเซียนตูมาตัดหัวเหลยหย่งอัน“อย่างไรก็ตาม แม่ทำให้เจ้าต้องลำบาก มือคู่นี้ของเจ้า” แม่นางกุมมือจางเซิงเบาๆ ด้วยสีหน้าทะนุถนอม“ใช้สำหรับพลิกเปิดตำรา ไม่ได้ใช้เพื่อก่อไฟ เจ้าอยู่ที่นี่ แม่ไปหาฟืนเอง”“ไม่ได้ขอรับ! ท่านแม่ ท่านสุขภาพร่างกายอ่อนแอ ไม่อาจไปได้ ข้าไปเองขอรับ”“แม่อ่อนแออย่างไร แม่บอกว่าแม่ไปก็ไปสิ เจ้ารอแม่อยู่ท
“ท่านแม่ ท่านรอข้าที่นี่ ข้าไปหาฟืน”สีหน้าของจางเซิงเปลี่ยนจากเชื่อฟังในตอนแรก เป็นเคร่งขรึมเดิมทีนางจางยังอยากจะพูด ทว่าตกใจกับสีหน้าของลูกชาย อดีตนายท่านของนาง ยามจริงจังก็มีสีหน้าเช่นนี้“เซิงเอ๋อร์...” นางจางน้ำตาคลอ“เฮ้อ!” เซียนเจี้ยนหวงที่เงียบมาโดยตลอดพูด “ช่างเรื่องมากจริงๆ ถึงอย่างไรเพิ่มพวกเจ้าสองคนขึ้นมาก็ไม่มากเท่าใด ติดตามพวกข้าก็แล้วกัน”“เจ้าดูเขาเล่า สภาพอ่อนแอเช่นนี้ ออกไปหาฟืน ไม่รู้ว่ากลับมาได้หรือไม่ ถึงเวลาไม่อาจกลับมา ก็จะมีคนร้องไห้อีก ข้ารำคาญเวลามีคนร้องไห้ที่สุด”อาจจะเป็นเพราะกลัวเฉินฝานไม่เห็นด้วย เซียนเจี้วนหวงจึงพูดเสริมด้วยประโยคร่ายยาว“ในเมื่อเป็นข้อเสนอของเซียนเจี้ยนหวง นั่นย่อมเป็นเรื่องที่ดี!” เฉินฝานยิ้มบางๆ แล้วพูดความเป็นจริง ตั้งแต่เขาให้ฉินเย่ว์เจียวไปหามนางจางกลับมา เฉินฝานก็มีเจตนาเช่นนี้อากาศหนาวเย็น อยู่ข้างนอกไม่มีสิ่งใดปกคลุม สองแม่ลูกคู่นี้มีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงสามวันขณะที่จางเซิงกำลังตกตะลึงอยู่นั้น แม่นางดึงตัวเขาคุกเข่าตรงหน้าเฉินฝาน“ขอบคุณ ขอบคุณคุณชาย คุณชาย ท่านคือผู้มีพระคุณของพวกเราแม่ลูก!”ลางสังหรณ์ของสตรีบอกกับน
จางเซิงปรายตามองอาหารที่พวกเขาได้รับการแบ่งมาข้าวสาร บะหมี่ ผักกาดขาว ผักกาดดองและเนื้อ ทว่าไม่ใช่เนื้อหมู แต่เป็นเนื้อเป็ดไก่ซึ่งไม่ค่อยนิยมรับประทานอาหารเหล่านี้ ล้วนต้องปรุงสุกก่อนจึงจะกินได้แม้กระทั่งผักกาดดองก็ต้องปรุงสุกก่อน เพราะนำผักกาดดองออกมาจากห้องใต้ดินระยะหนึ่งแล้ว ผักกาดดองเกาะตัวเป็นน้ำแข็งแล้วไม่มีหม้อ มีเพียงอาหารก็ไร้ประโยชน์“ข้าก็ว่า เหตุใดวันนี้เขาจึงใจดี ถึงได้แบ่งอาหารมาให้พวกเรา แท้จริงแล้วเขาก็ยังโหดเหี้ยมเหมือนเดิม” นางจางพูดด้วยความโมโห“เป็นเช่นนี้จริงๆ หรือ?” ฉินเย่ว์เจียวถามเย่ว์หนูเย่ว์หนูพยักหน้า “กล่าวโดยสรุปก็คือทุกสิ่งที่นำมาทำอาหารได้ เขายึดเอาไว้หมดเจ้าค่ะ”“ทำเช่นนี้ได้อย่างไร!” ฉินเย่ว์เจียวกัดฟันแน่น มองค้อนไปยังห้องที่เหลยหย่งอันอยู่ “ในเมื่อพวกเขาไร้คุณธรรม เช่นนั้นเราก็ไม่จำเป็นต้องมีจริยธรรม พวกเราไปกันเถอะ!”