หากย้อนกลับไปได้ นางจะยอมมิร่ำเรียนสิ่งใดทั้งสิ้นเสียยังดีกว่านางที่โง่เขลา คงจะไม่ถูกส่งมาที่ต้าชิ่งแล้ว“พระชายา ๆ!”เฉินฝานเรียกติดกันสองครา พระชายาจึงได้สติกลับมา“คิดอะไรอยู่งั้นหรือ? ดูเหมือนจะเจ็บปวดใจอย่างมาก? เพราะว่าท่านอ๋องให้เจ้ามาปรนนิบัติข้า เจ้ามิเต็มใจงั้นหรือ?”“มิใช่นะเพคะ!”แววตาสีน้ำตาลอ่อนของพระชายาคู่นั้น พลันปรากฏความหวาดกลัว “ข้าน้อยมิได้มิเต็มใจนะเพคะ การรับใช้ใต้เท้า ข้าน้อยเต็มใจ เต็มใจอย่างมาก”เกรงว่าเฉินฝานจะมิเชื่อ พระชายาจึงขยับไปใกล้ร่างของเฉินฝานก่อน“ใต้เท้า ท่านชื่นชอบข้าน้อยหรือไม่เพคะ?” น้ำเสียงเนิบนาบ แววตาเย้ายวนเฉินฝานเอามือเล่นกับอัญมณีหลากสีตรงสะดือของพระชายา กล่าวน้ำเสียงหยอกล้ออย่างแผ่วเบาว่า “เจ้ามีเสน่ห์เย้ายวนดึงดูดสายตาเพียงนั้น และยังมีเรือนร่างที่น่าหลงใหล ข้าจะมิชอบได้อย่างไรกัน?”“เช่นนั้น...” พระชายาขยับตัวเข้ามาใกล้ “ใต้เท้า ท่านรอคอยสิ่งใดอยู่กันเล่า?”“ข้ากำลังรอ...” การร่ายรำใต้น้ำของเฉินฝานรุนแรงมากขึ้นมหึมานุ่มนิ่มเด้งไปมางดงามอย่างมิสิ้นสุด“อ่า~”เสียงครวญครางแผ่วเบาทะลักออกมาจากริมฝีปากสีชาดของพระชายา
ใช้ริมฝีปากประกบกับริมฝีสีชาดนั้น บดขยี้จุมพิตซ้ำแล้วซ้ำเล่า จุมพิตอย่างหนักหน่วง มิปล่อยให้นางได้มีโอกาสหายใจแม้แต่น้อยเฉินฝานรู้สึกได้ชัดเจนว่าสตรีอยู่ในอ้อมอกของเขา จากที่เรือนร่างเกร็งจนแข็งทื่อค่อยๆเอนอ่อนผ่อนคลายมากขึ้น“ใต้...ใต้เท้า... ”พวงแก้มทั้งสองของพระชายาแดงก่ำ แววตาล่อกแล่กไปมา“ข้าน้อยหายใจมิสะดวก...”“หืม?” เฉินฝานหยุดการจุมพิตชั่วครู่“ข้าน้อยอยากขยับร่างกายเสียหน่อย อย่างเช่น...” นางใช้ฟันขบเม้มริมฝีปากเบาๆ “การขยับให้อยู่สูงกว่าใต้เท้า”เฉินฝานหรี่ตาลงเล็กน้อย คลายมือที่กอดรัดพระชายาไว้ “พระชายาแพรวพราวขนาดนั้นเชียวหรือ?”พระชายาที่รับอิสระจากการควบคุมของเฉินฝาน กล่าวอย่างออดอ้อนว่า “ใต้เท้า เช่นนั้นท่านสามารถยกข้าให้สูงขึ้นอีกนิดได้หรือไม่? เช่นนี้ใต้เท้าจึงสามารถมองข้าน้อยได้อย่างชัดเจนมากขึ้น”“ไยจะมิได้...”ศีรษะของเฉินฝาน โน้มเข้าใส่สิ่งที่นุ่มนิ่ม ระหว่างที่กำลังเคลิบเคลิ้ม มือสองข้างของพระชายาสัมผัสมวยผมที่รวบสูง“......พระชายา ใช้ปิ่นปักผมเช่นนี้ มิกลัวว่าจะทิ่มแทงตนเองหรือกระไร?”เฉินฝานนำมีดเล็กที่เรียวยาวออกมาเล่น กล่าวถามพระชายาอย่างมิได้ใ
