หลังจากฟังสิ่งที่เฉินฝานวิเคราะห์ เหอกังพยักหน้า เห็นด้วยกับความคิดของเฉินฝาน“น้องฝาน เจ้าวิเคราะห์เช่นนี้เป็นเรื่องที่ถูกต้อง อ๋องเจิ้นหนานต้องการให้จบลงอย่างรวดเร็ว แต่เหตุใดจึงมีทหารเพียงสามหมื่นนาย ทหารอีกเจ็ดหมื่นนายเล่า?” เหอจื่อหลินไม่เข้าใจอย่างมาก“คาดว่า อ๋องเจิ้นหนานคงคิดว่าพวกเขาโจมตีหรงตู ง่ายเหมือนเมืองฝูตูเช่นนั้นหรือ?” มั่วเซินทหารลาดตระเวนกองกำลังหนึ่งพูดเมื่อครั้นโจมตีเมืองฝูตู อ๋องเจิ้นหนานใช้ทหารเพียงสามพันคน ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งวัน ก็ยึดครองเมืองฝูตูได้แล้วทหารเฝ้าเมืองฝูตูหมื่นกว่านายนั้น หลังทหารของอ๋องเจิ้นหนานโจมตีไม่นานพวกเขาก็หนีกันจ้าละหวั่น“หึ!” หลูเฉิงกวงหัวเราะในลำคอ แววตาเปี่ยมไปด้วยความหนักแน่นและความเหี้ยมโหด “คิดว่าทุกคนจะไร้ความสามารถเหมือนพวกทหารเมืองฝูตูเช่นนั้นหรือ? หากอ๋องเจิ้นหนานกล้าคิดเช่นนั้น ก็ให้เขามาลองดู”หลูเฉิงกวงไม่ถนัดเล่นเล่ห์ ดำรงตำแหน่งนายอำเภอย่อมเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ทว่าด้านการฝึกทหาร เขาชำนาญยิ่งนักบวกกับเขาเรียนรู้วิธีฝึกทหารมาจากเฉินฝานไม่น้อยไม่กล้ากล่าวว่าทหารเฝ้าเมืองหรงตูเก่งกาจเพียงใด แต่อย่างน้อยก็กล้าเผชิญหน้า
เจี่ยเจิ้งฟางไม่ต้องมารายงาน เฉินฝานก็เดาได้แล้ว อ๋องเจิ้นหนานแบ่งทหารเตียนตูหนึ่งแสนนายเป็นสิบกองกำลัง ก่อตัวเป็นวงล้อมขนาดใหญ่ กำลังทยอยเข้าใกล้หรงตูระยะเวลาไม่ถึงครึ่งก้านธูป ทหารเตียนตูจะกลายเป็นวงกลมตีล้อมเข้ามาได้สำเร็จตามรายงานที่นักส่งสารกล่าวมานั้น เฉินฝานสรุปได้ว่าทหารตรงหน้ากำแพงเมืองมีจำนวนมากที่สุด มากถึงสามหมื่นนาย ส่วนที่เหลือเป็นกองกำลังขนาดใหญ่แปดพันนายระหว่างแต่ละกองกำลัง ห่างกันห้าลี้ ซึ่งเท่ากับสองพันห้าร้อยเมตร ระยะห่างเช่นนี้ ไม่ไกลและไม่ใกล้ สามารถหลบเลี่ยงการโจมตีผ่านระเบิดมือของเฉินฝานได้เพราะไม่ไกล ขอเพียงจุดใดจุดหนึ่งเริ่มปะทะกัน กองกำลังรอบๆ ก็สามารถเข้าไปช่วยได้อย่างรวดเร็วกลยุทธ์การต่อสู้เช่นนี้ ดีกว่ากลยุทธ์การแบ่งโจมตีหลายเท่านักทหารเตียนตูไม่ต้องโจมตี เพียงล้อมเอาไว้ก็ทำให้พวกเฉินฝานตกที่นั่งลำบากหรงตูคือเมืองที่มีประชากรหนึ่งล้านกว่าคน ไม่ถึงสามวัน อาหารในเมืองจะขาดแคลนเมื่อถึงเวลานั้น ทหารเตียนตูไม่ต้องโจมตี ภายในหรงตูก็พังทลายด้วยตนเองเฉินฝานกวาดตามองทหารเตียนตูที่ไกลๆ ซึ่งเริ่มมีการก่อกระโจมด้วยแววตาเย็นชาอ๋องเจิ้นหนานคือคู่ต