ฉินเย่ว์เจียวคว้าระเบิดมือ ร้องเรียกเย่ว์หนู แล้วเดินออกไป“กลับมา!”เฉินฝานที่เงียบมาโดยตลอดร้องปราม“นายท่าน พวกเขายึดหม้อและกระทะทั้งหมดเอาไว้ ข้าเพียงไปขอก็เท่านั้น” เป็นครั้งแรกที่ฉินเย่ว์เจียวไม่เชื่อฟังคำพูดของเฉิ
“ข้าเดาว่าหนึ่งวัน!”“หนึ่งวัน เยอะเกินไปแล้วกระมัง ข้าว่ามากสุดก็ครึ่งวัน”“ครึ่งวันก็มากไป ข้าว่าไม่เกินสองชั่วยาม”ฉินเย่ว์เจียวและเย่ว์หนูโมโหจนแทบอยากฉีกปากคนพวกนั้นเมื่อโมโห ฉินเย่ว์เจียวก็ยิ่งรู้สึกหิวเสียงท้องร้องของนางดังไปถึงหูของเฉินฝาน“นายท่าน ข้าเพียงท้องไส้ปั่นป่วน ไม่ได้หิวเจ้าค่ะ!” กลัวเฉินฝานกังวล ฉินเย่ว์เจียวรีบอธิบาย“ข้าไม่ได้โง่เขลา เจ้าหิวหรือว่าท้องไส้ปั่นป่วน? ข้าแยกได้อย่างชัดเจน” เฉินฝานวางมือของตนทับมือของฉินเย่ว์เจียว “พยุงข้าลุกขึ้น!”“เจ้าค่ะ!”ฉินเย่ว์เจียวที่เพิ่งย่อตัวลง ชะงักทันที “นายท่าน พยุงท่านขึ้น ท่านจะไปที่ใดเจ้าคะ?”“แน่นอนว่าแก้ปัญหาเรื่องอาหารการกิน พวกเราไม่ใช่เทพเซียน หากไม่กินข้าวจะหิวตาย”“เฮ้อ! พยุงข้าลุกขึ้นสิ ทำไมนึกเสียใจทีหลังเช่นนั้นหรือ?”ยิ่งเฉินฝานพูดเช่นนี้ ฉินเย่ว์เจียวยิ่งถอยหลังไปเร็วขึ้น “นายท่าน ข้าไม่ต้องการให้ท่านไปขอร้องเหลยหย่งอันอะไรนั่น”หากเฉินฝานไปขอร้องเหลยหย่งอัน นางจึงจะมีข้าวกิน เช่นนั้นนางยอมหิวตายสามีของตาย ไม่มีทางคุกเข่าขอร้องใครพี่สาวคนโตผู้ส่งศักดิ์ของนาง เวลานี้เป็นถึงฮ่องเต้ต้าชิ่ง ย
“ภายใต้สายตามากมาย เหลยหย่งอันล้มลงเมื่อครู่เฉินฝานอยากเลื่อนเท้าหนี ดังนั้น...ปากของเหลยหย่งอัน โดนฝ่าเท้าของเฉินฝานพอดี“...”ทุกคนในเหตุการณ์เงียบไปนานกว่าสิบวินาที“คุณชาย คุณชาย!”เสียงร้องไห้โอดครวญดังขึ้น สถานการณ์ชุลมุนวุ่นวายในทันที“ไสหัวไป ไสหัวไป!”เหลยหย่งอันที่อับอายและโมโห ผลักบ่าวรับใช้ ร้องตะโกนเสียงดัง “มีด มีด!”บ่าวรับใช้คนหนึ่งแทบจะกลิ้งเข้าไปในห้อง จากนั้นก็แทบจะกลิ้งออกมาตอนออกมา มือของเขามีมีดหั่นผักหนึ่งเล่มติดมาด้วยเหลยหย่งอันยิ่งมือไปคว้าไว้ในทันที“...อ๊าก!”