“ฝ่าบาท อะไรของท่านก็ไม่รู้~”เสิ่นไต้มั่นสะบัดผ้าเช็ดมือในมือเบาๆ เรือนร่างบิดไปบิดมาอย่างรุนแรง กลิ่นหอมฟุ้งแผ้ซ่านไปทุกสารทิศ เฉินฝานที่อยู่ด้านข้างได้กลิ่นอย่างชัดเจนเหล่าหญิงสาวพวกนี้จงใจอย่างแน่นอน“เอาล่ะ ไม่แกล้งเจ้าแล้ว ข้ายังมีสาสน์กราบทูลที่ต้องอ่าน ทูลลาเถิด!”ฉินเย่ว์เหมยยิ้มพลางพูด และขณะเดียวกันก็ให้เสิ่นไต้มั่นกลับไปอย่างไม่ขุ่นเคืองหมองใจ“ฝ่าบาท เมื่อคืนหม่อมฉันอิ่มเอมใจอย่างมากเพคะ วันนี้ก็อยากอิ่มเอมอีก” เมื่อเห็นว่าฉินเย่ว์เหมยไล่นางกลับ เสิ่นไต้มั่นก็ไม่สำรวมกิริยาท่าทางอีกต่อไป บอกกล่าวเจตจำนงการมาเยือนของนางทันที“อะไรกัน?” ฉินเย่ว์เหมยคิดไม่ถึงว่าเสิ่นไต้มั่นจะร้องขอเช่นนี้“หม่อมฉันอยากให้กำเนิดรัชทายาทให้กับฝ่าบาท และ......” ระหว่างที่เสิ่นไต้มั่นพูด หน้าขึ้นสีขึ้นมาทันที “ ความรักอันยิ่งใหญ่ของฝ่าบาท ล้ำเลิศกว่าเครื่องประทินโฉมใดๆ ฝ่าบาทไม่เห็นหรือว่าผิวพรรณของข้าดีกว่าเมื่อก่อนหรือกระไร?”ไม่ต้องพูดถึงหลังจากที่เสิ่นไต้มั่นพูดมาเช่นนี้ ฉินเย่ว์เหมยรู้สึกจริงๆว่าผิวพรรณของเสิ่นไต้มั่นเปล่งประกายชุ่มน้ำขึ้นอย่างมากในตอนนี้ ฉินเย่ว์เหมยและเสิ่นไต้
เฉินฝานเคยชินกับความเยือกเย็นของฉินเย่ว์เหมยแล้ว ผนวกกับฮองเฮาผลาญแรงกายของเขาไปไม่น้อย เฉินฝานที่ขึ้นไปบนเตียงจักรพรรดิหัวถึงหมอนแล้วก็หลับไปเลยฟ้ายังไม่ทันสว่าง เฉินฝานก็ถูกเสียงเอะอะโวยวายปลุกให้ตื่นลืมตาขึ้นมาก็พบว่าฉินเย่ว์เหมยไม่อยู่ในพระราชวังแล้วใครมันหาญกล้าเช่นนั้น บังอาจมาเอะอะโวยวายที่พระราชวังไท่เหอของจักรพรรดิ เฉินฝานที่สงสัยใคร่รู่สวมเสื้อผ้าแล้วจึงเดินออกไปดูฉินเย่ว์เหมยฉลองพระองค์ชุดจักรพรรดิ นั่งอยู่บัลลังก์มังกรแกะสลัก สีหน้าโกรธจัดฮองเฮาเสิ่นไต้มั่นคุกเข่าอยู่ ร้องไห้ฟูมฟายใจจะขาดและข้างกายของนาง ยังมีชายที่คุกเข่าตัวสั่นเทาคนหนึ่งอยู่ชายผู้นั้นสวมชุดทหารรักษาพระองค์ เห็นได้ชัดว่าเขาคือทหารองครักษ์ประจำพระราชวัง“ฝ่าบาท หม่อมฉันถูกใส่ร้าย วันนี้ฝ่าบาทจะเสด็จมาเยือนหม่อมฉัน ในใจก็ท่วมท้นไปด้วยความสุข ดื่มสุราไปเล็กน้อย สติเลือนรางเล็กน้อย ไม่รู้เลยว่า......เสิ่นไต้มั่นชี้นิ้วกล่าวหาชายที่ร่างกายสั่นเทา “บ่าวน่ารังเกียจ คิดไม่ถึงเลยว่าจะบุกเข้าไปในตำหนักบรรทมของหม่อมฉัน คิดจะฝ่าฝืนกฎขุนนาง!” ทหารรักษาพระองค์ธรรมดาคนหนึ่ง ทำได้เพียงลาดตระเวนวังหน้าเ