เครื่องโยนหินไม่ต้องแม่นยำเหมือนธนู เพราะระยะการโจมตีของเครื่องโยนหินคือกำแพงเมือง ไม่ก็หอคอยซึ่งเพื่อทำให้ศัตรูไม่อาจยืนอยู่บนกำแพงเมืองแล้วโต้กลับได้“แย่แล้ว!” เฉินฝานตะโกนเสียงดัง “เครื่องโยนหินของกบฏเตียนตูกำลังจะยิงแล้ว ทุกคนหมอบเดี๋ยวนี้!”เฉินฝานยังพูดไม่จบ เขาก็ได้ยินเสียงดังกระหึ่ม“ตู้ม!”“ตู้ม ตู้ม!”“ตู้ม ตู้ม ตู้ม!”นอกกำแพงเมือง เครื่องโยนหินทั้งยี่สิบเครื่องของทหารเตียนตูโจมตีพร้อมกันลูกไฟขนาดใหญ่ พุ่งมามีทั้งโดนหอคอย และมีทั้งโดนกำแพงเมือง ทุกจุดที่โดน ล้วนกลายเป็นหลุมสมกับเป็นอานุภาพของระเบิดดินปืนจริงๆ อ๋องเจิ้นหนานใช้กลยุทธ์โจมตีเมืองที่น่ากลัวที่สุดของยุคนี้ระเบิดดินปืนเป็นชื่อของระเบิด โดยมาจากกำมะถัน ดินประสิวและถ่านหิน ซึ่งทั้งสามสิ่งนี้ก่อให้เกิดระเบิดได้แม้อานุภาพในการระเบิด จะไม่รุนแรงเทียบเท่าระเบิดโถสุราของเฉินฝาน ทว่าระเบิดเป็นวงกว้าง อีกทั้งกำมะถัน ดินประสิวและถ่านล้วนเป็นสิ่งที่ติดไฟง่ายทุกจุดที่ระเบิดดินปืนไปถึงนั้น ล้วนเป็นทะเลเพลิง“ตู้ม!”“ตู้ม ตู้ม ตู้ม!”เสียงระเบิดดังขึ้นไม่หยุด“เอ๋?”ฉินเย่ว์เจียวที่หมอบกับเฉินฝานเงยหน
เฉินฝานคนนี้น่ากลัวยิ่งนักไม่อาจให้อยู่เคียงข้างฝ่าบาทเด็ดขาดเขาต้องจับเป็นเฉินฝาน หากไม่อาจจับเป็นได้ เช่นนั้นก็ต้องทำลายเฉินฝานซะ ไม่อาจปล่อยให้เฉินฝานมีชีวิตรอดกลับไปเด็ดขาดนอกหรงตู ภายใต้การโจมตีของเครื่องโยนหินและมือธนูของทหารเตียนตู แบ่งเป็นสิบทิศทาง โจมตีหรงตูด้วยความเร็วสูงชั่วขณะหนึ่งเสียงระเบิดดินปืนดังขึ้น พร้อมกับเสียงพุ่งทะยานของลูกธนู การฆ่าสังหารของทหารเตียนตู โหมกระหน่ำมาจากทั่วทุกสารทิศแม้เหอกังจะปลอบโยนครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่าชาวบ้านโดยมากในเมืองยังคงหวาดกลัวเหอจื่อหลินแบ่งทหารลาดตระเวนและทหารเฝ้าเมืองหรงตูทั้งสามหมื่นกว่านายเป็นสิบกองกำลังเช่นเดียวกันกำแพงเมืองหลักมีสองหมื่นกว่านาย เก้าทิศทางอื่นๆ ที่เหลือ...มีเพียงพันกว่านายทหารพันกว่านาย เผชิญหน้ากับทหารเตียนตูแปดพันนายช่างน่าสงสารยิ่งนักแต่ก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้ ภายในหรงตูมีกองกำลังเพียงเท่านั้นทางกำแพงเมืองหลัก จำนวนทหารมีค่อนข้างมาก ทั้งยังมีระเบิดทางไกลของฉินเย่ว์เจียว สถานการณ์จึงดีกว่าเล็กน้อยอีกเก้ากำแพงเมือง...ไม่ต้องรายงาน เฉินฝานมองเห็นด้วยตนเองแล้วว่ามีหลายจุด บันไดของทหารเตียนตูว
