“อะไรนะ!” เพ่ยจี้ร้อนใจกระโดดโลดเต้น “เสี่ยวฝาน เจ้าจะไม่กอบกู้ได้อย่างไรเล่า? อย่าเพิ่งยอมแพ้ กอบกู้หนังสือบางส่วนได้อย่างแน่นอน”เฉินฝานมองไฟที่โหมกระหน่ำตรงห้องหนังสือครู่หนึ่ง แล้วหันมองเพ่ยจี้พร้อมยิ้มเยาะ “กอบกู้ได้หรือไม่? ท่านนายพลรู้ดีแก่ใจไม่ใช่หรือขอรับ?”“ขะ ข้าจะรู้ได้อย่างไรเล่า พอข้าตื่นขึ้นมาก็พบว่าห้องหนังสือของเจ้าไฟไหม้!”มันแปลกจริง ๆเพ่ยจี้ยังรู้สึกแปลกในใจ แต่ทำไมเขาถึงใจไม่เป็นสุข?แม้ว่าเขาเป็นคนจุดไฟ ด้วยนิสัยของเขา ก็ไม่มีทางที่เขาจะรู้สึกผิด ตอนนี้เมื่อเขาเห็นเฉินฝาน......เจ้าหนุ่มคนนี้ ไม่เพียงแต่เป็นอัจฉริยะ แต่ราศียังทรงพลังจนน่ากลัวเพียงสายตาเดียวของเขา ก็เจาะทะลุหัวใจคนอื่นได้ทันที“แม้ว่าข้าเป็นคนเผาห้องหนังสือ แต่แล้วอย่างล่ะ?”ในเมื่อปกปิดไม่ได้ เพ่ยจี้เลยยอมรับโดยตรง“นายพลเป็นคนจุดไฟนี้ ทำทำไมเจ้าคะ นายท่านของข้าใจดีกับท่านถึงเพียงนั้น แต่ท่านกลับทำสิ่งที่ลืมบุญคุณเช่นนี้!”ฉินเย่ว์ฉู่สองมือเท้าเอวและจ้องเขม่นเพ่ยจี้อย่างโมโห“เช้ง!”หยวนอิงชักกระบี่ออกจากเอว“เก็บกระบี่กลับเข้าไปซะ อย่าทำให้เด็กตกใจ!” เพ่ยจี้หันกลับไปตำหนิเสียงดัง
เพ่ยจี้ตวัดกระบี่ในมือ “เสี่ยวฝาน เจ้าคิดอย่างไรกับกระบี่ของข้า?”เฉินฝานจ้องมองกระบี่ของเพ่ยจี้เรียบนิ่ง “รูปร่างงามประณีต แสงกระบี่ชัดเจน เป็นกระบี่ชั้นดีที่คมกริบ ทำไมรึ นายพลจะลงมือฆ่าหรือขอรับ?”“นี่!” เพ่ยจี้แสดงสีหน้าไม่พอใจ “เสี่ยวฝาน เจ้าพูดอะไรเล่า? ข้าอยากมอบกระบี่เล่มนี้ให้กับเจ้าต่างหาก!”เมื่อมาถึงตอนนี้ ในที่สุดหยวนอิงก็ทนไม่ไหวจึงก้าวขามาถึงตรงหน้าเฉินฝาน “ท่านนายพล ทำแบบไม่ได้นะขอรับ!”“ไปให้พ้น!” เพ่ยจี้ผลักหยวนอิง “ทำได้หรือทำไม่ได้ ถึงคราของเจ้ามาสอนข้าตั้งแต่เมื่อไหร่”หลังจากผลักหยวนอิงออกไป เพ่ยจี้ก็เสียบกระบี่กลับเข้าไปในฝักแล้วยื่นให้เฉินฝานเฉินฝานกอดมือไว้ที่หน้าอกแล้วกล่าวอย่างสบาย ๆ “ไม่มีผลงานไม่ควรรับรางวัล ข้าไม่รับ!”“ตุบ!” หยวนอิงล้มไปกับพื้น“ไม่ได้เรื่อง!” เพ่ยจี้เตะหยวนอิง “ไสหัวออกไปซะ”“ท่านนายพล โปรดใคร่ครวญให้ดีด้วยขอรับ!” หยวนอิงไม่ตายใจ เมื่อเพ่ยจี้ยกเก้าอี้ขึ้น เขาถึงยอมเดินออกไปโดยดี“เสี่ยวฝาน เจ้ารู้ไหมว่ากระบี่นี้มีชื่อว่าอะไร? กระบี่แห่งเสถียรภาพ! จักรพรรดิผู้ล่วงลับเป็นผู้พระราชทานมันให้กับข้า สามารถประหารก่อนรายงานทีหลังได้”