“ฮองเฮา!” ฉินเย่ว์เหมยกดสายตามองไปที่เสิ่นไต้มั่น ถึงแม้จะเป็นสายตาเรียบนิ่ง ทว่าเปี่ยมไปด้วยรังสีอาฆาต “เจ้าจะฆ่าใครในพระราชวังไท่เหอของข้า?”“ฮองเฮา” มั่วหมัวมัวดึงเสิ่นไต้มั่นเบาๆ ก้มหน้ากล่าวเตือนนาง “ที่นี้คือพระราชวังไท่เหอ ยังไม่รีบสำนึกผิดกับฝ่าบาทอีก”“ฝ่า ฝ่าบาท หม่อมฉันผิดไปแล้วเจ้าค่ะ” หม่อมฉันถูกเจ้าคนทรยศทำให้สับสน เสิ่นไต้มั่นที่ได้สติกลับมารีบคุกเข่าอย่างลนลาน ใบหน้าอันงดงามซีดเผือกเล็กน้อยนางทำตัวกร่างจองหองตามเสิ่นหมิงหยวนจนเคยชิน ลืมไปเลยว่าตอนนี้นางอยู่ที่ใด“ทว่า!” เสิ่นไต้มั่นยังคงพูดแก้ต่างให้เสิ่นหมิงหยวน “ไอ้คนทรยศมันใส่ร้ายพ่อข้า เรื่องนี้จริงแท้แน่นอน ฝ่าบาท ท่านอย่าไปเชื่อเขา ไอ้คนทรยศนี้ช่างน่ารังเกียจ สมควรได้รับโทษรถม้าแหกร่างเดี๋ยวนี้!”“ฝ่าบาท บ่าวไม่ได้พูดโกหก ท่านอัครเสนาบดีเบื้องขวาส่งข้ามาเอง ของสิ่งนี้เป็นหลักฐานให้ข้าได้” เมื่อได้ยินว่าจะถูกห้าอาชาแหกร่าง ทหารรักษาพระองค์คนนั้นลนลานควักป้ายแขวนเอวออกมาจากอกหงอิงรับป้ายแขวนเอวมาดู “ฝ่าบาท ป้ายแขวนเอวนี้เป็นของท่านอัครเสนาบดีเบื้องขวาเจ้าค่ะ”ฉินเย่ว์เหมยหญิงแสร้งเป็นบุรุษเพศชั่วคราว ทำหน้า
“เหอะ!” ถึงขั้นมีขุนนางบางคนกลั้นขำไว้ไม่หยุด“เป็นผู้ชายที่ขายหน้าตากิน มันต่างอะไรหญิงร่อนเร่ในหอนางโลมอย่างไรกันล่ะ?”เรื่องที่ให้อาตัวเองนอนกับเมียตัวเอง เขาก็ทำมาแล้ว จะเป็นชายขายหน้าตามันจะผิดแปลกอันใด”“ได้ยินเขาเป็นแค่ไอ้ไก่อ่อน”“ไก่อ่อน ฮ่าฮ่า มิน่าล่ะครั้งนี้ใต้เท้าเสิ่นไม่สนใจฝ่าบาทเลย”เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของเหล่าขุนนางดังขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นที่ว่ามีความถือดีอยู่ในน้ำเสียงเล็กน้อยเพราะคนที่เริ่มเปิดประเด็นก็คือลูกชายคนโตของเสิ่นหมิงหยวน เสิ่นหยวนฮวา“ฝ่าบาท หม่อมฉันมีเรื่องกราบทูล!”เสิ่นหมิงหยวนถือหยกสมปรารถนาในมือรุดหน้าขึ้นมาทันทีการเข้าพระโรงยามเช้าในยุคโบราณ ปกติแล้วจักรพรรดิมักจะเป็นคนพูดก่อนเสมอ อย่างเช่นเหล่าคำพูดที่ว่ามีเรื่องกล่าวรายงาน ไม่มีเรื่องอันใดเลิกการเข้าห้องพระโรง หลังจากนั้นเหล่าขุนนางจึงจะสามารถกราบทูลถวายรายงานได้ฉินเย่ว์เหมยยังไม่ทันได้ปริปาก เสิ่นหมิงหยวนก็ชิงพูดก่อน เห็นได้เลยว่าเขาไม่เห็นหัวฉินเย่ว์เหมยมากเพียงใดเฉินฝานลอบสังเกตอย่างเงียบๆ การกระทำไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมไร้มรรยาทเช่นนี้ของเสิ่นหมิงหยวน ไม่มีขุนนางโต้แย้งแม้แต่คนเ
