เฉินฝานหันกลับไปมองไม่ใช่เจ้าหน้าที่ทุกคนในวังหลวงวิ่งไปตรงหน้าเสิ่นหมิงหยวน มีหลายคนยืนเงียบอยู่ที่มุมตอนเฉินฝานถอนสายตากลับมา เสิ่นหมิงหยวนมองมาที่เขาพอดีไม่ได้มองนานเท่าใดนัก สบตากันไม่ถึงหนึ่งวินาที เฉินฝานถอนสายตากลับ หมุนตัวหันหลังเดินตามหลังฉินเย่ว์เหมยแตกต่างกับเฉินฝานที่ถอนสายตากลับในหนึ่งวินาที เสิ่นหมิงหยวนจ้องมองเฉินฝานตลอดเวลาท่ามกลางแววตาทระนง มีความสงสัยปะปนเล็กน้อยเมื่อครู่เขาบีบคั้นฉินเย่ว์เหมยทุกอย่าง ถึงขั้นทำให้อีกฝ่ายอับอาย นอกจากอยากสังหารหงอิงแล้ว เขายังมีอีกหนึ่งจุดประสงค์ ซึ่งก็คือบีบให้เฉินฝานแสดงฝีมือแต่ไม่ว่าเขาจะทำเกินไปเพียงใด เฉินฝานยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ไร้ซึ่งสีหน้าและไร้ซึ่งการกระทำใดๆ ไม่แตกต่างจากตอนเจอกันครั้งแรกเมื่อครั้นในอดีตเฉินฝานโง่เขลาจริงๆ หรือว่าแกล้งทำเป็นโง่เขลา?ตอนเดินออกมาจากตำหนัก ฉินเย่ว์เหมยเดินสะดุด“ฝ่าบาท ระวังพ่ะย่ะค่ะ!”เฉินฝานพยุงฉินเย่ว์เหมย...ค่ำคืนนี้จวนอัครเสนาบดีเบื้องขวาจัดงานเลี้ยงยิ่งใหญ่ขุนนางและชนชั้นสูงมากมายมาร่วมแสดงความยินดีอย่างต่อเนื่องงานเลี้ยงนี้ยิ่งใหญ่ดั่งงานเฉลิมฉลองแคว้น เสิ่น
“ไม่ต้องกลัว กระหม่อมจะช่วยฝ่าบาทเองพ่ะย่ะค่ะ!”ฉินเย่ว์เหมยที่นั่งร้องไห้บนพื้น ตัวสั่นเทาเล็กน้อยเสียงนี้ หนักแน่นมาก ทั้งยังมีพลัง ฟังแล้ว ให้ความรู้สึกปลอดภัยอย่างมีเกียรตินางเงยหน้าขึ้นดวงตาเย็นชาในวันวานที่ผ่านมา ตอนนี้เคล้าไปด้วยน้ำตาแวววาวแววตาคาดหวัง สุดท้ายมองไปทางเฉินฝาน“เจ้านี่เอง!”แววตาคาดหวังเปี่ยมล้นด้วยเสน่ห์หายวับในชั่วพริบตา พร้อมกับคำว่าเจ้านี่เอง แทนที่ด้วยแววตาสิ้นหวังเฉินฝานมองแล้วยิ่งรู้สึกปวดใจ เขาจับมือฉินเย่ว์เหมยด้วยความดื้อรั้น บีบแรงขึ้น มองไปที่นาง พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น“ใช่กระหม่อมเอง เชื่อกระหม่อม กระหม่อมช่วยฝ่าบาทได้”คล้ายฉินเย่ว์เหมยไม่ได้ยินคำพูดของเฉินฝาน แววตาของนาง มองไปยังมือของเฉินฝานที่จับมือนาง ชะงักครู่หนึ่ง“เหตุใดเจ้าจึงยังอยู่ที่นี่?”“ฝ่าบาท กระหม่อมอยู่ที่นี่มาโดยตลอด!”“สามหาว!”น้ำเสียงเย็นชาที่เฉินฝานคุ้นเคย ดังขึ้นอีกครั้ง ฉินเย่ว์เหมยกลับมาเย็นชาและทระนงเหมือนเดิมนางชักมือตนเองกลับมา ลุกขึ้นยืนหันพร้อมกับหันหลังให้เฉินฝาน พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เป็นเพียงบุรุษให้สตรียั่วเย้า ของเล่นของข้า เจ้าจะเข้าใจสงครามใ
