เฉินฝานในตอนนี้ เป็นคนสอบได้อันดับแรกสอบระดับมณฑลอำเภอผิงอัน เป็นปัญญาชั้นสูง และยังเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดในอำเภอผิงอันตอนนี้อีกด้วยตามที่พวกเขาเคยรู้มา คนเช่นนี้สูงส่งยากที่จะเข้าถึง อย่าว่าแต่ทำงานร่วมกันเลย แม้แต่สบตากับพวกเขาโดยตรงก็ยังทำไม่ได้“ไม่ใช่เหยือกทรายก็เป็นถุงทราย โลกนั้นปราบโจรแบบนี้จริงๆหรือ? ไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม?” หลี่ซานเริ่มบ่นอีกครั้ง“พี่หลี่!” เฉินฝานที่นั่งอยู่ม้านั่งตัวเล็กกำลังใส่ทรายเข้าไปในถุงยิ้มพลางพูดว่า “แทนที่พี่จะมาบ่นอุบอิบมาช่วยกันใส่ทรายดีกว่า”ตอนที่ใกล้จะทำถุงทรายใกล้จะเสร็จแล้ว เฉินฝานให้หลี่ซานไปหาหลูเฉิงกวง เขาต้องยืมใช้สนามฝึกม้า“นี่คือ....”หลูเฉิงกวงเพิ่งจะจัดการงานหลวงของวันนี้เสร็จ ก็รีบตาลีตาเหลือกไปที่สนามฝึกม้า วันนี้ช่วงเช้าเฉินฝานวานให้หลี่ซานมายืมสนามฝึกม้าเขาที่พาทหารมา แค่ครู่เดียวก็เดาได้ว่า เฉินฝานยืมใช้สถานที่ต้องเอามาฝึกทหารแน่นอน เขาอยากจะไปดูว่าเฉินฝานจะฝึกอย่างไรในใจของหลูเฉิงกวงคิดว่าต้องเจ๋งเป้งมากแน่นอน ไม่เช่นนั้นคงจะไม่เอาแค่หนึ่งร้อยคนหรอกตอนที่เขามาถึงสนามฝึกม้าเห็นสภาพด้านในรู้สึกงงงัน ตื่นตกใจ และมีค
“โจมตียามวิกาล?” โจวลี่เหรินลุกขึ้นยืนคนแรก “มากันมากน้อยเพียงใด?”“มองเห็นไม่ชัดเจน เหมือนว่า....” ลูกสมุนคนนั้นเค้นสมอง หน้านิ่วคิ้วขมวด “มีแค่ร้อยคน ทว่าก็เหมือนไม่ได้มีแค่นั้น เหมือนห้าหกร้อยคนมากกว่า น่าจะมากกว่านั้น คงจะหนึ่งพันคนขึ้นไป”“พลั่ก”ถ้วยสุราลอยละลิ่วใส่ลูกสมุนคนนั้น“ไอ้สถุล!” มังกรตาเดียวโมโหตวาดลั่น “มากี่คน? พวกเจ้ามองไม่ชัดกันหมดเลยหรือไร? พวกสวะ!”พวกเขาตั้งหลักปักฐานอยู่ภูเขาวิฬาร์เกือบจะสิบปีแล้ว เผชิญหน้ากับการปราบโจรมานับไม่ถ้วนนับตั้งแต่ทหารหลวงสิบคนจนไปถึงสองสามพันคนบุกโจมตียามวิกาล บุกทะลวงยามกลางวัน ฝนห่าธนู หรือถึงขั้นลอบวางเพลิง ไม่ว่าจะเป็นช่วงไหน วิธีโจมตีแบบใด พวกเขาก็เคยเจอมาหมดแล้วตอนนี้มาบอกเขาว่า น่าจะหนึ่งร้อย น่าจะห้าร้อยคน และอาจจะมากกว่าพันคน นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน เฉินฝานมีเวทมนตร์หรือกระไร? ครู่หนึ่งเสกคนให้เป็นหนึ่งร้อยคน อีกครู่หนึ่งกลายเป็นห้าหกร้อย อีกครู่หนึ่งก็กลายเป็นพันกว่าคนนอกจากโจวลี่เหรินแล้ว ผู้นำคนอื่นสีหน้าโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เคียดแค้นอยากจะฉีกลูกสมุนคนนั้นออกเป็นชิ้นๆ“ท่าน ท่านผู้นำ มองไม่ชัดจริงๆ” ร่างกายข