เสียงหมูถูกเชือดดังขึ้นอีกครั้ง เหลยหย่งอันชี้เท้าข้างขวาของตนด้วยสีหน้าเจ็บปวดไม่เอนไม่เอียงแม้แต่น้อย ปลายมีด ทิ่มเท้าของเหลยหย่งอันอย่างพอดิบพอดีมือขวาของเหลยหย่งอัน ตอนที่เขาคิดอยากจะล่วงเกินเมี่ยวอวี่ ถูกนักฆ่าหญิงหักเส้นเอ็นที่มือไปแล้วเขาลืมตัวไปชั่วขณะ ใช้มือขวาไปคว้ามีด สุดท้ายจึงกลายเป็นเช่นนี้“ฮ่าๆๆ บาปกรรมตามสนอง บาปกรรมตามสนองจริงๆ สัตว์เดรัจฉานเหลยหย่งอัน เจ้าเองก็มีวันนี้!” นางจางหัวเราะเสียงดังท่ามกลางผู้รอดชีวิต มีคนแอบหัวเราะเช่นเดียวกันพวกเขาหลายคนต่างเคยถู
“อะไรนะ!?”“ตอนนี้องค์หญิงเสี่ยวฉู่พาฝ่าบาทไปที่ประตูอู่แล้วขอรับ เจ้าสิ่งนั้น ปะ ปะ...”“ปืนไรเฟิล”“ใช่ ๆ ปืนไรเฟิล ปากกระบอกปืนไรเฟิลจ่อพระเศียรของฝ่าบาทอยู่เลยขอรับ!”“หา นี่เป็นเพราะอะไรกัน?”บรรดาพี่สาวน้องสาวตระกูลฉินได้ยินข่าวขึ้นมา“กราบทูลบรรดาองค์หญิง ข้อเรียกร้องขององค์หญิงเสี่ยวฉู่คืออยากให้ท่านอัครเสนาบดีกับฝ่าบาทอภิเษกสมรสกันเดี๋ยวนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ”“เหลวไหล!”เฉินฝานพุ่งตัวออกไปราวกับพายุเวลานี้บรรดาพี่น้องตระกูลฉินที่เพิ่งแสดงท่าทีรีบร้อนทำหน้าร้อนใจกลับมีสีหน้าแจ่มใส ถึงขนาดที่นั่งลงปรึกษาหารือกันฉินเย่ว์โหรว “พี่หญิงรอง ท่านมีฝีมือดี ท่านรีบไปขวางอยู่ที่หอด้านบนประตูอู่ อย่าให้นายท่านลงมา” ฉินเย่ว์เจียว “ไม่มีปัญหา พอถึงเวลานั้นข้าจะเรียกน้องหวั่นเอ๋อร์ นายท่านหนีไม่รอดแน่”ฉินเย่ว์ฉิน “เช่นนั้นข้าจะให้พี่น้องในวังเซียวเหยาก่อนหน้านี้ไปเดินเล่นแถว ๆ ประตูอู่ให้หมดเลย จะต้องครึกครื้นเป็นแน่ รับรองว่าพี่น้องทหารองครักษ์พวกนั้นจะต้องมองสาวงามอย่างไม่หวาดไม่ไหว”สามพี่น้อง “ความปรารถนาของเสี่ยวฉู่ พวกเราในฐานะพี่สาวจะต้องช่วยอย่างเต็มที่!”เมื่อมองถนนละแวกป
“ข้าไม่ได้ขัดขืนจริง ๆ” เย่ลวี่เลี่ยก้มหน้าลง ชายสูงแปดฉื่อทำสีหน้าที่เต็มไปด้วยความท้อแท้ใจ เขาอยากขัดขืนอยู่แล้ว แต่ฉินเย่ว์ฉู่ไม่ได้ให้โอกาสนั้นกับเขาเลยตอนที่ฉินเย่ว์ฉู่บุกเข้ามาในกระโจมใหญ่ของเย่ลวี่เลี่ย ก็ยิงปืนกำจัดองครักษ์ของเย่ลวี่เลี่ยก่อนพูดแล้วก็น่าอับอาย เย่ลวี่เลี่ยที่เคยผ่านศึกมาอย่างโชกโชนตกใจกลัวรูเลือดตรงกลางหน้าผากขององครักษ์ เขาไม่เคยเห็นอาวุธที่รวดเร็วขนาดนี้มาก่อนเลยได้ยินแค่เสียงดังปัง