เพ่ยจี้ยิ่งพูดยิ่งดูน่าสงสาร เสียงร้องไห้ก็ยิ่งร้องยิ่งดังเฉินฝานฟังแล้วไม่สบายใจ “ผู้เฒ่า ท่านหยุดร้องก่อน ท่านจะไม่มีผู้สืบทอดได้อย่างไร? ท่านมีทหารเสือตั้งมากมายในกองทัพหมาป่า!”“มากมาย มากมายที่ไหนกัน ต่อสู้ฆ่าศัตรู พวกเขาเก่งก็จริง แต่เมื่อพูดถึงยุทธวิธี แต่ละคนก็โง่เขลาเบาปัญญากันทั้งนั้น ฮือ ๆ!”แม้ว่าคำพูดของเพ่ยจี้จะดูเกินจริง แต่ทหารเสือที่อยู่ในกองทัพของเขานั้น เมื่อเทียบเฉินฝานแล้ว ด้อยกว่ามากจริง ๆวินาทีที่เฉินฝานบอกว่าไม่ไปกับเขา เพ่ยจี้ร้องไห้น้ำตาไหลจริง แต่ต่อมาล้วนเป็นการหลอกเฉินฝานทั้งนั้นเขาอยู่มาถึงทุกวันนี้ได้ ไม่เพียงเพราะเก่งด้านการสู้รบ แต่เพราะเป็นคนหน้าด้านด้วยกระบี่เสถียรภาพ ก็คือสิ่งที่เขาร้องขออย่างไร้ยางอายจากจักรพรรดิผู้ล่วงลับ“แล้วหยวนอิงล่ะ!” เฉินฝานชี้หยวนอิงที่อยู่ข้าง ๆ เพ่ยจี้ “ข้าว่าเขาก็ไม่เลว มีหัวสมองฉลาดและยังจงรักภักดีต่อท่าน เหมาะสมมากที่จะเป็นผู้สืบทอดของท่าน”เพ่ยจี้ปาดน้ำตาแล้วหันไปถามหยวนอิง “หยวนอิง เจ้าอยากเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพหมาป่าหรือไม่?”“ท่านนายพล!”หยวนอิงคุกเข่าลงบนพื้นเสียงดังตุบ “หยวนอิง......ไม่มี
“ข้าน้อยขอคารวะใต้เท้าอัครเสนาบดีเบื้องซ้าย”เมื่อเห็นชายชราผู้นั้น หยวนอิงคุกเข่าลงทันทีชายชราเมินเฉยหยวนอิงและก้าวเท้าเร็วไปหาเฉินฝาน แต่เพ่ยจี้ตะโกนเสียงโกรธระหว่างทาง “ซูซิวฉี ท่านไม่อยู่ในราชสำนัก มาทำอะไรที่นี่?”เพ่ยจี้โกรธมากดั่งสายฟ้าแลบ ถ้าชายชราผู้นี้ไม่ปรากฏตัว เฉินฝานคงจะตอบตกลงเขาแล้ว“ถ้าข้าไม่มา คนของข้าก็คงถูกแย่งชิงไปแล้ว!”ขณะที่เขาพูด ซูซิวฉีก็เดินมาถึงตรงหน้าเฉินฝาน เขามองเฉินฝานอย่างตื่นเต้น “เสี่ยวฝาน เจ้าคิดถึงข้าบ้างไหม ข้าคิดถึงเจ้ามากเลยนะ”หลังกลับจากอำเภอผิงอันจนถึงเมืองหลวง ซูซิวฉีรู้สึกว่าแต่ละวันยาวนานเหมือนเป็นปี เขานับวันและตั้งตารอวันที่สอบระดับราชสำนักจะมาถึงเร็ว ๆ ระหว่างการสอบระดับมณฑลกับการสอบระดับราชสำนัก ห่างกันเพียงหนึ่งเดือนกว่า ซึ่งก็คือสามสิบแปดวัน แต่สามสิบแปดวันนี้ ซูซิวฉีรู้สึกยาวนานเหมือนสามร้อยแปดสิบวันเขากลัวการสอบระดับราชสำนักจะเกิดปัญหาระหว่างทาง ซูซิวฉีจึงเดินทางจากเมืองหลวงมาที่นี่เองเดิมที เขาแค่อยากรอเฉินฝานในเมืองหรงตูตอนที่เขามาถึงเมืองหรงตูเป็นเวลาสามสี่โมงเช้าแล้วตอนที่เขากลับไปครั้งที่แล้ว เขาให้คนอยู่ต่ออำเ