“และพวกเขาก็พกถุงทรายจริงด้วย พวกเขาลงทุนขนาดนั้นมาบุกพวกเรายามวิกาล ก็คืออยากจะใช้ถุงทรายขว้างใส่พวกเราให้ตายงั้นรึ?” วานรผู้นำที่สาม พูดอย่างกลั้นขำ“ฮ่าฮ่า!” ถูซิงซุนผู้นำที่ห้า หัวเราะเสียงดังอย่างห้ามไม่ได้ “เฮ้อ พวกเราช่างอ่อนแอเกินไปเสียจริง โดนถุงทรายแค่ถุงเดียวขว้างใส่ก็ทนไม่ไหวแล้ว”“เปิดประตูค่าย!” วานรตะโกนลั่น ข้าจะไปตัดหัวพวกเขาให้ขาดวิ่น เอาไว้ให้พวกพี่น้องไปเล่นเตะบอล!”“น้องสาม ช้าก่อน!” โจวลี่เหรินรีบร้อนห้ามปราม “มันไม่ใช่เรื่องง่ายแบบนั้นแน่นอน”“ท่านโจว ท่านหวาดระแวงเกินไปแล้ว เมื่อครู่ก็เห็นอย่างชัดเจนว่ามีแค่ร้อยกว่าคน และคนพวกนั้นดูแล้วก็พวกชายหนุ่มโง่ๆที่ไม่มีประสบการณ์การรบอะไรเลย บนตัวก็แขวนทราย......”“ดับแล้ว พวกเขาดับคบไฟแล้ว”วานรยังพูดไม่ทันจบ ข้างหูก็มีเสียงตื่นตกใจดังขึ้น“ดับไฟแล้วมันอย่างไรล่ะ ใครจะไปจับเป็นกับข้า......”“วาบ”“วาบ วาบ วาบ!”“ฆ่ามัน!”“ตึงตึงตึง!”ด้านล่างของเขามีแสงคบไฟขนาดใหญ่ส่องสว่างขึ้น เสียงกลองศึกและเสียงการฆ่าฟันก็ตามมาเสียงกองกำลังนี้มีไม่ถึงพันคนอย่างน้อยก็ต้องมีเจ็ดแปดร้อยคน“เมื่อครู่ที่พวกเราเห็นพวกนั้นเป็
ถุงทราย!แถมยังมี.....เหยือกสุรา?โจวลี่เหรินก้มตัวไปหยิบเหยือกสุราขึ้นมา เตรียมจะเปิดออก“คุณท่าน ระวังมีกับดัก!” มังกรตาเดียวปรามโจวลี่เหรินไว้ เขาเอาเหยือกสุราจากโจวลี่เหรินส่งให้ลูกสมุนข้างๆ “เปิดมันออกมา!”ตอนที่ลูกสมุนเปิดเหยือกสุราออก ทุกคนกลั้นหายใจ ลูกสมุนนั้นยิ่งกว่าหลับตาปี๋ขี้เลื่อยที่อัดปากขวดถูกลูกสมุนกระเทาะออกมา ของด้านในทะลักออกมา....ดินทรายก้อนหินเล็กๆ“ฮ่าฮ่าฮ่า!” เสียงหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังของวานรผู้นำที่สาม ดังกู่ก้องไปทั่วค่ายชิงหลง“ ดินทราย ก้อนหิน พี่ใหญ่ ท่านโจว ข้าว่าพวกท่านหวาดระแวงเกินไปแล้ว ต่อให้ปัญญาชนคนหนึ่งจะเก่งกาจแค่ไหน จะเก่งกาจกว่ากองกำลังที่นายกองหรงตูพามาเชียวหรือ?”“ฆ่ามัน!”“ตึงตึงตึง!”ด้านล่างเขาเสียงแห่งการฆ่าฟัน เสียงกลองศึกดังขึ้นอีกครั้ง“พี่น้องทั้งหลายอย่าได้หวาดกลัวไป ทหารหลวงด้านล่างมันตาขาวกว่าพวกเราอีก ที่รุดหน้ามาเป็นพวกชายหนุ่มโง่ๆที่ปัญญาชนนั้นพามาเท่านั้น” วานรวิ่งมาด้านข้างกำแพงค่ายตะโกนเสียงดัง “ออกไปฆ่าไอพวกสารเลวนั้นให้สิ้นซาก!”ในขณะเวลาเดียวกัน“เย่ว์เจียว เห็นคนนั้นหรือยัง?” เฉินฝานที่ฟุบอยู่กับพื้นชี้