“ฝ่าบาท...” เฉินฝานฉงนงงงวย ผู้หญิงคนนี้บอกให้เขาไสหัวไปไกลๆ ไม่ใช่หรือ แล้วนี่มันอะไร?คิ้วของฉินเย่ว์เหมยโค้งงอเล็กน้อย โอบเอวของเฉินฝาน “ขุนนางอันเป็นที่รัก เจ้าอย่าโมโห เมื่อครู่ข้าไม่ควรโมโหใส่เจ้า เจ้าอย่าไป อยู่กับข้าได้หรือไม่?”“...” ด้วยประสบการณ์ เฉินฝานเดาว่า มีคนมาพระตำหนักไท่เหอ อีกทั้งหากไม่ใช่เสิ่นหมิงหยวนก็คือคนของเสิ่นหมิงหยวนขณะที่เฉินฝานกำลังคิดอยากจะให้ความร่วมมือกับฉินเย่ว์เหมย คนด้านนอกก็เดินเข้ามาแล้วคนที่เข้ามา คือมัวมัวของฮองเฮาจากวังหลัง“ฝ่าบาท!” มัวมัวคนนั้นทำความเคารพฉินเย่ว์เหมยอย่างลวกๆ ไม่รอฉินเย่ว์เหมยอนุญาตให้นางพูด นางก็พูดแล้ว“ท่านอัครเสนาบดีให้คนมาบอกเพคะว่า ฝ่าบาทขึ้นครองบัลลังก์นานหนึ่งปีครึ่งแล้ว ทายาทคือรากฐานของแคว้น เรื่องในวันนี้ ทำการตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว ฮองเฮาไม่ได้ทำสิ่งใดไม่เหมาะสม ฝ่าบาทรีบปล่อยตัวฮองเฮาออกมจากสำนักกิจการราชวงศ์ คืนนี้เสด็จไปตำหนักของฮองเฮาและร่วมโล้สำเภาต่อเพคะ”เมื่อคืน ทั้งที่ส่งตัวองครักษ์ชายเข้าไปในตำหนักนอนของฮองเฮา เพื่อเป็นการสวมเขาให้ฉินเย่ว์เหมยแล้วแท้ๆตอนเช้า ทั้งที่ต่อหน้าขุนนางทั้งหลาย ข่มขู่แล
หน้าประตูตำหนักมีตัวอักษรหมองหม่นสามตัวใหญ่ๆ“ฝ่ายซักล้าง”เฉินฝานเดินข้ามธรณีประตูเก่าๆ เดินเข้าไปด้านในมีนางกำนัลมากมายกำลังก้มหน้าก้มตาทำงาน มีทั้งกำลังซักเสื้อผ้า มีทั้งกำลังขัดถังส้วม...แตกต่างจากตำหนักอื่น เสื้อผ้าอาภรณ์ของนางกำนัลที่นี่เก่าและซอมซ่อ พวกนางผอมโซ สีหน้าซีดเหลือง แววตาเลื่อนลอยไม่มีชีวิตชีวาพวกนางก้มหน้าก้มตาทำงานเดิมๆ วนซ้ำไปมาด้วยความชินชาบางครั้งที่ทำช้า ขันทีที่คอยจับตาดูพวกนางอยู่นั้นก็จะใช้แส้ฟาดและทุบตีคนที่ถูกฟาดด้วยแส้ กรีดร้องด้วยความเจ็บปวด แต่ราวกับคนรอบข้างไม่ได้ยินและมองไม่เห็นอย่างไรอย่างนั้น พวกเขายังคงทำงาน เดินไปมาไม่แตกต่างอะไรกับศพเดินได้“ชักช้าเช่นนี้ ข้าวปลาที่กินเมื่อคืนไร้ประโยชน์น่ะสิ!”“เพี๊ยะ”“โอ๊ย!”ทันใดนั้นเอง ด้านหน้าก็มีเสียงด่าทอและเสียงกรีดร้องจากการถูกฟาดด้วยแส้ดังขึ้นเฉินฝานเงยหน้าขึ้นมอง ขันทีสองคนกำลังฟาดแส้สุดกำลัง ฟาดไปยังหญิงสาวชุดสีม่วงเก่าๆ คนหนึ่ง“กงกง หยุดตีได้แล้ว หยุดตีได้แล้วเจ้าค่ะ!” นางกำนัลที่สวมเสื้อผ้าขาดวิ่นและเก่ากว่าโน้มตัวไปหาสตรีชุดสีม่วง ใช้ร่างกายของตนเองป้องสตรีชุดสีม่วงจากแส้ที่ฟาดล