“ขุนนางพลเรือนอย่างพวกเจ้าจับพู่กันทั้งวัน มันทั้งเล็กและสั้น ฮึ ถึงว่าสิ่งที่อยู่ในร่างกายของพวกเจ้าก็ช่างเล็กเสียเหลือเกิน เช่นนั้นแล้ว……”“เพ่ยจี้ เจ้า เจ้า......เจ้ามีแล้วมีประโยชน์อะไร? เจ้าก็ไม่มีบุตรลูกสาวเหมือนกัน”“ซูซิวฉี เจ้ามีบุตรชายแล้วเก่งนักรึไง!”เพ่ยจี้ปาหินลูกหนึ่งใส่ซูซิวฉี“เพ่ยจี้ เจ้าคนหยาบกระด้าง กล้าโยนของ!”ซูซิวฉียังโยนแท่นฝนหมึกบนตัวออกไปหาเพ่ยจี้ทั้งสองคนจากทะเลาะมาจนถึงขว้างปาสิ่งของอยู่อย่างนั้นสลับกันไปมาคนที่อยู่รอบ ๆ เพ่ยจี้กับซูซิวฉีต่างตกตะลึง แต่พวกเขาก็ทำได้เพียงตกตะลึงและไม่มีใครกล้าหยุดพวกเขาเมื่อเห็นชายชราสองคนทะเลาะกันและขว้างสิ่งของใส่กันเหมือนเด็กไม่กี่ขวบปี เฉินฝานก็ทำหน้าจนใจหากเมื่อครู่นี้หยวนอิงไม่ได้คุกเข่าคารวะ เขาคงไม่เชื่อว่าชายชราสองคนนี้เป็นบุคคลที่มีอำนาจในราชสำนักหลังจากขว้างสิ่งของบนตัวหมดแล้ว ชายชราสองคนเริ่มขว้างของใช้ในเรือน“ผู้เฒ่า ถ้าใครกล้าโยนของใช้ของข้า ก็ไสหัวออกไปจากที่นี่ซะ!”ห้องเซียงฝางที่ทะเลาะดังโหวกเหวก พลันเงียบสงบในทันใดผู้คุ้มกันของผู้นำทั้งสองฝ่ายหยวนอิงและเว่ยสือต่างมองหน้าพร้อมกันเพียง
ครั้งนี้ซูซิวฉีไม่ได้มาสืบสาวอย่างลับๆ ตัวตนของเพ่ยจี้ก็เปิดเผยให้เห็นนานแล้ว เฉินฝานถงเซิงรากหญ้าคนหนึ่ง มีการคุ้มกันที่แน่นหนาจางเจิ้งห้าวที่เห็นสภาพการณ์เช่นนี้ครั้งแรก สูดหายใจเข้าลึกๆจะว่าไปแล้ว หากไม่ใช่เฉินฝาน เขาทุ่มเททั้งชีวิต เกรงว่าคงจะไม่ได้เห็นสภาพการณ์เช่นนี้เฉินฝานช่างเป็นดาวดวงใหญ่แห่งโชคลาภของเขาและหลูเฉิงกวงจริงๆจางเจิ้งห้าวจัดชุดขุนนางของตัวเอง และถามคนข้างกาย หลังจากที่ยืนยันได้ว่าเสื้อผ้าหน้าผมของตนไม่มีปัญหาแล้ว จึงกล้าเดินเข้าไปในลานบ้านเฉินฝานตอนที่เข้าไปในลานบ้าน จางเจิ้งห้าวไม่เห็นซูซิวฉี เห็นเพียงเฉินฝานนั่งจิบชาอ่านหนังสืออยู่ที่ศาลาจางเจิ้งห้าววิ่งเหยาะๆเข้าไปหาเมื่อเห็นจางเจิ้งห้าว เฉินฝานลุกขึ้นเตรียมที่จะทำความเคารพให้เขา“อย่าเลย!” จางเจิ้งห้าวรีบร้อนรุดหน้าห้ามปรามตำแหน่งนายอำเภอของเขานี้ เป็นการพึ่งพาจึงได้มา ถ้าหากไม่ใช่มีเหล่าคนใช้และองครักษ์อยู่ เขายังอยากจะทำความเคารพให้กับเฉินฝานเลยล่ะ“ใต้เท้า ดื่มชา!”เฉินฝานชงชาให้จางเจิ้งห้าวหนึ่งแก้ว“เสี่ยวฝาน ท่านอัครเสนาบดีกับท่านนายพลล่ะ?” จางเจิ้งห้าวรับแก้วชาด้วยสองมือ ตามองไป
“ข้าว่านะท่านใต้เท้าทั้งสองพวกท่านหยุดก่อนเถอะ” เฉินฝานถือพระราชโองการมายืนตรงหน้าเพ่ยจี้และซูซิวฉี“โวยวายอะไร ไม่เห็นว่าพวกข้ากำลังยุ่งอยู่หรือกระไร?”เพ่ยจี้ที่ระเบิดอารมณ์โมโหคิดว่าเป็นลูกน้องของพวกเขาทั้งสอง ตะคอกด้วยความโมโหออกมาเสียอย่างนั้นเขาหงุดหงิดมากจริงๆ เพราะว่าคำพูดที่แทรกมากะทันหันนี้ ทำให้เขาถูกซูซิวฉีโยนขี้โคลนใส่หน้าเขาและซูซิวฉีตีกันมาสองวันแล้ว เป็นครั้งแรกที่โดนซูซิวฉีโจมตีได้ จะไม่โมโหได้อย่างไร?