“โอ้!” หลี่ชางเลิกคิ้วขึ้น “ใต้เท้ากล่าวว่าข้าน้อยท่องบทกลอนผิด ข้าน้อยท่องผิดวรรคใดกัน? ใต้เท้าโปรดชี้แนะ”คนรากหญ้าผู้ที่รู้หนังสือน้อยนิด คิดว่าตนเองเป็นชายที่ฝ่าบาทโปรดปราน ได้รับความโปรดปรานเล็กน้อย ได้ตำแหน่งผู้บัญชาการกองกำลังลาดตระเวน ก็สามารถเข้าใจบทกลอนได้แล้วงั้นหรือ?ช่างเป็นคนโง่เง่าที่มิรู้จักเจียมตัวเสียจริง ฝ่าบาทให้เขาเป็นบัญชาการกองกำลังลาดตระเวน ที่จริงแล้วเป็นเพราะเบื่อหน่ายเขาแล้ว ส่งให้เขาเข้าสู่ความมรณะก็แค่กองกำลังลาดตระเวนไร้ค่าเหล่านี้ และจำนวนคนก็น้อยเพียงนั้น จะสู้กับกองกำลังเมืองเตียนตูที่ดุดันเพียงนั้นของอ๋องเจิ้งหนานได้งั้นหรือ?ช่างเป็นเรื่องน่าขันเสียจริงทราบข่าวว่ากองกำลังลาดตระเวนสามารถทำลายล้างกองกำลังเมืองเตียนตูสามหมื่นคนได้อย่างราบคาบที่อำเภอเหออัน ทั้งราชวงศ์ต้าชิ่ง นอกจากเหล่าฉินเย่ว์เหมยสองสามคนที่ตื่นเต้นดีใจแล้ว ผู้อื่นมิคิดว่ากองกำลังลาดตระเวนเก่งกาจ ล้วนคิดว่ากองกำลังเมืองเตียนตูประมาท จึงทำให้พ่ายแพ้ในสงครามแน่นอนว่าหลี่ชางก็คิดแบบนั้นเช่นกันความพ่ายแพ้หรือชัยชนะของกองกำลังเมืองเตียนตู ในฐานะที่ขุนนางฝ่ายบุ๊นท้องถิ่นอย่างหลี
บัณฑิตมั่วรีบสาวเท้าเดินมาหน้าเฉินฝาน มองอย่างพินิจพิเคราะห์ตั้งแต่หัวจรดเท้าหนึ่งครั้ง ยิ่งมองสีหน้าปีติยินดี “ใต้เท้า เป็นท่านจริงๆด้วย วันนั้นคนที่ไปร่ำสุรากับตวนซินอ๋องคือท่านนี้เอง!”ทั้งๆที่ผมเส้นดอกเลาแล้ว ทว่าบัณฑิตมั่วยังกระโดดโลดเต้นดีใจราวกับเด็กน้อยเริ่นรุ่ยฟ่าน หลี่ชางและเหล่าปัญญาชนด้านหลังพวกเขาล้วนมองบัณฑิตมั่วด้วยความฉงนสงสัยนี่เกิดอันใดขึ้น? ไยบัณฑิตมั่วกลายเป็นเช่นนี้อย่างกะทันหัน“แก้ไขมั่วซั่ว ๆ บทกลอนล้ำเลิศ เติมแต่งตัวอักษรอันใดกัน!”บัณฑิตมั่วที่เดิมก็กระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุข ตบหน้าตัวเองเสียงดังอย่างรุนแรงทันทีตอนนี้เฉินฝานจำได้แล้วบัณฑิตมั่วผู้นี้ ก็คือผู้เฒ่าที่เขาเจอตอนที่อยู่หอสุราในวันนั้น“นี่ ผู้เฒ่า!” เฉินฝานกล่าวอย่างรีบร้อน “เจ้าอย่าทำเช่นนี้เลย ถ้าตบตีตนเองจนบาดเจ็บ ลูกหลานของเจ้าเหล่านั้นมาขู่กรรโชกค่ารักษาตัว เช่นนั้นข้าก็งานเข้ากันพอดี”ในยุคโบราณมีคนสูงอายุที่แกล้งบาดเจ็บเพื่อขู่รีดเงินหรือไม่ เฉินฝานก็ไม่แน่ใจ แล้วถ้าฉุกละหุกมีสิ่งนี้เกิดขึ้นจริงๆล่ะบัณฑิตมั่วรีบร้อนเก็บมือ เคารพนบนอบทำหน้าเหยเกให้เฉินฝานพลางกล่าว “ทำให้ใต้เท