“ตุ้บ”ขันทีถูกทุ่มลงบนพื้นอีกครั้ง อีกทั้งครั้งนี้ยังรุนแรงกว่าครั้งแรกไม่ใช่แค่เพียงหนึ่งเท่า“อ๊าก!”ขันทีที่กระเสือกกระสนอยู่นานกว่าจะลุกขึ้นได้ ฟาดแส้ไปทางเฉินฝานด้วยสีหน้าเหี้ยมโหด “เจ้าอยากตายหรืออย่างไร...”“อย่าๆ!”ขันทีอีกคนที่ตัวเตี้ยกว่ารีบเดินมา เขาคว้าขันทีตัวสูงใหญ่ที่คิดอยากจะฟาดแส้ใส่เฉินฝานขันทีเตี้ยพูดกระซิบบางอย่างข้างหูขันทีสูงหลังจากขันทีสูงฟังจบ แม้ไม่ได้แยกเขี้ยวยิงฟันใส่เฉินฝานเหมือนเดิม แต่แววตาของเขา เปี่ยมไปด้วยความดูแคลนตอนเดินผ่านเฉินฝาน อดไม่ได้ที่จะพูดเย้ยหยัน “ข้าก็คิดว่าใคร? แค่บุรุษให้สตรียั่วเย้าคนหนึ่งก็เท่านั้น!”เฉินฝานเพียงยิ้มบางๆความสุขทางคำพูด ล้วนไม่มีความหมายเฉินฝานตั้งใจจะเดินไปแล้ว นางกำนัลคนนั้นขวางหน้าเขา “ท่านชาย ท่านชายโปรดเป็นคนดีให้ถึงที่สุดได้ไหมเจ้าคะ ท่านชายได้โปรดทูลกับฝ่าบาทแต่เรื่องดีๆ ของพระสนมของข้าน้อย ให้พระสนมของข้าน้อยไปจากฝ่ายซักล้าง ขืนยังไม่ไปจากที่นี่ พระสนมของข้าต้องถูกขันทีทุบตีจนตายแน่นอนเจ้าค่ะ”กลัวเฉินฝานไม่เชื่อ นางกำนัลดึงแขนเสื้อของสตรีชุดสีม่วงขึ้น เผยให้เห็นแขนทั้งสองข้างของสตรีชุดสีม่วงแ
เฉินฝานหยุดชะงักขณะเติมหมึก เวลาไม่ถึงหนึ่งวินาที เขากลับมาเป็นปกติอีกครั้ง “ฝ่าบาทต้องไม่ยอมแน่นอน”แม้กระทั่งหัวหน้าองครักษ์ลับยังเป็นคนของเสิ่นหมิงหยวน เช่นนั้นฉินเย่ว์เหมยจะสู้ไปทำไม ยกตำแหน่งจักรพรรดิให้เลยก็สิ้นเรื่อง“ข้าไม่ได้ตอบตกลง แต่ข้าไม่อาจยื้อได้นานเท่าใดนัก” น้ำเสียงของฉินเย่ว์เหมยเปี่ยมไปด้วยความสิ้นหวังและสับสนฉินเย่ว์เหมยโยนพู่กันหยกในมือทิ้ง โน้มตัวพิงบัลลังก์มังกรสภาพของนางดูอิดโรยอย่างมากเฉินฝานดันชาดอกเก็กฮวยไปตรงหน้าฉินเย่ว์เหมยอีกเล็กน้อยกลิ่นหอมอ่อนๆ ของชาดอกเก็กฮวย โชยเข้าไปในจมูกของฉินเย่ว์เหมยสีหน้าตึงเครียดของฉินเย่ว์เหมย ผ่อนคลายลงเล็กน้อย เห็นชัดว่ากลิ่นหอมของดอกเก็กฮวย ช่วยบรรเทาความตึงเครียดของนางขนตางอนยาว สั่นไหวแผ่วเบา นางลืมตาขึ้น มองเฉินฝานเงียบๆนี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่เฉินฝานเข้ามาในวังหลวง ฉินเย่ว์เหมยมองเขาด้วยแววตาอ่อนโยนเช่นนี้จู่ๆ ฉินเย่ว์เหมยก็รู้สึกว่าการแกร่งแย่งชิงดีในราชสำนักช่างเหน็ดเหนื่อยยิ่งนัก โลกของบุรุษช่างน่าหวาดกลัว ตอนนั้นนางตั้งใจทำให้ร่างเดิมเฉินฝานโมโห เพราะอยากให้เขาหย่ากับนาง นางต้องการอิสรภาพ อยากใช้ชีวิต
แสงสว่างในดวงตาของฉินเย่ว์เหมย ทอประกายเจิดจรัสไม่ถึงหนึ่งวินาที กลับมามอดดับลงอีกครั้ง “เป็นไปได้อย่างไร ช่างเถอะ”ฉินเย่ว์เหมยโบกมือ “ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นเพียงชาวไร่ชาวนาคนหนึ่ง เจ้าไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้น!”