เฉินฝานจุดไฟที่เชือก“ไม่มีปัญหาขอรับ! ใต้เท้าดูข้าน้อยนะขอรับ!”“ฟิ้ว!”ระเบิดมือสิบลูกที่ผูกมัดเข้าด้วยกัน ทะยานขึ้นฟ้าด้วยความเร็วสูง ก่อตัวเป็นเส้นโค้งยาวๆ บนท้องฟ้าหัวหน้าทหารเตียนตูคนนั้น วินาทีก่อนหน้านี้กำลังออกคำสั่ง วินาทีต่อมา...“ตู้ม!”หลังจากเสียงระเบิดขนาดใหญ่ดังขึ้น บนกำแพงเมือง นอกกำแพงเมือง ตกอยู่ในความเงียบผ่านไปประมาณหลายสิบวาที“อ๊าก!”นอกกำแพงเมือง จู่ๆ ก็มีเสียงกรีดร้องแสบแก้วหูดังขึ้น“รองแม่ทัพ!”“รองแม่ทัพ!”คนที่อยู่ข้างรองแม่ทัพทหารเตียนตูร้องเสียงดัง พวกเขาวิ่งไป อยากทำเหมือนก่อนหน้านี้ ช่วยชีวิตไม่ก็...เก็บศพ!แต่พวกเขาในตอนนี้...ไม่อาจรักษาได้แล้วยิ่งไม่อาจเก็บศพเพราะว่ารองแม่ทัพของพวกเขา...คนนั้น ถูกระเบิดจนไม่เหลือซากแล้ว“ว้าว เป็นถึงรองแม่ทัพเชียว!”เฉินฝานชูนิ้วโป้งให้เสี่ยวซื่ออีกครั้ง “เยี่ยมมาก!”ทหารลาดตระเวนรอบๆ ต่างก็ปรบมือแล้วชื่นชมเขา“เยี่ยมมาก เสี่ยวซื่อ คิดไม่ถึงจริงๆ เจ้าตัวแค่นี้แต่กลับเก่งกาจถึงขั้นนี้!”เสี่ยวซื่อที่ถูกชื่นชม ลูบผมของตนเอง หัวเราะแหะๆตอนเด็กๆ เพราะชอบเล่นหนังสติ๊ก มักจะถูกท่านแม่วิ่งไล่ตีก้น
“ทางพวกข้าก็เช่นเดียวกัน วิ่งเร็วยิ่งกว่ากระต่าย!”“ใช่ น่าเสียดายที่ด้านพวกข้าไม่มีประตูเมือง มิเช่นนั้นข้าไล่ตามไปแล้ว”“ให้ตายสิ ตอนนี้ข้าอัดอั้นในใจ อยากพาเหล่าสหายออกไปไล่ฆ่าพวกมัน”บรรดาหัวหน้ากองกำลังกล้าพูดอย่างมาก ขณะพูดจนสุขล้นนั้น พวกเขาถึงขั้นเสนอเฉินฝาน“ท่านใต้เท้า ตอนนี้บรรดาสหายต่างเรียกร้อง หวังว่าท่านจะรีบมีคำสั่ง ให้พวกข้าออกไป ฆ่าพวกมันไม่ให้เหลือซาก”เฉินฝานเงียบครู่หนึ่ง กว่าจะหันกลับมามองหัวหน้ากองกำลังทหาร พูดเสียงเบา “ตอนนี้พวกเจ้าจะออกไป? แล้วยังจะฆ่าพวกมันไม่ให้เหลือซาก?”“ข้าว่า...” จู่ๆ เฉินฝานก็พูดเสียงดัง น้ำเสียงเย็นชา “พวกเจ้าถูกสังหารจนไม่เหลือแม้แต่ซากต่างหาก”“ท่านใต้เท้า ท่านฟังผิดแล้ว ไม่ใช่พวกเรา แต่เป็น...”“เพี๊ยะ!”เฉินฝานตบมั่วเซินที่พูดเสียงดังที่สุดแม้มั่วเซินไม่โต้กลับ แต่สีหน้าไม่พอใจของเขา ได้แสดงออกไปแล้ว“เจ้ารู้สึกน้อยใจมากใช่ไหม?”แม้ไม่สบอารมณ์ แต่มั่วเซินไม่กล้าเถียงเฉินฝาน“พวกเจ้าเคยได้ยินคำโบราณที่กล่าวไว้หรือไม่ ทหารหยิ่งผยองย่อมแพ้ภัย”!”“พวกเจ้าคิดว่าสังหารหัวหน้ากองกำลังได้เพียงไม่กี่คน อีกฝ่ายก็จะไม่มีใจฮึกเหิ
“แหะๆ”เผชิญหน้ากับสายตาสงสัยและเคารพนับถือของทุกคน เฉินฝานหัวเราะแห้งๆ“ข้าคนนี้ ค่อนข้างโง่เขลา ไม่เชี่ยวชาญเรื่องทิศทาง ดังนั้นตอนจับโจรที่อำเภอผิงอัน เพื่อความสะดวก จึงสร้างเจ้านี่ขึ้นมา”“...” เหอจื่อหลินไม่อยากพูดเฉินฝานโง่เขลา เช่นนั้นตนเล่า ไม่มีสมองกระมัง?