“ตึ้ง!”เฉินฝานที่หลับตาอยู่นั้น มือข้างนอกโอบเอวอีกฝ่าย แล้วพลิกตัวกดทับมืออีกข้างบีบคออีกฝ่าย “รนหาที่ตายหรือ?”แม้กำลังสะลึมสะลือ แต่เมื่อคนคนนั้นประทับจุมพิต เขาก็รู้ทันทีว่านางไม่ใช่ฉินเย่ว์เจียว“ใต้เท้า...”ดวงตาสีน้ำตาลอ่อน เปี่ยมไปด้วยความตกใจ ดวงหน้างดงาม แดงระเรื่อ ทรมานอย่างมากซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเพราะถูกเฉินฝานบีบคอ ทำให้หายใจลำบาก“พระชายา?”เฉินฝานรีบปล่อยมือ “เป็นท่านได้อย่างไร?”เพราะจะช่วยเหลือเฉินฝาน ดังนั้นตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานี้พระชายาจึงอยู่เตียนตู ยังไม่ได้กลับแคว้นของตน“ใต้เท้า พระชายาคุกเข่าตรงหน้าเฉินฝาน จูบเท้าของเขา แล้วเงยหน้าขึ้น“เรามาสร้างเรื่องหฤหรรษ์ร่วมกันเถอะเจ้าค่ะ” ดวงตาสีน้ำตาล เปี่ยมไปด้วยความอ้อนวอนเฉินฝานเงียบอยู่นานกว่าจะพูด “พระชายา ท่านงดงามสะกดใจ กล่าวว่าข้าไม่อยากมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับท่าน นั่นเป็นคำโกหก แต่ข้าไม่อยากทำร้ายท่าน ด้วยฐานันดรศักดิ์ของท่านไม่อาจเข้าเมืองหลวงกับข้าได้ การจากลาครั้งนี้ ไม่รู้ว่าเมื่อใดจะได้เจอกันอีก”“ใต้เท้า ข้าอยากกลายเป็นสตรีของท่าน”คำพูดของเฉินฝาน พระชายาไม่สนใจฟัง สิ่งที่นางพูดเปี่ยมไปด้วยคว
เวลานี้ทหารต้าชิ่งมีจำนวนน้อยจนน่าสงสาร เขาไม่อาจพลีชีพทหารต้าชิ่งเพื่อไปช่วยจักรพรรดิและฮองเฮาแคว้นอื่นแม้คำตอบของเฉินฝานจะทำให้พระชายาแปลกใจ แต่นางก็ไม่ได้ตามตอแย เพียงตอบเสียงเรียบเฉย “ใต้เท้า ข้าเข้าใจเจตนาของท่านแล้ว ข้าขอตัวก่อน จะไม่มารบกวนอีก”พูดจบ นางก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกมา“แต่ว่า ช่วยเสด็จพ่อและเสด็จแม่ของพระชายา ไม่จำเป็นต้องเคลื่อนกองกำลัง”...ตามที่เฉินฝานกล่าว เขาไม่นำทัพทหารไป มีเพียงภรรยาฉินเย่ว์เจียวและเย่ว์หนูซึ่งเป็นองครักษ์หญิง ติดตามพระชายากลับแคว้นเหมี่ยนแคว้นเหมี่ยน ณ วังหลวงจักรพรรดิคนใหม่ เกอตันเวยนั่งอยู่บนเก้าอี้งาช้าง ด้านบนสุดมีนางกำนัลสองคนแต่งกระโจมอก มือถือพัดสีทอง โบกไปมาเบาๆนางกำนัลคนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างเก้าอี้งาช้าง ยื่นยาสูบให้เกอตันเวยเกอตันเวยที่กำลังสูบยาสูบอยู่นั้น หยอกล้อนางกำนัล สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความสุขเบื้องล่างของเขา มีนางกำนัลคนหนึ่งนั่งคุกเข่านางกำนัลคนนี้ มองดูแล้วอายุมากกว่านางกำนัลอีกสามคนมาก นางคุกเข่าใต้ฝ่าเท้าของเกอตันเวย ช่วยนวดเท้าให้เกอตันวัยนางกำนัลที่หยอกล้อกับเกอตันเวยอยู่นั้น เคลื่อนไหวรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ย