เหอจื่อหลินมึนงงทันที “ยึดที่คืนงั้นหรือ? ที่ตรงไหนกัน?”เฉินฝานชี้ที่เท้าของตนเอง “ที่แห่งนี้งั้นหรือ?”“หมายความว่าเยี่ยงไร?”หลี่หงโห่วและหลี่ชางพูดขึ้นพร้อมกัน“หมายความเยี่ยงไร?” เฉินฝานกวาดสายตามองคนแซ่หลี่ทั้งสองอย่างเยือกเย็น “พวกเจ้ามิเข้าใจจริงๆงั้นหรือ?”“ข้าน้อยมิเข้าใจจริงๆ ใต้เท้าโปรดชี้ให้กระจ่าง” ถึงแม้น้ำเสียงของเฉินฝานจะอ่อนน้อม ทว่าท่าที่มิได้นอบน้อมตามเมื่อเห็นเฉินฝานเขาไม่ตื่นตกใจเหมือนหลี่ชาง เขาได้รับจดหมายจากเสิ่นหมิงหยวนก่อนแล้ว ทราบว่ามันสมองหลักของกองกำลังลาดตระเวนครั้งนี้คือเฉินฝานและทราบจุดจบในตอนท้ายของเฉินฝานและกองกำลังลาดตระเวนแล้ว“ท่านเจ้าเมืองหลี่ ที่ดินที่ข้าเหยียบย่ำอยู่ เอกสารทางการในตอนแรกให้สร้างสำนักบัณฑิตงั้นหรือ? ข้าอยากอ่านเอกสารนั้นตอนนี้ รีบไปเอามาให้ข้าดูเร็วเข้า”หลี่หงโหวกริยาท่าทางไม่ดี เฉินฝานก็มิเกรงใจ กล่าวถามออกไปทันที“ใต้...เท้า...” หลี่หงโหว่คาดไม่ถึงว่าเฉินฝานจะถามเรื่องนี้ เขาพูดไปพลางคิดมาตรการในการรับมือกับเฉินฝานไปพลาง “ตอนนี้กองกำลังเมืองเตียนตูจวนจะมาโจมตีเมืองหรงตูแล้ว ใต้เท้า ข้าน้อยเห็นว่า ใต้เท้าควรจะกลับ
เฉินฝานชักดาบของทหารคุ้มกันหลี่ซานออกมา แล้วฟันไปที่ศีรษะ!“...”“!!!!”“แหวะ...”“แหวะ...”“แหวะ...” เริ่นรุ่ยฟ่านชี้ไปทางเฉินฝานด้วยมือที่สั่นเทา “กล้าภายในลานกว้าง เสียงอาเจียนดังก้องไปทั่วศีรษะของหลี่ซานถูกเฉินฝานฟันเป็นสองท่อน“เจ้า เจ้า...” เริ่นรุ่ยฟ่านชี้ไปทางเฉินฝานด้วยมือสั่นเทา “เจ้ากล้าสังหารผู้ว่าราชการประจำมณฑลเช่นนั้นหรือ?”“สังหารแล้วอย่างไร? ขืนยังเข้าใกล้ ข้าจะเด็ดคอเจ้าด้วยเช่นกัน!”เฉินฝานกวัดแกว่งกระบี่ที่เต็มไปด้วยเลือดตรงหน้าเริ่นรุ่ยฟ่าน“อ๊าก อ๊าก!”เริ่นรุ่ยฟ่านร้องตะโกนสองครั้งติดกัน แล้วล้มลงบนพื้น เป็นลมหมดสติเฉินฝานแตะเริ่นรุ่ยฟ่านบนพื้น “เที่ยวบอกว่าตนเป็นผู้รู้ ให้คนมากมายฝากตัวเป็นศิษย์ ทว่ากลับเป็นเพียงหนูขลาดเขลาตัวหนึ่งเท่านั้น!”หลี่ซานถูกสังหาร เริ่นรุ่ยฟ่านหมดสติ ปัญญาชนในสำนักบัณฑิตขดตัวอยู่ในมุมด้วยความสั่นเทาเฉินฝานชำเลืองมองปัญญาชนเหล่านั้นปราดหนึ่งหันกลับมา เจอหลี่หงโห่วที่อยู่ด้านหลัง“เป็นอะไรไป เจ้าเมืองหลี่ไม่เห็นด้วยเช่นนั้นหรือ?”“เปล่าขอรับ แน่นอนว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้น!” หลี่หงโห่วส่ายหน้าราวกับกลองป๋องแป๋ง“หาก