สองทหารรักษาพระองค์หญิงคุมตัวชายที่ตัวสั่นเทาสวมชุดทหารรักษาพระองค์เข้ามาพระตำหนัก“คุกเข่าลงไป!”ทหารรักษาพระองค์หญิงเตะหัวเข่าของผู้ชาย ผู้ชายคุกเข่าเสียงดังตุ้บลงกับพื้น“ฮือ......”ผู้ชายที่คุกเข่าล้มลงไปร้องไห้เสียงออกมาอย่างกะทันหันสีหน้าฉินเย่ว์เหมยและหงอิงตกตะลึงทันที เสียงนี้มัน......ผู้ชายที่อยู่พื้นรีบคลานไปหาเสิ่นหมิงหยวนอย่างรวดเร็ว กอดขาของเขาไว้“ท่านพ่อ!”ท่านพ่อ?ท่านพ่อ!ฉินเย่ว์เหมยและหงอิงสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมากพร้อมกันเป็นแค่ทหารรักษาพระองค์ธรรมดาแท้ๆ จะเป็น......หงอิงกระโดดลงมา เพียงครู่เดียวก็มาถึงด้านหน้าเสิ่นหมิงหยวน หิ้วชายที่เกาะขาเสิ่นหมิงหยวนออกมาหน้าตาซื่อบื้อไร้เดียงสาพลันปรากฏต่อหน้าสาธารณชนนี่ไม่ใช่......ในพระตำหนัก นอกจากเฉินฝานแล้ว คนอื่นสีหน้าเปลี่ยนครั้งใหญ่อีกครั้งฉินเย่ว์เหมยและหงอิงตกตะลึง สับสนงงงวย!เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ ทหารรักษาพระองค์ที่พวกนางจับมาคนนั้นล่ะ?เหล่าขุนนางทั้งหลายในพระตำหนักจินหลวน พากันส่ายหน้า ล้วนรอชมละครครั้งใหญ่ที่จะกำลังจะเริ่มขึ้นอยู่ด้านข้าง“ท่านพ่อ! ช่วยข้าด้วย นางหญิงโหดเหี้ยมนี้ทำร้ายข้า
“ฝ่าบาท ได้โปรดสืบสอบการปลดออกจากตำแหน่งทันที!”ในท้องพระโรง ขุนนางจำนวนนับไม่ถ้วนคุกเข่าอยู่ด้านหลังเสิ่นหยวนฮวาเสิ่นหยวนเลี่ยงมวลเสียงร้องขอให้ฉินเย่ว์เหมยตัดหัวหงอิงพุ่งทะยานดังขึ้นเรื่อยๆ“เสิ่นหมิงหยวน เจ้าโจรเฒ่าสมควรตาย!” หงอิงโมโหจนหน้าดำหน้าแดง “เห็นชัดๆอยู่ว่าเจ้าใส่ความข้า ฝ่าบาท ท่านอย่าหลงนะเพคะ!”มือของฉินเย่ว์เหมยสั่นเทาจนดูไม่ได้ กลัวว่าเหล่าขุนนางจะเห็น นางจึงทำได้เพียงซ่อนไว้ใต้ร่างใบหน้าที่งดงาม ซีดเซียวเล็กน้อย หลับตาลง ออกคำสั่งเสียงดังอย่างเจ็บปวดใจ “ปลดหงอิงออกจากตำแหน่งแม่ทัพกองกำลังสืบราชการลับ ขับไล่ออกจากพระราชวัง ไม่สามารถกลับเข้าวังได้ตลอดกาล!”“ฝ่าบาท ทำเช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาดนะเพคะ!” หงอิงเคียดแค้นชิงชังเป็นอย่างยิ่ง “หากไม่มีหม่อมฉัน เช่นนั้นความปลอดภัยของท่าน......”ไร้ซึ่งหงอิง เช่นนั้นฉินเย่ว์เหยก็ไร้ซึ่งที่พึ่งพาจริงๆ“ทหาร ลากหงอิงออกไป โบยอย่างหนักห้าสิบที จึงค่อยขับไล่ออกจากวัง!”ฉินเย่ว์เหมยจะชักช้าไม่ได้ จะไม่รุนแรงก็ไม่ได้เช่นกันหากนางไม่ทำเช่นนี้ หงอิงจะไม่ได้เสียแค่ตำแหน่ง แต่ต้องเสียชีวิตเพื่อที่จะช่วยหงอิง นางไม่เพียงแต่ขับไล
เฉินฝานหันกลับไปมองไม่ใช่เจ้าหน้าที่ทุกคนในวังหลวงวิ่งไปตรงหน้าเสิ่นหมิงหยวน มีหลายคนยืนเงียบอยู่ที่มุมตอนเฉินฝานถอนสายตากลับมา เสิ่นหมิงหยวนมองมาที่เขาพอดีไม่ได้มองนานเท่าใดนัก สบตากันไม่ถึงหนึ่งวินาที เฉินฝานถอนสายตากลับ หมุนตัวหันหลังเดินตามหลังฉินเย่ว์เหมยแตกต่างกับเฉินฝานที่ถอนสายตากลับในหนึ่งวินาที