แววตาหวาดกลัวและสิ้นหวังของเพ่ยเหยา กลับมาทอประกายในทันทีเมื่อได้ยินเรื่องนี้ เกอตันเวยก็ตกใจ ทว่าเขาตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว “พระชายาอ๋องเจิ้นหนาน? หลานสาวคนโตของข้าไม่ใช่หรือ”“ทั้งยังกลับมาพร้อมกับท่านทูต ครั้งนี้หลานสาวของข้าสูงส่งกว่าเดิม ในเมื่อเป็นเช่นนี้...” เกอตันเวยยกมือขึ้น “ครั้งนี้ข้าย่อมให้เข้าเฝ้า”นับตั้งแต่แต่งงานกับอ๋องเจิ้นหนาน พระชายาที่เป็นห่วงบิดามารดา เดินทางกลับมาทุกปี แต่นางกลับมาตามลำพังทุกครั้ง ดังนั้นทุกครั้งที่กลับมาจึงไม่ได้เจอบิดามารดาของตนเกอตันเวยไม่เพียงไม่อนุญาตให้นางเข้าวังหลวง ทั้งยังไม่จัดหาที่พักให้นาง นางทำได้เพียงนอนพักในโรงแรมนอกวังหลวง ถามไถ่ความเป็นอยู่ของบิดามารดา ทว่าส่วนมากล้วนไร้ประโยชน์ กลับเตียนตูด้วยความเศร้าอยู่ร่ำไปเกอตันเวยลุกขึ้นเดินไปที่ตำหนัก ตอนเดินผ่านเพ่ยเหยา จู่ๆ ก็หยุดลง โน้มตัวลงเชยคางนางขึ้น “อย่าหวังมากจนเกินไป มิเช่นนั้นจะยิ่งผิดหวัง ข้าขอบอกเจ้าอย่างชัดเจน แม้จะมาพร้อมท่านทูต แต่ผลสุดท้ายทุกอย่างก็ไม่ต่างจากที่ผ่านมาเท่าใดนักหากเป็นเมื่อหลายปีก่อน เกอตันเวยกลัวเกรงต้าชิ่งอยู่บ้าง ทว่าหลายปีมานี้ แคว้นต้าชิ่งดั่ง
อ๋องเติ้นหนานมีบารมีและยิ่งใหญ่ กล้าหาญชาญชัยวางแผนการเก่ง เขาจะแพ้ปัญญาชนตัวเล็กๆ ธรรมดาคนหนึ่งได้อย่างไรเกอตันเวยรู้สึกว่าคนที่เอาชนะอ๋องเจิ้นหนาน คือพ่อลูกตระกูลเหอพระชายาเปิดเผยที่ซ่อนตัวของอ๋องเจิ้นหนาน ขอให้จักรพรรดิต้าชิ่งช่วยนาง จักรพรรดิต้าชิ่งไม่อยากช่วยนาง จึงส่งทูตคนหนึ่งมาเกอตันเวยคิดเช่นนี้ ยิ่งลำพองใจกล่าวว่า จักรพรรดิต้าชิ่งเวลานี้ไม่กล้าทำอะไรเขาพระชายาอ๋องเจิ้นหนานและปัญญาชนหน้าอ่อนคนนั้น แสดงจุดยืนของจักรพรรดิต้าชิ่งหรือว่า...เกอตันเวยยิ่งคิด ‘ขอบเขต’ ของเขาก็ยิ่งไปไกลเขาคิดว่าพระชายาและเฉินฝานคือของขวัญที่จักรพรรดิต้าชิ่งยกให้เขา“อีจี๋ อื้ม ตอนนี้ต้องเรียกว่าพระชายาเหม่ยเหลียน”เพียงเกอตันเวยนึกถึงใบหน้างดงาม สวนดั่งมารร้าย รวมถึงเรือนร่างอรชรนั้น เขาก็อดไม่ได้ที่จะเลียริมฝีปากเขาไม่เพียงปรารถนาอยากได้พี่สะใภ้ แล้วยังมีใจใคร่ต้องการหลานสาวหญิงงามเช่นนั้น ก่อนหน้านี้ยกให้อ๋องเจิ้นหนาน ช่างน่าเสียดายจริงๆเพียงคิดภาพว่าวันหน้าเพ่ยเหยาและพระชายาเหม่ยเหยียนสองแม่ลูก อยู่ภายใต้เขา เกอตันเวยร้อนรุ่มไปทั้งตัวรอเขาจัดการปัญญาชนหน้าอ่อนนั่นก่อน เขาค