“มิใช่นะเพคะ ๆ ท่านอ๋องมิได้รับสั่งเช่นนี้”พระชายาแก้ตัวให้อ๋องเจิ้งหนานอย่างลุกลี้ลุกลน“โอ้?” เฉินฝานกล่าวอย่างมิใส่ใจ “เขามิได้รับสั่งเช่นนี้ เช่นนั้นก็เป็นพระชายาเองที่อยากสังหารข้างั้นหรือ?”“ใต้เท้า!”ใบหน้าเย้ายวนเรียวเล็กของพระชายานั้น ซีดเผือดทันที มิสนใจร่างที่เปลือยเปล่าของตน วิ่งไปด้านบนอ่างอาบน้ำ คลานลงกับพื้น “ข้าน้อยมิกล้าคิดเช่นนั้นเด็ดขาดเพคะ”“เจ้าคิดเช่นนั้นหรือไม่ เจ้ารู้อยู่แก่ใจดี” เฉินฝานผายมือ น้ำเสียงเยือกเย็น “เจ้าออกไปเถอะ มิต้องเข้ามาแล้ว ข้าอยากอยู่เงียบๆคนเดียว”ทำเหมือนว่าตอนนี้เขากำลังรังแกสตรี ตอนนี้มิความสนุกแม้แต่น้อยผนวกกับการที่สู้รบมาหลายวันแล้วช่างเหนื่อยล้าเสียจริง“เพคะ...”พระชายาโค้งตัวไปทางเฉินฝาน ค่อยเดินถอยอย่างเชื่องช้า“ปัง!”พระชายาเพิ่งจะออกไป ริมอ่างอาบน้ำก็ปรากฏร่างเงาหนึ่งขึ้นบุคคลนั้นกระโจนลงไปในน้ำอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดคลื่นน้ำมหึมา“......” เฉินฝานมองสตรีที่ผลักเขาติดกับขอบอ่างน้ำกัดเขาสุดแรงอย่างเหนื่อยหน่าย “ต้องรีบร้อนขนาดนี้เชียวหรือ?”“แน่นอนอยู่แล้วเจ้าคะ!” สตรีนางนั้นขบเม้มหัวไหล่ของเขาไปพลาง พูดพึมพำไปพ
เฉินฝานไม่ได้โกหกนาง หลังจากสังหารอ๋องเจิ้นหนาน เขาก็รีบไปทันทีลูกเมียที่เมืองหลวงต้องคิดถึงเขามากแล้วแน่ๆ รวมถึงคนในวังหลวงด้วย...เพียงนึกถึงใบหน้างดงามแสนเย็นชานั้น หัวใจของเฉินฝาน คล้ายมีห่วงที่ไม่อาจปล่อยวางได้ฉินเย่ว์เหมยมองแล้วเข้มแข็ง และเย็นชาแต่แท้จริงแล้วเขารู้ดีว่า จิตใจของฉินเย่ว์เหมยไม่ได้เข้มแข็งอย่างที่เห็น และไม่ได้เย็นชาเช่นนั้นแค่เพราะนางยืนอยู่บนตำแหน่งนั้น จึงจำต้องไม่เป็นตัวเองตลอดระยะเวลาที่เขาไม่อยู่ในเมืองหลวง นางถูกเสิ่นหมิงหยวนรังแกไม่น้อยแน่ๆได้รับชัยชนะในหรงตู เขาให้คนส่งจดหมายกลับเมืองหลวงทันที ทั้งยังส่งคนไปสามรอบติดต่อกันจดหมายฉบับแรกคือทำลายทหารหนึ่งแสนสามหมื่นนายของอ๋องเจิ้นหนาน จดหมายฉบับที่สองคือตนเฉินฝาน กระทั่งเวลานี้ยังมีชีวิตและสุขสบายดีทั้งหมดนี้ เพราะอยากให้ฉินเย่ว์เหมยมีชีวิตที่ดีเล็กน้อยขอเพียงเขายังมีชีวิตอยู่ เสิ่นหมิงหยวนไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม“ใต้เท้า ข้าก็อยากเจอท่านอ๋อง” พระชายาตอบ“หืม?” เฉินฝานมองพระชายาด้วยความฉงนพระชายารีบย่อตัวลงทำความเคารพ “ใต้เท้าโปรดอภัย ข้าไม่รู้ว่าตอนนี้ท่านอ๋องอยู่ที่ใด เมื่อวันก่อนข้าได