พูดจบ ฉินเย่ว์เหมยลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไป ทิ้งไว้เพียงแผ่นหลังเย็นชาให้กับเฉินฝานเฉินฝานยักไหล่ด้วยความจนปัญญาช่างเถอะ ไม่ถือสาสตรีไร้ที่พึ่งพิงยามค่ำคืนเฉินฝานยังคงนอนบนเตียงมังกรดั่งเช่นที่ผ่านมา ฉินเย่ว์เหมยยังคงนอนบนผ้าขาวของนางเหมือนที่ผ่านมาเช่นกันปกติทั้งสองไม่ค่อยพูดกันเป็นทุนเดิม ค่ำคืนนี้กลับเงียบกว่าเดิม“เรื่องนั้น...”ทางผ้าขาวมีเสียงเย็นชาของฉินเย่ว์เหมยดังขึ้น“หลังจากรอให้เสิ่นหยวนฮวารับช่วงดูแลองครักษ์ลับ เจ้าพาน้องๆ และลูกๆ ไปเถอะ ใต้เตียงมังกรมีกล่องใบหนึ่ง ด้านในมีทองคำและตั๋วเงิน มากพอให้เจ้าสุขสบายทั้งชีวิต“...” แปลกพิลึก ลมหายใจอุ่นๆ รินรดบนแผงอกกว้างของเฉินฝาน ข่มใจจนกระวนกระวายเล็กน้อย น้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความใจร้อน“ทำไม ฝากฝังเรื่องในอนาคตหรือพ่ะย่ะค่ะ? วางใจเถอะ หากท่านตาย กระหม่อมไม่เพียงเอาทองตำและตั๋วเงินไป แม้กระทั่งของล้ำค่าทุกชิ้น
หน้าอกของทั้งสองแทบจะแนบชิดฉินเย่ว์เหมยได้ยินเสียงหัวใจเต้นของเฉินฝานแล้วตึก ตัก ตึก ตักเสียงหัวใจเต้นที่แข็งแรงและมีกำลังของชายหนุ่ม ทำให้หัวใจของนางเต้นเร็วเช่นเดียวกันทั้งอยากวิ่งหนี และอยากเข้าหาด้วยสัญชาตญาณของบุรุษในฐานะผู้ชายปกติคนหนึ่ง สาวงาม รูปร่างดีแนบชิดตนหากบอกว่าเฉินฝานไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ล้วนเป็นเรื่องโกหกมือของเขาที่โอบเอวของฉินเย่ว์เหมย เริ่มหมุนวนอย่างไม่อาจหักห้ามใจได้ผิวของนางเนียนละเอียด ทำให้คนมีความสุขจนไม่อาจถอนมือได้อย่างไม่รู้ตัว มือของเฉินฝาน ค่อยๆ ลูบไล้เข้าไปด้านในวินาทีที่สัมผัสผิวหนัง ตัวของฉินเย่ว์เหมยกระตุก ร่างกายสั่นเทาอย่างไม่อาจหักห้ามความรู้สึกนี้ การกระทำนี้แปลกใหม่สำหรับฉินเย่ว์เหมยมาก“เจ้า เจ้าปล่อยข้า!” ใบหน้าเย็นชาของฉินเย่ว์เหมย มีเหงื่อผุดขึ้นมา“หื้ม?” เสียงของเฉินฝานแหบพร่าเล็กน้อย “ฝ่าบาทเป็นคนขึ้นมาเองไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ? เหตุใดจึงกลับกลายเป็นให้ข้าปล่อยท่าน”“ทำไมหรือพ่ะย่ะค่ะ?” เฉินฝานตั้งใจท้าทาย “กลัวหรือ?”“ข้าไม่กลัวเจ้า!”ใบหน้าแดงระเรื่อของฉินเย่ว์เหมยเบือนหนีไปอีกทาง “ข้ากลัวจะพลาดเข้าท้องพระโรงเช้าวั
เหอกังนิ่งเงียบไปเพียงหนึ่งวินาที“ทหารทั้งหมดจงฟังคำสั่ง!” เหอกังยกป้ายสั่งการทหารขึ้นสูง “ถอยทัพกลับลำไปทางเดิม!”