เสิ่นหมิงหยวนจ้องมองเฉินฝานตลอดเวลาท่ามกลางแววตาทระนง มีความสงสัยปะปนเล็กน้อยเมื่อครู่เขาบีบคั้นฉินเย่ว์เหมยทุกอย่าง ถึงขั้นทำให้อีกฝ่ายอับอาย นอกจากอยากสังหารหงอิงแล้ว เขายังมีอีกหนึ่งจุดประสงค์ ซึ่งก็คือบีบให้เฉินฝานแสดงฝีมือแต่ไม่ว่าเขาจะทำเกินไปเพียงใด เฉินฝานยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ไร้ซึ่งสีหน้าและไร้ซึ่งการกระทำใดๆ ไม่แตกต่างจากตอนเจอกันครั้งแรกเมื่อครั้นในอดีตเฉินฝานโง่เขลาจริงๆ หรือว่าแกล้งทำเป็นโง่เขลา?ตอนเดินออกมาจากตำหนัก ฉินเย่ว์เหมยเดินสะดุด“ฝ่าบาท ระวังพ่ะย่ะค่ะ!”เฉินฝานพยุงฉินเย่ว์เหมย...ค่ำคืนนี้จวนอัครเสนาบดีเบื้องขวาจัดงานเลี้ยงยิ่งใหญ่ขุนนางและชนชั้นสูงมากมายมาร่วมแสดงความยินดีอย่างต่อเนื่องงานเลี้ยงนี้ยิ่งใหญ่ดั่งงานเฉลิมฉลองแคว้น เสิ่น
“ไม่ต้องกลัว กระหม่อมจะช่วยฝ่าบาทเองพ่ะย่ะค่ะ!”ฉินเย่ว์เหมยที่นั่งร้องไห้บนพื้น ตัวสั่นเทาเล็กน้อยเสียงนี้ หนักแน่นมาก ทั้งยังมีพลัง ฟังแล้ว ให้ความรู้สึกปลอดภัยอย่างมีเกียรตินางเงยหน้าขึ้นดวงตาเย็นชาในวันวานที่ผ่านมา ตอนนี้เคล้าไปด้วยน้ำตาแวววาวแววตาคาดหวัง สุดท้ายมองไปทางเฉินฝาน“เจ้านี่เอง!”แววตาคาดหวังเปี่ยมล้นด้วยเสน่ห์หายวับในชั่วพริบตา พร้อมกับคำว่าเจ้านี่เอง แทนที่ด้วยแววตาสิ้นหวังเฉินฝานมองแล้วยิ่งรู้สึกปวดใจ เขาจับมือฉินเย่ว์เหมยด้วยความดื้อรั้น บีบแรงขึ้น มองไปที่นาง พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น“ใช่กระหม่อมเอง เชื่อกระหม่อม กระหม่อมช่วยฝ่าบาทได้”คล้ายฉินเย่ว์เหมยไม่ได้ยินคำพูดของเฉินฝาน แววตาของนาง มองไปยังมือของเฉินฝานที่จับมือนาง ชะงักครู่หนึ่ง“เหตุใดเจ้าจึงยังอยู่ที่นี่?”“ฝ่าบาท กระหม่อมอยู่ที่นี่มาโดยตลอด!”“สามหาว!”น้ำเสียงเย็นชาที่เฉินฝานคุ้นเคย ดังขึ้นอีกครั้ง ฉินเย่ว์เหมยกลับมาเย็นชาและทระนงเหมือนเดิมนางชักมือตนเองกลับมา ลุกขึ้นยืนหันพร้อมกับหันหลังให้เฉินฝาน พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เป็นเพียงบุรุษให้สตรียั่วเย้า ของเล่นของข้า เจ้าจะเข้าใจสงครามใ
“อะไรนะ!?”“ตอนนี้องค์หญิงเสี่ยวฉู่พาฝ่าบาทไปที่ประตูอู่แล้วขอรับ เจ้าสิ่งนั้น ปะ ปะ...”“ปืนไรเฟิล”“ใช่ ๆ ปืนไรเฟิล ปากกระบอกปืนไรเฟิลจ่อพระเศียรของฝ่าบาทอยู่เลยขอรับ!”“หา นี่เป็นเพราะอะไรกัน?”บรรดาพี่สาวน้องสาวตระกูลฉินได้ยินข่าวขึ้นมา“กราบทูลบรรดาองค์หญิง ข้อเรียกร้องขององค์หญิงเสี่ยวฉู่คืออยากให้ท่านอัครเสนาบดีกับฝ่าบาทอภิเษกสมรสกันเดี๋ยวนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ”“เหลวไหล!”