หน้าผากขององครักษ์ก็มีรูเลือดใหญ่ขนาดนี้แล้ว ความเร็วที่แม้แต่เทพเซียนก็ทำไม่ได้ ความแม่นยำที่แม้แต่เทพเซียนก็ยังทำไม่ได้ในตอนที่ฉินเย่ว์ฉู่ยกปืนขึ้นแล้วลั่นไกอีกครั้ง เมื่อเย่ลวี่เลี่ยได้ยินเสียง เขาก็ตกใจจนสลบไปทันที หลับไปตื่นหนึ่งถึงค่อยพบว่าฉินเย่ว์ฉินยิงใส่หมวกเล็กของเขาเท่านั้นตกใจสาวน้อยจนสลบไป ไม่ว่าสือจิ่งซานผู้นี้จะถามอย่างไร เย่ลวี่เลี่ยก็ไม่บอกเขา .....ในคืนที่เย่ลวี่เลี่ยถูกจับ ข่าวก็ไปถึงเมืองหลวงแล้ว “เครื่องอัดเสียงพลังงานแสงอาทิตย์ เครื่องเสียง...” ขณะที่ฉินเย่ว์เหมยอ่านคำเหล่านี้ก็ถามเฉินฝานด้วยความมึนงงว่า “จดหมายของเสี่ยวฉู่บอกว่า นางแค่อาศ
“นางไม่รู้หรือว่าพวกเราไม่อยากลงมือจริงจัง?” “พอไปถึงค่ายทหารของชาวหู ไม่ใช่แค่โดนฆ่าธรรมดาแบบนั้นหรอกนะ” ชาวหูไม่มีทางปล่อยสตรีชาวต้าชิ่งใด ๆ ที่ตกอยู่ในมือพวกเขา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสตรีชาวต้าชิ่งที่หน้าตางดงามฐานะสูงศักดิ์อย่างฉินเย่ว์ฉู่ พฤติกรรมของพวกเขาใช้คำว่าเดรัจฉานมาอธิบายยังไม่พอเลย สือจิ่งซานสะบัดแขนเสื้อ “พอได้แล้ว สตรีนางเดียวไม่มีค่าพอให้เราต้องใส่ใจหรอก นางอยากตายก็ปล่อยนางไปเถิด โจวจวี่ เจ้าส่งคนไปบอกเยลวี่เลี่ยว่าให้พวกเขาเหลือศพไว้ครบถ้วน ข้าจะซื้อศพไว้ใช้ประโยชน์” ไม่ต้องให้สือจิ่งซานรอนานเกินไป วันรุ่งขึ้นทหารลาดตระเวนก็มารายงาน “ว่าไงนะ? เยลวี่เลี่ยมาด้วยตนเอง?”“ท่านแม่ทัพใหญ่ หากพูดให้ตรงคือเยลวี่เลี่ยโดนฮูหยินเล็กของท่านอัครเสนาบดีจับกุมมาขอรับ”“เจ้าพูดอีกทีสิ?”ทหารลาดตระเวนพูดซ้ำถึงสามรอบเต็ม ๆ สือจิ่งซานก็ยังไม่เชื่อไม่ใช่แค่สือจิ่งซานที่ไม่เชื่อ ต่อให้เป็นผู้ถูกจับกุมอย่างเยลวี่เลี่ยก็ไม่เชื่อเช่นกัน เขาจะโดนสตรีนางเดียวจับกุมได้อย่างไรยิ่งไปกว่านั้นสตรีผู้นี้ยังอายุน้อย พาทหารหญิงรุ่นราวคราวเดียวกันมาแค่ร้อยกว่าคนเมื่อฉินเย่ว์ฉู่พาเยลวี่เล