“พระชายา เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”ฉินเย่ว์เจียวยังพูดไม่จบ พระชายาก็รีบวิ่งไปที่ห้องของตนเองอย่างรวดเร็วน้ำเสียงอ่อนโยนของพระชายาเปลี่ยนไปจากเดิม หลังจากเข้าไปในห้องไม่นาน นางก็ตำหนิเสียงดัง ถึงขั้นจะลงโทษนางกำนัลคนนั้นนางกำนัลอีกสองคนที่มาพร้อมกับนางกำนัลคนนั้น เมื่อได้ยินเสียงด่าทอในห้อง กลัวตนจะเดือดร้อน รีบหนีไปก่อนนายโบยบ่าวที่ทำผิดจนตาย เป็นเรื่องปกติหากพวกนางไม่รีบหนี เกรงว่าชีวิตน้อยๆ นี้ก็จะซวยไปด้วย“เสด็จแม่ คือท่านจริงๆ หรือเพคะ? เหตุใดตอนนี้เสด็จแม่จึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้?”หลังจากนางกำนัลสองคนนั้นออกไป ภายในห้องของพระชายามีเสียงตกใจระคนเจ็บปวดดังขึ้น“เสด็จแม่...” ฉินเย่ว์เหจียวมองเฉินฝานด้วยสีหน้าฉงน “นายท่าน นี่มันเรื่องอะไรเจ้าคะ? เป็นนางกำนัลไม่ใช่หรือ? เหตุใดจึงกลายเป็นเสด็จแม่ไปได้?”“เจ้าอย่าถามมาก” เฉินฝานมองทั้งสองที่อยู่ในห้องพระชายากอดกัน หันไปบอกเย่ว์หนู“เย่ว์หนู เจ้าไปเฝ้าข้างนอก”“เจ้าค่ะ นายท่าน”เย่ว์หนูเดินออกไปตามคำสั่งภายในห้อง“เสด็จแม่...” มือของเพ่ยเหยาหยาบกร้าน ทว่าพระชายายังคงกุมมือเพ่ยเหยาที่เต็มไปด้วยบาดแผล พร้อมถามด้วยความเจ็บปวด
เฉินฝานและพรรคพวกเดินตามขันทีของเกอตันเวย ไปยังพระตำหนักแคว้นเหมี่ยนอีกครั้ง“ช้าก่อน!”ครั้นมาถึงด้านหน้าประตูพระตำหนัก พวกเฉินฝานถูกรั้งตัวไว้ เป็นการตรวจสอบตามกิจวัตรประจำวัน ซึ่งห้ามพกอาวุธเข้าไปข้างในพระตำหนักการตรวจสอบคล้ายคลึงกับเมื่อช่วงกลางวันทุกคนได้รับการปล่อยตัวเรียบร้อย เฉินฝานและทุกคนเดินไปเกือบสิบกว่าเมตร แต่กลับถูกรั้งตัวไว้อีกครั้ง“นาง!”ทหารรักษาพระองค์ชี้ไปยังเย่ว์หนู “ไม่สามารถเข้าไปได้!”“เหตุใดถึงไม่สามารถเข้าไปได้ มีสิทธิ์อะไรไม่ให้นางเข้าไป?” ฉินเย่ว์เจียวซักถามอย่างไม่พอใจ“เจ้าผู้ครองแคว้นมีข้อกำหนด ไม่สามารถพาคนใช้เข้าไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนใช้ที่รู้วิชาการต่อสู้”“เย่ว์หนู เจ้ารอข้างนอกแล้วกัน” เฉินฝานกล่าว“เจ้าค่ะ นายท่าน”ครั้นเย่ว์หนูเดินจากไป นางกวาดตามองฝ่ามือเฉินฝานคราหนึ่งฝ่ามือของเขา ชี้ลงข้างล่างครั้งนี้ พวกเฉินฝานไม่ต้องรอ ครั้นพวกเขาเข้ามาถึงห้องจัดเลี้ยงไม่นาน เกอตันเวยก็เข้ามาด้วยเช่นกัน“ข้าเฉินฝานนักการทูตแห่งแคว้นต้าชิ่ง เป็นตัวแทนของฮ่องเต้แคว้นต้าชิ่งมาส่งคำอวยพรให้กับเจ้าผู้ครองแคว้นแห่งแคว้นเหมี่ยน ขอให้เจ้าผู้ครองแคว้น