ก่อนจะเอาชนะพวกกบฏได้ ปัญญาชนหยุดร่ำเรียนก่อน ปัญญาชนทุกคนไปทำอาหารให้กับเหล่าทหารในค่ายซะ!”ทำอาหารให้ทหารเช่นนั้นหรือ? !คำพูดของเฉินฝาน ราวกับระเบิด ทำให้ปัญญาชนแตกตื่นพวกเขาต่างวิพากษ์วิจารณ์ มากไปกว่านั้นยังมีคนใจกล้าเริ่มถามเฉินฝาน“มือของพวกเราใช้สำหรับพลิกเปิดตำราปราชญ์ แล้วจะให้ทำอาหารซึ่งเป็นงานสกปรกระดับล่างได้อย่างไร?”“พวกกบฏบุกโจมตีจวนจะถึงแล้ว ชาวบ้านทั้งเมืองต่างสู้กับทหาร ปัญญาชนเยี่ยงพวกเจ้าดื่มด่ำกับความสุขสบายมานาน เวลานี้ยังไม่คิดจะช่วยเช่นนั้นหรือ?”คำถามของปัญญาชน ทำให้เหอจื่อหลินเคืองขุ่นพวกปัญญาชนเหม็นคลุ้ง ต้องกินดีอยู่ดี นอกจากนี้ราชสำนักยังต้องคัดเลือกภรรยาดีๆ มาคอยรับใช้ปรนนิบัติพวกเขาชาวบ้านธรรมดาทั่วไป แม้แต่งภรรยาหลายคนจะได้รับรางวัลจากราชสำนัก แต่ในทางเดียวกันก็ต้องจ่ายภาษีเพิ่มมากขึ้นแตกต่างกับพวกปัญญาชน ที่ไม่เคยต้องจ่ายภาษีเมื่อครึ่งปีก่อน ฉินเย่ว์เหมยอยากยกเลิกสวัสดิการนี้ของปัญญาชน แต่เสิ่นหมิงหยวนกลับปล่อยข่าวนี้ออกไปทำให้เกิดการคัดค้านจากปัญญาชนทั้งแคว้นเวลานี้ เฉินฝานยังไม่ได้เริ่มโต้กลับ เสิ่นหมิงหยวนยังคงครอบครองอำนาจโดยมากข
“ผิดปกติ ข้ารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ!”บนกำแพงเมือง เหอจื่อหลินมองทหารเตียนตูที่ตัวเล็กราวกับมดร้องโหยหวนไม่หยุด“พี่จื่อหลิน สิ่งใดผิดปกติหรือ?”เฉินฝานก็มองเห็นความผิดปกติเช่นเดียวกัน แต่เขาอยากฟังดู สิ่งที่เหอจื่อหลินบอกว่าผิดปกตินั้น ใช่เรื่องเดียวกับเขาหรือไม่“จำนวนคนไม่ถูกต้อง”“ใช่ ไม่ถูกต้อง” เฉินฝานเห็นด้วยกับความคิดของเหอจื่อหลิน“ใต้เท้าทั้งสอง อะไรผิดปกติหรือขอรับ” หลูเฉิงกวงอดไม่ได้ที่จะถาม ทหารเตียนตูยังอยู่อีกไกล มองจากตรงนี้พวกเขาตัวเล็กราวกับมด พวกท่านดูออกได้อย่างไรขอรับ?”“จำนวนคนน้อย ต้องไม่ถึงหนึ่งแสนคนแน่นอน อย่างมากสุดก็แค่สามสี่หมื่นคน” เหอจื่อหลินกล่าว“น้อยลงจริงๆ ด้วย” เฉินฝานพยักหน้า “อีกทั้งไม่ถึงสี่หมื่นคน ประมาณสามหมื่นกว่าคนเท่านั้น”จำนวนคนน้อย?หลูเฉิงกวงยื่นคอจนยาว ทหารเตียนตูที่อยู่ทางไกลตัวเล็กกระจิ๋วหลิวความสงสัยก่อตัวในใจ น้อยอย่างไร?ทั้งยังดูออกว่าน้อยหกเจ็ดหมื่นคน“รายงานขอรับ!”ขณะเฉินฝานและเหอจื่อหลินพูดคุยกันอยู่นั้น ก็มีคนมารายงานคนที่มาครั้งนี้ไม่ใช่นักส่งสารธรรมดา แต่เป็นเจี่ยเจิ้งฟางหัวหน้ากลุ่มนักส่งสารเจี่ยเจิ้งฟา
หลังจากฟังสิ่งที่เฉินฝานวิเคราะห์ เหอกังพยักหน้า เห็นด้วยกับความคิดของเฉินฝาน“น้องฝาน เจ้าวิเคราะห์เช่นนี้เป็นเรื่องที่ถูกต้อง อ๋องเจิ้นหนานต้องการให้จบลงอย่างรวดเร็ว แต่เหตุใดจึงมีทหารเพียงสามหมื่นนาย ทหารอีกเจ็ดหมื่นนายเล่า?” เหอจื่อหลินไม่เข้าใจอย่างมาก“คาดว่า อ๋องเจิ้นหนานคงคิดว่าพวกเขาโจมตีหรงตู ง่ายเหมือนเมืองฝูตูเช่นนั้นหรือ?” มั่วเซินทหารลาดตระเวนกองกำลังหนึ่งพูดเมื่อครั้นโจมตีเมืองฝูตู อ๋องเจิ้นหนานใช้ทหารเพียงสามพันคน ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งวัน ก็ยึดครองเมืองฝูตูได้แล้วทหารเฝ้าเมืองฝูตูหมื่นกว่านายนั้น หลังทหารของอ๋องเจิ้นหนานโจมตีไม่นานพวกเขาก็หนีกันจ้าละหวั่น“หึ!” หลูเฉิงกวงหัวเราะในลำคอ แววตาเปี่ยมไปด้วยความหนักแน่นและความเหี้ยมโหด “คิดว่าทุกคนจะไร้ความสามารถเหมือนพวกทหารเมืองฝูตูเช่นนั้นหรือ? หากอ๋องเจิ้นหนานกล้าคิดเช่นนั้น ก็ให้เขามาลองดู”หลูเฉิงกวงไม่ถนัดเล่นเล่ห์ ดำรงตำแหน่งนายอำเภอย่อมเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ทว่าด้านการฝึกทหาร เขาชำนาญยิ่งนักบวกกับเขาเรียนรู้วิธีฝึกทหารมาจากเฉินฝานไม่น้อยไม่กล้ากล่าวว่าทหารเฝ้าเมืองหรงตูเก่งกาจเพียงใด แต่อย่างน้อยก็กล้าเผชิญหน้า
เจี่ยเจิ้งฟางไม่ต้องมารายงาน เฉินฝานก็เดาได้แล้ว อ๋องเจิ้นหนานแบ่งทหารเตียนตูหนึ่งแสนนายเป็นสิบกองกำลัง ก่อตัวเป็นวงล้อมขนาดใหญ่ กำลังทยอยเข้าใกล้หรงตูระยะเวลาไม่ถึงครึ่งก้านธูป ทหารเตียนตูจะกลายเป็นวงกลมตีล้อมเข้ามาได้สำเร็จตามรายงานที่นักส่งสารกล่าวมานั้น เฉินฝานสรุปได้ว่าทหารตรงหน้ากำแพงเมืองมีจำนวนมากที่สุด มากถึงสามหมื่นนาย ส่วนที่เหลือเป็นกองกำลังขนาดใหญ่แปดพันนายระหว่างแต่ละกองกำลัง ห่างกันห้าลี้ ซึ่งเท่ากับสองพันห้าร้อยเมตร ระยะห่างเช่นนี้ ไม่ไกลและไม่ใกล้ สามารถหลบเลี่ยงการโจมตีผ่านระเบิดมือของเฉินฝานได้เพราะไม่ไกล ขอเพียงจุดใดจุดหนึ่งเริ่มปะทะกัน กองกำลังรอบๆ ก็สามารถเข้าไปช่วยได้อย่างรวดเร็วกลยุทธ์การต่อสู้เช่นนี้ ดีกว่ากลยุทธ์การแบ่งโจมตีหลายเท่านักทหารเตียนตูไม่ต้องโจมตี เพียงล้อมเอาไว้ก็ทำให้พวกเฉินฝานตกที่นั่งลำบากหรงตูคือเมืองที่มีประชากรหนึ่งล้านกว่าคน ไม่ถึงสามวัน อาหารในเมืองจะขาดแคลนเมื่อถึงเวลานั้น ทหารเตียนตูไม่ต้องโจมตี ภายในหรงตูก็พังทลายด้วยตนเองเฉินฝานกวาดตามองทหารเตียนตูที่ไกลๆ ซึ่งเริ่มมีการก่อกระโจมด้วยแววตาเย็นชาอ๋องเจิ้นหนานคือคู่ต
“ผู้จัดสรร มิสามารถแบ่งให้คนนอกที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าเช่นนี้ได้เด็ดขาด!”“ถูกต้องแล้ว แบ่งให้คนที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้ามิได้!”คนรับใช้สองสามคนข้างกายเหลยหย่งอัน พูดเสริมทันที“เช่นนั้นนายน้อยเหลยคิดว่าผู้ใดเป็นผู้จัดสรรจึงจะเหมาะสม?”