“เสี่ยวฝาน เขาด่าเจ้า ดังนั้นเจ้าไม่ต้องเข้าร่วมกองทัพหมาป่าของเขา”คนที่เห็นว่าเป็นเฉินฝานก่อนคือ ซูซิวฉี เมื่อเห็นเพ่ยจี้ด่าเฉินฝาน เขามีความสุขเป็นอย่างมาก“ได้ ฟังที่ท่านอัครเสนาบดีพูด ข้าจะไม่ไปกองทัพหมาป่า” เฉินฝานยิ้มพลางพูด“ไอ้หยา เสี่ยวฝาน ข้าผิดไปแล้ว ผิดไปแล้ว ข้าไม่ได้ตั้งใจ ไม่รู้จริงๆว่าคนที่เดินมาคือเจ้า” เพ่ยจี้ขวัญหนีดีฝ่อกล่าวขอโทษเฉินฝาน“พูดอะไรน่ะ เสี่ยวฝานตัวออกจะโตขนาดนั้น เจ้ามองไม่ชัด? เจ้าจงใจล่ะสิ” ไม่ง่ายเลยที่จะฉกฉวยโอกาสมาได้ ซูซิวฉีจึงไม่ปล่อยไปง่ายๆความเพียรพยายามด้านร่างกาย เขาสู้เพ่ยจี้ไม่ได้ ความเพียรพยายามด้านฝีปากเพ่ยจี้
“ใต้เท้าจาง ฝ่าบาทออกพระราชโองการอันใดมา ข้าน้อยทราบได้หรือไม่?”หลี่ซานเองก็ถามจางเจิ้งห้าวด้วยความอยากรู้เช่นกัน“ไม่มีปัญหาหรอก ให้เจ้ารู้ก็ไม่เป็นไร อย่างไรเสียอีกประเดี๋ยวก็คงจะติดตรงป้ายประกาศของอำเภอ แต่พระราชโองการนั้น ช่าง.... กับเสี่ยวฝานเสียจริง เฮ้อ!”จางเจิ้งห้าวนำพระราชโองการฉบับคัดลอกด้วยมือส่งให้หลี่ซาน“ไม่ยุติธรรม เหตุใดฝ่าบาทจึงออกพระราชโองการเช่นนี้ ไม่ยุติธรรมกับคนมากมาย โดยเฉพาะกับเสี่ยวฝาน ไม่ยุติธรรมสุดๆ”หลี่ซานอ่านเนื้อหาในพระราชโองการจบแล้ว พูดออกมาด้วยความยากที่จะรับได้และไม่สบอารมณ์ไม่หยุดเรื่องนี้ทำหลี่ซานรับไม่ได้ และยังไม่พอใจในเนื้อหาพระราชโองการคร่าวๆที่เป็นเช่นนี้อย่างมากการสอบระดับอำเภอและระดับมณฑลทั้งหมดในรัชสมัยต้าชิ่ง ให้อภิสิทธิ์กับปัญญาชนที่มีลูกชายก่อน ปัญญาชนที่ไม่มีลูกสามารถผ่านการสอบระดับอำเภอและระดับมณฑลได้ ทว่าเข้าร่วมการสอบระดับพระราชวังไม่ได้หรือก็คือ เฉินฝานที่ไม่มีลูกชายลูกสาวในตอนนี้ ต่อให้เอาคนสอบอันดับแรกของการสอบระดับมณฑลอำเภอผิงอัน“ฝ่าบาทเสียสติไปแล้วกระมัง...”“หลี่ซาน!” จางเจิ้งห้าวรีบร้อนปิดปากหลี่ซาน “เจ้าอยากตา
เหอกังนิ่งเงียบไปเพียงหนึ่งวินาที“ทหารทั้งหมดจงฟังคำสั่ง!” เหอกังยกป้ายสั่งการทหารขึ้นสูง “ถอยทัพกลับลำไปทางเดิม!”ระหว่างที่ถอยกลับทางเดิม เฉินฝานยังให้เหอกังออกคำสั่งอีกสองเรื่องคำสั่งแรก นายทหารทุกคนถอดชุดเกราะเครื่องหัวออก ก็คือให้ทุกคนถอดหมวกเหล็กบนหัวออก นำเสื้อผ้าห่อไว้ มัดไว้ที่เอวกองกำลังยุคโบราณ เพื่อที่แยกมิตรและศัตรู ชุดเกราะเครื่องหัวจะมีสัญลักษณ์สัญลักษณ์บนชุดเกราะเครื่องหัวของกองกำลังลาดตระเวนคือพู่ระย้าสีแดงสีแดงสะดุดตาเกินไป ไม่สะดวกในการหลบหลีกคำสั่งที่สอง ทุกคนต้องเก็บกิ่งที่มีใบไม้มาสองสามชิ้น มัดรวมให้เป็นวงกลม