“และพวกเขาก็พกถุงทรายจริงด้วย พวกเขาลงทุนขนาดนั้นมาบุกพวกเรายามวิกาล ก็คืออยากจะใช้ถุงทรายขว้างใส่พวกเราให้ตายงั้นรึ?” วานรผู้นำที่สาม พูดอย่างกลั้นขำ“ฮ่าฮ่า!” ถูซิงซุนผู้นำที่ห้า หัวเราะเสียงดังอย่างห้ามไม่ได้ “เฮ้อ พวกเราช่างอ่อนแอเกินไปเสียจริง โดนถุงทรายแค่ถุงเดียวขว้างใส่ก็ทนไม่ไหวแล้ว”“เปิดประตูค่าย!” วานรตะโกนลั่น ข้าจะไปตัดหัวพวกเขาให้ขาดวิ่น เอาไว้ให้พวกพี่น้องไปเล่นเตะบอล!”“น้องสาม ช้าก่อน!” โจวลี่เหรินรีบร้อนห้ามปราม “มันไม่ใช่เรื่องง่ายแบบนั้นแน่นอน”“ท่านโจว ท่านหวาดระแวงเกินไปแล้ว เมื่อครู่ก็เห็นอย่างชัดเจนว่ามีแค่ร้อยกว่าคน และคนพวกนั้นดูแล้วก็พวกชายหนุ่มโง่ๆที่ไม่มีประสบการณ์การรบอะไรเลย บนตัวก็แขวนทราย......”“ดับแล้ว พวกเขาดับคบไฟแล้ว”วานรยังพูดไม่ทันจบ ข้างหูก็มีเสียงตื่นตกใจดังขึ้น“ดับไฟแล้วมันอย่างไรล่ะ ใครจะไปจับเป็นกับข้า......”“วาบ”“วาบ วาบ วาบ!”“ฆ่ามัน!”“ตึงตึงตึง!”ด้านล่างของเขามีแสงคบไฟขนาดใหญ่ส่องสว่างขึ้น เสียงกลองศึกและเสียงการฆ่าฟันก็ตามมาเสียงกองกำลังนี้มีไม่ถึงพันคนอย่างน้อยก็ต้องมีเจ็ดแปดร้อยคน“เมื่อครู่ที่พวกเราเห็นพวกนั้นเป็
ถุงทราย!แถมยังมี.....เหยือกสุรา?โจวลี่เหรินก้มตัวไปหยิบเหยือกสุราขึ้นมา เตรียมจะเปิดออก“คุณท่าน ระวังมีกับดัก!” มังกรตาเดียวปรามโจวลี่เหรินไว้ เขาเอาเหยือกสุราจากโจวลี่เหรินส่งให้ลูกสมุนข้างๆ “เปิดมันออกมา!”ตอนที่ลูกสมุนเปิดเหยือกสุราออก ทุกคนกลั้นหายใจ ลูกสมุนนั้นยิ่งกว่าหลับตาปี๋ขี้เลื่อยที่อัดปากขวดถูกลูกสมุนกระเทาะออกมา ของด้านในทะลักออกมา....ดินทรายก้อนหินเล็กๆ“ฮ่าฮ่าฮ่า!” เสียงหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังของวานรผู้นำที่สาม ดังกู่ก้องไปทั่วค่ายชิงหลง“ ดินทราย ก้อนหิน พี่ใหญ่ ท่านโจว ข้าว่าพวกท่านหวาดระแวงเกินไปแล้ว ต่อให้ปัญญาชนคนหนึ่งจะเก่งกาจแค่ไหน จะเก่งกาจกว่ากองกำลังที่นายกองหรงตูพามาเชียวหรือ?”“ฆ่ามัน!”“ตึงตึงตึง!”ด้านล่างเขาเสียงแห่งการฆ่าฟัน เสียงกลองศึกดังขึ้นอีกครั้ง“พี่น้องทั้งหลายอย่าได้หวาดกลัวไป ทหารหลวงด้านล่างมันตาขาวกว่าพวกเราอีก ที่รุดหน้ามาเป็นพวกชายหนุ่มโง่ๆที่ปัญญาชนนั้นพามาเท่านั้น” วานรวิ่งมาด้านข้างกำแพงค่ายตะโกนเสียงดัง “ออกไปฆ่าไอพวกสารเลวนั้นให้สิ้นซาก!”ในขณะเวลาเดียวกัน“เย่ว์เจียว เห็นคนนั้นหรือยัง?” เฉินฝานที่ฟุบอยู่กับพื้นชี้