ระหว่างที่ถอยกลับทางเดิม เฉินฝานยังให้เหอกังออกคำสั่งอีกสองเรื่องคำสั่งแรก นายทหารทุกคนถอดชุดเกราะเครื่องหัวออก ก็คือให้ทุกคนถอดหมวกเหล็กบนหัวออก นำเสื้อผ้าห่อไว้ มัดไว้ที่เอวกองกำลังยุคโบราณ เพื่อที่แยกมิตรและศัตรู ชุดเกราะเครื่องหัวจะมีสัญลักษณ์สัญลักษณ์บนชุดเกราะเครื่องหัวของกองกำลังลาดตระเวนคือพู่ระย้าสีแดงสีแดงสะดุดตาเกินไป ไม่สะดวกในการหลบหลีกคำสั่งที่สอง ทุกคนต้องเก็บกิ่งที่มีใบไม้มาสองสามชิ้น มัดรวมให้เป็นวงกลม สวมไว้บนศีรษะตอนที่ออกคำสั่งทั้งสองนี้ เหอกังก็ตัดหัวนายทหารไปอีกหนึ่งคนเพราะสองคำสั่งนี้ ก็ไม่ต่างอันใดกับการล่าถอยกลับทางเดิม เหลวไหลสิ้นดีไม่ว่าจะเป็นหัวหน้าหรือลูกน้องในกองกำลังลาดตระเวนทั้งหมด คิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจที่คาดหัวใบไม้หนึ่งชิ้น จะสามารถรักษาชีวิตได้กว่าชุดเกราะเครื่องหัวที่ทำจากเหล็กงั้นหรือ?เฉินฝานไม่ได้ผิดปกติจริงๆใช่หรือไม่?กลับไปถึงสถานที่กวาดล้างพลทหารม้าสามพันคนของเหยียนอิง เฉินฝานออกคำสั่งให้หยุดเคลื่อนทัพในขณ
เฉินฝานอมยิ้มพลางพยักหน้า “ถูกต้อง หากไม่ยั่วโมโหอ๋องเจิ้งหนาน หลี่เทียนจะออกมาได้อย่างไร”“ทว่า ทำเช่นนี้เป็นการทำให้พวกเราเข้าสู่สภาวะจนตรอกมิใช่หรือ?”“ท่านแม่ทัพ ทำเช่นนี้ สามารถทำให้พวกเรามีชีวิตต่อไปได้!”“เช่นนี้พวกเราจึงสามารถมีชีวิตต่อไปได้งั้นหรือ? ใต้เท้าเฉิน...”เหอกังที่อยู่ด้านข้างหยุดพูดไปครู่หนึ่ง “เจ้าต้องการล่อกองกำลังเมืองเตียนที่เมืองฝูตูให้ออกมา หลังจากนั้นพวกเราก็กลับลำไปยึดโจมตีเมืองฝูตูงั้นหรือ?”“ปิดบังท่านแม่ทัพไม่ได้จริงๆ ข้าน้อยก็มีความประสงค์เช่นนี้ มีเพียงการทำเช่นนี้ เมืองหรงตูและพวกเราจึงยังมีโอกาสที่จะมีชีวิตอยู่”“น้องฝาน วิธีนี้น่าอัศจรรย์ก็จริง ทว่า...” สีหน้าของเหอจื่อหลินเปลี่ยนจากสดใสเป็นหม่นหมอง “กองกำลังสามหมื่นคนของหลี่เทียนนั้น ห่างจากพวกเราไม่ถึงห้าสิบลี้แล้ว อิงจากความเร็วของกองกำลังเตียนตู ต้านทานไว้ครึ่งชั่วยาม ก็จะไล่ตามพวกเราทัน พวกเราต้องการโจมตีโต้กลับเมืองฝูตู ก็ต้องหลบหลีกพวกเขาก่อน”“กองกำลังลาดตระเวนมีสองหมื่นเจ็ดพันกว่าคน และมีม้าสงครามที่ไปยึดครองมาเมื่อครู่สามพันตัว เป้าหมายยิ่งใหญ่เช่นนี้ ความยากในหลบหลีกหลี่เทียนยากยิ่งนั
“ข่าวที่ข้าได้รับมาเมื่อครู่ กองกำลังเมืองเตียนตูหนึ่งแสนคนที่เหยียนเชียงนำทัพไม่ได้ข้ามฝั่งมา”“ไม่ได้ข้ามฝั่งรึ?” เหอกังตกใจอย่างมาก กล่าวด้วยความโมโหทันที “เวลาครึ่งก้านธูปที่แล้วพลส่งข่าวมารายงานว่ากองกำลังหนึ่งแสนคนนั้นของเหยียนเชียงเริ่มข้ามฝั่งแล้วมิใช่หรือ? พลส่งข่าวของเจ้าเป็นอันใดไป จึงรายงานไม่แม่นยำเช่นนี้!”“ท่านพ่อ เมื่อครู่กองกำลังเมืองเตียนข้ามฝั่งจริงๆ ทว่าผ่านไปไม่นานพวกเขาทั้งหมดก็กลับลำ ตอนนี้เดินทางมุ่งสู่เมืองหรงตูแล้ว”“กล่าวเช่นนี้...” สีหน้าของเหอกังเปลี่ยนเป็นเข้มงวด “กองกำลังเตียนตูไม่คิดที่จะสนใจพวกเรา ทว่ามุ่งตรงไปบุกโจมตีเมืองหรงตู หากสูญเสียเมืองหรงตูไป เช่นนั้นพวกเรา...”