ขันทีมีอายุประมาณหนึ่งสองคน เดินเข้ามาพร้อมยกสุราไว้หนึ่งถังขันทีผู้นั้นที่เดินข้างหน้าสุด ก้มศีรษะอย่างรีบร้อนเมื่อเดินเข้ามาในห้องจัดเลี้ยงด้วยการกระทำเช่นนี้ ทำให้เขาไม่ทันสังเกตเห็นขั้นบันไดตรงหน้า“ตุบ!”“เพล้ง!”ทันใดนั้นถังสุราที่ล้มลง ทำเหล้ากระเซ็นไปทั่วทุกสารทิศ มีบางส่วนกระเซ็นถึงตัวเฉินฝาน“เจ้าคนใช้ไร้ประโยชน์ สุราหนึ่งถังยังยกไม่ได้ กล้าดีอย่างไรทำเหล้ากระเซ็นถูกตัวนักการทูต?”เกอตันเวยดึงแส้หนังเส้นหนึ่งตรงเอวออกมาทันที เขาเดินเข้าไปเผชิญหน้ากับขันทีผู้นั้นแล้วฟาด/อย่างรุนแรงขันทีกัดฟันอดทนอย่างหนักแล้ว แต่ก็ยังทนไม่ไหวจึงส่งเสียงเจ็บปวดแผ่วเบาออกมาผิวหนังฉีกขาดเจ็บปวดเป็นอย่างมากจริง ๆหลังจากเข้ามาในวัง พระชายาเอกผู้มีความรู้สึกไม่เป็นอันสงบสุขตลอดมา พลันชะงักนิ่งไป ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเบิกกว้างมาก นางมองขันทีที่คืบคลานอยู่กับพื้นโดยไม่ขยับตัวผู้นั้นอย่างไม่ละสายตาความจริงนางมีคำตอบในใจแล้ว แต่ไม่กล้าและไม่ยินยอมที่จะเชื่อหางตาของเกอตันเวยเหลือบมองพระชายาเอกคราหนึ่ง มุมริมฝีปากแสดงรอยยิ้มของคนเจ้าเล่ห์ไว้ แส้หนังที่อยู่ในมือ สะบัดขึ้นลงอย่างเสียงดังเ
เกอตันเวยมองโต๊ะที่ถูกเฉินฝานล้มคว่ำ พลางสบถ “โอ้โห” ในปากใบหน้าเต็มไปด้วยเนื้อ แสดงรอยยิ้มชัดทวีคูณ “สามารถพลิกคว่ำโต๊ะได้ด้วย? กำลังร่างกาย สูงกว่าในจินตนาการของข้าทีเดียว”สีหน้ายิ้มแย้มพลันดับฮวบ เขายกมือแล้วสะบัด“กึกกัก กึกกัก กึกกัก”ทหารแคว้นเหมี่ยนท่อนบนตัวแดงเปลือยเปล่าจำนวนนับไม่ถ้วน มือถือดาบวงพระจันทร์ บุกเข้ามาจากข้างนอกและล้อมเฉินฝานกับฉินเย่ว์เจียว“เกอตันเวย ใต้เท้าเฉินเป็นนักการทูตของแคว้นต้าชิ่ง เจ้ากล้าดีอย่างไรลงมือกับเขา!”ครั้นเห็นพวกเฉินฝานถูกปิดล้อม พระชายาเอกไม่สนใจความปลอดภัยของตน ตะโกนกล่าวเตือนเกอตันเวยซ้ำ ๆ“โอ้หลานสาวคนโตของข้า!” เกอตันเวยบีบใบหน้าพระชายาเอก “หลังจากแต่งงานไปอยู่แคว้นต้าชิ่ง ก็กลายเป็นคนช่างพูดเชียว จะเป็นเช่นนี้คงไม่ได้ ดูท่าแล้วผู้เป็นอาอย่างข้า คงต้องใช้ความคิดมากกว่านี้และสั่งสอนเจ้าให้ดีอีกสักครั้ง”สั่งสอน สองตัวหนังสือ กล่าวอย่างหื่นกามมากเป็นพิเศษ“รีบปล่อยพวกเขาซะ กองทัพลาดตระเวนของแคว้นต้าชิ่งยังตั้งกองทัพอยู่ที่เตียนตู หากเจ้ากล้าทำอะไรใต้เท้าเฉิน พวกเขาจะบุกเข้ามาทันที” พระชายาเอกกลั้นความขยะแขยงภายในใจและกล่าวเตือนเ
“ผู้จัดสรร มิสามารถแบ่งให้คนนอกที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าเช่นนี้ได้เด็ดขาด!”“ถูกต้องแล้ว แบ่งให้คนที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้ามิได้!”คนรับใช้สองสามคนข้างกายเหลยหย่งอัน พูดเสริมทันที“เช่นนั้นนายน้อยเหลยคิดว่าผู้ใดเป็นผู้จัดสรรจึงจะเหมาะสม?”