โจรภูเขาที่เฝ้าป้อมสังเกตการณ์ มองด้านล่างภูเขา แล้วก็มองโจวลี่เหรินตอนนี้ด้านล่างภูเขามืดสนิท ท่านโจวมองออกได้อย่างไรว่าพวกนี้เป็นละครตบตาที่ทำให้คนสับสน มองออกได้อย่างไรว่าคนด้านล่างเขากำลังจะหนีโจวลี่เหรินเป็นกุนซือที่ฉลาดหลักแหลม มองออกได้อย่างรวดเร็ว นี่เป็นจุดที่เฉินฝานคาดไม่ถึงเหล่าโจรภูเขามักจะฝึกฝนอย่างมีประสิทธิภาพเสมอ ผนวกกับคุ้นชินกับสภาพภูมิประเทศ กองกำลังคนหนึ่งร้อยคนของเฉินฝานมีสิบกว่าคนที่หนีไม่รอดตอนที่เฉินฝานแอบชื่นชมโจวลี่เหรินว่าเป็นกุนซือที่ไม่ธรรมดา โจวลี่เหรินก็ตะลึงงันกับฝูงหุ่นไล่กาอันกว้างใหญ่ด้านหน้าเขาบนตัวหุ่นไล่กาทุกตัวมีคบไฟสามสี่ท่อนเสียบอยู่ไม่แปลกที่ลูกสมุนบนป้อมสังเกตการณ์จะแยกไม่ออกว่ามากันกี่คนเพราะเฉินฝานสั่งให้คนจุดคบไฟแต่ละครั้งไม่เท่ากันนี่เป็นยุทธวิธีที่มักจะใช้ในการทำให้คนสับสนในสนามรบ เฉินฝานเป็นแค่ปัญญาชนคนหนึ่งเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไรกัน?โจวลี่เหรินเคยส่งคนไปสะกดรอยตามเฉินฝาน ตั้งแต่เฉินฝานเกิดจนถึงตอนนี้ ไม่เคยได้ออกจากอำเภอผิงอันเลยอ่านหนังสือที่เกี่ยวกับยุทธวิธีการสู้รบยิ่งเป็นไม่ได้ไปใหญ่จักรพรรดิที่ก่อตั้งรา
“มาดูว่าพวกเราจะสู้กับเขาอย่างไร?”มังกรตาเดียวและถูซิงซุนพูดพร้อมกัน สายที่มองไปที่โจวลี่เหรินทั้งสงสัยและประหลาดใจ“มาบุกกลางคืนดึกดื่นเพื่อที่จะมาดุว่าพวกเราจะสู้กับเขาอย่างไร?” ถึงแม้จะไม่ได้แสดงท่าทีไม่พอใจ ทว่ามังกรตาเดียวรู้สึกว่าโจวลี่เหรินยิ่งออกทะเลไปไกลดูสิ่งที่เขาพูดพวกนี้สิ เฉินฝานบ้าหรือโง่มาบุกโจมตีตอนกลางค่ำกลางคืน“คุณท่าน เมื่อครู่ท่านไม่ได้ดื่มเยอะไปใช่ไหม” ถูซิงซุนเองก็รู้สึกว่าโจวลี่เหรินกำลังพูดจามั่วซั่ว“พี่ใหญ่ น้องห้า คุณท่านไม่ได้ดื่มเยอะไป ที่เขาพูดถูกต้องแล้ว เฉินฝานนั้นมาดูว่าพวกเราจะโจมตีเขาอย่างไรจริงๆ ตอนที่สู้รบกัน สองกองทัพเผชิญกัน มักจะมีการส่งกองกำลังที่ยอดเยี่ยมมาแกล้งโจมตีเพื่อสำรวจจุดอ่อนจุดแข็งของศัตรู” โจวอวี่กล่าวแตกต่างจากมังกรตาเดียวกับถูซิงซุนโจวอวี่กับโจวลี่เหริน คนหนึ่งเป็นเทพยิงธนู คนหนึ่งเป็นกุนซือ ล้วนเคยอยู่ในกองทัพ และเคยไปต่อสู้ในสนามรบสำหรับสาเหตุที่ว่าเหตุใดพวกเขาสองคนตกต่ำจนต้องกลายเป็นโจร ก็ไม่ทราบเช่นกัน“สำรวจจุดอ่อนจุดแข็งของศัตรู? คิดไม่ถึงเลยว่าปัญญาชนคนหนึ่งอย่างเขาจะมีแนวคิดและยุทธวิธีเช่นนี้”สีหน้าของมังก