โจรภูเขาที่เฝ้าป้อมสังเกตการณ์ มองด้านล่างภูเขา แล้วก็มองโจวลี่เหรินตอนนี้ด้านล่างภูเขามืดสนิท ท่านโจวมองออกได้อย่างไรว่าพวกนี้เป็นละครตบตาที่ทำให้คนสับสน มองออกได้อย่างไรว่าคนด้านล่างเขากำลังจะหนีโจวลี่เหรินเป็นกุนซือที่ฉลาดหลักแหลม มองออกได้อย่างรวดเร็ว นี่เป็นจุดที่เฉินฝานคาดไม่ถึงเหล่าโจรภูเขามักจะฝึกฝนอย่างมีประสิทธิภาพเสมอ ผนวกกับคุ้นชินกับสภาพภูมิประเทศ กองกำลังคนหนึ่งร้อยคนของเฉินฝานมีสิบกว่าคนที่หนีไม่รอดตอนที่เฉินฝานแอบชื่นชมโจวลี่เหรินว่าเป็นกุนซือที่ไม่ธรรมดา โจวลี่เหรินก็ตะลึงงันกับฝูงหุ่นไล่กาอันกว้างใหญ่ด้านหน้าเขาบนตัวหุ่นไล่กาทุกตัวมีคบไฟสามสี่ท่อนเสียบอยู่ไม่แปลกที่ลูกสมุนบนป้อมสังเกตการณ์จะแยกไม่ออกว่ามากันกี่คนเพราะเฉินฝานสั่งให้คนจุดคบไฟแต่ละครั้งไม่เท่ากันนี่เป็นยุทธวิธีที่มักจะใช้ในการทำให้คนสับสนในสนามรบ เฉินฝานเป็นแค่ปัญญาชนคนหนึ่งเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไรกัน?โจวลี่เหรินเคยส่งคนไปสะกดรอยตามเฉินฝาน ตั้งแต่เฉินฝานเกิดจนถึงตอนนี้ ไม่เคยได้ออกจากอำเภอผิงอันเลยอ่านหนังสือที่เกี่ยวกับยุทธวิธีการสู้รบยิ่งเป็นไม่ได้ไปใหญ่จักรพรรดิที่ก่อตั้งรา
“มาดูว่าพวกเราจะสู้กับเขาอย่างไร?”มังกรตาเดียวและถูซิงซุนพูดพร้อมกัน สายที่มองไปที่โจวลี่เหรินทั้งสงสัยและประหลาดใจ“มาบุกกลางคืนดึกดื่นเพื่อที่จะมาดุว่าพวกเราจะสู้กับเขาอย่างไร?” ถึงแม้จะไม่ได้แสดงท่าทีไม่พอใจ ทว่ามังกรตาเดียวรู้สึกว่าโจวลี่เหรินยิ่งออกทะเลไปไกลดูสิ่งที่เขาพูดพวกนี้สิ เฉินฝานบ้าหรือโง่มาบุกโจมตีตอนกลางค่ำกลางคืน“คุณท่าน เมื่อครู่ท่านไม่ได้ดื่มเยอะไปใช่ไหม” ถูซิงซุนเองก็รู้สึกว่าโจวลี่เหรินกำลังพูดจามั่วซั่ว“พี่ใหญ่ น้องห้า คุณท่านไม่ได้ดื่มเยอะไป ที่เขาพูดถูกต้องแล้ว เฉินฝานนั้นมาดูว่าพวกเราจะโจมตีเขาอย่างไรจริงๆ ตอนที่สู้รบกัน สองกองทัพเผชิญกัน มักจะมีการส่งกองกำลังที่ยอดเยี่ยมมาแกล้งโจมตีเพื่อสำรวจจุดอ่อนจุดแข็งของศัตรู” โจวอวี่กล่าวแตกต่างจากมังกรตาเดียวกับถูซิงซุนโจวอวี่กับโจวลี่เหริน คนหนึ่งเป็นเทพยิงธนู คนหนึ่งเป็นกุนซือ ล้วนเคยอยู่ในกองทัพ และเคยไปต่อสู้ในสนามรบสำหรับสาเหตุที่ว่าเหตุใดพวกเขาสองคนตกต่ำจนต้องกลายเป็นโจร ก็ไม่ทราบเช่นกัน“สำรวจจุดอ่อนจุดแข็งของศัตรู? คิดไม่ถึงเลยว่าปัญญาชนคนหนึ่งอย่างเขาจะมีแนวคิดและยุทธวิธีเช่นนี้”สีหน้าของมังก