เช่นนั้นกองกำลังลาดตระเวนก็เหมือนกับเด็กกำพร้าไร้บ้านหากไปเยือนหรงตูมิได้ พวกเขาก็เป็นทหารเร่ร่อนกลุ่มหนึ่งที่ไม่กำลังสนับสนุนใดๆจากแนวหลัง“เร็วเข้า พวกเราต้องเร่งฝีเท้าในการเคลื่อนทัพ” เหอกังกล่าวเสียงดัง “แผนการเดียวในตอนนี้ พวกเราทำได้เพียงแข่งความเร็วกับเหยียนเชียง”“ข้าว่าวิธีนี้ก็ไร้ผล” เย่ว์หนูที่อยู่ด้านข้างเฉินฝานส่ายหน้ากล่าวเสียงเบา “พละกำลังของกองกำลังเมืองเตียนตูมีม
เฉินฝานเดินอยู่ด้านหน้า ฉินเย่ว์เจียวลากศพของเหยียนอิง สองคนเรียงรายเดินออกจากกระโจมไปสถานการณ์รบด้านนอกจวนจะเข้าใกล้จุดสิ้นสุดแล้วห่าธนูในคราเดียว กองกำลังเมืองเตียนตูสามพันกว่าคนนี้ ทุกคนล้วนถูกลูกธนูของกองกำลังลาดตระเวนปักราวกับเม่นเหอจื่อหลินพาคนไปตรวจสอบว่ามีกองกำลังเมืองเตียนตูที่ยังตายไม่สนิทหรือไม่ ดังนั้นจึงเกิดเสียงการแทงซ้ำและเสียงโอดครวญเป็นครั้งคราว“ถวายบังคมใต้เท้าเฉิน!”“ถวายบังคมใต้เท้าเฉิน!”เมื่อเห็นเฉินฝานแล้ว เหล่านายทหารพากันคุกเข่าเฉินฝานลนลานรีบทำท่าขอให้ลุกขึ้น “ทุกท่านไม่ต้องมากพิธี รีบลุกขึ้นเถอะ”นายทหารเหล่านั้นโน้มศีรษะติดกับพื้นจึงยอมลุกขึ้นยืนนับตั้งแต่ที่เข้ากระโจมจนมาถึงตอนที่ออกจากกระโจมมา ห่างกันไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เหล่ากองกำลังลาดตระเวนด้านหน้าเฉินฝาน ทุกคนล้วนมีชีวิตชีวาพวกเขาทหารผู้ดีทหารไร้ประโยชน์ที่ถูกฝูงชนหัวเราะเยาะ ในเวลาสั้นๆครึ่งชั่วโมง สามารถกำจัดพลทหารม้าของกองกำลังเมืองเตียนตูหนึ่งกลุ่มได้ทั้งหมดต่อจากนี้ จะคอยดูว่าผู้ใดจะกล้ากล่าวว่าพวกเขาไร้ประโยชน์ได้อีก!เหล่าทหารเพิ่งจะลุกขึ้นยืน เหอกังรีบรุดหน้าเข้ามาทันที สีหน
เหยียนอิงถูกฉินเย่ว์เจียวนำน้ำเย็นหนึ่งถังราดใส่จนตื่น“อ้าก!”“ใครกัน? ชาติชั่วผู้ใดรนหาที่ตาย บังอาจใช้น้ำราดใส่ข้า!”เหยียนอิงที่ถูกปลุกให้ตื่นด้วยความตกใจเด้งตัวกระโดดลงจากเตียง คว้าดาบใหญ่ข้างกายขึ้นมา ต้องการจะฟันออกไปตอนที่เขาเห็นชัดเจนว่าคนที่ยืนข้างเตียงเขาคือฉินแย่ว์เจียว วางดาบลงทันที พลันปรากฏรอยยิ้มสัปดน“เจ้าหนุ่มหน้าปลาเก๋านั้น สามารถจัดการเรื่องต่างๆ เพราะถวิลหาสาวน้อยที่งดงามเช่นนี้ ข้าก็แปลกใจหรอก”“แม่สาวน้อย เจ้าจะมาด้วยตนเองหรือต้องการให้ข้าช่วย!”“ข้าว่าข้าช่วยเจ้าดีกว่า เจ้าจะได้ไม่ต้องเหนื่อย”เหยียนอิงหัวเราะร่าลุกขึ้นยืน กำลังจะโถมตัวใส่ร่างของฉินเย่ว์เจียว“ปึก!”จอกสุราหนึ่ง ลอยมาจากด้านหลังฉินเย่ว์เจียว ชนเข้ากับใบหน้าของเหยียนอิงอย่างรุนแรง“อ้าก!”