เฉินฝานพุ่งตัวออกไปราวกับพายุเวลานี้บรรดาพี่น้องตระกูลฉินที่เพิ่งแสดงท่าทีรีบร้อนทำหน้าร้อนใจกลับมีสีหน้าแจ่มใส ถึงขนาดที่นั่งลงปรึกษาหารือกันฉินเย่ว์โหรว “พี่หญิงรอง ท่านมีฝีมือดี ท่านรีบไปขวางอยู่ที่หอด้านบนประตูอู่ อย่าให้นายท่านลงมา” ฉินเย่ว์เจียว “ไม่มีปัญหา พอถึงเวลานั้นข้าจะเรียกน้องหวั่นเอ๋อร์ นายท่านหนีไม่รอดแน่”ฉินเย่ว์ฉิน “เช่นนั้นข้าจะให้พี่น้องในวังเซียวเหยาก่อนหน้านี้ไปเดินเล่นแถว ๆ ประตูอู่ให้หมดเลย จะต้องครึกครื้นเป็นแน่ รับรองว่าพี่น้องทหารองครักษ์พวกนั้นจะต้องมองสาวงามอย่างไม่หวาดไม่ไหว”สามพี่น้อง “ความปรารถนาของเสี่ยวฉู่ พวกเราในฐานะพี่สาวจะต้องช่วยอย่างเต็มที่!”เมื่อมองถนนละแวกป
“ข้าไม่ได้ขัดขืนจริง ๆ” เย่ลวี่เลี่ยก้มหน้าลง ชายสูงแปดฉื่อทำสีหน้าที่เต็มไปด้วยความท้อแท้ใจ เขาอยากขัดขืนอยู่แล้ว แต่ฉินเย่ว์ฉู่ไม่ได้ให้โอกาสนั้นกับเขาเลยตอนที่ฉินเย่ว์ฉู่บุกเข้ามาในกระโจมใหญ่ของเย่ลวี่เลี่ย ก็ยิงปืนกำจัดองครักษ์ของเย่ลวี่เลี่ยก่อนพูดแล้วก็น่าอับอาย เย่ลวี่เลี่ยที่เคยผ่านศึกมาอย่างโชกโชนตกใจกลัวรูเลือดตรงกลางหน้าผากขององครักษ์ เขาไม่เคยเห็นอาวุธที่รวดเร็วขนาดนี้มาก่อนเลยได้ยินแค่เสียงดังปัง หน้าผากขององครักษ์ก็มีรูเลือดใหญ่ขนาดนี้แล้ว ความเร็วที่แม้แต่เทพเซียนก็ทำไม่ได้ ความแม่นยำที่แม้แต่เทพเซียนก็ยังทำไม่ได้ในตอนที่ฉินเย่ว์ฉู่ยกปืนขึ้นแล้วลั่นไกอีกครั้ง เมื่อเย่ลวี่เลี่ยได้ยินเสียง เขาก็ตกใจจนสลบไปทันที หลับไปตื่นหนึ่งถึงค่อยพบว่าฉินเย่ว์ฉินยิงใส่หมวกเล็กของเขาเท่านั้นตกใจสาวน้อยจนสลบไป ไม่ว่าสือจิ่งซานผู้นี้จะถามอย่างไร เย่ลวี่เลี่ยก็ไม่บอกเขา .....ในคืนที่เย่ลวี่เลี่ยถูกจับ ข่าวก็ไปถึงเมืองหลวงแล้ว “เครื่องอัดเสียงพลังงานแสงอาทิตย์ เครื่องเสียง...” ขณะที่ฉินเย่ว์เหมยอ่านคำเหล่านี้ก็ถามเฉินฝานด้วยความมึนงงว่า “จดหมายของเสี่ยวฉู่บอกว่า นางแค่อาศ
“นางไม่รู้หรือว่าพวกเราไม่อยากลงมือจริงจัง?” “พอไปถึงค่ายทหารของชาวหู ไม่ใช่แค่โดนฆ่าธรรมดาแบบนั้นหรอกนะ” ชาวหูไม่มีทางปล่อยสตรีชาวต้าชิ่งใด ๆ ที่ตกอยู่ในมือพวกเขา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสตรีชาวต้าชิ่งที่หน้าตางดงามฐานะสูงศักดิ์อย่างฉินเย่ว์ฉู่ พฤติกรรมของพวกเขาใช้คำว่าเดรัจฉานมาอธิบายยังไม่พอเลย สือจิ่งซานสะบัดแขนเสื้อ “พอได้แล้ว สตรีนางเดียวไม่มีค่าพอให้เราต้องใส่ใจหรอก นางอยากตายก็ปล่อยนางไปเถิด โจวจวี่ เจ้าส่งคนไปบอกเยลวี่เลี่ยว่าให้พวกเขาเหลือศพไว้ครบถ้วน ข้าจะซื้อศพไว้ใช้ประโยชน์” ไม่ต้องให้สือจิ่งซานรอนานเกินไป วันรุ่งขึ้นทหารลาดตระเวนก็มารายงาน “ว่าไงนะ? เยลวี่เลี่ยมาด้วยตนเอง?”