มีคนตะโกนถามท่ามกลางผู้เหลือรอดเหลยหย่งอันเลิกคิ้วขึ้นทันที ประโยคที่เขารอก็คือประโยคนี้ผู้นั้นเพิ่งจะกล่าวจบ เหลยหย่งอันก็ส่งสายตาไปที่คนรับใช้ข้างกายทันที“ร้านค้าตระกูลเหลยมากมายมหาศาล นายน้อยของพวกเราก็มีส่วนร่วมดูแล ไปตรวจสอบที่ร้านค้าทุกเดือน”ตรวจสอบแบบใดกัน ไปเกี้ยวพาราสีสตรีในร้านเสียมากกว่าเรื่องนี้ทุกคนในเมืองเซียนตูทราบดี เพียงแต่มิอยากให้เหลยหย่งอันมิพอใจ จึงมิมีผู้ใดกล้าพูดเปิดโปง“ดังนั้น...” คนใช้ผู้นั้นกล่าวต่อ “ผู้จัดสรรนี้ นายน้อยของข้าเป็นคนที่เหมาะสมที่สุด “ทุกคนลงเรือลำเดียวกันแล้ว พวกเจ้า...” เหลยหย่งอันยกมือขึ้นทำท่าทางแบกรับรับความผิดชอบไว้เพียงผู้เดียว “คนที่ร่วมทุกข์กับข้าทุกคน ขอเพียงแค่สามารถมีชีวิตรอดออกไปได้ ก็สามารถไปรับเงินหนึ่งร้อยตำลึงได้ที่ตระกูลเหลยของพวกเรา”เพื่อที่จะได้ตำแหน่งผู้จัดสรรนี้ เหลยห
“ต่อให้เสบียงอาหารทั้งหมดต้องถูกจัดสรรปันส่วนอย่างเท่าเทียม เช่นนั้นไฉนอำนาจในการจัดการจัดแบ่งต้องเป็นเจ้าคนเดียวงั้นหรือ? เจ้าเป็นใครกัน?”ชายหนุ่มที่สวมชุดผ้าไหมอย่างดี ศีรษะสวมหมวกสีทองประดับด้วยไข่มุกเดินเข้ามากล่าวถามเฉินฝานด้วยท่าทีโอหังบุคคลนี้คือลูกชายคนโตของตระกูลเหลยเก่าแก่อันดับหนึ่งของเมืองเซียนตู เหลยหย่งอันด้วยความที่ชาติตระกูลมีเงินและอำนาจ เหลยหย่งอันได้รับสมญานามให้เป็นอันธพาลอันดับหนึ่งในเมืองเซียนตู ปกติก็มักจะรังแกผู้ชายข่มเหงผู้หญิง กระทำชั่วทุกรูปแบบสำหรับวีรกรรมของเหลยหย่งอันแล้ว เจ้าเมืองซื่อต้าเผิงต้องยอมปล่อยผ่านไปเหลยหย่งอันรู้สึกว่ามิถูกชะตาเฉินฝานอยู่ก่อนแล้วเรือนเซียนผาสุกมีกฎว่านอกจากผู้ฟังโชคดี่ถูกเมี่ยวอวี่สุ่มเลือกมา บุคคลที่ให้เงินรางวัลจำนวนมากที่สุด เมี่ยวอวี่ก็จะบรรเลงพิณเป็นการส่วนตัวเช่นกันทว่า ทุกปีจะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นต้นปีเหลยหย่งอันก็เริ่มให้เงินรางวัลจำนวนมหาศาล ในที่สุดเมื่อมาถึงเดือนท้ายปีก็ได้ลำดับที่หนึ่งมาครองเห็นว่าตนเองสามารถเข้าไปในกระท่อมหิมะพบกับเมี่ยวอวี่ ได้ฟังพิณที่นางบรรเลงให้ตนเองโดยเฉพาะ กลับคาดมิถึงว่าอย
เรือนเซียนผาสุกมีชื่อเสียงเงินทองมหาศาลดังคาด จำนวนเสบียงที่กักตุนไว้ตอนฤดูหนาว มากกว่าเสบียงครึ่งปีของครอบครัวสามัญชนเสียอีกตรงข้ามกับผู้เหลือรอดเหล่านั้น เฉินฝานยิ่งฟัง คิ้วยิ่งขมวดหนักขึ้นเรื่อย ๆน้อยไป น้อยเกินไปแล้วคนสามร้อยกว่าคน ต่อให้กินอาหารวันละหนึ่งมื้อ เสบียงอาหารเหล่านี้ก็หมดเกลี้ยงเพียงในพริบตาเดียว“เสบียงอาหารของกระท่อมหิมะนำออกมาไว้ที่แห่งนี้ทั้งหมดแล้วใช่หรือไม่?” เฉินฝานหันหน้ากล่าวถามเมี่ยวอวี่“กระท่อมหิมะแห่งนี้ของข้ามิได้ใหญ่โตเสียหน่อย ตุนไว้จำนวนมากเพียงนั้น ยังมินับว่าเยอะอีกหรือ?” เมี่ยวอวี่ย้อนถามเฉินฝาน“ก็จริง” เฉินฝานหัวเราะสมเพชตนเองในส่วนลึกของหัวใจ หวังว่าจะมีเยอะกว่านี้“ตอนนี้นับเสบียงเรียบร้อยแล้ว รีบแบ่งให้ทุกคนเถอะ”มีคนเร่งเร้าหิวจนทนมิไหวแล้วจริง ๆ“แบ่งมิได้!” เฉินฝานกล่าว“มิแบ่งงั้นหรือ?”