มีคนตะโกนถามท่ามกลางผู้เหลือรอดเหลยหย่งอันเลิกคิ้วขึ้นทันที ประโยคที่เขารอก็คือประโยคนี้ผู้นั้นเพิ่งจะกล่าวจบ เหลยหย่งอันก็ส่งสายตาไปที่คนรับใช้ข้างกายทันที“ร้านค้าตระกูลเหลยมากมายมหาศาล นายน้อยของพวกเราก็มีส่วนร่วมดูแล ไปตรวจสอบที่ร้านค้าทุกเดือน”ตรวจสอบแบบใดกัน ไปเกี้ยวพาราสีสตรีในร้านเสียมากกว่าเรื่องนี้ทุกคนในเมืองเซียนตูทราบดี เพียงแต่มิอยากให้เหลยหย่งอันมิพอใจ จึงมิมีผู้ใดกล้าพูดเปิดโปง“ดังนั้น...” คนใช้ผู้นั้นกล่าวต่อ “ผู้จัดสรรนี้ นายน้อยของข้าเป็นคนที่เหมาะสมที่สุด “ทุกคนลงเรือลำเดียวกันแล้ว พวกเจ้า...” เหลยหย่งอันยกมือขึ้นทำท่าทางแบกรับรับความผิดชอบไว้เพียงผู้เดียว “คนที่ร่วมทุกข์กับข้าทุกคน ขอเพียงแค่สามารถมีชีวิตรอดออกไปได้ ก็สามารถไปรับเงินหนึ่งร้อยตำลึงได้ที่ตระกูลเหลยของพวกเรา”เพื่อที่จะได้ตำแหน่งผู้จัดสรรนี้ เหลยห
“ต่อให้เสบียงอาหารทั้งหมดต้องถูกจัดสรรปันส่วนอย่างเท่าเทียม เช่นนั้นไฉนอำนาจในการจัดการจัดแบ่งต้องเป็นเจ้าคนเดียวงั้นหรือ? เจ้าเป็นใครกัน?”ชายหนุ่มที่สวมชุดผ้าไหมอย่างดี ศีรษะสวมหมวกสีทองประดับด้วยไข่มุกเดินเข้ามากล่าวถามเฉินฝานด้วยท่าทีโอหังบุคคลนี้คือลูกชายคนโตของตระกูลเหลยเก่าแก่อันดับหนึ่งของเมืองเซียนตู เหลยหย่งอันด้วยความที่ชาติตระกูลมีเงินและอำนาจ เหลยหย่งอันได้รับสมญานามให้เป็นอันธพาลอันดับหนึ่งในเมืองเซียนตู ปกติก็มักจะรังแกผู้ชายข่มเหงผู้หญิง กระทำชั่วทุกรูปแบบสำหรับวีรกรรมของเหลยหย่งอันแล้ว เจ้าเมืองซื่อต้าเผิงต้องยอมปล่อยผ่านไปเหลยหย่งอันรู้สึกว่ามิถูกชะตาเฉินฝานอยู่ก่อนแล้วเรือนเซียนผาสุกมีกฎว่านอกจากผู้ฟังโชคดี่ถูกเมี่ยวอวี่สุ่มเลือกมา บุคคลที่ให้เงินรางวัลจำนวนมากที่สุด เมี่ยวอวี่ก็จะบรรเลงพิณเป็นการส่วนตัวเช่นกันทว่า ทุกปีจะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นต้นปีเหลยหย่งอันก็เริ่มให้เงินรางวัลจำนวนมหาศาล ในที่สุดเมื่อมาถึงเดือนท้ายปีก็ได้ลำดับที่หนึ่งมาครองเห็นว่าตนเองสามารถเข้าไปในกระท่อมหิมะพบกับเมี่ยวอวี่ ได้ฟังพิณที่นางบรรเลงให้ตนเองโดยเฉพาะ กลับคาดมิถึงว่าอย
เรือนเซียนผาสุกมีชื่อเสียงเงินทองมหาศาลดังคาด จำนวนเสบียงที่กักตุนไว้ตอนฤดูหนาว มากกว่าเสบียงครึ่งปีของครอบครัวสามัญชนเสียอีกตรงข้ามกับผู้เหลือรอดเหล่านั้น เฉินฝานยิ่งฟัง คิ้วยิ่งขมวดหนักขึ้นเรื่อย ๆน้อยไป น้อยเกินไปแล้วคนสามร้อยกว่าคน ต่อให้กินอาหารวันละหนึ่งมื้อ เสบียงอาหารเหล่านี้ก็หมดเกลี้ยงเพียงในพริบตาเดียว“เสบียงอาหารของกระท่อมหิมะนำออกมาไว้ที่แห่งนี้ทั้งหมดแล้วใช่หรือไม่?” เฉินฝานหันหน้ากล่าวถามเมี่ยวอวี่“กระท่อมหิมะแห่งนี้ของข้ามิได้ใหญ่โตเสียหน่อย ตุนไว้จำนวนมากเพียงนั้น ยังมินับว่าเยอะอีกหรือ?” เมี่ยวอวี่ย้อนถามเฉินฝาน“ก็จริง” เฉินฝานหัวเราะสมเพชตนเองในส่วนลึกของหัวใจ หวังว่าจะมีเยอะกว่านี้“ตอนนี้นับเสบียงเรียบร้อยแล้ว รีบแบ่งให้ทุกคนเถอะ”มีคนเร่งเร้าหิวจนทนมิไหวแล้วจริง ๆ“แบ่งมิได้!” เฉินฝานกล่าว“มิแบ่งงั้นหรือ?”