“อื้ม!” โจวอวี่พยักหน้า “มองเช่นนี้ ฝีมือของปัญญาชนคนนี้เก่งกาจยิ่งกว่านายกองของหรงตูคนนั้นเสียอีก”“เก่งกาจเพียงใดแล้วอย่างไร? สุดท้ายคุณท่านของเราก็มองทะลุปรุโปร่ง!” ถูซิงซุนภาคภูมิใจมาก“มีคุณท่านอยู่ เป็นโชคดีของภูเขาวิฬาร์ ขอบคุณคุณท่าน!”มังกรตาเดียวโน้มตัวคำนับโจวลี่เหริน ถูซิงชุนก้มคำนับตาม“ขอบคุณคุณท่าน!”พี่ใหญ่และพี่ห้าคำนับขอบคุณแล้ว แน่นอนว่าโจรภูเขาด้านหลังก็ย่อมก้มคำนับตามโจวลี่เหรินลูบหนวดเครา ยืนอยู่ตรงนั้นเขาดื่มด่ำกับความรู้สึกได้รับความเคารพนับถือเช่นนี้ยิ่งนักนี่เป็นเหตุผลว่า เหตุเขาจึงขึ้นมาบนเขาวิฬาร์เมื่อก่อน...ภาพสิ่งที่ต้องเผชิญในค่ายทหารฉายขึ้นมาในความคิดของโจวลี่เหริน สีหน้าของเขาฉายความร้ายกาจข้า จะทำให้พวกเจ้าเสียใจ“คุณท่าน ตอนนี้ข้าจะสั่งให้คนใช้ก้อนหินก่อกำแพงให้สูงขึ้น บ้านในค่ายที่ยังเป็นหลังคาหญ้าคา ข้าจะสั่งให้คนเปลี่ยนเป็นหลังคากระเบื้อง ข้าดูสิว่าเฉินฝานจะเผาอย่างไร” มังกรตาเดียวพูดโจวลี่เหลินโบกมือ พูดด้วยความทระนง “ไม่ต้อง!”“เพราะเหตุใดขอรับ? เมื่อครู่ท่านเพิ่งบอกว่าเฉินฝานอยากเผาพวกเราให้ตายไม่ใช่หรือ?” สีหน้าของมังกรตาเด
ด้วยวิถีของภูเขาวิฬาร์ บวกกับตอนนี้การเผชิญหน้าของพวกเขาอยู่ท่ามกลางสายตาของผู้คน ทั้งสิบเจ็ดคนที่ถูกจับ เฉินฝานเชื่อว่าพวกเขาไม่อาจมีชีวิตรอดกลับมาแล้วเฉินฝานบอกให้เฉินเย่ว์โหรวเตรียมเงินหนึ่งพันเจ็ดร้อยตำลึง รวมถึงข้าวสารและบะหมี่แห้ง กล่าวขอโทษครอบครัวของทั้งสิบเจ็ดคนในคืนนั้นด้วยตนเองทั้งหนึ่งร้อยคนที่เขารับสมัครมานี้ บ้านอยู่ที่ไหน สมาชิกในครอบครัวมีใครบ้าง เฉินฝานจำได้เป็นอย่างดีในยุคปัจจุบัน ค่ายทหารที่เฉินฝานอยู่ ผู้บัญชาการทุกคนต้องจำสถานะครอบครัวของทหารทุกคนได้ ด้วยวัฒนธรรมค่ายทหารอันใส่ใจนี้ ทำให้ค่ายทหารที่เขาอยู่กลายเป็นทหารมากความสามารถหนึ่งปีก่อนทะลุมิติ เฉินฝานขึ้นเป็นผู้บัญชาการ ดังนั้นเขาจึงติดนิสัยนี้มาด้วยดีกว่าที่เฉินฝานคาดการณ์ไว้ ครอบครัวของทั้งสิบเจ็ดคน ตอนได้ยินว่าลูกชายของพวกเขาถูกโจรภูเขาวิฬาร์จับตัวไป พวกเขาไม่ร้องไห้และโวยวายแต่อย่างใด สามารถยอมรับความจริงข้อนี้ได้ตรงกันข้าม ตอนเฉินฝานมอบเงินหนึ่งร้อยตำลึง ข้าวสารและบะหมี่นั้น พวกเขาตกใจเล็กน้อย กล่าวขอบคุณไม่หยุด“คิดไม่ถึงจริงๆ พวกเขากลับยังกล่าวคำขอบคุณ”หลังจากมอบเงิน ข้าวสารและบะหมี่ให้ทั
“อะไรนะ!?”“ตอนนี้องค์หญิงเสี่ยวฉู่พาฝ่าบาทไปที่ประตูอู่แล้วขอรับ เจ้าสิ่งนั้น ปะ ปะ...”“ปืนไรเฟิล”“ใช่ ๆ ปืนไรเฟิล ปากกระบอกปืนไรเฟิลจ่อพระเศียรของฝ่าบาทอยู่เลยขอรับ!”“หา นี่เป็นเพราะอะไรกัน?”บรรดาพี่สาวน้องสาวตระกูลฉินได้ยินข่าวขึ้นมา“กราบทูลบรรดาองค์หญิง ข้อเรียกร้องขององค์หญิงเสี่ยวฉู่คืออยากให้ท่านอัครเสนาบดีกับฝ่าบาทอภิเษกสมรสกันเดี๋ยวนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ”“เหลวไหล!”