ความคิดนี้ ไม่ได้มีแค่เหอจื่อหลิน หัวหน้ากองกำลังทหารด้านหลังเขาก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน“เรากลับเข้าเรื่องกันดีกว่า”เฉินฝานหยิบพู่กันบนโต๊ะหนังสือขึ้นมาหนึ่งด้าม ยืนหน้าโต๊ะทราย“แม้ตอนนี้ทหารเตียนตูจะถอยทัพไปชั่วคราว แต่พรุ่งนี้พวกเขาต้องโจมตีอีกรอบแน่นอน วันนี้พวกเราสังหารหัวหน้ากองกำลังทหารของพวกเขาไปทั้งสี่คนติดต่อกัน พรุ่งนี้หัวหน้ากองกำลังทหารของพวกเขา ต้องไม่อยู่ด้านหน้าแน่นอน”“หรืออาจจะไม่ได้นั่งบนหลังม้า สวมเครื่องแบบทหาร แฝงตัวอยู่ในกลุ่มทหารแล้วคอยออกคำสั่ง ดังนั้นวิธีการในวันนี้ไม่อาจใช้ได้ผลแล้ว”“เช่นนั้นพวกเราก็สู้กับพวกเขาให้ตายไปข้างหนึ่ง แม้พวกเขาจะมีเครื่องโยนหิน มีระเบิดดินปืน แต่พวกเราก็ไม่กลัว พวกเขาคิดอยากบุกเข้ามา ไม่ง่ายเช่นนั้น”คำพูดของเหอจื่อหลิน หัวหน้ากองกำลังทหารที่อยู่ใต้บังคับบัญช
“อวดดียิ่งนัก ปล่อยข้าไปเจ้าจะต้องเสียใจ”“ปล่อยเขาไปเถอะ!” เฉินฝานโบกมือเล็กน้อย หลี่หงโหว่ผู้นี้ช่างโหวกเหวกโวยวายเสียจริงกลางดึก เฉินฝานและพ่อลูกตระกูลเหอเพิ่งออกจะสำนักบัณฑิต หลูเฉิงกวงก็มากล่าวรายงานว่าหลี่หงโหว่ใช้เส้นทางลับในบ้านของเขาออกเมืองไปแล้ว“ทว่าเขามิได้ไปหาอ๋องเจิ้งหนาน มุ่งหน้าไปทางเมืองหลวง”ได้ยินคำพูดของหลูเฉิงกวง เหอจื่อหลินถอดหายใจโล่งอกอย่างเห็นได้ชัด “ถือว่าเขายังมีจิตสำนึก มิกล้าหักหลังพวกเรา”“มิใช่!” เฉินฝานหยุดฝีเท้าทันที กล่าวกับพ่อลูกตระกูลเหอว่า “ท่านแม่ทัพใหญ่ พี่จื่อหลิน เกรงว่าคืนนี้พวกเราจะมิได้นอนกันแล้ว”“หลี่หงโห่วมิได้ไปพึ่งพาอ๋องเจิ้งหนานมิใช่หรือ? คลังเสบียง ระเบิดมือตอนนี้ก็คงจะปลอดภัยแล้วกระมัง” เหอจื่อหลินมึนงงเป็นอย่างมาก“เขามิได้เป็นฝ่ายไปพึ่งพาอ๋องเจิ้งหนานก่อน ทว่ามิได้หมายความว่าเขาจะมิไปเสียหน่อย”“โอ้...” ชะงักไปครู่หนึ่ง เหอจื่อหลินจึงเข้าใจคำพูดของเฉินฝาน “เจ้าจะบอกว่าคนของอ๋องเจิ้งหนานจะเจอเขา หลังจากนั้น หลี่หงโห่วจะถูกอ๋องเจิ้งหนานจับตัวไป”“ถูกต้องตามนั้น” เฉินฝานพยักหน้าเฉินฝานเพิ่งจะพูดจบ ลูกน้องของหลูเฉิงกวงก็มาก
“ผู้จัดสรร มิสามารถแบ่งให้คนนอกที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าเช่นนี้ได้เด็ดขาด!”“ถูกต้องแล้ว แบ่งให้คนที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้ามิได้!”คนรับใช้สองสามคนข้างกายเหลยหย่งอัน พูดเสริมทันที“เช่นนั้นนายน้อยเหลยคิดว่าผู้ใดเป็นผู้จัดสรรจึงจะเหมาะสม?”