เหยียนอิงที่ได้รับบาดเจ็บตะโกนลั่น ยื่นมือออกไปคิดที่จะคว้าดาบใหญ่ของเขาอีกครั้ง“ปึก!”มีวัตถุหนึ่งชิ้นลอยมาจากด้านหลังฉินเย่ว์เจียวอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่ใช่จอกสุรา ทว่าเป็นเกาทัณฑ์ดอกเหมยหนึ่งลูกนี่เป็นหนึ่งในอาวุธลับมากมายที่ฉินเย่ว์เหมยมอบให้เฉินฝาน เกาทัณฑ์ดอกเหมยใช้งานง่ายที่สุด วันที่สองข
ฉกฉวยโอกาสยามราตรี กองกำลังลาดตระเวนสองหมื่นนาย สามารถข้ามแม่น้ำลวี่สุ่ยครั้งที่สองได้แล้วคนมากมายเพียงนี้ กล่าวไม่มีลาดเลาอันใดแม้แต่น้อย นั้นเป็นเรื่องโกหกตอนที่กองกำลังลาดตระเวนข้ามฝั่ง ทำให้กองกำลังเมืองเตียนตูที่ลาดตระเวนผู้หนึ่งพบเห็น“คน มีคนจำนวนมากกำลังข้ามฝั่ง” กองกำลังเมืองเตียนตูผู้นั้นกล่าวกับสหายร่วมรบของตนคำพูดของกองกำลังเมืองเตียนตูผู้นั้น ไม่เพียงไม่ได้รับความใส่ใจจากสหายร่วมรบเท่านั้น ยังถูกสหายร่วมเขกกะโหลกหนึ่งที“เป็นเพราะไม่นอน ตาพร่ามัวไปแล้วหรือ ข้ามฝั่งอันใดกัน?” สหายร่วมรบชี้ไปที่แม่น้ำ “ดูสิ ด้านบนมีเรือหรือไม่? ไม่มีเรือจะข้ามฝั่งมาได้เยี่ยงไร”“ทว่า...”กองกำลังเมืองเตียนตูผู้นั้นหันกลับไปชำเลืองมองอีกครั้ง “ข้าเห็นจริงๆ เหมือนว่าพวกเขาไม่ได้นั่งเรือข้ามมา ทว่าเดินบนผิวน้ำมา”สะพานลอยไม่โผล่ขึ้นมาผิวน้ำทั้งหมด ดูแล้วก็เหมือนกับคนกำลังเดินผิวน้ำจริงๆกองกำลังเมืองเตียนตูผู้นั้นถูกสหายร่วมรบของตนเขกกะโหลกอีกครั้ง “เดินบนผิวน้ำ? นับถือที่เจ้าพูดเช่นนี้ออกมาได้ ที่เจ้าเห็นมิใช่คน แต่เจ้าเห็นผีแล้วต่างหาก!”“ที่ข้าเห็นเป็นผีงั้นรึ?”“จะไม่ใช่ได้อย่
“สร้างสะพานลอยเช่นนี้ กองกำลังเมืองเตียนตูฝั่งตรงข้ามคงไม่ให้พวกเราสร้างได้อย่างสบายๆหรอกกระมัง”“พวกเจ้าพูดถูก” เฉินฝานกล่าว “กองกำลังเมืองเตียนตูคงไม่ให้พวกเราสร้างได้อย่างสบายๆ ดังนั้นที่พวกเราสามารถสร้างได้เป็นสะพานลอยใต้น้ำ”เฉินฝานนำแผนที่ออกมา มือวางไว้ที่แม่น้ำลวี่สุ่ย “ตรงส่วนนี้ พื้นที่แม่น้ำค่อนข้างแคบ สายน้ำก็ค่อนข้างไหลเชี่ยวเช่นกัน กองกำลังเมืองเตียนตูจะต้องคาดไม่ถึงว่าพวกเราจะกลับมาบุกโจมตีอย่างไม่ทันตั้งตัวเป็นแน่ ดังนั้นช่วงนี้การลาดตระเวนของกองกำลังเตียนตูต้องไม่เข้มงวดเพียงนั้นเป็นแน่ ความสามารถทางน้ำของกองกำลังหญิงยอดเยี่ยม พวกนางสามารถฉกฉวยโอกาสยามราตรี ดำน้ำลงไปในแม่น้ำสร้างสะพาน”ในตอนแรกที่ฝึกกองกำลังหญิง ตามปกติแล้วก็ฝึกตามที่หน่วยรบพิเศษฝึกฝน ดังนั้นการดำน้ำสร้างสะพานประเภทนี้ชำนาญเป็นธรรมดาอยู่แล้ว“สหายกองกำลังลาดตระเวน เพียงแค่ตระเตรียมเถาวัลย์และกิ่งไม้ให้พร้อมก็ใช้ได้แล้ว”ขั้นตอนในการสร้างสะพาน เป็นดังที่เฉินฝานคาดการณ์ไว้ กองกำลังเมืองเตียนตูคาดไม่ถึงว่าพวกเฉินฝานจะกลับมาบุกโจมตีอย่างไม่ทันตั้งตัว และสิ่งที่คาดไม่ถึง คิดเหนือชั้นไปอีก คือพวกเฉินฝ