สายตาสามร้อยกว่าคนจับจ้องไปที่เฉินฝานอย่างพร้อมเพียงมิเข้าใจ มิเชื่อเสบียงอาหารทั้งหมดถูกขนย้ายออกมานับจำนวนแล้ว ไม่เพียงแต่จำนวนเสบียงเท่านั้น จำนวนคนก็นับแล้วเช่นกันทำถึงเพียงนี้แล้ว เฉินฝานกลับกล่าวว่ามิแบ่งแล้ว“เจ้าหมายความว่าอย
เขายืนกรานไม่ยอมนำเสบียงออกมามิใช่หรือ ไฉนตอนนี้ต้องการเอาออกมา และยังต้องนำออกมาทั้งหมดอีกด้วยเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่กันแน่?“ทำไมล่ะ? แม่นางเมี่ยวอวี่มิเห็นด้วยงั้นหรือ?” เฉินฝานกล่าวถาม“โอ้ ไม่ใช่หรอก!” เมี่ยวอวี่กล่าวอย่างรีบร้อน “แน่นอนว่าข้าต้องเห็นด้วยอยู่แล้ว เจ้ารีบพาคนไปนำเสบียงอาหารในคลังออกมาทั้งหมด”“ช้าก่อน!” เฉินฝานเรียกยายจ้าวไว้ “เพื่อให้มั่นใจว่าเสบียงอาหารทั้งหมดจะถูกขนย้ายออกมา เย่ว์เจียวเจ้าไปตามยายจ้าวไปด้วย พวกเจ้า... ”เฉินฝานหันไปกล่าวกับผู้เหลือรอดเหล่านั้น “ก็ส่งหนึ่งคนตามไปด้วย”ผ่านไปครู่เดียว เสบียงอาหารทั้งหมดในกระท่อมหิมะถูกขนมาไว้ด้านหน้าฝูงชนเฉินฝานมองดูเสบียงอาหารที่กองเป็นพะเนินด้านหน้า กล่าวอย่างเนิบนาบ “โอ้ จำนวนมิน้อยเลยนะเนี่ย”“อากาศเย็น คร้านออกไปจับจ่าย ดังนั้นจึงซื้อจำนวนมากในคราวเดียว” เมี่ยวอวี่กล่าวอย่างมิใส่ใจมากนักเสบียงอาหารเหล่านั้นมีจำนวนมากก็จริงทว่าเป็นเรื่องยากที่จะทำให้คนจำนวนมากเพียงนี้อยู่รอด!ท้ายที่สุด ก็ยังคงต้องตายอยู่ดีเหล่าผู้เหลือรอด มิได้มองการณ์ไกลเช่นนั้น พวกเขาที่หิวมาหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว มองเสบียงอาห
เมื่อมีคนเปิดประเด็นแล้วคนอื่นก็พากันทำตาม คนกลุ่มใหญ่จำนวนมหาศาลคุกเข่าต่อหน้าเฉินฝานเฉินฝานมิได้กล่าวอันใด เมี่ยวอวี่ที่อยู่ด้านข้างชิงพูดก่อน“เหอะ!” เมี่ยวอวี่เยาะเย้ยออกมาทันที กล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ช่างเป็นชายที่ใจดำอำมหิตเสียจริง คิดว่าตนเองมีผู้มากฝีมือที่เก่งกาจอยู่ข้างกาย ก็สามารถมิสนใจชีวิตของผู้คนรอบตัว แม้กระทั่งเด็กและคนชราก็ยังมิยอมช่วย”เมี่ยวอวี่จงใจกล่าวเช่นนี้จงใจที่พัดความโมโหของฝูงชนให้ลุกฮือดังคาด...“เขาใจดำอำมหิตเพียงนั้น แม้กระทั่งเด็กน้อยคนแก่ก็ยังมิยอมให้อาหารกินแม้แต่น้อย เช่นนั้นเรายังต้องกลัวสิ่งใดอีก?”เมื่อมีคนเริ่มก็มีคนตาม“ถูกต้อง อย่างไรเสียก็ถูกขังจนตายอยู่ที่นี้อยู่ดี ก่อนที่จะจากโลกนี้ไป ทุกคนต้องได้กินให้อิ่มท้อง!”“พวกเรามิต้องมาอ้อนวอนอยู่ตรงนี้และ ไปสืบเสาะ ไปค้นหา กระท่อมหิมะอาจจะใหญ่ไปเสียหน่อย แต่พวกเรามีจำนวนคนเยอะจะหาที่ซ่อนของเสบียงอาหารมิได้เชียวหรือ?”กลุ่มคนจำนวนมหาศาลในกระท่อมแต่เดิม รีบออกไปอย่างรวดเร็วราวกับกระแสน้ำลงของมหาสมุทร“เจี้ยนฮวง!” เฉินฝานกล่าวเกรงว่าเซียนเจี้ยนหวงจะเข้าใจผิด เฉินฝานจึงพูดเสริมอีกห