สายตาสามร้อยกว่าคนจับจ้องไปที่เฉินฝานอย่างพร้อมเพียงมิเข้าใจ มิเชื่อเสบียงอาหารทั้งหมดถูกขนย้ายออกมานับจำนวนแล้ว ไม่เพียงแต่จำนวนเสบียงเท่านั้น จำนวนคนก็นับแล้วเช่นกันทำถึงเพียงนี้แล้ว เฉินฝานกลับกล่าวว่ามิแบ่งแล้ว“เจ้าหมายความว่าอย
เขายืนกรานไม่ยอมนำเสบียงออกมามิใช่หรือ ไฉนตอนนี้ต้องการเอาออกมา และยังต้องนำออกมาทั้งหมดอีกด้วยเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่กันแน่?“ทำไมล่ะ? แม่นางเมี่ยวอวี่มิเห็นด้วยงั้นหรือ?” เฉินฝานกล่าวถาม“โอ้ ไม่ใช่หรอก!” เมี่ยวอวี่กล่าวอย่างรีบร้อน “แน่นอนว่าข้าต้องเห็นด้วยอยู่แล้ว เจ้ารีบพาคนไปนำเสบียงอาหารในคลังออกมาทั้งหมด”“ช้าก่อน!” เฉินฝานเรียกยายจ้าวไว้ “เพื่อให้มั่นใจว่าเสบียงอาหารทั้งหมดจะถูกขนย้ายออกมา เย่ว์เจียวเจ้าไปตามยายจ้าวไปด้วย พวกเจ้า... ”เฉินฝานหันไปกล่าวกับผู้เหลือรอดเหล่านั้น “ก็ส่งหนึ่งคนตามไปด้วย”ผ่านไปครู่เดียว เสบียงอาหารทั้งหมดในกระท่อมหิมะถูกขนมาไว้ด้านหน้าฝูงชนเฉินฝานมองดูเสบียงอาหารที่กองเป็นพะเนินด้านหน้า กล่าวอย่างเนิบนาบ “โอ้ จำนวนมิน้อยเลยนะเนี่ย”“อากาศเย็น คร้านออกไปจับจ่าย ดังนั้นจึงซื้อจำนวนมากในคราวเดียว” เมี่ยวอวี่กล่าวอย่างมิใส่ใจมากนักเสบียงอาหารเหล่านั้นมีจำนวนมากก็จริงทว่าเป็นเรื่องยากที่จะทำให้คนจำนวนมากเพียงนี้อยู่รอด!ท้ายที่สุด ก็ยังคงต้องตายอยู่ดีเหล่าผู้เหลือรอด มิได้มองการณ์ไกลเช่นนั้น พวกเขาที่หิวมาหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว มองเสบียงอาห
เมื่อมีคนเปิดประเด็นแล้วคนอื่นก็พากันทำตาม คนกลุ่มใหญ่จำนวนมหาศาลคุกเข่าต่อหน้าเฉินฝานเฉินฝานมิได้กล่าวอันใด เมี่ยวอวี่ที่อยู่ด้านข้างชิงพูดก่อน“เหอะ!” เมี่ยวอวี่เยาะเย้ยออกมาทันที กล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ช่างเป็นชายที่ใจดำอำมหิตเสียจริง คิดว่าตนเองมีผู้มากฝีมือที่เก่งกาจอยู่ข้างกาย ก็สามารถมิสนใจชีวิตของผู้คนรอบตัว แม้กระทั่งเด็กและคนชราก็ยังมิยอมช่วย”เมี่ยวอวี่จงใจกล่าวเช่นนี้จงใจที่พัดความโมโหของฝูงชนให้ลุกฮือดังคาด...“เขาใจดำอำมหิตเพียงนั้น แม้กระทั่งเด็กน้อยคนแก่ก็ยังมิยอมให้อาหารกินแม้แต่น้อย เช่นนั้นเรายังต้องกลัวสิ่งใดอีก?”เมื่อมีคนเริ่มก็มีคนตาม“ถูกต้อง อย่างไรเสียก็ถูกขังจนตายอยู่ที่นี้อยู่ดี ก่อนที่จะจากโลกนี้ไป ทุกคนต้องได้กินให้อิ่มท้อง!”“พวกเรามิต้องมาอ้อนวอนอยู่ตรงนี้และ ไปสืบเสาะ ไปค้นหา กระท่อมหิมะอาจจะใหญ่ไปเสียหน่อย แต่พวกเรามีจำนวนคนเยอะจะหาที่ซ่อนของเสบียงอาหารมิได้เชียวหรือ?”กลุ่มคนจำนวนมหาศาลในกระท่อมแต่เดิม รีบออกไปอย่างรวดเร็วราวกับกระแสน้ำลงของมหาสมุทร“เจี้ยนฮวง!” เฉินฝานกล่าวเกรงว่าเซียนเจี้ยนหวงจะเข้าใจผิด เฉินฝานจึงพูดเสริมอีกห