ท่านมาช้าเหลือเกิน ให้ข้ารอนานยิ่งนัก”เสียงตำหนิเล็กน้อย ฟังแล้วเย้ายวนมากยิ่งขึ้นพระชายาเหม่ยเหลียนที่นอนอยู่บนตั่งสนมเอก คืองูสาวยั่วยวนมนุษย์อย่างแท้จริงเฉินฝานสูดลมหายใจเข้าลึกๆโชคดีที่อยู่ในวังหลวง พบเจอสตรีมามากมาย มิเช่นนั้นตอนนี้เขาคงไม่อาจควบคุมตนเองได้ดีเช่นนี้“เป็นความผิดของข้า ข้ามาช้า”เฉินฝานยกจอกสุราบนโต๊ะขึ้นมา รินหนึ่งแก้ว แล้วดื่มจนหมดในคราเดียวก่อนมา หมอเยี่ยนให้เขากินยาหนึ่งเม็ด ตอนนี้เขาเรียกได้ว่าร้อยพิษไม่อาจกล้ำกรายเฉินฝานดื่มติดต่อกันอีกสามแก้ว “ข้าดื่มสามแก้วเป็นการลงโทษตนเอง พระชายาคงไม่โกรธเคืองข้าแล้วกระมัง”อาศัยช่วงเวลาตอนดื่มสุรา เฉินฝานแอบสังเกตรอบๆ ตำหนักนอนแล้วประเด็นสำคัญคือดูว่ามีที่ซ่อนคนได้ง่ายๆ หรือไม่หลังจากเฉินฝานดื่มไปสามแก้ว เขาก็รินสุราอีกหนึ่งแก้ว หยิบแก้วที่รินสุราจนเต็มขึ้นมา เดินไปหาพระชายาที่นอนอยู่บนตั่งสนมเอก“พระชายาก็ดื่มหนึ่งแก้วสิขอรับ ดื่มสุราน้อย ยิ่งหฤหรรษ์”“ได้ ใต้เท้า!”มือบางขาวเนียนเสมือนหยก เลื่อนมาตรงหน้าเฉินฝานช้าๆตอนเฉินฝานวางแก้วสุรา เขาใช้นิ้วชี้วาดกลางฝ่ามือขาวสะอาดของพระชายา“ขอบ...คุณใต้เ
พระชายาที่เดิมทีล้มลงบนพื้นแล้วพูดพึมพำคนเดียวนั้น จู่ๆ ก็ลุกขึ้น หัวเราะเย็นชาให้กับเฉินฝานที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามใบหน้างดงาม ฉาบความเย็นชา คิ้วสีน้ำตาลอ่อน จ้องมองมาทางเฉินฝาน “ท่านคิดว่าคำพูดเพียงไม่กี่คำของท่าน ข้าก็จะเชื่อท่านแล้วอย่างนั้นหรือ? ข้าไม่เชื่อสามีของตนเอง แต่กลับเชื่อท่านเนี่ยนะ?”เผชิญหน้ากับใบหน้าเย็นชาของพระชายา เฉินฝานรู้สึกผ่อนคลายกว่าก่อนหน้านี้มากในที่สุดก็เผยธาตุแท้แล้ว อีกไม่นานเขาก็จะไปจากเตียนตูได้แล้ว“ก็จริง ท่านไม่เชื่อข้า เป็นเรื่องปกติ”เฉินฝานยักไหล่ เดินไปที่โต๊ะ ชูแก้วสุราขึ้น จิบเล็กน้อย ค่อยๆ ลิ้มรส “อื้ม เมื่อครู่ไม่ได้สังเกต สุรานี้ช่างหอมยิ่งนัก ทั้งยังรสนุ่ม หมักมาจากข้าวเหนียวกระมัง ได้ยินมานานแล้วว่า...”เฉินฝานชูแก้วสุราขึ้น ใช้จมูกสูดดมแล้วค่อยพูดต่อ “สุราข้าวเหนียวของแคว้นเหมี่ยน เลื่องชื่อยิ่งนัก ตอนนี้ดูแล้ว ไม่ได้กล่าวเกินจริง”“ท่านอ๋องพูดถูก ท่านหลงระเริงในตัวเอง รับมือง่าย” พระชายาจ้องเหล้าในมือเฉินฝาน“ดังนั้น...” เฉินฝานส่ายแก้วสุราในมือ “ในสุรามีพิษหรือ?”พระชายาหัวเราะรอยยิ้มของนาง ทำให้จิตใจของคนปั่นป่วนริมฝีปากดอก
ใต้เท้า งูพวกนี้มีชื่อว่างูทองเงิน พิษร้ายแรง ท่านต้องระวัง!”เสียงของพระชายาแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนสมกับเป็นงูสาวแสนสวยจริงๆ!“ขอบคุณสำหรับคำเตือนของพระชายา เช่นนั้นข้าขอเตือนพระชายาเช่นเดียวกัน ทางที่ดีที่สุดรีบยืนอยู่มุมกำแพง พร้อมกับปิดหูให้ดี”ขณะพูด มือของเฉินฝานจับที่เอว คว้าปืนขนาดเล็กออกมาสองกระบอก มือซ้ายและมือขวาเหนี่ยวไกพร้อมกันด้านหน้า ด้านหลัง ด้านซ้าย ด้านขวาเสียงปัง ปัง ปัง ดังระงมทั่วทุกสารทิศหัวงู ตัวงู หางงู เลือดงู กระจัดกระจายทั่วตำหนักบรรทมของพระชายาสภาพตำหนักเต็มไปด้วยเลือดเฉินฝานชูปืนทั้งสองกระบอกขึ้น เหยียบซากงูทองเงิน เดินไปยังเก้าอี้สมเอก“ปัง ปัง ปัง!”