เฉินฝานพุ่งตัวออกไปราวกับพายุเวลานี้บรรดาพี่น้องตระกูลฉินที่เพิ่งแสดงท่าทีรีบร้อนทำหน้าร้อนใจกลับมีสีหน้าแจ่มใส ถึงขนาดที่นั่งลงปรึกษาหารือกันฉินเย่ว์โหรว “พี่หญิงรอง ท่านมีฝีมือดี ท่านรีบไปขวางอยู่ที่หอด้านบนประตูอู่ อย่าให้นายท่านลงมา” ฉินเย่ว์เจียว “ไม่มีปัญหา พอถึงเวลานั้นข้าจะเรียกน้องหวั่นเอ๋อร์ นายท่านหนีไม่รอดแน่”ฉินเย่ว์ฉิน “เช่นนั้นข้าจะให้พี่น้องในวังเซียวเหยาก่อนหน้านี้ไปเดินเล่นแถว ๆ ประตูอู่ให้หมดเลย จะต้องครึกครื้นเป็นแน่ รับรองว่าพี่น้องทหารองครักษ์พวกนั้นจะต้องมองสาวงามอย่างไม่หวาดไม่ไหว”สามพี่น้อง “ความปรารถนาของเสี่ยวฉู่ พวกเราในฐานะพี่สาวจะต้องช่วยอย่างเต็มที่!”เมื่อมองถนนละแวกป
“ข้าไม่ได้ขัดขืนจริง ๆ” เย่ลวี่เลี่ยก้มหน้าลง ชายสูงแปดฉื่อทำสีหน้าที่เต็มไปด้วยความท้อแท้ใจ เขาอยากขัดขืนอยู่แล้ว แต่ฉินเย่ว์ฉู่ไม่ได้ให้โอกาสนั้นกับเขาเลยตอนที่ฉินเย่ว์ฉู่บุกเข้ามาในกระโจมใหญ่ของเย่ลวี่เลี่ย ก็ยิงปืนกำจัดองครักษ์ของเย่ลวี่เลี่ยก่อนพูดแล้วก็น่าอับอาย เย่ลวี่เลี่ยที่เคยผ่านศึกมาอย่างโชกโชนตกใจกลัวรูเลือดตรงกลางหน้าผากขององครักษ์ เขาไม่เคยเห็นอาวุธที่รวดเร็วขนาดนี้มาก่อนเลยได้ยินแค่เสียงดังปัง หน้าผากขององครักษ์ก็มีรูเลือดใหญ่ขนาดนี้แล้ว ความเร็วที่แม้แต่เทพเซียนก็ทำไม่ได้ ความแม่นยำที่แม้แต่เทพเซียนก็ยังทำไม่ได้ในตอนที่ฉินเย่ว์ฉู่ยกปืนขึ้นแล้วลั่นไกอีกครั้ง เมื่อเย่ลวี่เลี่ยได้ยินเสียง เขาก็ตกใจจนสลบไปทันที หลับไปตื่นหนึ่งถึงค่อยพบว่าฉินเย่ว์ฉินยิงใส่หมวกเล็กของเขาเท่านั้นตกใจสาวน้อยจนสลบไป ไม่ว่าสือจิ่งซานผู้นี้จะถามอย่างไร เย่ลวี่เลี่ยก็ไม่บอกเขา .....ในคืนที่เย่ลวี่เลี่ยถูกจับ ข่าวก็ไปถึงเมืองหลวงแล้ว “เครื่องอัดเสียงพลังงานแสงอาทิตย์ เครื่องเสียง...” ขณะที่ฉินเย่ว์เหมยอ่านคำเหล่านี้ก็ถามเฉินฝานด้วยความมึนงงว่า “จดหมายของเสี่ยวฉู่บอกว่า นางแค่อาศ
“นางไม่รู้หรือว่าพวกเราไม่อยากลงมือจริงจัง?” “พอไปถึงค่ายทหารของชาวหู ไม่ใช่แค่โดนฆ่าธรรมดาแบบนั้นหรอกนะ” ชาวหูไม่มีทางปล่อยสตรีชาวต้าชิ่งใด ๆ ที่ตกอยู่ในมือพวกเขา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสตรีชาวต้าชิ่งที่หน้าตางดงามฐานะสูงศักดิ์อย่างฉินเย่ว์ฉู่ พฤติกรรมของพวกเขาใช้คำว่าเดรัจฉานมาอธิบายยังไม่พอเลย สือจิ่งซานสะบัดแขนเสื้อ “พอได้แล้ว สตรีนางเดียวไม่มีค่าพอให้เราต้องใส่ใจหรอก นางอยากตายก็ปล่อยนางไปเถิด โจวจวี่ เจ้าส่งคนไปบอกเยลวี่เลี่ยว่าให้พวกเขาเหลือศพไว้ครบถ้วน ข้าจะซื้อศพไว้ใช้ประโยชน์” ไม่ต้องให้สือจิ่งซานรอนานเกินไป วันรุ่งขึ้นทหารลาดตระเวนก็มารายงาน “ว่าไงนะ? เยลวี่เลี่ยมาด้วยตนเอง?”