เซียนเจี้ยนหวงมิลงมือทำร้ายสามัญชน ชายรอยบาดแผลคิดว่าชื่อเสียงของเซียนเจี้ยนหวงเป็นสิ่งจอมปลอม และเขาคิดว่าตนเองมีจำนวนมากมาย ต่อให้เซียนเจี้ยนหวงจะเก่งกาจเพียงใดก็มิสามารถลุยเดี่ยวกับคนหนึ่งร้อยคนได้และเฉินฝานก็ดูจะเป็นคนสุภาพเรียบร้อย ดังนั้นชายรอยบาดแผลมิได้รู้สึกเกรงกลัวอันใด ท่าทียโสโอหังยิ่งเขาต้องการเสบียงอาหารในกระท่อมหิมะทั้งหมด และประสงค์ที่จะคุมชะตาคนหลายคนไว้ในกำมือ ในขณะเดียวกันก็สามารถช่วยเมี่ยวอวี่ให้หลุดพ้นได้ด้วยอำนาจ สาวงาม เสบียงอาหารเขาต้องการทั้งหมดเฉินฝานเงยหน้าขึ้น เหลือบมองชายรอยบาดแผลอย่างเรียบนิ่ง “ดูเจ้าพูดเข้าสิ เจ้าเก่งกาจมากสินะ”“เยี่ยนหลิ่งผู้ยิ่งใหญ่!” ชายรอยบาดแผลวางท่าทีใหญ่โต“ว้าว!” เฉินฝานยกนิ้วโป้ง “ชื่อนี้ช่างน่าเกรงขามเสียจริง!”สุดยอด!เซียนเจี้ยนหวงต้องเก็บอาการอยู่ด้านข้างนี่คงจะเป็นความสนุกเพียงอย่างเดียวตอนที่ถูกกักขังอยู่ที่แห่งนี้ดูคนโง่ ที่จริงแล้วก็เป็นเรื่องที่น่าสนุก“เพียงแต่...” เฉินฝานเปลี่ยนเรื่องทันที “มิทราบว่าชื่อที่น่าเกรงขามเช่นนี้ จะชำนาญในการต่อสู้หรือไม่?”ระหว่างที่พูด เฉินฝานหันไปด้านข้างเล็กน้อย “
“ตุ้บ ๆ ๆ ๆ!”เสียงทุบประตูหน้าต่างด้านนอกดังขึ้นเรื่อย ๆ เซียนเจี้ยนหวงฝึกวรยุทธ์จนชำนาญแล้ว สถานการณ์ฝั่งเขานั้นค่อนข้างไปในทิศทางที่ดีฝั่งฉินเย่ว์เจียวและเย่ว์หนูนี้ค่อนข้างลำบาก“เย่ว์หนู เจ้ากันไว้ก่อน ข้าจะไปย้ายเตียงมากันไว้!”“มิจำเป็นหรอก!” เฉินฝานโบกมือเล็กน้อย เขาให้ฉินเย่ว์เจียวและเย่ว์หนูเปิดประตูออก“เปิดประตูงั้นหรือ?” ฉินเย่ว์เจียวส่ายหน้าทันที “ไม่ได้เจ้าค่ะ นายท่าน”คนด้านนอกทุกคนล้วนโกรธเฉินฝานจนกัดฟันกรอด ตะโกนอย่างดุเดือดเพื่อให้ต้องการพวกเขาผ่านเข้าไป เฉินฝานเสี่ยงอันตรายเกินไปแล้ว“พวกเจ้าสามารถกันไว้ได้หนึ่งชั่วยาม จะสามารถกันได้ถึงสองชั่วยามงั้นหรือ?”เมื่อคนตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงตาย มิว่าสิ่งใดก็สามารถทำได้ความเลวทรามของมนุษย์ เป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวที่สุดในโลกใบนี้“นายท่าน ขอเพียงข้ายังอยู่ ข้าก็จะยังคงกันต่อไปเรื่อย ๆ จะมิยอมให้คนด้านนอกเหล่านั้นทำร้ายท่านแม้แต่ปลายเล็บ”ฉินเย่ว์เจียวกำหมัดไว้แน่นขนัดเฉินฝานมองท่าทีที่เศร้าสลดทว่าเข้มแข็งของฉินเย่ว์เจียว รู้สึกซาบซึ้งและหงุดหงิด“นายท่าน บ่าวก็เช่นกันเจ้าค่ะ”เย่ว์หนูเพิ่มแรงในการกันประต