ยิงติดต่อกันอีกครั้ง“ว๊ายยย!”พระชาที่นั่งกอดศีรษะอยู่ใต้เก้าอี้สนม ตกใจจนหน้าถอดสี กรีดเสียงร้องไม่หยุด“พระชายา ไม่ต้องร้อง ปืนของข้า ยิงพวกงู”เฉินฝานเพิ่งพูดจบ งูทองเงินหลายตัวบนเก้าอี้สนม ร่วงหล่นลงบนตัวพระชายาพระชายาสะบัดงูทองเงินบนตัวทิ้ง มองปืนในมือเฉินฝาน ดวงตาสีน้ำตาลอ่อน เปี่ยมไปด้วยความหวาดกลัวนี่คือของประหลาดสีดำที่ท่านอ๋องกล่าวถึงเช่นนั้นหรือ?แต่ว่า ท่านอ๋องกล่าวว่า ของป
“แต่ว่า ไม่ว่าอ๋องเจิ้นหนานจะซ่อนตัวดีเพียงใด ด้วยเวลาที่เดินผ่านไป ข้าต้องเจอตัวเขาแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้น ท่านเป็นอิสระแล้ว คิดอยากทำสิ่งใดก็ทำสิ่งนั้นเถอะ”จิตใจของพระชายาไม่ใช่คนเลวร้าย ข้อนี้ เฉินฝานดูออก“ไปเถอะ!” เฉินฝานโบกมือ พูดอย่างอ่อนโยน “ยิ่งเวลานานเพียงใด ก็ยิ่งไม่ดีกับท่าน”สองมือของพระชายาจับปืนแน่น เดินไปโดยไม่พูดอะไรเฉินฝานรู้สึกเหนื่อยแล้ว เขาล้มตัวลงนอนบนเก้าอี้สนมเอก อยากพักครู่หนึ่ง สุดท้ายเพิ่งล้มตัวลงนอน ก็พบว่าพระชายาที่เดิมทีเดินออกไปแล้ว กลับยืนอยู่ข้างกายตน“ท่านเดินไม่มีเสียงหรือ?”จู่ ๆ พระชายาก็ย้อนกลับมา ทำให้เฉินฝานตกใจ“ใต้เท้า อ๋องเจิ้นหนานก่อกบฏจริงๆ หรือ?” พระชายาถามเฉินฝานพร้อมกับมองตาปริบๆเฉินฝานพยักหน้า “แน่นอน!”“เช่นนั้น...” พระชายากัดริมฝีปากล่าง “ใต้เท้าสอนข้าใช้...อาวุธสีดำนี้ได้หรือไม่?”“ท่าน? เพราะอะไร?” คำขอร้องของพระชายา อยู่เหนือความคาดหมายของเฉินฝาน“ข้าอยาก...” สีหน้าของพระชายาหนักแน่น “ข้าอยากสังหารกบฏด้วยมือตนเอง”เฉินฝานยกนิ้วโป้งให้พระชายา “พระชายาตระหนักรู้เช่นนี้ ข้าดีใจยิ่งนัก แต่ว่า...”เฉินฝานเปลี่ยนบทสนทนา “
“ผู้จัดสรร มิสามารถแบ่งให้คนนอกที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าเช่นนี้ได้เด็ดขาด!”“ถูกต้องแล้ว แบ่งให้คนที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้ามิได้!”คนรับใช้สองสามคนข้างกายเหลยหย่งอัน พูดเสริมทันที“เช่นนั้นนายน้อยเหลยคิดว่าผู้ใดเป็นผู้จัดสรรจึงจะเหมาะสม?”