มีคนตะโกนถามท่ามกลางผู้เหลือรอดเหลยหย่งอันเลิกคิ้วขึ้นทันที ประโยคที่เขารอก็คือประโยคนี้ผู้นั้นเพิ่งจะกล่าวจบ เหลยหย่งอันก็ส่งสายตาไปที่คนรับใช้ข้างกายทันที“ร้านค้าตระกูลเหลยมากมายมหาศาล นายน้อยของพวกเราก็มีส่วนร่วมดูแล ไปตรวจสอบที่ร้านค้าทุกเดือน”ตรวจสอบแบบใดกัน ไปเกี้ยวพาราสีสตรีในร้านเสียมากกว่าเรื่องนี้ทุกคนในเมืองเซียนตูทราบดี เพียงแต่มิอยากให้เหลยหย่งอันมิพอใจ จึงมิมีผู้ใดกล้าพูดเปิดโปง“ดังนั้น...” คนใช้ผู้นั้นกล่าวต่อ “ผู้จัดสรรนี้ นายน้อยของข้าเป็นคนที่เหมาะสมที่สุด “ทุกคนลงเรือลำเดียวกันแล้ว พวกเจ้า...” เหลยหย่งอันยกมือขึ้นทำท่าทางแบกรับรับความผิดชอบไว้เพียงผู้เดียว “คนที่ร่วมทุกข์กับข้าทุกคน ขอเพียงแค่สามารถมีชีวิตรอดออกไปได้ ก็สามารถไปรับเงินหนึ่งร้อยตำลึงได้ที่ตระกูลเหลยของพวกเรา”เพื่อที่จะได้ตำแหน่งผู้จัดสรรนี้ เหลยห
“ต่อให้เสบียงอาหารทั้งหมดต้องถูกจัดสรรปันส่วนอย่างเท่าเทียม เช่นนั้นไฉนอำนาจในการจัดการจัดแบ่งต้องเป็นเจ้าคนเดียวงั้นหรือ? เจ้าเป็นใครกัน?”ชายหนุ่มที่สวมชุดผ้าไหมอย่างดี ศีรษะสวมหมวกสีทองประดับด้วยไข่มุกเดินเข้ามากล่าวถามเฉินฝานด้วยท่าทีโอหังบุคคลนี้คือลูกชายคนโตของตระกูลเหลยเก่าแก่อันดับหนึ่งของเมืองเซียนตู เหลยหย่งอันด้วยความที่ชาติตระกูลมีเงินและอำนาจ เหลยหย่งอันได้รับสมญานามให้เป็นอันธพาลอันดับหนึ่งในเมืองเซียนตู ปกติก็มักจะรังแกผู้ชายข่มเหงผู้หญิง กระทำชั่วทุกรูปแบบสำหรับวีรกรรมของเหลยหย่งอันแล้ว เจ้าเมืองซื่อต้าเผิงต้องยอมปล่อยผ่านไปเหลยหย่งอันรู้สึกว่ามิถูกชะตาเฉินฝานอยู่ก่อนแล้วเรือนเซียนผาสุกมีกฎว่านอกจากผู้ฟังโชคดี่ถูกเมี่ยวอวี่สุ่มเลือกมา บุคคลที่ให้เงินรางวัลจำนวนมากที่สุด เมี่ยวอวี่ก็จะบรรเลงพิณเป็นการส่วนตัวเช่นกันทว่า ทุกปีจะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นต้นปีเหลยหย่งอันก็เริ่มให้เงินรางวัลจำนวนมหาศาล ในที่สุดเมื่อมาถึงเดือนท้ายปีก็ได้ลำดับที่หนึ่งมาครองเห็นว่าตนเองสามารถเข้าไปในกระท่อมหิมะพบกับเมี่ยวอวี่ ได้ฟังพิณที่นางบรรเลงให้ตนเองโดยเฉพาะ กลับคาดมิถึงว่าอย
เรือนเซียนผาสุกมีชื่อเสียงเงินทองมหาศาลดังคาด จำนวนเสบียงที่กักตุนไว้ตอนฤดูหนาว มากกว่าเสบียงครึ่งปีของครอบครัวสามัญชนเสียอีกตรงข้ามกับผู้เหลือรอดเหล่านั้น เฉินฝานยิ่งฟัง คิ้วยิ่งขมวดหนักขึ้นเรื่อย ๆน้อยไป น้อยเกินไปแล้วคนสามร้อยกว่าคน ต่อให้กินอาหารวันละหนึ่งมื้อ เสบียงอาหารเหล่านี้ก็หมดเกลี้ยงเพียงในพริบตาเดียว“เสบียงอาหารของกระท่อมหิมะนำออกมาไว้ที่แห่งนี้ทั้งหมดแล้วใช่หรือไม่?” เฉินฝานหันหน้ากล่าวถามเมี่ยวอวี่“กระท่อมหิมะแห่งนี้ของข้ามิได้ใหญ่โตเสียหน่อย ตุนไว้จำนวนมากเพียงนั้น ยังมินับว่าเยอะอีกหรือ?” เมี่ยวอวี่ย้อนถามเฉินฝาน“ก็จริง” เฉินฝานหัวเราะสมเพชตนเองในส่วนลึกของหัวใจ หวังว่าจะมีเยอะกว่านี้“ตอนนี้นับเสบียงเรียบร้อยแล้ว รีบแบ่งให้ทุกคนเถอะ”มีคนเร่งเร้าหิวจนทนมิไหวแล้วจริง ๆ“แบ่งมิได้!” เฉินฝานกล่าว“มิแบ่งงั้นหรือ?”