สวมไว้บนศีรษะตอนที่ออกคำสั่งทั้งสองนี้ เหอกังก็ตัดหัวนายทหารไปอีกหนึ่งคนเพราะสองคำสั่งนี้ ก็ไม่ต่างอันใดกับการล่าถอยกลับทางเดิม เหลวไหลสิ้นดีไม่ว่าจะเป็นหัวหน้าหรือลูกน้องในกองกำลังลาดตระเวนทั้งหมด คิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจที่คาดหัวใบไม้หนึ่งชิ้น จะสามารถรักษาชีวิตได้กว่าชุดเกราะเครื่องหัวที่ทำจากเหล็กงั้นหรือ?เฉินฝานไม่ได้ผิดปกติจริงๆใช่หรือไม่?กลับไปถึงสถานที่กวาดล้างพลทหารม้าสามพันคนของเหยียนอิง เฉินฝานออกคำสั่งให้หยุดเคลื่อนทัพในขณ
เฉินฝานอมยิ้มพลางพยักหน้า “ถูกต้อง หากไม่ยั่วโมโหอ๋องเจิ้งหนาน หลี่เทียนจะออกมาได้อย่างไร”“ทว่า ทำเช่นนี้เป็นการทำให้พวกเราเข้าสู่สภาวะจนตรอกมิใช่หรือ?”“ท่านแม่ทัพ ทำเช่นนี้ สามารถทำให้พวกเรามีชีวิตต่อไปได้!”“เช่นนี้พวกเราจึงสามารถมีชีวิตต่อไปได้งั้นหรือ? ใต้เท้าเฉิน...”เหอกังที่อยู่ด้านข้างหยุดพูดไปครู่หนึ่ง “เจ้าต้องการล่อกองกำลังเมืองเตียนที่เมืองฝูตูให้ออกมา หลังจากนั้นพวกเราก็กลับลำไปยึดโจมตีเมืองฝูตูงั้นหรือ?”“ปิดบังท่านแม่ทัพไม่ได้จริงๆ ข้าน้อยก็มีความประสงค์เช่นนี้ มีเพียงการทำเช่นนี้ เมืองหรงตูและพวกเราจึงยังมีโอกาสที่จะมีชีวิตอยู่”“น้องฝาน วิธีนี้น่าอัศจรรย์ก็จริง ทว่า...” สีหน้าของเหอจื่อหลินเปลี่ยนจากสดใสเป็นหม่นหมอง “กองกำลังสามหมื่นคนของหลี่เทียนนั้น ห่างจากพวกเราไม่ถึงห้าสิบลี้แล้ว อิงจากความเร็วของกองกำลังเตียนตู ต้านทานไว้ครึ่งชั่วยาม ก็จะไล่ตามพวกเราทัน พวกเราต้องการโจมตีโต้กลับเมืองฝูตู ก็ต้องหลบหลีกพวกเขาก่อน”“กองกำลังลาดตระเวนมีสองหมื่นเจ็ดพันกว่าคน และมีม้าสงครามที่ไปยึดครองมาเมื่อครู่สามพันตัว เป้าหมายยิ่งใหญ่เช่นนี้ ความยากในหลบหลีกหลี่เทียนยากยิ่งนั
“ข่าวที่ข้าได้รับมาเมื่อครู่ กองกำลังเมืองเตียนตูหนึ่งแสนคนที่เหยียนเชียงนำทัพไม่ได้ข้ามฝั่งมา”“ไม่ได้ข้ามฝั่งรึ?” เหอกังตกใจอย่างมาก กล่าวด้วยความโมโหทันที “เวลาครึ่งก้านธูปที่แล้วพลส่งข่าวมารายงานว่ากองกำลังหนึ่งแสนคนนั้นของเหยียนเชียงเริ่มข้ามฝั่งแล้วมิใช่หรือ? พลส่งข่าวของเจ้าเป็นอันใดไป จึงรายงานไม่แม่นยำเช่นนี้!”“ท่านพ่อ เมื่อครู่กองกำลังเมืองเตียนข้ามฝั่งจริงๆ ทว่าผ่านไปไม่นานพวกเขาทั้งหมดก็กลับลำ ตอนนี้เดินทางมุ่งสู่เมืองหรงตูแล้ว”“กล่าวเช่นนี้...” สีหน้าของเหอกังเปลี่ยนเป็นเข้มงวด “กองกำลังเตียนตูไม่คิดที่จะสนใจพวกเรา ทว่ามุ่งตรงไปบุกโจมตีเมืองหรงตู หากสูญเสียเมืองหรงตูไป เช่นนั้นพวกเรา...”