“อื้ม!” โจวอวี่พยักหน้า “มองเช่นนี้ ฝีมือของปัญญาชนคนนี้เก่งกาจยิ่งกว่านายกองของหรงตูคนนั้นเสียอีก”“เก่งกาจเพียงใดแล้วอย่างไร? สุดท้ายคุณท่านของเราก็มองทะลุปรุโปร่ง!” ถูซิงซุนภาคภูมิใจมาก“มีคุณท่านอยู่ เป็นโชคดีของภูเขาวิฬาร์ ขอบคุณคุณท่าน!”มังกรตาเดียวโน้มตัวคำนับโจวลี่เหริน ถูซิงชุนก้มคำนับตาม“ขอบคุณคุณท่าน!”พี่ใหญ่และพี่ห้าคำนับขอบคุณแล้ว แน่นอนว่าโจรภูเขาด้านหลังก็ย่อมก้มคำนับตามโจวลี่เหรินลูบหนวดเครา ยืนอยู่ตรงนั้นเขาดื่มด่ำกับความรู้สึกได้รับความเคารพนับถือเช่นนี้ยิ่งนักนี่เป็นเหตุผลว่า เหตุเขาจึงขึ้นมาบนเขาวิฬาร์เมื่อก่อน...ภาพสิ่งที่ต้องเผชิญในค่ายทหารฉายขึ้นมาในความคิดของโจวลี่เหริน สีหน้าของเขาฉายความร้ายกาจข้า จะทำให้พวกเจ้าเสียใจ“คุณท่าน ตอนนี้ข้าจะสั่งให้คนใช้ก้อนหินก่อกำแพงให้สูงขึ้น บ้านในค่ายที่ยังเป็นหลังคาหญ้าคา ข้าจะสั่งให้คนเปลี่ยนเป็นหลังคากระเบื้อง ข้าดูสิว่าเฉินฝานจะเผาอย่างไร” มังกรตาเดียวพูดโจวลี่เหลินโบกมือ พูดด้วยความทระนง “ไม่ต้อง!”“เพราะเหตุใดขอรับ? เมื่อครู่ท่านเพิ่งบอกว่าเฉินฝานอยากเผาพวกเราให้ตายไม่ใช่หรือ?” สีหน้าของมังกรตาเด
ด้วยวิถีของภูเขาวิฬาร์ บวกกับตอนนี้การเผชิญหน้าของพวกเขาอยู่ท่ามกลางสายตาของผู้คน ทั้งสิบเจ็ดคนที่ถูกจับ เฉินฝานเชื่อว่าพวกเขาไม่อาจมีชีวิตรอดกลับมาแล้วเฉินฝานบอกให้เฉินเย่ว์โหรวเตรียมเงินหนึ่งพันเจ็ดร้อยตำลึง รวมถึงข้าวสารและบะหมี่แห้ง กล่าวขอโทษครอบครัวของทั้งสิบเจ็ดคนในคืนนั้นด้วยตนเองทั้งหนึ่งร้อยคนที่เขารับสมัครมานี้ บ้านอยู่ที่ไหน สมาชิกในครอบครัวมีใครบ้าง เฉินฝานจำได้เป็นอย่างดีในยุคปัจจุบัน ค่ายทหารที่เฉินฝานอยู่ ผู้บัญชาการทุกคนต้องจำสถานะครอบครัวของทหารทุกคนได้ ด้วยวัฒนธรรมค่ายทหารอันใส่ใจนี้ ทำให้ค่ายทหารที่เขาอยู่กลายเป็นทหารมากความสามารถหนึ่งปีก่อนทะลุมิติ เฉินฝานขึ้นเป็นผู้บัญชาการ ดังนั้นเขาจึงติดนิสัยนี้มาด้วยดีกว่าที่เฉินฝานคาดการณ์ไว้ ครอบครัวของทั้งสิบเจ็ดคน ตอนได้ยินว่าลูกชายของพวกเขาถูกโจรภูเขาวิฬาร์จับตัวไป พวกเขาไม่ร้องไห้และโวยวายแต่อย่างใด สามารถยอมรับความจริงข้อนี้ได้ตรงกันข้าม ตอนเฉินฝานมอบเงินหนึ่งร้อยตำลึง ข้าวสารและบะหมี่นั้น พวกเขาตกใจเล็กน้อย กล่าวขอบคุณไม่หยุด“คิดไม่ถึงจริงๆ พวกเขากลับยังกล่าวคำขอบคุณ”หลังจากมอบเงิน ข้าวสารและบะหมี่ให้ทั
“ยิ่งพูดต่อๆ กันก็ยิ่งไปกันใหญ่ สุดท้าย มีคนบอกว่า นี่เป็นการร่วมมือกันระหว่างเฉินฝานกับโจรภูเขา”“ร่วมมือบ้าอะไร? ร่วมมือกับโจรภูเขา นายท่านของข้าได้ประโยชน์อันใด?” ฉินเย่ว์เจียวได้ยินถ้อยคำนี้แล้วโมโหยิ่งนัก“เฮ้อ!” หลี่ซานถอนหายใจ “พวกเรารู้ว่าไม่มีประโยชน์ใด แต่คนพวกนั้น พวกเขาเชื่อ ข้าอธิบายให้พวกเขาฟังนานแล้ว แต่พวกเขาไม่อาจรับฟัง”“ข่าวลือว่าเฉินฝานร่วมมือกับโจรภูเขา ไปถึงหูครอบครัวสหายทั้งหลายอย่างรวดเร็ว เริ่มด้วยครอบครัวของสหายสิบเจ็ดคนที่เสียชีวิต เดินทางเข้าอำเภอเพื่อให้เสี่ยวฝานชดใช้ด้วยชีวิต ตามด้วยครอบครัวของสหายคนอื่นๆ พวกเขาจะพาสหายเหล่านั้นกลับไป!”