“ท่านแม่ทัพใหญ่ หากพูดให้ตรงคือเยลวี่เลี่ยโดนฮูหยินเล็กของท่านอัครเสนาบดีจับกุมมาขอรับ”“เจ้าพูดอีกทีสิ?”ทหารลาดตระเวนพูดซ้ำถึงสามรอบเต็ม ๆ สือจิ่งซานก็ยังไม่เชื่อไม่ใช่แค่สือจิ่งซานที่ไม่เชื่อ ต่อให้เป็นผู้ถูกจับกุมอย่างเยลวี่เลี่ยก็ไม่เชื่อเช่นกัน เขาจะโดนสตรีนางเดียวจับกุมได้อย่างไรยิ่งไปกว่านั้นสตรีผู้นี้ยังอายุน้อย พาทหารหญิงรุ่นราวคราวเดียวกันมาแค่ร้อยกว่าคนเมื่อฉินเย่ว์ฉู่พาเยลวี่เล
สือจิ่งซานยกมุมปากยิ้มคลุมเครือ “แปรพักตร์อันใดกัน ฝ่าบาทกับท่านอัครเสนาบดีเห็นอกเห็นใจกองทัพหมาป่าเรา จึงส่งสะใภ้คนเล็กมา เช่นนั้นกองทัพหมาป่าเราย่อมต้องต้อนรับสะใภ้ท่านนี้ให้ดี ๆ”“แม่ทัพใหญ่กล่าวถูกต้อง พวกเราต้อง ‘ต้อนรับ’ ให้ดี ๆ!” โจวจวี่พูดคล้อยตามทันที ไม่นานนักก็มีคำสั่งจากในกระโจมใหญ่ ให้ทหารแม่ทัพทั้งหมดของกองทัพหมาป่าเปลือยท่อนบนยุคโบราณที่จารีตเคร่งครัดอย่างยิ่ง การเปลือยท่อนบนเช่นนี้เป็นพฤติกรรมดูหมิ่นไม่ให้ความกียรติสตรีอย่างรุนแรงยิ่งกว่านั้นฉินเย่ว์ฉู่เป็นภรรยาเอกของอัครเสนาบดีขั้นหนึ่ง องค์หญิงแห่งต้าชิ่ง พระขนิษฐาแท้ๆ ของฮ่องเต้หญิงหากฉินเย่ว์ฉู่เป็นเพียงสตรีทั่วไปในยุคนี้ เกรงว่ามีแต่จะตกใจจนมือไม้อ่อนไปหมดทหารแม่ทัพทั้งหมดของกองทัพหมาป่าเปลือยท่อนบนออกจากกระโจม รอดูท่าทางตกใจกลัวจนร้องไห้โฮยกใหญ่ของฉินเย่ว์ฉู่“ผู้ชายมากมายถึงเพียงนี้ข่มขู่เด็กสาวคนเดียวจะไม่เกินไปหน่อยหรือ” มีบางคนรู้สึกว่าแบบนี้ไม่ค่อยดีนัก แต่คำพูดของเขาก็โดนคนอื่นสวนกลับทันที “เกินไปอันใดเล่า เฉินฝานเป็นคนส่งมา ให้เขาหยามพวกเราได้เท่านั้น แต่ไม่ยอมให้พวกเราตอบโต้คืนหรือ? เปลือย
เย่ว์หนูได้รับบาดเจ็บในระหว่างที่ปกป้องเฉินฝานครั้งหนึ่ง ร่างกายของนางตอนนี้จึงไม่แข็งแรงเหมือนเมื่อก่อน เดิมทีเฉินฝานอยากให้หวงหวั่นเอ๋อร์ตามฉินเย่ว์ฉู่ไป มีหวงหวั่นเอ๋อร์อยู่ อย่างน้อยที่สุดก็ไม่มีปัญหาเรื่องความปลอดภัยของฉินเย่ว์ฉู่ ผลปรากฏว่าฉินเย่ว์ฉู่ปฏิเสธแม้กระทั่งหวงหวั่นเอ๋อร์ด้วยฉินเย่ว์ฉู่พาทหารหญิงไปหนึ่งร้อยกว่าคน มุ่งตรงสู่ทางเหนือ บุกไปยังกองทัพหมาป่าอย่างกล้าหาญ “เจ้าปล่อยให้นางไปเช่นนี้หรือ?” คนที่ตำหนิเฉินฝาน ไม่ใช่แค่พี่น้องตระกูลฉินทั้งสามคนในจวนสกุลเฉิน แม้แต่ฉินเย่ว์เหมยที่อยู่ในวังหลวงก็รีบออกมาเช่นกันนางคิดว่าไม่ว่าอย่างไร อย่างน้อยที่สุดเฉินฝานต้องให้ฉินเย่ว์ฉู่นำกองพลมือปืนไป“เย่ว์ฉู่เป็นน้องเล็กของพวกเจ้า น้องเล็กของพวกเจ้ามีนิสับแบบไหน พวกเจ้าไม่รู้เลยหรือไร?” คำพูดประโยคเดียวของเฉินฝานทำให้พวกนางสำลักแล้วแม้ว่าฉินเย่ว์ฉู่จะเป็นน้องเล็กสุดในตระกูลฉิน ทว่าตั้งแต่เด็กจนโต นางมีความคิดของตัวเองมากที่สุด ขอเพียงเป็นเรื่องที่นางตัดสินใจแล้ว ไม่มีใครสามารถทำให้นางเปลี่ยนใจได้“แต่ว่า...” ฉินเย่ว์โหรวที่เป็นคนกังวลใจมากที่สุด ขมวดคิ้วมุ่น ดูกลัดกล