มีคนตะโกนถามท่ามกลางผู้เหลือรอดเหลยหย่งอันเลิกคิ้วขึ้นทันที ประโยคที่เขารอก็คือประโยคนี้ผู้นั้นเพิ่งจะกล่าวจบ เหลยหย่งอันก็ส่งสายตาไปที่คนรับใช้ข้างกายทันที“ร้านค้าตระกูลเหลยมากมายมหาศาล นายน้อยของพวกเราก็มีส่วนร่วมดูแล ไปตรวจสอบที่ร้านค้าทุกเดือน”ตรวจสอบแบบใดกัน ไปเกี้ยวพาราสีสตรีในร้านเสียมากกว่าเรื่องนี้ทุกคนในเมืองเซียนตูทราบดี เพียงแต่มิอยากให้เหลยหย่งอันมิพอใจ จึงมิมีผู้ใดกล้าพูดเปิดโปง“ดังนั้น...” คนใช้ผู้นั้นกล่าวต่อ “ผู้จัดสรรนี้ นายน้อยของข้าเป็นคนที่เหมาะสมที่สุด “ทุกคนลงเรือลำเดียวกันแล้ว พวกเจ้า...” เหลยหย่งอันยกมือขึ้นทำท่าทางแบกรับรับความผิดชอบไว้เพียงผู้เดียว “คนที่ร่วมทุกข์กับข้าทุกคน ขอเพียงแค่สามารถมีชีวิตรอดออกไปได้ ก็สามารถไปรับเงินหนึ่งร้อยตำลึงได้ที่ตระกูลเหลยของพวกเรา”เพื่อที่จะได้ตำแหน่งผู้จัดสรรนี้ เหลยห
“ต่อให้เสบียงอาหารทั้งหมดต้องถูกจัดสรรปันส่วนอย่างเท่าเทียม เช่นนั้นไฉนอำนาจในการจัดการจัดแบ่งต้องเป็นเจ้าคนเดียวงั้นหรือ? เจ้าเป็นใครกัน?”ชายหนุ่มที่สวมชุดผ้าไหมอย่างดี ศีรษะสวมหมวกสีทองประดับด้วยไข่มุกเดินเข้ามากล่าวถามเฉินฝานด้วยท่าทีโอหังบุคคลนี้คือลูกชายคนโตของตระกูลเหลยเก่าแก่อันดับหนึ่งของเมืองเซียนตู เหลยหย่งอันด้วยความที่ชาติตระกูลมีเงินและอำนาจ เหลยหย่งอันได้รับสมญานามให้เป็นอันธพาลอันดับหนึ่งในเมืองเซียนตู ปกติก็มักจะรังแกผู้ชายข่มเหงผู้หญิง กระทำชั่วทุกรูปแบบสำหรับวีรกรรมของเหลยหย่งอันแล้ว เจ้าเมืองซื่อต้าเผิงต้องยอมปล่อยผ่านไปเหลยหย่งอันรู้สึกว่ามิถูกชะตาเฉินฝานอยู่ก่อนแล้วเรือนเซียนผาสุกมีกฎว่านอกจากผู้ฟังโชคดี่ถูกเมี่ยวอวี่สุ่มเลือกมา บุคคลที่ให้เงินรางวัลจำนวนมากที่สุด เมี่ยวอวี่ก็จะบรรเลงพิณเป็นการส่วนตัวเช่นกันทว่า ทุกปีจะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นต้นปีเหลยหย่งอันก็เริ่มให้เงินรางวัลจำนวนมหาศาล ในที่สุดเมื่อมาถึงเดือนท้ายปีก็ได้ลำดับที่หนึ่งมาครองเห็นว่าตนเองสามารถเข้าไปในกระท่อมหิมะพบกับเมี่ยวอวี่ ได้ฟังพิณที่นางบรรเลงให้ตนเองโดยเฉพาะ กลับคาดมิถึงว่าอย
เรือนเซียนผาสุกมีชื่อเสียงเงินทองมหาศาลดังคาด จำนวนเสบียงที่กักตุนไว้ตอนฤดูหนาว มากกว่าเสบียงครึ่งปีของครอบครัวสามัญชนเสียอีกตรงข้ามกับผู้เหลือรอดเหล่านั้น เฉินฝานยิ่งฟัง คิ้วยิ่งขมวดหนักขึ้นเรื่อย ๆน้อยไป น้อยเกินไปแล้วคนสามร้อยกว่าคน ต่อให้กินอาหารวันละหนึ่งมื้อ เสบียงอาหารเหล่านี้ก็หมดเกลี้ยงเพียงในพริบตาเดียว“เสบียงอาหารของกระท่อมหิมะนำออกมาไว้ที่แห่งนี้ทั้งหมดแล้วใช่หรือไม่?” เฉินฝานหันหน้ากล่าวถามเมี่ยวอวี่“กระท่อมหิมะแห่งนี้ของข้ามิได้ใหญ่โตเสียหน่อย ตุนไว้จำนวนมากเพียงนั้น ยังมินับว่าเยอะอีกหรือ?” เมี่ยวอวี่ย้อนถามเฉินฝาน“ก็จริง” เฉินฝานหัวเราะสมเพชตนเองในส่วนลึกของหัวใจ หวังว่าจะมีเยอะกว่านี้“ตอนนี้นับเสบียงเรียบร้อยแล้ว รีบแบ่งให้ทุกคนเถอะ”มีคนเร่งเร้าหิวจนทนมิไหวแล้วจริง ๆ“แบ่งมิได้!” เฉินฝานกล่าว“มิแบ่งงั้นหรือ?”