“พวกเขาโง่เขลาจริงๆ” ฉินเย่ว์เจียวขมวดคิ้วเป็นปม “อวดความสามารถ ร่วมมือกับโจรบ้าบออะไร เมื่อคืนพวกเรา...”ฉินเย่ว์เจียวร้อนใจยิ่งนักการโจมตีเมื่อคืน เพื่อรอบสังเกตสถานการณ์ของศัตรูเท่านั้น ไม่ได้ต่อสู้กันจริงๆ กระสอบทรายและไหสุราเหล่านั้น เพื่อหลอกพวกโจรภูเขาก็เท่านั้นฉินเย่ว์เจียวรับรู้ข้อนี้เป็นอย่างดี แต่ไม่อาจพูดเพราะเฉินฝานบอกเขาว่า นี่คือความลับ“ไม่ต้องเก็บเอาไว้ เย่ว์เจียวเจ้าบอกพี่หลี่ไปตามตรงเถอะ” เฉิน
ฝีเท้าที่พุ่งมาหาเฉินฝานหยุดนิ่ง พวกเขามองหญิงวัยกลางคนที่อยู่ด้านหน้าสุดด้วยความตกตะลึงลูกธนูทั้งสามดอกที่ฉินเย่ว์เจียวยิงปักลงบนพื้นล้อมรอบหญิงวัยกลางคนถือเคียว เป็นตัวอักษรจีนตัวหนึ่ง ทุกดอกปักลงบนพื้นอย่างแม่นยำ ห่างจากหญิงวัยกลางคนไม่ถึงหนึ่งเซนติเมตร“คิดว่าเอาธนูยิงข้า แล้วข้าจะกลัวหรือ?”หลังจากชะงักครู่หนึ่ง เมื่อไม่เห็นว่าธนูยิงใส่ตน หญิงวัยกลางคนที่ไม่มีความรู้ด้านการยิงธนูคิดว่าฉินเย่ว์เจียวยิงไม่แม่น ถือเคียวพุ่งตัวไปหาเฉินฝาน“ฟิ้ว!”“ปึก!”“อ๊าก!”หญิงวัยกลางคนมองธนูที่อยู่ตรงปลายเท้าของตนเองด้วยสติหลุดลอย ครั้งนี้แตกต่างจากเมื่อครู่อย่างชัดเจน ลูกธนูแนบชิดปลายเท้าของนาง ไม่เหลือช่องว่างแม้แต่น้อยฉินเย่ว์เจียวถือคันศร “ใครจะเข้ามาอีก อย่าหาว่าธนูของข้าไม่มีตา!”“เขาให้ภรรยาของเขายิงธนูใส่พวกเราเนี่ยนะ?” ท่ามกลางผู้คนเงียบงัน ใครคนหนึ่งพูดขึ้น “ข้าบอกแล้วว่าเฉินฝานไม่ใช่คนดี เขาร่วมมือกับพวกโจรภูเขา เมื่อครู่พวกเจ้ายังมีคนไม่เชื่อข้า ตอนนี้เห็นแล้วกระมัง”คนที่พูดคำนี้ จุดเปลวไฟแห่งความพิโรธของครอบครัวสหายได้สำเร็จ“ลุยเลย พวกเราตั้งมากมาย กลัวสตรีแค่คนหนึ่งเช่
เฉินฝานที่พักสายตาโดยตลอดลืมตาขึ้น “ครอบครัวผู้เฒ่ามีหลานสาวสิบคนที่ยังมิได้ออกเรือนงั้นหรือ?”“เฮ้อ หากจะกล่าวให้ถูกต้องคือมีทั้งหมดสิบห้าคน มีห้าคนที่คิดว่าตนเองอายุมากแล้ว กลายเป็นภาระของคนในบ้านจึงตัดสินใจฆ่าตัวตาย”เสียงของผู้เฒ่าตาบอดตะกุกตะกักเป็นอย่างมาก “ปีที่แล้วผูกคอตาย เดือนที่แล้ว ก็มีอีกสองคนที่จวนจะ...โชคดีที่ยายเฒ่าไปเจอเสียก่อน มิเช่นนั้นก็คง...”