“ท่านแม่ทัพใหญ่ หากพูดให้ตรงคือเยลวี่เลี่ยโดนฮูหยินเล็กของท่านอัครเสนาบดีจับกุมมาขอรับ”“เจ้าพูดอีกทีสิ?”ทหารลาดตระเวนพูดซ้ำถึงสามรอบเต็ม ๆ สือจิ่งซานก็ยังไม่เชื่อไม่ใช่แค่สือจิ่งซานที่ไม่เชื่อ ต่อให้เป็นผู้ถูกจับกุมอย่างเยลวี่เลี่ยก็ไม่เชื่อเช่นกัน เขาจะโดนสตรีนางเดียวจับกุมได้อย่างไรยิ่งไปกว่านั้นสตรีผู้นี้ยังอายุน้อย พาทหารหญิงรุ่นราวคราวเดียวกันมาแค่ร้อยกว่าคนเมื่อฉินเย่ว์ฉู่พาเยลวี่เล
สือจิ่งซานยกมุมปากยิ้มคลุมเครือ “แปรพักตร์อันใดกัน ฝ่าบาทกับท่านอัครเสนาบดีเห็นอกเห็นใจกองทัพหมาป่าเรา จึงส่งสะใภ้คนเล็กมา เช่นนั้นกองทัพหมาป่าเราย่อมต้องต้อนรับสะใภ้ท่านนี้ให้ดี ๆ”“แม่ทัพใหญ่กล่าวถูกต้อง พวกเราต้อง ‘ต้อนรับ’ ให้ดี ๆ!” โจวจวี่พูดคล้อยตามทันที ไม่นานนักก็มีคำสั่งจากในกระโจมใหญ่ ให้ทหารแม่ทัพทั้งหมดของกองทัพหมาป่าเปลือยท่อนบนยุคโบราณที่จารีตเคร่งครัดอย่างยิ่ง การเปลือยท่อนบนเช่นนี้เป็นพฤติกรรมดูหมิ่นไม่ให้ความกียรติสตรีอย่างรุนแรงยิ่งกว่านั้นฉินเย่ว์ฉู่เป็นภรรยาเอกของอัครเสนาบดีขั้นหนึ่ง องค์หญิงแห่งต้าชิ่ง พระขนิษฐาแท้ๆ ของฮ่องเต้หญิงหากฉินเย่ว์ฉู่เป็นเพียงสตรีทั่วไปในยุคนี้ เกรงว่ามีแต่จะตกใจจนมือไม้อ่อนไปหมดทหารแม่ทัพทั้งหมดของกองทัพหมาป่าเปลือยท่อนบนออกจากกระโจม รอดูท่าทางตกใจกลัวจนร้องไห้โฮยกใหญ่ของฉินเย่ว์ฉู่“ผู้ชายมากมายถึงเพียงนี้ข่มขู่เด็กสาวคนเดียวจะไม่เกินไปหน่อยหรือ” มีบางคนรู้สึกว่าแบบนี้ไม่ค่อยดีนัก แต่คำพูดของเขาก็โดนคนอื่นสวนกลับทันที “เกินไปอันใดเล่า เฉินฝานเป็นคนส่งมา ให้เขาหยามพวกเราได้เท่านั้น แต่ไม่ยอมให้พวกเราตอบโต้คืนหรือ? เปลือย
เย่ว์หนูได้รับบาดเจ็บในระหว่างที่ปกป้องเฉินฝานครั้งหนึ่ง ร่างกายของนางตอนนี้จึงไม่แข็งแรงเหมือนเมื่อก่อน เดิมทีเฉินฝานอยากให้หวงหวั่นเอ๋อร์ตามฉินเย่ว์ฉู่ไป มีหวงหวั่นเอ๋อร์อยู่ อย่างน้อยที่สุดก็ไม่มีปัญหาเรื่องความปลอดภัยของฉินเย่ว์ฉู่ ผลปรากฏว่าฉินเย่ว์ฉู่ปฏิเสธแม้กระทั่งหวงหวั่นเอ๋อร์ด้วยฉินเย่ว์ฉู่พาทหารหญิงไปหนึ่งร้อยกว่าคน มุ่งตรงสู่ทางเหนือ บุกไปยังกองทัพหมาป่าอย่างกล้าหาญ “เจ้าปล่อยให้นางไปเช่นนี้หรือ?” คนที่ตำหนิเฉินฝาน ไม่ใช่แค่พี่น้องตระกูลฉินทั้งสามคนในจวนสกุลเฉิน แม้แต่ฉินเย่ว์เหมยที่อยู่ในวังหลวงก็รีบออกมาเช่นกันนางคิดว่าไม่ว่าอย่างไร อย่างน้อยที่สุดเฉินฝานต้องให้ฉินเย่ว์ฉู่นำกองพลมือปืนไป“เย่ว์ฉู่เป็นน้องเล็กของพวกเจ้า น้องเล็กของพวกเจ้ามีนิสับแบบไหน พวกเจ้าไม่รู้เลยหรือไร?” คำพูดประโยคเดียวของเฉินฝานทำให้พวกนางสำลักแล้วแม้ว่าฉินเย่ว์ฉู่จะเป็นน้องเล็กสุดในตระกูลฉิน ทว่าตั้งแต่เด็กจนโต นางมีความคิดของตัวเองมากที่สุด ขอเพียงเป็นเรื่องที่นางตัดสินใจแล้ว ไม่มีใครสามารถทำให้นางเปลี่ยนใจได้“แต่ว่า...” ฉินเย่ว์โหรวที่เป็นคนกังวลใจมากที่สุด ขมวดคิ้วมุ่น ดูกลัดกล