สายตาสามร้อยกว่าคนจับจ้องไปที่เฉินฝานอย่างพร้อมเพียงมิเข้าใจ มิเชื่อเสบียงอาหารทั้งหมดถูกขนย้ายออกมานับจำนวนแล้ว ไม่เพียงแต่จำนวนเสบียงเท่านั้น จำนวนคนก็นับแล้วเช่นกันทำถึงเพียงนี้แล้ว เฉินฝานกลับกล่าวว่ามิแบ่งแล้ว“เจ้าหมายความว่าอย
เขายืนกรานไม่ยอมนำเสบียงออกมามิใช่หรือ ไฉนตอนนี้ต้องการเอาออกมา และยังต้องนำออกมาทั้งหมดอีกด้วยเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่กันแน่?“ทำไมล่ะ? แม่นางเมี่ยวอวี่มิเห็นด้วยงั้นหรือ?” เฉินฝานกล่าวถาม“โอ้ ไม่ใช่หรอก!” เมี่ยวอวี่กล่าวอย่างรีบร้อน “แน่นอนว่าข้าต้องเห็นด้วยอยู่แล้ว เจ้ารีบพาคนไปนำเสบียงอาหารในคลังออกมาทั้งหมด”“ช้าก่อน!” เฉินฝานเรียกยายจ้าวไว้ “เพื่อให้มั่นใจว่าเสบียงอาหารทั้งหมดจะถูกขนย้ายออกมา เย่ว์เจียวเจ้าไปตามยายจ้าวไปด้วย พวกเจ้า... ”เฉินฝานหันไปกล่าวกับผู้เหลือรอดเหล่านั้น “ก็ส่งหนึ่งคนตามไปด้วย”ผ่านไปครู่เดียว เสบียงอาหารทั้งหมดในกระท่อมหิมะถูกขนมาไว้ด้านหน้าฝูงชนเฉินฝานมองดูเสบียงอาหารที่กองเป็นพะเนินด้านหน้า กล่าวอย่างเนิบนาบ “โอ้ จำนวนมิน้อยเลยนะเนี่ย”“อากาศเย็น คร้านออกไปจับจ่าย ดังนั้นจึงซื้อจำนวนมากในคราวเดียว” เมี่ยวอวี่กล่าวอย่างมิใส่ใจมากนักเสบียงอาหารเหล่านั้นมีจำนวนมากก็จริงทว่าเป็นเรื่องยากที่จะทำให้คนจำนวนมากเพียงนี้อยู่รอด!ท้ายที่สุด ก็ยังคงต้องตายอยู่ดีเหล่าผู้เหลือรอด มิได้มองการณ์ไกลเช่นนั้น พวกเขาที่หิวมาหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว มองเสบียงอาห
เมื่อมีคนเปิดประเด็นแล้วคนอื่นก็พากันทำตาม คนกลุ่มใหญ่จำนวนมหาศาลคุกเข่าต่อหน้าเฉินฝานเฉินฝานมิได้กล่าวอันใด เมี่ยวอวี่ที่อยู่ด้านข้างชิงพูดก่อน“เหอะ!” เมี่ยวอวี่เยาะเย้ยออกมาทันที กล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ช่างเป็นชายที่ใจดำอำมหิตเสียจริง คิดว่าตนเองมีผู้มากฝีมือที่เก่งกาจอยู่ข้างกาย ก็สามารถมิสนใจชีวิตของผู้คนรอบตัว แม้กระทั่งเด็กและคนชราก็ยังมิยอมช่วย”เมี่ยวอวี่จงใจกล่าวเช่นนี้จงใจที่พัดความโมโหของฝูงชนให้ลุกฮือดังคาด...“เขาใจดำอำมหิตเพียงนั้น แม้กระทั่งเด็กน้อยคนแก่ก็ยังมิยอมให้อาหารกินแม้แต่น้อย เช่นนั้นเรายังต้องกลัวสิ่งใดอีก?”เมื่อมีคนเริ่มก็มีคนตาม“ถูกต้อง อย่างไรเสียก็ถูกขังจนตายอยู่ที่นี้อยู่ดี ก่อนที่จะจากโลกนี้ไป ทุกคนต้องได้กินให้อิ่มท้อง!”“พวกเรามิต้องมาอ้อนวอนอยู่ตรงนี้และ ไปสืบเสาะ ไปค้นหา กระท่อมหิมะอาจจะใหญ่ไปเสียหน่อย แต่พวกเรามีจำนวนคนเยอะจะหาที่ซ่อนของเสบียงอาหารมิได้เชียวหรือ?”กลุ่มคนจำนวนมหาศาลในกระท่อมแต่เดิม รีบออกไปอย่างรวดเร็วราวกับกระแสน้ำลงของมหาสมุทร“เจี้ยนฮวง!” เฉินฝานกล่าวเกรงว่าเซียนเจี้ยนหวงจะเข้าใจผิด เฉินฝานจึงพูดเสริมอีกห