สือจิ่งซานยกมุมปากยิ้มคลุมเครือ “แปรพักตร์อันใดกัน ฝ่าบาทกับท่านอัครเสนาบดีเห็นอกเห็นใจกองทัพหมาป่าเรา จึงส่งสะใภ้คนเล็กมา เช่นนั้นกองทัพหมาป่าเราย่อมต้องต้อนรับสะใภ้ท่านนี้ให้ดี ๆ”“แม่ทัพใหญ่กล่าวถูกต้อง พวกเราต้อง ‘ต้อนรับ’ ให้ดี ๆ!” โจวจวี่พูดคล้อยตามทันที ไม่นานนักก็มีคำสั่งจากในกระโจมใหญ่ ให้ทหารแม่ทัพทั้งหมดของกองทัพหมาป่าเปลือยท่อนบนยุคโบราณที่จารีตเคร่งครัดอย่างยิ่ง การเปลือยท่อนบนเช่นนี้เป็นพฤติกรรมดูหมิ่นไม่ให้ความกียรติสตรีอย่างรุนแรงยิ่งกว่านั้นฉินเย่ว์ฉู่เป็นภรรยาเอกของอัครเสนาบดีขั้นหนึ่ง องค์หญิงแห่งต้าชิ่ง พระขนิษฐาแท้ๆ ของฮ่องเต้หญิงหากฉินเย่ว์ฉู่เป็นเพียงสตรีทั่วไปในยุคนี้ เกรงว่ามีแต่จะตกใจจนมือไม้อ่อนไปหมดทหารแม่ทัพทั้งหมดของกองทัพหมาป่าเปลือยท่อนบนออกจากกระโจม รอดูท่าทางตกใจกลัวจนร้องไห้โฮยกใหญ่ของฉินเย่ว์ฉู่“ผู้ชายมากมายถึงเพียงนี้ข่มขู่เด็กสาวคนเดียวจะไม่เกินไปหน่อยหรือ” มีบางคนรู้สึกว่าแบบนี้ไม่ค่อยดีนัก แต่คำพูดของเขาก็โดนคนอื่นสวนกลับทันที “เกินไปอันใดเล่า เฉินฝานเป็นคนส่งมา ให้เขาหยามพวกเราได้เท่านั้น แต่ไม่ยอมให้พวกเราตอบโต้คืนหรือ? เปลือย
เย่ว์หนูได้รับบาดเจ็บในระหว่างที่ปกป้องเฉินฝานครั้งหนึ่ง ร่างกายของนางตอนนี้จึงไม่แข็งแรงเหมือนเมื่อก่อน เดิมทีเฉินฝานอยากให้หวงหวั่นเอ๋อร์ตามฉินเย่ว์ฉู่ไป มีหวงหวั่นเอ๋อร์อยู่ อย่างน้อยที่สุดก็ไม่มีปัญหาเรื่องความปลอดภัยของฉินเย่ว์ฉู่ ผลปรากฏว่าฉินเย่ว์ฉู่ปฏิเสธแม้กระทั่งหวงหวั่นเอ๋อร์ด้วยฉินเย่ว์ฉู่พาทหารหญิงไปหนึ่งร้อยกว่าคน มุ่งตรงสู่ทางเหนือ บุกไปยังกองทัพหมาป่าอย่างกล้าหาญ “เจ้าปล่อยให้นางไปเช่นนี้หรือ?” คนที่ตำหนิเฉินฝาน ไม่ใช่แค่พี่น้องตระกูลฉินทั้งสามคนในจวนสกุลเฉิน แม้แต่ฉินเย่ว์เหมยที่อยู่ในวังหลวงก็รีบออกมาเช่นกันนางคิดว่าไม่ว่าอย่างไร อย่างน้อยที่สุดเฉินฝานต้องให้ฉินเย่ว์ฉู่นำกองพลมือปืนไป“เย่ว์ฉู่เป็นน้องเล็กของพวกเจ้า น้องเล็กของพวกเจ้ามีนิสับแบบไหน พวกเจ้าไม่รู้เลยหรือไร?” คำพูดประโยคเดียวของเฉินฝานทำให้พวกนางสำลักแล้วแม้ว่าฉินเย่ว์ฉู่จะเป็นน้องเล็กสุดในตระกูลฉิน ทว่าตั้งแต่เด็กจนโต นางมีความคิดของตัวเองมากที่สุด ขอเพียงเป็นเรื่องที่นางตัดสินใจแล้ว ไม่มีใครสามารถทำให้นางเปลี่ยนใจได้“แต่ว่า...” ฉินเย่ว์โหรวที่เป็นคนกังวลใจมากที่สุด ขมวดคิ้วมุ่น ดูกลัดกล