ผู้เฒ่าตาบอดพูดมิออกแล้ว มีเพียงดวงตาที่ขาวโพลนมิมีตาดำพรั่งพรูน้ำตาอุ่นๆออกมามิหยุดอากาศหนาวจนถึงจุดเยือกแข็ง มินานนักน้ำตาก็แข็งตัวเป็นน้ำแข็งคำพูดของผู้เฒ่าตาบอดแทงใจดำของเย่ว์หนูในตอนแรกที่นางอยู่ในครอบครัว ก็มีพี่น้องสิบคนเช่นกัน รายชื่อล้วนถูกแจ้งไปที่จวนอำเภอแล้ว ทว่าต่อให้ถูกส่งตัวไปแล้ว ท้ายที่สุดก็ถูกส่งตัวคืนมาอยู่ดีหากมิใช่ตอนนั้นเห็นว่าเฉินฝานกำลังรับกองกำลังหญิงพอดี ตอนนี้นางก็คงจะเป็นวิญญาณสาวเร่ร่อนตนหนึ่งในอำเภอผิงอันไปเรียบร้อยแล้ว“เช่นนั้นพ่อแม่เหล่าหลานสาวของท่านล่ะ? พวกเขามิสนใจพวกนางเลยหรือ?”ถึงแม้จะยากลำบาก พ่อแม่ของเย่ว์หนู ก็ยังดูแลพวกนางอย่างดีที่สุด“เฮ้อ~”เมื่อได้ยินคำพูดของเย่ว์ห
“ตอบคำถามข้ามา!”“คำถามของเจ้างั้นรึ? คำถามอันใดกัน?”“อย่ามาแกล้งโง่!”“นี่ ๆ ข้ามิได้แกล้งเสียหน่อย!” ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นของเซียนเจี้ยนหวงทำเหมือนกับว่ามิมีความผิด “เมื่อครู่ข้าเผลอหลับไป ได้ยินมิชัดเจนจริง ๆ เจ้ากล่าวว่าตำหนักเซียวเหยารึ? ตำหนักเซียวเหยาคืออะไรกัน?”“จุดประสงค์ที่ตำหนักเซียวเหยายังคงอยู่คืออันใด เจ้าก็รู้แก่ใจดีมิใช่รึ หรือว่าเจ้าจะรอให้ผู้ชายจำนวนมากต้องถูกสังหารโดยที่เจ้ามิทำอันใดเลยงั้นรึ”“เพื่อนของซูซิวฉีเป็นเช่นนี้งั้นรึ?”เฉินฝานมองซียนเจี้ยนหวงอย่างมิละสายตา“ข้า ข้า...” ในท้ายที่สุดเสียงของเซียนเจี้ยนหวงก็ขาดหายไป “ข้าทำได้เพียงรับปากเจ้าว่าจะมิยอมให้คนของตำหนักเซียวเหยาสังหารชายผู้บริสุทธิ์ไม่เลือกหน้าอย่างเด็ดขาด”“เรื่องอื่นข้าก็มิรู้แล้ว เจ้ามิต้องถามข้าแล้ว” เซียนเจี้ยนหวงวิ่งหายไปในกลีบเมฆทันทีตอนที่เฉินฝานเดินออกจากหลุมศพของเมี่ยวอวี่แล้วเดินมาตรงถนน เห็น...“เย่ว์หนู ไฉนเจ้ายืนอยู่คนเดียว? รถม้าล่ะ?”เฉินฝานกล่าวถามเย่ว์หนูสีหน้าคับข้องใจยืนอยู่บนถนนโดยลำพังนิสัยของเย่ว์หนูค่อนข้างคล้ายคลึงกับผู้ชาย น้อยครั้งที่จะเป็นเช่นน
ความเย็นที่หัวไหล่ปลุกฉินเย่ว์เหมยที่กำลังเคลิบเคลิ้มให้ตื่นจากภวังค์“ชายมักมาก!”ฉินเย่ว์เหมยที่อับอายจนโมโหถีบเฉินฝานออกไปทันที“โอ๊ย ๆ ๆ!”เฉินฝานกุมท้องที่ถูกถีบจนเจ็บปวดกลิ้งตัวไปมา ครั้งนี้เป็นความเจ็บของจริงทว่าครั้งนี้ ฉินเย่ว์เหมยเพิกเฉยอย่างจริงจัง มิว่าเฉินฝานจะร้องอย่างไร นางก็จะมิเดินเข้าไปหาอีกนางพร่ำบอกตนเองเสมอนางเป็นจักรพรรดินีของต้าชิ่ง ๆชีวิตของนางถูกลิขิตให้อุทิศแก่ราชวงศ์ต้าชิ่ง นางจะอภิเษกสมรสมิได้“ตอนนี้ก็เป็นเวลาดึกดื่นแล้ว เจ้ายังมีเรื่องอันใดจะกราบทูลอีกหรือไม่? หากมิมีก็กลับไปเถอะ”ความเจ็บตรงท้องของเฉินฝานเพิ่งจะจางหายไป โสตประสาทก็ได้ยินเสียงอันเยือกเย็นของฉินเย่ว์เหมยเมื่อเงยหน้ามอง เห็นว่าฉินเย่ว์เหมยที่นั่งตรงข้ามกับเขาได้กลับสู่ท่าทางเย่อหยิ่งเยือกเย็นดังเดิมแล้วเฉินฝานยักไหล่หากต้องการพิชิตจักรพรรดินีท่านนี้ ดูแล้วหนทางด้านยังอีกยาวไกลสินะ“ข้ามิได้มีเรื่องอันใดเป็นพิเศษ เดิมทีก็แค่อยากเจอเจ้า”เฉินฝานจัดเสื้อผ้าตนเองเล็กน้อย เขาก็เตรียมตัวที่จะจากไปแล้วเช่นกันหลังจากที่กลับมาพบกับพวกฉินเย่ว์โหรวอีกครั้ง ก็อยู่ในสถานการณ์เสี่ย