เช่นนั้นกองกำลังลาดตระเวนก็เหมือนกับเด็กกำพร้าไร้บ้านหากไปเยือนหรงตูมิได้ พวกเขาก็เป็นทหารเร่ร่อนกลุ่มหนึ่งที่ไม่กำลังสนับสนุนใดๆจากแนวหลัง“เร็วเข้า พวกเราต้องเร่งฝีเท้าในการเคลื่อนทัพ” เหอกังกล่าวเสียงดัง “แผนการเดียวในตอนนี้ พวกเราทำได้เพียงแข่งความเร็วกับเหยียนเชียง”“ข้าว่าวิธีนี้ก็ไร้ผล” เย่ว์หนูที่อยู่ด้านข้างเฉินฝานส่ายหน้ากล่าวเสียงเบา “พละกำลังของกองกำลังเมืองเตียนตูมีม
เฉินฝานเดินอยู่ด้านหน้า ฉินเย่ว์เจียวลากศพของเหยียนอิง สองคนเรียงรายเดินออกจากกระโจมไปสถานการณ์รบด้านนอกจวนจะเข้าใกล้จุดสิ้นสุดแล้วห่าธนูในคราเดียว กองกำลังเมืองเตียนตูสามพันกว่าคนนี้ ทุกคนล้วนถูกลูกธนูของกองกำลังลาดตระเวนปักราวกับเม่นเหอจื่อหลินพาคนไปตรวจสอบว่ามีกองกำลังเมืองเตียนตูที่ยังตายไม่สนิทหรือไม่ ดังนั้นจึงเกิดเสียงการแทงซ้ำและเสียงโอดครวญเป็นครั้งคราว“ถวายบังคมใต้เท้าเฉิน!”“ถวายบังคมใต้เท้าเฉิน!”เมื่อเห็นเฉินฝานแล้ว เหล่านายทหารพากันคุกเข่าเฉินฝานลนลานรีบทำท่าขอให้ลุกขึ้น “ทุกท่านไม่ต้องมากพิธี รีบลุกขึ้นเถอะ”นายทหารเหล่านั้นโน้มศีรษะติดกับพื้นจึงยอมลุกขึ้นยืนนับตั้งแต่ที่เข้ากระโจมจนมาถึงตอนที่ออกจากกระโจมมา ห่างกันไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เหล่ากองกำลังลาดตระเวนด้านหน้าเฉินฝาน ทุกคนล้วนมีชีวิตชีวาพวกเขาทหารผู้ดีทหารไร้ประโยชน์ที่ถูกฝูงชนหัวเราะเยาะ ในเวลาสั้นๆครึ่งชั่วโมง สามารถกำจัดพลทหารม้าของกองกำลังเมืองเตียนตูหนึ่งกลุ่มได้ทั้งหมดต่อจากนี้ จะคอยดูว่าผู้ใดจะกล้ากล่าวว่าพวกเขาไร้ประโยชน์ได้อีก!เหล่าทหารเพิ่งจะลุกขึ้นยืน เหอกังรีบรุดหน้าเข้ามาทันที สีหน
เหยียนอิงถูกฉินเย่ว์เจียวนำน้ำเย็นหนึ่งถังราดใส่จนตื่น“อ้าก!”“ใครกัน? ชาติชั่วผู้ใดรนหาที่ตาย บังอาจใช้น้ำราดใส่ข้า!”เหยียนอิงที่ถูกปลุกให้ตื่นด้วยความตกใจเด้งตัวกระโดดลงจากเตียง คว้าดาบใหญ่ข้างกายขึ้นมา ต้องการจะฟันออกไปตอนที่เขาเห็นชัดเจนว่าคนที่ยืนข้างเตียงเขาคือฉินแย่ว์เจียว วางดาบลงทันที พลันปรากฏรอยยิ้มสัปดน“เจ้าหนุ่มหน้าปลาเก๋านั้น สามารถจัดการเรื่องต่างๆ เพราะถวิลหาสาวน้อยที่งดงามเช่นนี้ ข้าก็แปลกใจหรอก”“แม่สาวน้อย เจ้าจะมาด้วยตนเองหรือต้องการให้ข้าช่วย!”“ข้าว่าข้าช่วยเจ้าดีกว่า เจ้าจะได้ไม่ต้องเหนื่อย”เหยียนอิงหัวเราะร่าลุกขึ้นยืน กำลังจะโถมตัวใส่ร่างของฉินเย่ว์เจียว“ปึก!”จอกสุราหนึ่ง ลอยมาจากด้านหลังฉินเย่ว์เจียว ชนเข้ากับใบหน้าของเหยียนอิงอย่างรุนแรง“อ้าก!”เหยียนอิงที่ได้รับบาดเจ็บตะโกนลั่น ยื่นมือออกไปคิดที่จะคว้าดาบใหญ่ของเขาอีกครั้ง“ปึก!”มีวัตถุหนึ่งชิ้นลอยมาจากด้านหลังฉินเย่ว์เจียวอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่ใช่จอกสุรา ทว่าเป็นเกาทัณฑ์ดอกเหมยหนึ่งลูกนี่เป็นหนึ่งในอาวุธลับมากมายที่ฉินเย่ว์เหมยมอบให้เฉินฝาน เกาทัณฑ์ดอกเหมยใช้งานง่ายที่สุด วันที่สองข