การปรากฏตัวของนาง ทำให้ทุกคนรู้สึกปีติยินดีกันมากแต่ฉินเย่ว์เจียวกลับถลึงมองสตรีผู้นั้น “พอได้แล้ว เสี่ยวฉู่เจ้าเด็กตัวแสบ แสร้งทำตัวเป็นผู้ใหญ่อันใด ยังไม่รีบเข้ามาอีก?” ฉินเย่ว์ฉู่ขี่ม้าเข้ามา ขณะที่นางผ่านฉินเย่ว์เจียวยังไม่ลืมเถียงกลับว่า “พี่หญิงรอง ข้าอายุยี่สิบแล้ว เป็นผู้ใหญ่ตั้งนานแล้วนะ”ฉินเย่ว์เจียวเชิดหน้าขึ้นสูง “ไม่ว่าเจ้าจะอายุเท่าไหร่ ถึงอย่างไรในสายตาข้า เจ้าก็เป็นเด็กตลอดกาล” ฉินเย่ว์ฉู่ควบม้าตรงมาหาเฉินฝาน แล้วฟ้องเขาว่า “นายท่านดูสิเจ้าคะ พี่หญิงรองรังแกข้าอีกแล้ว นางรังแกข้ามาตลอด ท่านไม่จัดการนางบ้างหรือ?”เฉินฝานมองฉินเย่ว์ฉู่ที่สดใสมั่นใจในตัวเองตรงหน้า ภาพที่เขาเห็นฉินเย่ว์ฉู่ครั้งแรกเมื่อสิบปีก่อนฉายขึ้นมาในสมอง เกิดความรู้สึกราวกับว่าเวลาผ่านไปชาติหนึ่งเด็กสาวที่ขี้กลัวในวันวาน บัดนี้กลายเป็นโฉมสะคราญที่มีสง่าราศี เฉินฝานรู้สึกภาคภูมิใจเล็กน้อย“เหตุใดที่กลับมาตอนนี้ ไม่ต้องเข้าเรียนแล้วหรือ?” เฉินฝานถามตั้งแต่ฉินเย่ว์ฉู่อายุสิบห้า เฉินฝานก็ส่งนางไปเรียนที่โรงเรียนสตรีในเมืองเซียนตู“นายท่าน ข้าน้อยเรียนจบแล้วเจ้าค่ะ”“เรียนจบแล้ว?”“ข้าน้อยเ
วันนี้เป็นวันหยุดพักผ่อน ซึ่งทั้งเดือนจะมีเพียงวันเดียวเท่านั้น นี่เป็นวันที่หาได้ยาก ในฐานะที่ฉินเย่ว์โหรวเป็นภรรยาเอกที่ดูแลบ้านย่อมไม่ปล่อยให้หลุดมือไปง่าย ๆ นางได้เตรียมการไว้ล่วงหน้าหลายวันแล้วว่าวันนี้พวกเขาจะไปเที่ยวเล่นกินอาหารที่ชานเมืองกันทั้งครอบครัวนี่เป็นสิ่งที่เฉินฝานเสนอขึ้นเมื่อหลายปีก่อน หลังจากครั้งนั้น ฉินเย่ว์โหรวก็หลงใหลอยู่สุดซึ้ง ขอเพียงเฉินฝานมีวันหยุด นางจะต้องออกไปให้ได้สถานที่เที่ยวเล่นกินอาหารกันในครั้งนี้มีทิวทัศน์งดงามราวกับภาพวาดเหมือนเช่นเคยเฉินฝานนั่งอยู่บนเก้าอี้พนักพิง กินผลไม้มองบุตรชายบุตรสาวเล่นกันอย่างสนุกสนานบนทุ่งหญ้า ส่วนบรรดาภรรยาก็ยุ่งอยู่กับการเตรียมอาหารกลางวันกลิ่นอาหารที่เฉินฝานชอบลอยอยู่ในอากาศอาหารของพวกเขาทั้งหมดเป็นรูปแบบยุคปัจจุบัน เนื้อแกะย่างทั้งตัว สเต๊กซี่โครงย่าง หมูสามชั้นย่าง ปีกไก่ย่าง กระดูกอ่อนย่าง... ยังมีหม้อไฟทะเล และผลไม้แช่เย็นต่าง ๆ นานา“อืม~” เฉินฝานสูดจมูก แล้วแค่นเสียงเบา ๆ ด้วยความพึงพอใจ เขาหลับตาพักผ่อน พักผ่อนสักพักก็เริ่มกินได้แล้ว“ฮี่!”เฉินฝานเพิ่งจะนอนหลับก็ตกใจตื่นกับเสียงร้องฮี่ของม้า “