“เจ้า...เจ้าผู้ชายมักมาก ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้!”ฉินเย่ว์เหมยที่สูญเสียการทรงตัวไถลเข้าไปในอ้อมอกของเฉินฝาน ใบหน้าขึ้นสี ใช้มือผลักเฉินฝานออกไป“มิปล่อย!”เฉินฝานกอดรัดแน่นกว่าเดิม“เจ้าตัวหอมนุ่มนิ่มเช่นนี้ ข้าจะตัดใจยอมปล่อยได้อย่างไรกัน”“เจ้า!” ฉินเย่ว์เหมยโกรธจนตัวสั่น “หน้าด้านไร้ยางอาย!”“ถูกต้อง!” เฉินฝานทำท่าทีหน้าด้านหน้าทน “ข้าก็เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด ฝ่าบาทท่านเพิ่งมารู้ตัวตอนนี้งั้นหรือ?”“เจ้า...”ฉินเย่ว์เหมยยื่นมือออกไปคิดที่จะผลักเฉินฝานออกอีกครั้ง“ห้ามขยับตัว!” เฉินฝานจับมือสองข้างของฉินเย่ว์เหมยไว้ “เจ้าให้ข้านอนพักสักครู่ได้หรือไม่?”ระหว่างที่พูด เฉินฝานก็ปล่อยมือของฉินเย่ว์เหมย หยิบหมอนมาไว้บนตักของนางสองสามเดือนที่ผ่านมานี้ หากเขามิได้อยู่ในเส้นทางการสู้รบกำจัดกบฏ ก็เผชิญความยากลำบากที่คาบเกี่ยวกับความตายห้องของฉินเย่ว์เหมยอบอุ่น เรือนร่างของฉินเย่ว์เหมยกลิ่นช่างหอมหวนยิ่งนัก ทำให้เฉินฝานได้สัมผัสกับความอบอุ่นและความปลอดภัยที่มิเคยรู้สึกมาก่อน“อยากนอน เจ้าไยมิกลับห้องตนเอง...”ฉินเย่ว์เหมยหยุดพูดทันที เพราะนางเห็นว่าเฉินฝานที่นอนหนุนตักของนางได้หลับไ
ยามค่ำคืนสำนักบัณฑิตเมืองเซียนตูตอนนี้เป็นที่พำนักของฉินเย่ว์เหมยชั่วคราวณ เรือนหลักลานกลางฉินเย่ว์เหมยสวมชุดบรรทมสีเหลือง ก้มหน้าก้มตาอ่านสาสน์กราบทูล“นี่โกรธข้าอยู่งั้นหรือ มิใช่ว่าข้ามิอยากพบเจ้าในทันทีเสียหน่อย กองกำลังทหารหลวงของหลี่ชิ่งปิดล้อมจวนเจ้าเมืองอย่างแน่นหนา เข้าได้ไปยากยิ่งนัก!”เฉินฝานพูดอธิบายกับฉินเย่ว์เหมย ฉินเย่ว์เหมยกลับเพิกเฉยมิได้สนใจเขาแม้แต่น้อยเฉินฝานเดินไปทางซ้าย นางก็จะหันหน้าไปทางขวาเฉินฝานเดินไปทางขวา นางก็จะหันหน้าไปทางซ้ายอย่างไรเสียมิว่าเฉินฝานจะพยายามเพียงใด นางก็จะมิสบตากับเฉินฝานหมดหนทางแล้วจริง ๆ เฉินฝานจึงแย่งสาสน์กราบทูลในมือฉินเย่ว์เหมยมา จากนั้นมิพูดมิจาดึงฉินเย่ว์เหมยเข้ามาในอ้อมอกทันที“เจ้า เจ้าผู้ชายมักมาก!”ฉินเย่ว์เหมยมีวรยุทธ์ต่อสู้ติดตัว และฝีมือยอดเยี่ยมอีกด้วยตบสองสามทีก็สามารถทำให้เฉินฝานลงไปนอนกับพื้นได้“โอ๊ย ๆ ๆ เจ็บเหลือเกิน เจ็บจะตายแล้ว!”เฉินฝานกุมท้องตนเอง กลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้น“เจ้าอย่ามาแสร้ง...”ราวกับเฉินฝานมิได้ยินคำพูดของฉินเย่ว์เหมย ยังคงกุมท้องกลิ้งไปกลิ้งมา สีหน้าแสดงถึงความเจ็บปวดสุดขีด“เจ