เซียนเจี้ยนหวงมิลงมือทำร้ายสามัญชน ชายรอยบาดแผลคิดว่าชื่อเสียงของเซียนเจี้ยนหวงเป็นสิ่งจอมปลอม และเขาคิดว่าตนเองมีจำนวนมากมาย ต่อให้เซียนเจี้ยนหวงจะเก่งกาจเพียงใดก็มิสามารถลุยเดี่ยวกับคนหนึ่งร้อยคนได้และเฉินฝานก็ดูจะเป็นคนสุภาพเรียบร้อย ดังนั้นชายรอยบาดแผลมิได้รู้สึกเกรงกลัวอันใด ท่าทียโสโอหังยิ่งเขาต้องการเสบียงอาหารในกระท่อมหิมะทั้งหมด และประสงค์ที่จะคุมชะตาคนหลายคนไว้ในกำมือ ในขณะเดียวกันก็สามารถช่วยเมี่ยวอวี่ให้หลุดพ้นได้ด้วยอำนาจ สาวงาม เสบียงอาหารเขาต้องการทั้งหมดเฉินฝานเงยหน้าขึ้น เหลือบมองชายรอยบาดแผลอย่างเรียบนิ่ง “ดูเจ้าพูดเข้าสิ เจ้าเก่งกาจมากสินะ”“เยี่ยนหลิ่งผู้ยิ่งใหญ่!” ชายรอยบาดแผลวางท่าทีใหญ่โต“ว้าว!” เฉินฝานยกนิ้วโป้ง “ชื่อนี้ช่างน่าเกรงขามเสียจริง!”สุดยอด!เซียนเจี้ยนหวงต้องเก็บอาการอยู่ด้านข้างนี่คงจะเป็นความสนุกเพียงอย่างเดียวตอนที่ถูกกักขังอยู่ที่แห่งนี้ดูคนโง่ ที่จริงแล้วก็เป็นเรื่องที่น่าสนุก“เพียงแต่...” เฉินฝานเปลี่ยนเรื่องทันที “มิทราบว่าชื่อที่น่าเกรงขามเช่นนี้ จะชำนาญในการต่อสู้หรือไม่?”ระหว่างที่พูด เฉินฝานหันไปด้านข้างเล็กน้อย “
“ตุ้บ ๆ ๆ ๆ!”เสียงทุบประตูหน้าต่างด้านนอกดังขึ้นเรื่อย ๆ เซียนเจี้ยนหวงฝึกวรยุทธ์จนชำนาญแล้ว สถานการณ์ฝั่งเขานั้นค่อนข้างไปในทิศทางที่ดีฝั่งฉินเย่ว์เจียวและเย่ว์หนูนี้ค่อนข้างลำบาก“เย่ว์หนู เจ้ากันไว้ก่อน ข้าจะไปย้ายเตียงมากันไว้!”“มิจำเป็นหรอก!” เฉินฝานโบกมือเล็กน้อย เขาให้ฉินเย่ว์เจียวและเย่ว์หนูเปิดประตูออก“เปิดประตูงั้นหรือ?” ฉินเย่ว์เจียวส่ายหน้าทันที “ไม่ได้เจ้าค่ะ นายท่าน”คนด้านนอกทุกคนล้วนโกรธเฉินฝานจนกัดฟันกรอด ตะโกนอย่างดุเดือดเพื่อให้ต้องการพวกเขาผ่านเข้าไป เฉินฝานเสี่ยงอันตรายเกินไปแล้ว“พวกเจ้าสามารถกันไว้ได้หนึ่งชั่วยาม จะสามารถกันได้ถึงสองชั่วยามงั้นหรือ?”เมื่อคนตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงตาย มิว่าสิ่งใดก็สามารถทำได้ความเลวทรามของมนุษย์ เป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวที่สุดในโลกใบนี้“นายท่าน ขอเพียงข้ายังอยู่ ข้าก็จะยังคงกันต่อไปเรื่อย ๆ จะมิยอมให้คนด้านนอกเหล่านั้นทำร้ายท่านแม้แต่ปลายเล็บ”ฉินเย่ว์เจียวกำหมัดไว้แน่นขนัดเฉินฝานมองท่าทีที่เศร้าสลดทว่าเข้มแข็งของฉินเย่ว์เจียว รู้สึกซาบซึ้งและหงุดหงิด“นายท่าน บ่าวก็เช่นกันเจ้าค่ะ”เย่ว์หนูเพิ่มแรงในการกันประต