ฉินเย่ว์เจียวง้างมือขึ้นทันที เดิมทีต้องการจะตบหน้าเมี่ยวอวี่เป็นครั้งที่สองพลันยั้งมือกะทันหันกลั้นหายใจ รอฟังคำตอบของเมี่ยวอวี่ด้วยความกังวลเฉินฝานก็อดมิได้ที่จะเงี่ยหูฟังจะรู้ร่องรอยของเย่ว์ฉินแล้ว รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย“หยกห้อยเอวชิ้นนี้...”“ตุ้บ!”อยู่ ๆ ก็มีก้อนหิมะลอยก้อนหนึ่งลอยทะลุหน้าต่างเข้ามา“โอ๊ย!”เมี่ยวอวี่อยู่ใกล้หน้าต่างอย่างมาก ก้อนหิมะขว้างโดนหัวหน้า ทำให้นางตกใจจึงร้องออกมาทันที“ตุ้บ”ครั้งนี้สิ่งที่ขว้างมาคือก้อนหิน“ระวัง!”เมี่ยวอวี่รู้สึกเพียงว่าร่างกายทรงตัวมิอยู่ ตัวไปชนกับอ้อมอกที่ล่ำสันหัวสมองว่างเปล่าราวกับถูกจี้จุด เมี่ยวอวี่มองเฉินฝานด้วยความมึนงงดวงตากลมโตที่เปล่งประกายแวววับดังดวงดารา สภาพอารมณ์แปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็วหาคำตอบมิได้ มิเชื่อ มิเข้าใจ“เจ้า...” เมี่ยวอวี่กลอกตาไปมา “ไยเจ้าจึงช่วยข้า?”หากมิใช่เฉินฝานดึงนางหลบได้ทัน ตอนนี้นางก็คงหัวแตกเลือดไหลนองไปนานแล้วเฉินฝานผลักเมี่ยวอวี่ในอ้อมอกออก เขาที่พลังภายในยังฟื้นฟูมิสมบูรณ์เอนตัวล้มพิงเรือนร่างของฉินเย่ว์เจียว น้ำเสียงเยือกเย็น “อย่าคิดเข้าตัวเอง ข้าทำไปตามสัญชาตญาณเท
ถึงแม้ในทุกวันนางมักจะรับคำเยินยอจากบุรุษเพศอยู่แล้ว ทว่าท่าทางที่รักใคร่หวานยิ่งกว่าน้ำผึ้งราวภาพวาดนี้ นางมิเคยพบเห็นมาก่อนเมี่ยวอวี่ที่สงสัยว่าตัวเองมองผิดไป จึงตั้งใจหันกลับไปดูอีกครั้งภาพที่เฉินฝานช่วยปัดไรผมบนหน้าผากของฉินเย่ว์เจียวออก และฉินเย่ว์เจียวยิ้มตอบกลับให้เฉินฝานอย่างหวานหยาดเยิ้ม เมี่ยวอวี่เหลือบไปเห็นพอดีไม่จริงหรอก!เมี่ยวอวี่รีบหันหน้ากลับไปด้วยความรวดเร็ว ตีหน้าอกตนเองเบา ๆสองสามทีคาดมิถึงว่าจะเป็นเรื่องจริงใต้หล้านี้มีสามีภรรยาที่รักใคร่กันเช่นนี้จริงหรือ ? เป็นเรื่องจริงหรือว่าผู้ชายจะอ่อนโยนกับภรรยาตนเองได้เพียงนั้น?เฉินฝานเป็นชายที่เลวทรามต่ำช้ามิใช่หรือ?เย่ว์หนูชะเง้อมองมาจากทางเข้าเห็นว่าเฉินฝานตื่นแล้ว รีบวิ่งกลับไปที่ในห้อง ยกโจ๊กครึ่งชามที่วางไว้ในห้องไปอุ่นที่ห้องครัว หลังจากที่อุ่นจนร้อนแล้วก็วิ่งกลับมา“โจ๊กมาแล้วเจ้าค่ะ”“เอามาให้ข้า!” ฉินเย่ว์เจียวรับโจ๊กในมือเย่ว์หนูมาทันที“ลำบากเจ้าแล้ว” เฉินฝานหันไปพยักหน้ากับเย่ว์หนู“บ่าวมิลำบากเลยเจ้าค่ะ ขอเพียงนายท่านหายดีก็เพียงพอแล้ว” เย่ว์หนูหน้าแดง ส่ายหน้าอย่างแรงกล่าวว่าตนเองมิลำ