สายตาสามร้อยกว่าคนจับจ้องไปที่เฉินฝานอย่างพร้อมเพียงมิเข้าใจ มิเชื่อเสบียงอาหารทั้งหมดถูกขนย้ายออกมานับจำนวนแล้ว ไม่เพียงแต่จำนวนเสบียงเท่านั้น จำนวนคนก็นับแล้วเช่นกันทำถึงเพียงนี้แล้ว เฉินฝานกลับกล่าวว่ามิแบ่งแล้ว“เจ้าหมายความว่าอย
เขายืนกรานไม่ยอมนำเสบียงออกมามิใช่หรือ ไฉนตอนนี้ต้องการเอาออกมา และยังต้องนำออกมาทั้งหมดอีกด้วยเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่กันแน่?“ทำไมล่ะ? แม่นางเมี่ยวอวี่มิเห็นด้วยงั้นหรือ?” เฉินฝานกล่าวถาม“โอ้ ไม่ใช่หรอก!” เมี่ยวอวี่กล่าวอย่างรีบร้อน “แน่นอนว่าข้าต้องเห็นด้วยอยู่แล้ว เจ้ารีบพาคนไปนำเสบียงอาหารในคลังออกมาทั้งหมด”“ช้าก่อน!” เฉินฝานเรียกยายจ้าวไว้ “เพื่อให้มั่นใจว่าเสบียงอาหารทั้งหมดจะถูกขนย้ายออกมา เย่ว์เจียวเจ้าไปตามยายจ้าวไปด้วย พวกเจ้า... ”เฉินฝานหันไปกล่าวกับผู้เหลือรอดเหล่านั้น “ก็ส่งหนึ่งคนตามไปด้วย”ผ่านไปครู่เดียว เสบียงอาหารทั้งหมดในกระท่อมหิมะถูกขนมาไว้ด้านหน้าฝูงชนเฉินฝานมองดูเสบียงอาหารที่กองเป็นพะเนินด้านหน้า กล่าวอย่างเนิบนาบ “โอ้ จำนวนมิน้อยเลยนะเนี่ย”“อากาศเย็น คร้านออกไปจับจ่าย ดังนั้นจึงซื้อจำนวนมากในคราวเดียว” เมี่ยวอวี่กล่าวอย่างมิใส่ใจมากนักเสบียงอาหารเหล่านั้นมีจำนวนมากก็จริงทว่าเป็นเรื่องยากที่จะทำให้คนจำนวนมากเพียงนี้อยู่รอด!ท้ายที่สุด ก็ยังคงต้องตายอยู่ดีเหล่าผู้เหลือรอด มิได้มองการณ์ไกลเช่นนั้น พวกเขาที่หิวมาหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว มองเสบียงอาห
เมื่อมีคนเปิดประเด็นแล้วคนอื่นก็พากันทำตาม คนกลุ่มใหญ่จำนวนมหาศาลคุกเข่าต่อหน้าเฉินฝานเฉินฝานมิได้กล่าวอันใด เมี่ยวอวี่ที่อยู่ด้านข้างชิงพูดก่อน“เหอะ!” เมี่ยวอวี่เยาะเย้ยออกมาทันที กล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ช่างเป็นชายที่ใจดำอำมหิตเสียจริง คิดว่าตนเองมีผู้มากฝีมือที่เก่งกาจอยู่ข้างกาย ก็สามารถมิสนใจชีวิตของผู้คนรอบตัว แม้กระทั่งเด็กและคนชราก็ยังมิยอมช่วย”เมี่ยวอวี่จงใจกล่าวเช่นนี้จงใจที่พัดความโมโหของฝูงชนให้ลุกฮือดังคาด...“เขาใจดำอำมหิตเพียงนั้น แม้กระทั่งเด็กน้อยคนแก่ก็ยังมิยอมให้อาหารกินแม้แต่น้อย เช่นนั้นเรายังต้องกลัวสิ่งใดอีก?”เมื่อมีคนเริ่มก็มีคนตาม“ถูกต้อง อย่างไรเสียก็ถูกขังจนตายอยู่ที่นี้อยู่ดี ก่อนที่จะจากโลกนี้ไป ทุกคนต้องได้กินให้อิ่มท้อง!”“พวกเรามิต้องมาอ้อนวอนอยู่ตรงนี้และ ไปสืบเสาะ ไปค้นหา กระท่อมหิมะอาจจะใหญ่ไปเสียหน่อย แต่พวกเรามีจำนวนคนเยอะจะหาที่ซ่อนของเสบียงอาหารมิได้เชียวหรือ?”กลุ่มคนจำนวนมหาศาลในกระท่อมแต่เดิม รีบออกไปอย่างรวดเร็วราวกับกระแสน้ำลงของมหาสมุทร“เจี้ยนฮวง!” เฉินฝานกล่าวเกรงว่าเซียนเจี้ยนหวงจะเข้าใจผิด เฉินฝานจึงพูดเสริมอีกห