การปรากฏตัวของนาง ทำให้ทุกคนรู้สึกปีติยินดีกันมากแต่ฉินเย่ว์เจียวกลับถลึงมองสตรีผู้นั้น “พอได้แล้ว เสี่ยวฉู่เจ้าเด็กตัวแสบ แสร้งทำตัวเป็นผู้ใหญ่อันใด ยังไม่รีบเข้ามาอีก?” ฉินเย่ว์ฉู่ขี่ม้าเข้ามา ขณะที่นางผ่านฉินเย่ว์เจียวยังไม่ลืมเถียงกลับว่า “พี่หญิงรอง ข้าอายุยี่สิบแล้ว เป็นผู้ใหญ่ตั้งนานแล้วนะ”ฉินเย่ว์เจียวเชิดหน้าขึ้นสูง “ไม่ว่าเจ้าจะอายุเท่าไหร่ ถึงอย่างไรในสายตาข้า เจ้าก็เป็นเด็กตลอดกาล” ฉินเย่ว์ฉู่ควบม้าตรงมาหาเฉินฝาน แล้วฟ้องเขาว่า “นายท่านดูสิเจ้าคะ พี่หญิงรองรังแกข้าอีกแล้ว นางรังแกข้ามาตลอด ท่านไม่จัดการนางบ้างหรือ?”เฉินฝานมองฉินเย่ว์ฉู่ที่สดใสมั่นใจในตัวเองตรงหน้า ภาพที่เขาเห็นฉินเย่ว์ฉู่ครั้งแรกเมื่อสิบปีก่อนฉายขึ้นมาในสมอง เกิดความรู้สึกราวกับว่าเวลาผ่านไปชาติหนึ่งเด็กสาวที่ขี้กลัวในวันวาน บัดนี้กลายเป็นโฉมสะคราญที่มีสง่าราศี เฉินฝานรู้สึกภาคภูมิใจเล็กน้อย“เหตุใดที่กลับมาตอนนี้ ไม่ต้องเข้าเรียนแล้วหรือ?” เฉินฝานถามตั้งแต่ฉินเย่ว์ฉู่อายุสิบห้า เฉินฝานก็ส่งนางไปเรียนที่โรงเรียนสตรีในเมืองเซียนตู“นายท่าน ข้าน้อยเรียนจบแล้วเจ้าค่ะ”“เรียนจบแล้ว?”“ข้าน้อยเ
วันนี้เป็นวันหยุดพักผ่อน ซึ่งทั้งเดือนจะมีเพียงวันเดียวเท่านั้น นี่เป็นวันที่หาได้ยาก ในฐานะที่ฉินเย่ว์โหรวเป็นภรรยาเอกที่ดูแลบ้านย่อมไม่ปล่อยให้หลุดมือไปง่าย ๆ นางได้เตรียมการไว้ล่วงหน้าหลายวันแล้วว่าวันนี้พวกเขาจะไปเที่ยวเล่นกินอาหารที่ชานเมืองกันทั้งครอบครัวนี่เป็นสิ่งที่เฉินฝานเสนอขึ้นเมื่อหลายปีก่อน หลังจากครั้งนั้น ฉินเย่ว์โหรวก็หลงใหลอยู่สุดซึ้ง ขอเพียงเฉินฝานมีวันหยุด นางจะต้องออกไปให้ได้สถานที่เที่ยวเล่นกินอาหารกันในครั้งนี้มีทิวทัศน์งดงามราวกับภาพวาดเหมือนเช่นเคยเฉินฝานนั่งอยู่บนเก้าอี้พนักพิง กินผลไม้มองบุตรชายบุตรสาวเล่นกันอย่างสนุกสนานบนทุ่งหญ้า ส่วนบรรดาภรรยาก็ยุ่งอยู่กับการเตรียมอาหารกลางวันกลิ่นอาหารที่เฉินฝานชอบลอยอยู่ในอากาศอาหารของพวกเขาทั้งหมดเป็นรูปแบบยุคปัจจุบัน เนื้อแกะย่างทั้งตัว สเต๊กซี่โครงย่าง หมูสามชั้นย่าง ปีกไก่ย่าง กระดูกอ่อนย่าง... ยังมีหม้อไฟทะเล และผลไม้แช่เย็นต่าง ๆ นานา“อืม~” เฉินฝานสูดจมูก แล้วแค่นเสียงเบา ๆ ด้วยความพึงพอใจ เขาหลับตาพักผ่อน พักผ่อนสักพักก็เริ่มกินได้แล้ว“ฮี่!”เฉินฝานเพิ่งจะนอนหลับก็ตกใจตื่นกับเสียงร้องฮี่ของม้า “