“เฉินฝาน ถึงแม้ตอนเจ้าจะเป็นอัครเสนาบดีขั้นหนึ่งระดับสูง ทว่าก็มิสามารถสังหารเลขาธิการขั้นสองระดับสูงอย่างไร้เหตุผลเช่นนี้ได้!”เสิ่นหมิงหยวนที่พอจะสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เริ่มประณามเฉินฝาน“ถูกต้อง ในฐานะที่หยางอวิ๋นหู่เป็นเลขาธิการกรมโยธาธิการขั้นสอง ต่อให้จะทำความผิด ก่อนที่จะสังหารก็ต้องฝ่าบาทออกคำสั่งก่อนจึงจะสังหารได้ อัครเสนาบดีเบื้องซ้ายทำเกินไปแล้ว”“เพิ่งจะได้รับตำแหน่งอัครเสนาบดีเบื้องซ้าย ก็กำเริบเสิบสานแล้วหรือ? คิดว่าสามารถสังหารขุนนางที่ยศน้อยกว่าเขาได้ ตามอำเภอใจงั้นหรือ?”“คนที่โหดเหี้ยม และมิให้เกียรติฝ่าบาทเช่นนี้ จะสามารถเป็นอัครเสนาบดีเบื้องซ้ายเยี่ยงไร?”มีขุนนางจำนวนมากที่เดือดดาลกับการกระทำของเฉินฝานแน่นอนว่าเหล่าคนที่เดือดดาลเหล่านั้น ส่วนใหญ่ล้วนเป็นพรรคพวกของเสิ่นหมิงหยวน“ฝ่าบาท!” เสิ่นหยวนเลี่ยงรีบเดินออกมาจากด้านหลังเสิ่นหมิงหยวนทันที “ท่านอัครเสนาบดีเบื้องซ้าย...”“ชิ้ง!”เฉินฝานตวัดกระบี่ในมือชี้ไปที่เสิ่นหยวนเลี่ยงทันที “ถ้าเจ้ายังพูดพล่ามอีก อย่าหาว่ากระบี่ในมือข้าไร้ความปรานี”น้ำเสียงเฉินฝานดุดันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ท่าทางโหดเหี้ยมอย่างมา
“ฝ่าบาท”เฉินฝานพุ่งตัวขึ้นไป ส่ายหน้าให้กับฉินเย่ว์เหมยหลี่ชิ่งยังมีทหารหลวงประจำการอยู่ด้านนอกเมืองเซียนตูห้าหมื่นกว่าคน สามารถเคลื่อนทัพตามคำสั่งของเสิ่นหมิงหยวนได้ทุกเมื่ออำนาจของเสิ่นหมิงหยวนเป็นปึกแผ่นอย่างมาก ตอนนี้หากอยากจะโค่นล้มเสิ่นหมิงหยวนในคราเดียว ต้องบีบบังคับให้เสิ่นหมิงหยวนจนตรอกให้ได้สถานการณ์ตอนนี้ ควรปล่อยตามน้ำไปก่อนน้ำเสียงของฉินเย่ว์เหมยผ่อนคลายลงแล้ว “ทหารหลวงรวมพลมากมายอยู่ที่แห่งนี้ ข้าคิดว่าใต้เท้าเสิ่นจะก่อกบฏเสียอีก?”เสิ่นหมิงหยวนเลิกคิ้วขึ้นทันที เขารู้ว่าฉินเย่ว์เหมยยอมอ่อนข้อแล้วเหมือนกับที่เฉินฝานคาดการณ์ เสิ่นหมิงหยวนได้เตรียมการโต้กลับไว้เรียบร้อยแล้ว ขอเพียงฉินเย่ว์เหมยออกคำสั่งโจมตีเขา เขาก็จะสั่งให้กองกำลังทหารหลวงห้าหมื่นคนของหลี่ชิ่งปิดล้อมเมืองทันทีเสิ่นหมิงหยวนรีบกล่าวอย่างลนลาน “ฝ่าบาทคิดจะทำให้ข้าน้อยตกใจตายหรือกระไร ข้าน้อยเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นคนหนึ่ง ไฉนจะคิดก่อกบฏได้”คำพูดนี้เสิ่นหมิงหยวน มิเพียงแสดงความจงรักภักดีเท่านั้น และยังเป็นการพูดจาเหน็บแนมเฉินฝานอีกด้วยอำนาจในการนำทัพกองกำลังลาดตระเวนยังคงอยู่ในมือของเฉินฝาน ถึงแม้