เซียนเจี้ยนหวงมิลงมือทำร้ายสามัญชน ชายรอยบาดแผลคิดว่าชื่อเสียงของเซียนเจี้ยนหวงเป็นสิ่งจอมปลอม และเขาคิดว่าตนเองมีจำนวนมากมาย ต่อให้เซียนเจี้ยนหวงจะเก่งกาจเพียงใดก็มิสามารถลุยเดี่ยวกับคนหนึ่งร้อยคนได้และเฉินฝานก็ดูจะเป็นคนสุภาพเรียบร้อย ดังนั้นชายรอยบาดแผลมิได้รู้สึกเกรงกลัวอันใด ท่าทียโสโอหังยิ่งเขาต้องการเสบียงอาหารในกระท่อมหิมะทั้งหมด และประสงค์ที่จะคุมชะตาคนหลายคนไว้ในกำมือ ในขณะเดียวกันก็สามารถช่วยเมี่ยวอวี่ให้หลุดพ้นได้ด้วยอำนาจ สาวงาม เสบียงอาหารเขาต้องการทั้งหมดเฉินฝานเงยหน้าขึ้น เหลือบมองชายรอยบาดแผลอย่างเรียบนิ่ง “ดูเจ้าพูดเข้าสิ เจ้าเก่งกาจมากสินะ”“เยี่ยนหลิ่งผู้ยิ่งใหญ่!” ชายรอยบาดแผลวางท่าทีใหญ่โต“ว้าว!” เฉินฝานยกนิ้วโป้ง “ชื่อนี้ช่างน่าเกรงขามเสียจริง!”สุดยอด!เซียนเจี้ยนหวงต้องเก็บอาการอยู่ด้านข้างนี่คงจะเป็นความสนุกเพียงอย่างเดียวตอนที่ถูกกักขังอยู่ที่แห่งนี้ดูคนโง่ ที่จริงแล้วก็เป็นเรื่องที่น่าสนุก“เพียงแต่...” เฉินฝานเปลี่ยนเรื่องทันที “มิทราบว่าชื่อที่น่าเกรงขามเช่นนี้ จะชำนาญในการต่อสู้หรือไม่?”ระหว่างที่พูด เฉินฝานหันไปด้านข้างเล็กน้อย “
“ตุ้บ ๆ ๆ ๆ!”เสียงทุบประตูหน้าต่างด้านนอกดังขึ้นเรื่อย ๆ เซียนเจี้ยนหวงฝึกวรยุทธ์จนชำนาญแล้ว สถานการณ์ฝั่งเขานั้นค่อนข้างไปในทิศทางที่ดีฝั่งฉินเย่ว์เจียวและเย่ว์หนูนี้ค่อนข้างลำบาก“เย่ว์หนู เจ้ากันไว้ก่อน ข้าจะไปย้ายเตียงมากันไว้!”“มิจำเป็นหรอก!” เฉินฝานโบกมือเล็กน้อย เขาให้ฉินเย่ว์เจียวและเย่ว์หนูเปิดประตูออก“เปิดประตูงั้นหรือ?” ฉินเย่ว์เจียวส่ายหน้าทันที “ไม่ได้เจ้าค่ะ นายท่าน”คนด้านนอกทุกคนล้วนโกรธเฉินฝานจนกัดฟันกรอด ตะโกนอย่างดุเดือดเพื่อให้ต้องการพวกเขาผ่านเข้าไป เฉินฝานเสี่ยงอันตรายเกินไปแล้ว“พวกเจ้าสามารถกันไว้ได้หนึ่งชั่วยาม จะสามารถกันได้ถึงสองชั่วยามงั้นหรือ?”เมื่อคนตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงตาย มิว่าสิ่งใดก็สามารถทำได้ความเลวทรามของมนุษย์ เป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวที่สุดในโลกใบนี้“นายท่าน ขอเพียงข้ายังอยู่ ข้าก็จะยังคงกันต่อไปเรื่อย ๆ จะมิยอมให้คนด้านนอกเหล่านั้นทำร้ายท่านแม้แต่ปลายเล็บ”ฉินเย่ว์เจียวกำหมัดไว้แน่นขนัดเฉินฝานมองท่าทีที่เศร้าสลดทว่าเข้มแข็งของฉินเย่ว์เจียว รู้สึกซาบซึ้งและหงุดหงิด“นายท่าน บ่าวก็เช่นกันเจ้าค่ะ”เย่ว์หนูเพิ่มแรงในการกันประต