เซียนเจี้ยนหวงมิลงมือทำร้ายสามัญชน ชายรอยบาดแผลคิดว่าชื่อเสียงของเซียนเจี้ยนหวงเป็นสิ่งจอมปลอม และเขาคิดว่าตนเองมีจำนวนมากมาย ต่อให้เซียนเจี้ยนหวงจะเก่งกาจเพียงใดก็มิสามารถลุยเดี่ยวกับคนหนึ่งร้อยคนได้และเฉินฝานก็ดูจะเป็นคนสุภาพเรียบร้อย ดังนั้นชายรอยบาดแผลมิได้รู้สึกเกรงกลัวอันใด ท่าทียโสโอหังยิ่งเขาต้องการเสบียงอาหารในกระท่อมหิมะทั้งหมด และประสงค์ที่จะคุมชะตาคนหลายคนไว้ในกำมือ ในขณะเดียวกันก็สามารถช่วยเมี่ยวอวี่ให้หลุดพ้นได้ด้วยอำนาจ สาวงาม เสบียงอาหารเขาต้องการทั้งหมดเฉินฝานเงยหน้าขึ้น เหลือบมองชายรอยบาดแผลอย่างเรียบนิ่ง “ดูเจ้าพูดเข้าสิ เจ้าเก่งกาจมากสินะ”“เยี่ยนหลิ่งผู้ยิ่งใหญ่!” ชายรอยบาดแผลวางท่าทีใหญ่โต“ว้าว!” เฉินฝานยกนิ้วโป้ง “ชื่อนี้ช่างน่าเกรงขามเสียจริง!”สุดยอด!เซียนเจี้ยนหวงต้องเก็บอาการอยู่ด้านข้างนี่คงจะเป็นความสนุกเพียงอย่างเดียวตอนที่ถูกกักขังอยู่ที่แห่งนี้ดูคนโง่ ที่จริงแล้วก็เป็นเรื่องที่น่าสนุก“เพียงแต่...” เฉินฝานเปลี่ยนเรื่องทันที “มิทราบว่าชื่อที่น่าเกรงขามเช่นนี้ จะชำนาญในการต่อสู้หรือไม่?”ระหว่างที่พูด เฉินฝานหันไปด้านข้างเล็กน้อย “
“ตุ้บ ๆ ๆ ๆ!”เสียงทุบประตูหน้าต่างด้านนอกดังขึ้นเรื่อย ๆ เซียนเจี้ยนหวงฝึกวรยุทธ์จนชำนาญแล้ว สถานการณ์ฝั่งเขานั้นค่อนข้างไปในทิศทางที่ดีฝั่งฉินเย่ว์เจียวและเย่ว์หนูนี้ค่อนข้างลำบาก“เย่ว์หนู เจ้ากันไว้ก่อน ข้าจะไปย้ายเตียงมากันไว้!”“มิจำเป็นหรอก!” เฉินฝานโบกมือเล็กน้อย เขาให้ฉินเย่ว์เจียวและเย่ว์หนูเปิดประตูออก“เปิดประตูงั้นหรือ?” ฉินเย่ว์เจียวส่ายหน้าทันที “ไม่ได้เจ้าค่ะ นายท่าน”คนด้านนอกทุกคนล้วนโกรธเฉินฝานจนกัดฟันกรอด ตะโกนอย่างดุเดือดเพื่อให้ต้องการพวกเขาผ่านเข้าไป เฉินฝานเสี่ยงอันตรายเกินไปแล้ว“พวกเจ้าสามารถกันไว้ได้หนึ่งชั่วยาม จะสามารถกันได้ถึงสองชั่วยามงั้นหรือ?”เมื่อคนตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงตาย มิว่าสิ่งใดก็สามารถทำได้ความเลวทรามของมนุษย์ เป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวที่สุดในโลกใบนี้“นายท่าน ขอเพียงข้ายังอยู่ ข้าก็จะยังคงกันต่อไปเรื่อย ๆ จะมิยอมให้คนด้านนอกเหล่านั้นทำร้ายท่านแม้แต่ปลายเล็บ”ฉินเย่ว์เจียวกำหมัดไว้แน่นขนัดเฉินฝานมองท่าทีที่เศร้าสลดทว่าเข้มแข็งของฉินเย่ว์เจียว รู้สึกซาบซึ้งและหงุดหงิด“นายท่าน บ่าวก็เช่นกันเจ้าค่ะ”เย่ว์หนูเพิ่มแรงในการกันประต