การปรากฏตัวของนาง ทำให้ทุกคนรู้สึกปีติยินดีกันมากแต่ฉินเย่ว์เจียวกลับถลึงมองสตรีผู้นั้น “พอได้แล้ว เสี่ยวฉู่เจ้าเด็กตัวแสบ แสร้งทำตัวเป็นผู้ใหญ่อันใด ยังไม่รีบเข้ามาอีก?” ฉินเย่ว์ฉู่ขี่ม้าเข้ามา ขณะที่นางผ่านฉินเย่ว์เจียวยังไม่ลืมเถียงกลับว่า “พี่หญิงรอง ข้าอายุยี่สิบแล้ว เป็นผู้ใหญ่ตั้งนานแล้วนะ”ฉินเย่ว์เจียวเชิดหน้าขึ้นสูง “ไม่ว่าเจ้าจะอายุเท่าไหร่ ถึงอย่างไรในสายตาข้า เจ้าก็เป็นเด็กตลอดกาล” ฉินเย่ว์ฉู่ควบม้าตรงมาหาเฉินฝาน แล้วฟ้องเขาว่า “นายท่านดูสิเจ้าคะ พี่หญิงรองรังแกข้าอีกแล้ว นางรังแกข้ามาตลอด ท่านไม่จัดการนางบ้างหรือ?”เฉินฝานมองฉินเย่ว์ฉู่ที่สดใสมั่นใจในตัวเองตรงหน้า ภาพที่เขาเห็นฉินเย่ว์ฉู่ครั้งแรกเมื่อสิบปีก่อนฉายขึ้นมาในสมอง เกิดความรู้สึกราวกับว่าเวลาผ่านไปชาติหนึ่งเด็กสาวที่ขี้กลัวในวันวาน บัดนี้กลายเป็นโฉมสะคราญที่มีสง่าราศี เฉินฝานรู้สึกภาคภูมิใจเล็กน้อย“เหตุใดที่กลับมาตอนนี้ ไม่ต้องเข้าเรียนแล้วหรือ?” เฉินฝานถามตั้งแต่ฉินเย่ว์ฉู่อายุสิบห้า เฉินฝานก็ส่งนางไปเรียนที่โรงเรียนสตรีในเมืองเซียนตู“นายท่าน ข้าน้อยเรียนจบแล้วเจ้าค่ะ”“เรียนจบแล้ว?”“ข้าน้อยเ
วันนี้เป็นวันหยุดพักผ่อน ซึ่งทั้งเดือนจะมีเพียงวันเดียวเท่านั้น นี่เป็นวันที่หาได้ยาก ในฐานะที่ฉินเย่ว์โหรวเป็นภรรยาเอกที่ดูแลบ้านย่อมไม่ปล่อยให้หลุดมือไปง่าย ๆ นางได้เตรียมการไว้ล่วงหน้าหลายวันแล้วว่าวันนี้พวกเขาจะไปเที่ยวเล่นกินอาหารที่ชานเมืองกันทั้งครอบครัวนี่เป็นสิ่งที่เฉินฝานเสนอขึ้นเมื่อหลายปีก่อน หลังจากครั้งนั้น ฉินเย่ว์โหรวก็หลงใหลอยู่สุดซึ้ง ขอเพียงเฉินฝานมีวันหยุด นางจะต้องออกไปให้ได้สถานที่เที่ยวเล่นกินอาหารกันในครั้งนี้มีทิวทัศน์งดงามราวกับภาพวาดเหมือนเช่นเคยเฉินฝานนั่งอยู่บนเก้าอี้พนักพิง กินผลไม้มองบุตรชายบุตรสาวเล่นกันอย่างสนุกสนานบนทุ่งหญ้า ส่วนบรรดาภรรยาก็ยุ่งอยู่กับการเตรียมอาหารกลางวันกลิ่นอาหารที่เฉินฝานชอบลอยอยู่ในอากาศอาหารของพวกเขาทั้งหมดเป็นรูปแบบยุคปัจจุบัน เนื้อแกะย่างทั้งตัว สเต๊กซี่โครงย่าง หมูสามชั้นย่าง ปีกไก่ย่าง กระดูกอ่อนย่าง... ยังมีหม้อไฟทะเล และผลไม้แช่เย็นต่าง ๆ นานา“อืม~” เฉินฝานสูดจมูก แล้วแค่นเสียงเบา ๆ ด้วยความพึงพอใจ เขาหลับตาพักผ่อน พักผ่อนสักพักก็เริ่มกินได้แล้ว“ฮี่!”เฉินฝานเพิ่งจะนอนหลับก็ตกใจตื่นกับเสียงร้องฮี่ของม้า “