หลังจากสือจิ่งซานควบคุมกองทัพหมาป่า เขาก็เปลี่ยนตัวแม่ทัพก่อนหน้านี้ทั้งหมด ตอนนี้ทหารเหล่านี้ล้วนเชื่อฟังสือจิ่งซานเท่านั้น“ใครบังอาจวิจารณ์ฝ่าบาทและท่านอัครเสนาบดีที่นี่?”สือจิ่งซานตวาดอย่างเย็นชา เขาเดินแหวกแม่ทัพเหล่านั้นพร้อมกับเอ่ยวาจา หลังจากนั้นก็หันกาย สายตากวาดมองไปบนร่างแม่ทัพเหล่านั้นห“ข้าน้อยไม่บังอาจวิจารณ์ เดิมทีสิ่งที่ข้าน้อยพูดก็เป็นความจริง หากไม่มีกองทัพหมาป่าของเรา ไม่มีท่านแม่ทัพใหญ่ ต้าชิ่งจะสงบสุขเหมือนทุกวันนี้ได้อย่างไร เวลานี้กลับให้เฉินฝานผู้นั้นยึดความดีความชอบทั้งหมดไว้เพียงผู้เดียว” “ถูกต้อง พวกเรารู้สึกว่าไม่ยุติธรรมกับท่านแม่ทัพใหญ่เลย”แม้ว่าเสียงของพวกแม่ทัพจะเบาลงแล้ว แต่ความโกรธเกรี้ยวและความไม่พอใจในคำพูดกลับยิ่งรุนแรงขึ้น “เหลวไหล เดิมทีความสงบสุขของต้าชิ่งก็เป็นหน้าที่ของกองทัพหมาป่าเรา ในฐานะที่ข้าเป็นแม่ทัพใหญ่ของกองทัพหมาป่ายิ่งต้องทำเช่นเดียว ต่อไปหากมีใครกล้าบังอาจวิจารณ์ฝ่าบาทกับอัครเสนาบดีอีก ลงโทษโบยด้วยไม้พลองทหาร!”“ท่านแม่ทัพใหญ่...”“ทหาร!” สือจิ่งซานตัดบทคนผู้นั้น “นำตัวสวี่ต๋าออกไปโบยด้วยไม้พลองทหารห้าสิบที!” ไม่นานนัก
ตอนนี้น่าจะถือว่ารักษาสัญญาแล้วกระมังฉินเย่ว์เหมยรับประทานอาหารค่ำที่จวนสกุลเฉิน พี่น้องทั้งห้าคุยเล่นกันในห้องจนดึกดื่น หลี่เต๋อฉวนเร่งอยู่หลายครั้ง ฉินเย่ว์เหมยถึงค่อยอำลาบรรดาน้องสาวของตนด้วยความอาลัยอาวรณ์“พี่หญิงใหญ่ ท่านถอนรับสั่งได้หรือไม่?”เมื่อเห็นฉินเย่ว์เหมยกำลังจะจากไป ฉินเย่ว์ฉินก็รีบเอ่ยขึ้นมา“รับสั่งใดเล่า?” ฉินเย่ว์เหมยหันหน้ากลับมาถาม“ก็เรื่อง ก็เรื่อง...” เสียงของฉินเย่ว์ฉินแผ่วเบา หน้าแดงเล็กน้อย “เข้าหอในวันนี้”แม้ยามนี้ฉินเย่ว์ฉินไม่รังเกียจเฉินฝานแล้ว แต่นางยังไม่ได้เตรียมใจแต่งงานกับเฉินฝาน “เหตุใดต้องถอนคืนด้วย เจ้าเองก็อายุไม่น้อยแล้ว ควรจะมีทายาทให้สามีของเจ้าได้แล้ว เช้านี้ข้าตรวจดูปฏิทินโหรแล้ว วันนี้เป็นวันดี ไม่อนุญาตให้ปฏิเสธอีก”นี่ก็คือการปราบปรามโดยสายเลือด ก่อนที่ฉินเย่ว์เหมยจะมา พวกฉินเย่ว์เจียวไม่อาจเอ่ยถึงเรื่องเข้าหอได้เลย เวลานี้เมื่อฉินเย่ว์เหมยเอ่ย ฉินเย่ว์ฉินไม่อาจโต้แย้งได้แม้แต่คำเดียว “ยังจะว่าข้าอีก ท่านก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ ไม่ใช่ว่าท่านเองก็หาเหตุผลต่าง ๆ เพื่อหนีนายท่านหรือไร” ขณะที่ฉินเย่ว์เหมยหันกายเดินจากไป ฉินเย่ว์ฉ