ฉินเย่ว์เจียวง้างมือขึ้นทันที เดิมทีต้องการจะตบหน้าเมี่ยวอวี่เป็นครั้งที่สองพลันยั้งมือกะทันหันกลั้นหายใจ รอฟังคำตอบของเมี่ยวอวี่ด้วยความกังวลเฉินฝานก็อดมิได้ที่จะเงี่ยหูฟังจะรู้ร่องรอยของเย่ว์ฉินแล้ว รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย“หยกห้อยเอวชิ้นนี้...”“ตุ้บ!”อยู่ ๆ ก็มีก้อนหิมะลอยก้อนหนึ่งลอยทะลุหน้าต่างเข้ามา“โอ๊ย!”เมี่ยวอวี่อยู่ใกล้หน้าต่างอย่างมาก ก้อนหิมะขว้างโดนหัวหน้า ทำให้นางตกใจจึงร้องออกมาทันที“ตุ้บ”ครั้งนี้สิ่งที่ขว้างมาคือก้อนหิน“ระวัง!”เมี่ยวอวี่รู้สึกเพียงว่าร่างกายทรงตัวมิอยู่ ตัวไปชนกับอ้อมอกที่ล่ำสันหัวสมองว่างเปล่าราวกับถูกจี้จุด เมี่ยวอวี่มองเฉินฝานด้วยความมึนงงดวงตากลมโตที่เปล่งประกายแวววับดังดวงดารา สภาพอารมณ์แปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็วหาคำตอบมิได้ มิเชื่อ มิเข้าใจ“เจ้า...” เมี่ยวอวี่กลอกตาไปมา “ไยเจ้าจึงช่วยข้า?”หากมิใช่เฉินฝานดึงนางหลบได้ทัน ตอนนี้นางก็คงหัวแตกเลือดไหลนองไปนานแล้วเฉินฝานผลักเมี่ยวอวี่ในอ้อมอกออก เขาที่พลังภายในยังฟื้นฟูมิสมบูรณ์เอนตัวล้มพิงเรือนร่างของฉินเย่ว์เจียว น้ำเสียงเยือกเย็น “อย่าคิดเข้าตัวเอง ข้าทำไปตามสัญชาตญาณเท
ถึงแม้ในทุกวันนางมักจะรับคำเยินยอจากบุรุษเพศอยู่แล้ว ทว่าท่าทางที่รักใคร่หวานยิ่งกว่าน้ำผึ้งราวภาพวาดนี้ นางมิเคยพบเห็นมาก่อนเมี่ยวอวี่ที่สงสัยว่าตัวเองมองผิดไป จึงตั้งใจหันกลับไปดูอีกครั้งภาพที่เฉินฝานช่วยปัดไรผมบนหน้าผากของฉินเย่ว์เจียวออก และฉินเย่ว์เจียวยิ้มตอบกลับให้เฉินฝานอย่างหวานหยาดเยิ้ม เมี่ยวอวี่เหลือบไปเห็นพอดีไม่จริงหรอก!เมี่ยวอวี่รีบหันหน้ากลับไปด้วยความรวดเร็ว ตีหน้าอกตนเองเบา ๆสองสามทีคาดมิถึงว่าจะเป็นเรื่องจริงใต้หล้านี้มีสามีภรรยาที่รักใคร่กันเช่นนี้จริงหรือ ? เป็นเรื่องจริงหรือว่าผู้ชายจะอ่อนโยนกับภรรยาตนเองได้เพียงนั้น?เฉินฝานเป็นชายที่เลวทรามต่ำช้ามิใช่หรือ?เย่ว์หนูชะเง้อมองมาจากทางเข้าเห็นว่าเฉินฝานตื่นแล้ว รีบวิ่งกลับไปที่ในห้อง ยกโจ๊กครึ่งชามที่วางไว้ในห้องไปอุ่นที่ห้องครัว หลังจากที่อุ่นจนร้อนแล้วก็วิ่งกลับมา“โจ๊กมาแล้วเจ้าค่ะ”“เอามาให้ข้า!” ฉินเย่ว์เจียวรับโจ๊กในมือเย่ว์หนูมาทันที“ลำบากเจ้าแล้ว” เฉินฝานหันไปพยักหน้ากับเย่ว์หนู“บ่าวมิลำบากเลยเจ้าค่ะ ขอเพียงนายท่านหายดีก็เพียงพอแล้ว” เย่ว์หนูหน้าแดง ส่ายหน้าอย่างแรงกล่าวว่าตนเองมิลำ