หลังจากสือจิ่งซานควบคุมกองทัพหมาป่า เขาก็เปลี่ยนตัวแม่ทัพก่อนหน้านี้ทั้งหมด ตอนนี้ทหารเหล่านี้ล้วนเชื่อฟังสือจิ่งซานเท่านั้น“ใครบังอาจวิจารณ์ฝ่าบาทและท่านอัครเสนาบดีที่นี่?”สือจิ่งซานตวาดอย่างเย็นชา เขาเดินแหวกแม่ทัพเหล่านั้นพร้อมกับเอ่ยวาจา หลังจากนั้นก็หันกาย สายตากวาดมองไปบนร่างแม่ทัพเหล่านั้นห“ข้าน้อยไม่บังอาจวิจารณ์ เดิมทีสิ่งที่ข้าน้อยพูดก็เป็นความจริง หากไม่มีกองทัพหมาป่าของเรา ไม่มีท่านแม่ทัพใหญ่ ต้าชิ่งจะสงบสุขเหมือนทุกวันนี้ได้อย่างไร เวลานี้กลับให้เฉินฝานผู้นั้นยึดความดีความชอบทั้งหมดไว้เพียงผู้เดียว” “ถูกต้อง พวกเรารู้สึกว่าไม่ยุติธรรมกับท่านแม่ทัพใหญ่เลย”แม้ว่าเสียงของพวกแม่ทัพจะเบาลงแล้ว แต่ความโกรธเกรี้ยวและความไม่พอใจในคำพูดกลับยิ่งรุนแรงขึ้น “เหลวไหล เดิมทีความสงบสุขของต้าชิ่งก็เป็นหน้าที่ของกองทัพหมาป่าเรา ในฐานะที่ข้าเป็นแม่ทัพใหญ่ของกองทัพหมาป่ายิ่งต้องทำเช่นเดียว ต่อไปหากมีใครกล้าบังอาจวิจารณ์ฝ่าบาทกับอัครเสนาบดีอีก ลงโทษโบยด้วยไม้พลองทหาร!”“ท่านแม่ทัพใหญ่...”“ทหาร!” สือจิ่งซานตัดบทคนผู้นั้น “นำตัวสวี่ต๋าออกไปโบยด้วยไม้พลองทหารห้าสิบที!” ไม่นานนัก
ตอนนี้น่าจะถือว่ารักษาสัญญาแล้วกระมังฉินเย่ว์เหมยรับประทานอาหารค่ำที่จวนสกุลเฉิน พี่น้องทั้งห้าคุยเล่นกันในห้องจนดึกดื่น หลี่เต๋อฉวนเร่งอยู่หลายครั้ง ฉินเย่ว์เหมยถึงค่อยอำลาบรรดาน้องสาวของตนด้วยความอาลัยอาวรณ์“พี่หญิงใหญ่ ท่านถอนรับสั่งได้หรือไม่?”เมื่อเห็นฉินเย่ว์เหมยกำลังจะจากไป ฉินเย่ว์ฉินก็รีบเอ่ยขึ้นมา“รับสั่งใดเล่า?” ฉินเย่ว์เหมยหันหน้ากลับมาถาม“ก็เรื่อง ก็เรื่อง...” เสียงของฉินเย่ว์ฉินแผ่วเบา หน้าแดงเล็กน้อย “เข้าหอในวันนี้”แม้ยามนี้ฉินเย่ว์ฉินไม่รังเกียจเฉินฝานแล้ว แต่นางยังไม่ได้เตรียมใจแต่งงานกับเฉินฝาน “เหตุใดต้องถอนคืนด้วย เจ้าเองก็อายุไม่น้อยแล้ว ควรจะมีทายาทให้สามีของเจ้าได้แล้ว เช้านี้ข้าตรวจดูปฏิทินโหรแล้ว วันนี้เป็นวันดี ไม่อนุญาตให้ปฏิเสธอีก”นี่ก็คือการปราบปรามโดยสายเลือด ก่อนที่ฉินเย่ว์เหมยจะมา พวกฉินเย่ว์เจียวไม่อาจเอ่ยถึงเรื่องเข้าหอได้เลย เวลานี้เมื่อฉินเย่ว์เหมยเอ่ย ฉินเย่ว์ฉินไม่อาจโต้แย้งได้แม้แต่คำเดียว “ยังจะว่าข้าอีก ท่านก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ ไม่ใช่ว่าท่านเองก็หาเหตุผลต่าง ๆ เพื่อหนีนายท่านหรือไร” ขณะที่ฉินเย่ว์เหมยหันกายเดินจากไป ฉินเย่ว์ฉ