ฉกฉวยโอกาสยามราตรี กองกำลังลาดตระเวนสองหมื่นนาย สามารถข้ามแม่น้ำลวี่สุ่ยครั้งที่สองได้แล้วคนมากมายเพียงนี้ กล่าวไม่มีลาดเลาอันใดแม้แต่น้อย นั้นเป็นเรื่องโกหกตอนที่กองกำลังลาดตระเวนข้ามฝั่ง ทำให้กองกำลังเมืองเตียนตูที่ลาดตระเวนผู้หนึ่งพบเห็น“คน มีคนจำนวนมากกำลังข้ามฝั่ง” กองกำลังเมืองเตียนตูผู้นั้นกล่าวกับสหายร่วมรบของตนคำพูดของกองกำลังเมืองเตียนตูผู้นั้น ไม่เพียงไม่ได้รับความใส่ใจจากสหายร่วมรบเท่านั้น ยังถูกสหายร่วมเขกกะโหลกหนึ่งที“เป็นเพราะไม่นอน ตาพร่ามัวไปแล้วหรือ ข้ามฝั่งอันใดกัน?” สหายร่วมรบชี้ไปที่แม่น้ำ “ดูสิ ด้านบนมีเรือหรือไม่? ไม่มีเรือจะข้ามฝั่งมาได้เยี่ยงไร”“ทว่า...”กองกำลังเมืองเตียนตูผู้นั้นหันกลับไปชำเลืองมองอีกครั้ง “ข้าเห็นจริงๆ เหมือนว่าพวกเขาไม่ได้นั่งเรือข้ามมา ทว่าเดินบนผิวน้ำมา”สะพานลอยไม่โผล่ขึ้นมาผิวน้ำทั้งหมด ดูแล้วก็เหมือนกับคนกำลังเดินผิวน้ำจริงๆกองกำลังเมืองเตียนตูผู้นั้นถูกสหายร่วมรบของตนเขกกะโหลกอีกครั้ง “เดินบนผิวน้ำ? นับถือที่เจ้าพูดเช่นนี้ออกมาได้ ที่เจ้าเห็นมิใช่คน แต่เจ้าเห็นผีแล้วต่างหาก!”“ที่ข้าเห็นเป็นผีงั้นรึ?”“จะไม่ใช่ได้อย่
“สร้างสะพานลอยเช่นนี้ กองกำลังเมืองเตียนตูฝั่งตรงข้ามคงไม่ให้พวกเราสร้างได้อย่างสบายๆหรอกกระมัง”“พวกเจ้าพูดถูก” เฉินฝานกล่าว “กองกำลังเมืองเตียนตูคงไม่ให้พวกเราสร้างได้อย่างสบายๆ ดังนั้นที่พวกเราสามารถสร้างได้เป็นสะพานลอยใต้น้ำ”เฉินฝานนำแผนที่ออกมา มือวางไว้ที่แม่น้ำลวี่สุ่ย “ตรงส่วนนี้ พื้นที่แม่น้ำค่อนข้างแคบ สายน้ำก็ค่อนข้างไหลเชี่ยวเช่นกัน กองกำลังเมืองเตียนตูจะต้องคาดไม่ถึงว่าพวกเราจะกลับมาบุกโจมตีอย่างไม่ทันตั้งตัวเป็นแน่ ดังนั้นช่วงนี้การลาดตระเวนของกองกำลังเตียนตูต้องไม่เข้มงวดเพียงนั้นเป็นแน่ ความสามารถทางน้ำของกองกำลังหญิงยอดเยี่ยม พวกนางสามารถฉกฉวยโอกาสยามราตรี ดำน้ำลงไปในแม่น้ำสร้างสะพาน”ในตอนแรกที่ฝึกกองกำลังหญิง ตามปกติแล้วก็ฝึกตามที่หน่วยรบพิเศษฝึกฝน ดังนั้นการดำน้ำสร้างสะพานประเภทนี้ชำนาญเป็นธรรมดาอยู่แล้ว“สหายกองกำลังลาดตระเวน เพียงแค่ตระเตรียมเถาวัลย์และกิ่งไม้ให้พร้อมก็ใช้ได้แล้ว”ขั้นตอนในการสร้างสะพาน เป็นดังที่เฉินฝานคาดการณ์ไว้ กองกำลังเมืองเตียนตูคาดไม่ถึงว่าพวกเฉินฝานจะกลับมาบุกโจมตีอย่างไม่ทันตั้งตัว และสิ่งที่คาดไม่ถึง คิดเหนือชั้นไปอีก คือพวกเฉินฝ