“ใต้เท้าเฉิน ไยเจ้ายังคิดที่จะล้อเล่นอีก!” เหอกังสีหน้าจริงจัง เขาออกคำสั่งกับเหอจื่อหลิน “จื่อหลิน เจ้าปกป้องใต้เท้าเฉินให้ออกจากป่าไปในคืนนี้ มุ่งหน้าสู่หรงตู”“ท่านแม่ทัพใหญ่ ข้า...”“ใต้เท้าเฉิน ข้ารู้ว่าเจ้าอยากอยู่ ทว่าพวกเราไม่สามารถเสี่ยงอันตรายเรื่องนี้ได้ หากสูญเสียเจ้าไป ต้าชิ่งของพวกเราก็ถึงจุดจบจริงๆแล้ว”เหอกังพูดขัดคำพูดเฉินฝานก่อนที่จะออกเดินทางครั้งนี้ ฉินเย่ว์เหมยลอบนัดพบพ่อลูกตระกูลเหอลับๆ ไม่ว่าจะเกิดอันใดขึ้นให้พ่อลูกตระกูลเหอต้องปกป้องชีวิตของเฉินฝานไว้กล่าวว่า หากไร้ซึ่งเฉินฝาน ต้าชิ่งก็สูญสลายเช่นกันคำพูดของฉินเย่ว์เหมย เหอกังเห็นด้วยทั้งหมดตอนนี้ต้าชิ่งมีทั้งศึกภายในและภายนอก ขุนนางทุจริตกุมอำนาจ หากไม่มีเฉินฝาน ก็มิมีใครสามารถต่อกรกับเสิ่นหมิงหยวนได้“ท่านแม่ทัพใหญ่!” เฉินฝานทำมือเคารพให้เหอกัง “ขอบคุณความไว้วางใจของท่านแม่ทัพใหญ่ที่มีต่อข้าน้อย ในเมื่อท่านแม่ทัพคิดว่าข้าน้อยสามารถช่วยต้าชิ่งให้รอดพ้นได้ เช่นนั้นไยไม่เชื่อมั่นให้ข้าน้อยทำให้กองกำลังเมืองเตียนตูพ่ายแพ้กันล่ะ?”“ใต้เท้าเฉิน ข้าเชื่อมั่นว่าท่านมีความสามารถเช่นนั้นอยู่แล้ว ทว่าการจะหล
ระเบิดดินที่ฝังไว้ จวนจะได้แผลงฤทธิ์แล้ว ม้าและพลทหารที่ถูกระเบิดจนลอยขึ้นจะบรรเทาการปิดล้อมของกองกำลังเมืองเตียนตูได้ชั่วคราวผ่านไปไม่นานนัก ท้องฟ้าก็มืดสนิทเมื่อท้องฟ้ามืดแล้ว เหล่าทหารลาดตระเวนล้วนถอนหายใจอย่างโล่งอกพวกเขาปลอดภัยชั่วคราวแล้วต่อให้กองกำลังเมืองเตียนตูจะเก่งกาจเพียงใด ก็ไม่สามารถจะหาญกล้าบุกโจมตีเข้ามาในป่าตอนกลางคืนเหยียนเชียงที่เป็นผู้นำกองกำลังหนึ่งแสนคนของเมืองเตียนอันก็ไม่ได้รีบร้อน ตอนที่ฟ้ายังไม่ทันมืด เขาก็ออกคำสั่งให้คนไปตั้งค่ายทหารแล้ว“ท่านเจ้านครฝ่ายขวา เส้นทางที่จะระเบิด จวนจะไม่มีแล้ว กองทัพของข้าสามารถโจมตีตามไปได้ จัดการพวกเขาให้หมด เพื่อขจัดอุปสรรคในการเข้าเมืองหลวงของท่านอ๋อง”แม่ทัพสองสามคนเป็นฝ่ายขอออกทัพกับเหยียนเชียงก่อนปัญญาชนหน้าใสเฉินฝานอยู่ในป่า จับเป็นเขาได้สามารถได้เงินห้าหมื่นตำลึงทองการบุกเข้าป่ายามราตรีเรื่องต้องห้ามเช่นนี้ กองทัพเมืองเตียนตูมิได้หวาดกลัวอย่างไรเสียก็เป็นเงินห้าหมื่นตำลึงทองเชียวนะใครจะไม่อยากได้กันเหยียนเชียงจ้องแม่ทัพที่มาขอออกรบก่อนเหล่านั้น “เรื่องที่ว่าจะขจัดอุปสรรคทางไปเมืองหลวงให้ท่านอ๋องอะไ