ฉินเย่ว์เจียวง้างมือขึ้นทันที เดิมทีต้องการจะตบหน้าเมี่ยวอวี่เป็นครั้งที่สองพลันยั้งมือกะทันหันกลั้นหายใจ รอฟังคำตอบของเมี่ยวอวี่ด้วยความกังวลเฉินฝานก็อดมิได้ที่จะเงี่ยหูฟังจะรู้ร่องรอยของเย่ว์ฉินแล้ว รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย“หยกห้อยเอวชิ้นนี้...”“ตุ้บ!”อยู่ ๆ ก็มีก้อนหิมะลอยก้อนหนึ่งลอยทะลุหน้าต่างเข้ามา“โอ๊ย!”เมี่ยวอวี่อยู่ใกล้หน้าต่างอย่างมาก ก้อนหิมะขว้างโดนหัวหน้า ทำให้นางตกใจจึงร้องออกมาทันที“ตุ้บ”ครั้งนี้สิ่งที่ขว้างมาคือก้อนหิน“ระวัง!”เมี่ยวอวี่รู้สึกเพียงว่าร่างกายทรงตัวมิอยู่ ตัวไปชนกับอ้อมอกที่ล่ำสันหัวสมองว่างเปล่าราวกับถูกจี้จุด เมี่ยวอวี่มองเฉินฝานด้วยความมึนงงดวงตากลมโตที่เปล่งประกายแวววับดังดวงดารา สภาพอารมณ์แปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็วหาคำตอบมิได้ มิเชื่อ มิเข้าใจ“เจ้า...” เมี่ยวอวี่กลอกตาไปมา “ไยเจ้าจึงช่วยข้า?”หากมิใช่เฉินฝานดึงนางหลบได้ทัน ตอนนี้นางก็คงหัวแตกเลือดไหลนองไปนานแล้วเฉินฝานผลักเมี่ยวอวี่ในอ้อมอกออก เขาที่พลังภายในยังฟื้นฟูมิสมบูรณ์เอนตัวล้มพิงเรือนร่างของฉินเย่ว์เจียว น้ำเสียงเยือกเย็น “อย่าคิดเข้าตัวเอง ข้าทำไปตามสัญชาตญาณเท
ถึงแม้ในทุกวันนางมักจะรับคำเยินยอจากบุรุษเพศอยู่แล้ว ทว่าท่าทางที่รักใคร่หวานยิ่งกว่าน้ำผึ้งราวภาพวาดนี้ นางมิเคยพบเห็นมาก่อนเมี่ยวอวี่ที่สงสัยว่าตัวเองมองผิดไป จึงตั้งใจหันกลับไปดูอีกครั้งภาพที่เฉินฝานช่วยปัดไรผมบนหน้าผากของฉินเย่ว์เจียวออก และฉินเย่ว์เจียวยิ้มตอบกลับให้เฉินฝานอย่างหวานหยาดเยิ้ม เมี่ยวอวี่เหลือบไปเห็นพอดีไม่จริงหรอก!เมี่ยวอวี่รีบหันหน้ากลับไปด้วยความรวดเร็ว ตีหน้าอกตนเองเบา ๆสองสามทีคาดมิถึงว่าจะเป็นเรื่องจริงใต้หล้านี้มีสามีภรรยาที่รักใคร่กันเช่นนี้จริงหรือ ? เป็นเรื่องจริงหรือว่าผู้ชายจะอ่อนโยนกับภรรยาตนเองได้เพียงนั้น?เฉินฝานเป็นชายที่เลวทรามต่ำช้ามิใช่หรือ?เย่ว์หนูชะเง้อมองมาจากทางเข้าเห็นว่าเฉินฝานตื่นแล้ว รีบวิ่งกลับไปที่ในห้อง ยกโจ๊กครึ่งชามที่วางไว้ในห้องไปอุ่นที่ห้องครัว หลังจากที่อุ่นจนร้อนแล้วก็วิ่งกลับมา“โจ๊กมาแล้วเจ้าค่ะ”“เอามาให้ข้า!” ฉินเย่ว์เจียวรับโจ๊กในมือเย่ว์หนูมาทันที“ลำบากเจ้าแล้ว” เฉินฝานหันไปพยักหน้ากับเย่ว์หนู“บ่าวมิลำบากเลยเจ้าค่ะ ขอเพียงนายท่านหายดีก็เพียงพอแล้ว” เย่ว์หนูหน้าแดง ส่ายหน้าอย่างแรงกล่าวว่าตนเองมิลำ