“ใต้เท้าเฉิน ไยเจ้ายังคิดที่จะล้อเล่นอีก!” เหอกังสีหน้าจริงจัง เขาออกคำสั่งกับเหอจื่อหลิน “จื่อหลิน เจ้าปกป้องใต้เท้าเฉินให้ออกจากป่าไปในคืนนี้ มุ่งหน้าสู่หรงตู”“ท่านแม่ทัพใหญ่ ข้า...”“ใต้เท้าเฉิน ข้ารู้ว่าเจ้าอยากอยู่ ทว่าพวกเราไม่สามารถเสี่ยงอันตรายเรื่องนี้ได้ หากสูญเสียเจ้าไป ต้าชิ่งของพวกเราก็ถึงจุดจบจริงๆแล้ว”เหอกังพูดขัดคำพูดเฉินฝานก่อนที่จะออกเดินทางครั้งนี้ ฉินเย่ว์เหมยลอบนัดพบพ่อลูกตระกูลเหอลับๆ ไม่ว่าจะเกิดอันใดขึ้นให้พ่อลูกตระกูลเหอต้องปกป้องชีวิตของเฉินฝานไว้กล่าวว่า หากไร้ซึ่งเฉินฝาน ต้าชิ่งก็สูญสลายเช่นกันคำพูดของฉินเย่ว์เหมย เหอกังเห็นด้วยทั้งหมดตอนนี้ต้าชิ่งมีทั้งศึกภายในและภายนอก ขุนนางทุจริตกุมอำนาจ หากไม่มีเฉินฝาน ก็มิมีใครสามารถต่อกรกับเสิ่นหมิงหยวนได้“ท่านแม่ทัพใหญ่!” เฉินฝานทำมือเคารพให้เหอกัง “ขอบคุณความไว้วางใจของท่านแม่ทัพใหญ่ที่มีต่อข้าน้อย ในเมื่อท่านแม่ทัพคิดว่าข้าน้อยสามารถช่วยต้าชิ่งให้รอดพ้นได้ เช่นนั้นไยไม่เชื่อมั่นให้ข้าน้อยทำให้กองกำลังเมืองเตียนตูพ่ายแพ้กันล่ะ?”“ใต้เท้าเฉิน ข้าเชื่อมั่นว่าท่านมีความสามารถเช่นนั้นอยู่แล้ว ทว่าการจะหล
ระเบิดดินที่ฝังไว้ จวนจะได้แผลงฤทธิ์แล้ว ม้าและพลทหารที่ถูกระเบิดจนลอยขึ้นจะบรรเทาการปิดล้อมของกองกำลังเมืองเตียนตูได้ชั่วคราวผ่านไปไม่นานนัก ท้องฟ้าก็มืดสนิทเมื่อท้องฟ้ามืดแล้ว เหล่าทหารลาดตระเวนล้วนถอนหายใจอย่างโล่งอกพวกเขาปลอดภัยชั่วคราวแล้วต่อให้กองกำลังเมืองเตียนตูจะเก่งกาจเพียงใด ก็ไม่สามารถจะหาญกล้าบุกโจมตีเข้ามาในป่าตอนกลางคืนเหยียนเชียงที่เป็นผู้นำกองกำลังหนึ่งแสนคนของเมืองเตียนอันก็ไม่ได้รีบร้อน ตอนที่ฟ้ายังไม่ทันมืด เขาก็ออกคำสั่งให้คนไปตั้งค่ายทหารแล้ว“ท่านเจ้านครฝ่ายขวา เส้นทางที่จะระเบิด จวนจะไม่มีแล้ว กองทัพของข้าสามารถโจมตีตามไปได้ จัดการพวกเขาให้หมด เพื่อขจัดอุปสรรคในการเข้าเมืองหลวงของท่านอ๋อง”แม่ทัพสองสามคนเป็นฝ่ายขอออกทัพกับเหยียนเชียงก่อนปัญญาชนหน้าใสเฉินฝานอยู่ในป่า จับเป็นเขาได้สามารถได้เงินห้าหมื่นตำลึงทองการบุกเข้าป่ายามราตรีเรื่องต้องห้ามเช่นนี้ กองทัพเมืองเตียนตูมิได้หวาดกลัวอย่างไรเสียก็เป็นเงินห้าหมื่นตำลึงทองเชียวนะใครจะไม่อยากได้กันเหยียนเชียงจ้องแม่ทัพที่มาขอออกรบก่อนเหล่านั้น “เรื่องที่ว่าจะขจัดอุปสรรคทางไปเมืองหลวงให้ท่านอ๋องอะไ