ฉินเย่ว์เจียวง้างมือขึ้นทันที เดิมทีต้องการจะตบหน้าเมี่ยวอวี่เป็นครั้งที่สองพลันยั้งมือกะทันหันกลั้นหายใจ รอฟังคำตอบของเมี่ยวอวี่ด้วยความกังวลเฉินฝานก็อดมิได้ที่จะเงี่ยหูฟังจะรู้ร่องรอยของเย่ว์ฉินแล้ว รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย“หยกห้อยเอวชิ้นนี้...”“ตุ้บ!”อยู่ ๆ ก็มีก้อนหิมะลอยก้อนหนึ่งลอยทะลุหน้าต่างเข้ามา“โอ๊ย!”เมี่ยวอวี่อยู่ใกล้หน้าต่างอย่างมาก ก้อนหิมะขว้างโดนหัวหน้า ทำให้นางตกใจจึงร้องออกมาทันที“ตุ้บ”ครั้งนี้สิ่งที่ขว้างมาคือก้อนหิน“ระวัง!”เมี่ยวอวี่รู้สึกเพียงว่าร่างกายทรงตัวมิอยู่ ตัวไปชนกับอ้อมอกที่ล่ำสันหัวสมองว่างเปล่าราวกับถูกจี้จุด เมี่ยวอวี่มองเฉินฝานด้วยความมึนงงดวงตากลมโตที่เปล่งประกายแวววับดังดวงดารา สภาพอารมณ์แปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็วหาคำตอบมิได้ มิเชื่อ มิเข้าใจ“เจ้า...” เมี่ยวอวี่กลอกตาไปมา “ไยเจ้าจึงช่วยข้า?”หากมิใช่เฉินฝานดึงนางหลบได้ทัน ตอนนี้นางก็คงหัวแตกเลือดไหลนองไปนานแล้วเฉินฝานผลักเมี่ยวอวี่ในอ้อมอกออก เขาที่พลังภายในยังฟื้นฟูมิสมบูรณ์เอนตัวล้มพิงเรือนร่างของฉินเย่ว์เจียว น้ำเสียงเยือกเย็น “อย่าคิดเข้าตัวเอง ข้าทำไปตามสัญชาตญาณเท
ถึงแม้ในทุกวันนางมักจะรับคำเยินยอจากบุรุษเพศอยู่แล้ว ทว่าท่าทางที่รักใคร่หวานยิ่งกว่าน้ำผึ้งราวภาพวาดนี้ นางมิเคยพบเห็นมาก่อนเมี่ยวอวี่ที่สงสัยว่าตัวเองมองผิดไป จึงตั้งใจหันกลับไปดูอีกครั้งภาพที่เฉินฝานช่วยปัดไรผมบนหน้าผากของฉินเย่ว์เจียวออก และฉินเย่ว์เจียวยิ้มตอบกลับให้เฉินฝานอย่างหวานหยาดเยิ้ม เมี่ยวอวี่เหลือบไปเห็นพอดีไม่จริงหรอก!เมี่ยวอวี่รีบหันหน้ากลับไปด้วยความรวดเร็ว ตีหน้าอกตนเองเบา ๆสองสามทีคาดมิถึงว่าจะเป็นเรื่องจริงใต้หล้านี้มีสามีภรรยาที่รักใคร่กันเช่นนี้จริงหรือ ? เป็นเรื่องจริงหรือว่าผู้ชายจะอ่อนโยนกับภรรยาตนเองได้เพียงนั้น?เฉินฝานเป็นชายที่เลวทรามต่ำช้ามิใช่หรือ?เย่ว์หนูชะเง้อมองมาจากทางเข้าเห็นว่าเฉินฝานตื่นแล้ว รีบวิ่งกลับไปที่ในห้อง ยกโจ๊กครึ่งชามที่วางไว้ในห้องไปอุ่นที่ห้องครัว หลังจากที่อุ่นจนร้อนแล้วก็วิ่งกลับมา“โจ๊กมาแล้วเจ้าค่ะ”“เอามาให้ข้า!” ฉินเย่ว์เจียวรับโจ๊กในมือเย่ว์หนูมาทันที“ลำบากเจ้าแล้ว” เฉินฝานหันไปพยักหน้ากับเย่ว์หนู“บ่าวมิลำบากเลยเจ้าค่ะ ขอเพียงนายท่านหายดีก็เพียงพอแล้ว” เย่ว์หนูหน้าแดง ส่ายหน้าอย่างแรงกล่าวว่าตนเองมิลำ