ตอนที่ห่างจากเฉินฝานอย่างน้อยสิบเมตร ฉินเย่ว์เหมยก็ลงจากเกี้ยวเดินลงมาสาวเท้ามาหาเฉินฝานอย่างเร่งรีบตอนที่ห่างจากเฉินฝานประมาณสามสี่เมตร ฉินเย่ว์เหมยกลับหยุดฝีเท้าของตนเองไว้หิมะค่อยๆโปรยปรายลงมาตอนที่ห่างกันประมาณสองสามเมตร ฉินเย่ว์เหมยและเฉินฝานยืนมองหน้ากันและกันห่างกันไปเพียงเวลาสั้นๆมิกี่เดือน ทว่ารู้สึกห่างจากเฉินฝานไปสองภพชาติจึงได้กลับมาพบกันอีกครั้งน้ำตาคลอเบ้า จวนจะเอ่อล้นไหลออกมาแต่ท้ายที่สุดก็ต้องฝืนกล้ำกลืนน้ำตากลับไปแต่ไรมานางมิเคยลืมนางเป็นจักรพรรดินี เขาเป็นขุนนางนางต้องเก็บอาการไว้!“เขาคือใต้เท้าเฉินจริงๆ”“ใต้เท้าเฉินฝานยังมีชีวิตอยู่!”ท่ามกลางเหล่าขุนนาง มีคนตะโกนลั่นด้วยความดีใจคนผู้นี้คือเลขาธิการกรมยุติธรรมไป่เผยหราน“ใต้เท้าเฉินคืนชีพจากความตาย ช่างเป็นโชคดีของพวกเราต้าชิ่งเสียจริง!”เหล่าขุนนางที่ปกติมิฝักใฝ่เป็นพวกของเสิ่นหมิงหยวนพากันซาบซึ้งใจ“เฉินฝาน!”เสียงตื่นเต้นดีใจครั้งนี้ดังกว่าเสียงดีใจก่อนหน้านี้เสียอีก“ไอ้หยา!”ร่างเงาหนึ่งพุ่งผ่านเหล่าขุนนาง ข้ามผ่านฉินเย่ว์เหมยไป เดินตรงไปหาเฉินฝานทันที“เป็นเจ้าจริงๆด้วย ช่างดีเ
ตวนซินอ๋องมิอยากเชื่อสายตาของตนเอง เขายกกำปั้นไปด้านหน้าเฉินฝานทันที หลังนั้นก็ชูสามนิ้วออกไปชูสามนิ้วแล้วตะโกนพูดขึ้นหนึ่งประโยค“หนึ่งกฎเกณฑ์ สองสตรี สามเงินเหวิน!”เมื่อตะโกนจบก็จ้องไปที่เฉินฝาน สื่อความหมายว่าถึงตาเจ้าแล้วเฉินฝานรู้สึกหมดคำพูดอีกครั้ง ถูกพลทหารหนึ่งพันปิดล้อมมิสำคัญ จวนจะถูกตัดหัวประหารก็มิสำคัญเช่นกันสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ...เฉินฝานก็ยกกำปั้นขึ้นมาชูนิ้วยื่นไปด้านหน้าตวนซินอ๋องเช่นกัน“สี่ฤดูกาล ห้าปรมาจารย์ หกที่นั่ง!”ทหารหลวงที่ปิดล้อมเฉินฝานและตวนซินอ๋องไว้มึนงงในบัดดลแม้กระทั่งหลี่ชิ่งที่เป็นหัวหน้าของพวกเขายังกวาดสายตามองไปรอบข้าง เขากำลังสงสัยว่านี้เป็นสัญญาณลับระหว่างเฉินฝานและตวนซินอ๋องหรือไม่“ถูกต้องทั้งหมด ๆ!”ตวนซินอ๋องดีใจออกนอกหน้าเดินไปกอดเฉินฝาน “เจ้าพูดรหัสลับของการเล่นทายตัวเลขถูกทั้งหมด เจ้าเป็นลูกเขยที่แสนดีของข้าจริงๆด้วย เจ้ายังมีชีวิตดังคาดสินะ”กำปั้นแห่งความปีติของตวนซินอ๋อง ทุบไปหลังเฉินฝานครั้งแล้วครั้งเล่าเฉินฝานรู้สึกวิงเวียนศีรษะ เขาจวนจะถูกพ่อตาของตนเองตบหลังจนแทบจะกระอักเลือดออกมาแล้ว“ชาวบ้านใจกล้า ก่อความวุ่