หลังจากสือจิ่งซานควบคุมกองทัพหมาป่า เขาก็เปลี่ยนตัวแม่ทัพก่อนหน้านี้ทั้งหมด ตอนนี้ทหารเหล่านี้ล้วนเชื่อฟังสือจิ่งซานเท่านั้น“ใครบังอาจวิจารณ์ฝ่าบาทและท่านอัครเสนาบดีที่นี่?”สือจิ่งซานตวาดอย่างเย็นชา เขาเดินแหวกแม่ทัพเหล่านั้นพร้อมกับเอ่ยวาจา หลังจากนั้นก็หันกาย สายตากวาดมองไปบนร่างแม่ทัพเหล่านั้นห“ข้าน้อยไม่บังอาจวิจารณ์ เดิมทีสิ่งที่ข้าน้อยพูดก็เป็นความจริง หากไม่มีกองทัพหมาป่าของเรา ไม่มีท่านแม่ทัพใหญ่ ต้าชิ่งจะสงบสุขเหมือนทุกวันนี้ได้อย่างไร เวลานี้กลับให้เฉินฝานผู้นั้นยึดความดีความชอบทั้งหมดไว้เพียงผู้เดียว” “ถูกต้อง พวกเรารู้สึกว่าไม่ยุติธรรมกับท่านแม่ทัพใหญ่เลย”แม้ว่าเสียงของพวกแม่ทัพจะเบาลงแล้ว แต่ความโกรธเกรี้ยวและความไม่พอใจในคำพูดกลับยิ่งรุนแรงขึ้น “เหลวไหล เดิมทีความสงบสุขของต้าชิ่งก็เป็นหน้าที่ของกองทัพหมาป่าเรา ในฐานะที่ข้าเป็นแม่ทัพใหญ่ของกองทัพหมาป่ายิ่งต้องทำเช่นเดียว ต่อไปหากมีใครกล้าบังอาจวิจารณ์ฝ่าบาทกับอัครเสนาบดีอีก ลงโทษโบยด้วยไม้พลองทหาร!”“ท่านแม่ทัพใหญ่...”“ทหาร!” สือจิ่งซานตัดบทคนผู้นั้น “นำตัวสวี่ต๋าออกไปโบยด้วยไม้พลองทหารห้าสิบที!” ไม่นานนัก
ตอนนี้น่าจะถือว่ารักษาสัญญาแล้วกระมังฉินเย่ว์เหมยรับประทานอาหารค่ำที่จวนสกุลเฉิน พี่น้องทั้งห้าคุยเล่นกันในห้องจนดึกดื่น หลี่เต๋อฉวนเร่งอยู่หลายครั้ง ฉินเย่ว์เหมยถึงค่อยอำลาบรรดาน้องสาวของตนด้วยความอาลัยอาวรณ์“พี่หญิงใหญ่ ท่านถอนรับสั่งได้หรือไม่?”เมื่อเห็นฉินเย่ว์เหมยกำลังจะจากไป ฉินเย่ว์ฉินก็รีบเอ่ยขึ้นมา“รับสั่งใดเล่า?” ฉินเย่ว์เหมยหันหน้ากลับมาถาม“ก็เรื่อง ก็เรื่อง...” เสียงของฉินเย่ว์ฉินแผ่วเบา หน้าแดงเล็กน้อย “เข้าหอในวันนี้”แม้ยามนี้ฉินเย่ว์ฉินไม่รังเกียจเฉินฝานแล้ว แต่นางยังไม่ได้เตรียมใจแต่งงานกับเฉินฝาน “เหตุใดต้องถอนคืนด้วย เจ้าเองก็อายุไม่น้อยแล้ว ควรจะมีทายาทให้สามีของเจ้าได้แล้ว เช้านี้ข้าตรวจดูปฏิทินโหรแล้ว วันนี้เป็นวันดี ไม่อนุญาตให้ปฏิเสธอีก”นี่ก็คือการปราบปรามโดยสายเลือด ก่อนที่ฉินเย่ว์เหมยจะมา พวกฉินเย่ว์เจียวไม่อาจเอ่ยถึงเรื่องเข้าหอได้เลย เวลานี้เมื่อฉินเย่ว์เหมยเอ่ย ฉินเย่ว์ฉินไม่อาจโต้แย้งได้แม้แต่คำเดียว “ยังจะว่าข้าอีก ท่านก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ ไม่ใช่ว่าท่านเองก็หาเหตุผลต่าง ๆ เพื่อหนีนายท่านหรือไร” ขณะที่ฉินเย่ว์เหมยหันกายเดินจากไป ฉินเย่ว์ฉ