เหลือเวลาเข้าสนามสอบอีกเพียงเวลาธูปครึ่งก้านข้างนอกสนามสอบยืนเต็มไปด้วยปัญญาชนที่มาสอบนี่เป็นการสอบที่ส่งผลถึงชะตากรรมที่เหลือของชีวิต บางคนตื่นเต้น บางคนวิตกกังวล บางคนมั่นใจบางคนยังถือหนังสือและท่องจำ บางคนพนมมือและพึมพำในปาก ได้โปรดนักปราชญ์หลีช่วยคุ้มครองด้วย ดาวเหวินฉวี่ซิง[footnoteRef:1] บนฟ้าโปรดช่วยคุ้มครองด้วย [1: ดาวเหวินฉวี่ซิง คือ ชื่อของดวงดาวอันดับที่สี่ในกลุ่มดาวกระบวยใหญ่ (กลุ่มดาวจระเข้) เชื่อว่าเป็นดวงดาวแห่งการศึกษา สติปัญญา] เมื่อเวลาเข้าสนามสอบใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ เฉินฝานสังเกตเห็นร่างกายของฉินเย่ว์เจียวที่อยู่ข้างๆ สั่นรุนแรงตอนที่อยู่ข้างบนภูเขาหัวเสือ เมื่อเห็นเสือแต่ไม่เห็นนางตัวสั่น“ใจเย็นนะ ๆ!” เฉินฝานใช้มือบีบไหล่ของนาง“นายท่าน ข้าเพียงแค่ควบคุมร่างกายตัวเองไม่ได้ มันสั่นไปหมดเจ้าค่ะ” ฉินเย่ว์เจียวประสานมือเข้าด้วยกันแน่น พยายามสงบสติอารมณ์ให้นิ่งแต่ยิ่งพยายามสงบสติอารมณ์เท่าไรก็ยิ่งสงบสติอารมณ์ยากขึ้นเท่านั้น“เจ้ากำลังตื่นเต้น อย่าตื่นเต้นเลยนะ คนที่เข้าไปในสนามสอบคือข้าไม่ใช่เจ้า”“ข้ารู้ แต่ข้าตื่นเต้นนี่”“ถ้าเจ้ายังตื่นเต้นเช่นนี้มัน
ในสนามสอบของทุกวันจะมีผู้คุมสอบคอยเรียกชื่อ อุปกรณ์การเข้าสอบของผู้สอบจะมีแค่ตะกร้าสานไม้ไผ่เพราะตะกร้าสานไม้ไผ่เป็นสิ่งของที่ฉ้อโกงได้ยากที่สุดแล้วในตะกร้าสานนั้นนอกจากอุปกรณ์เครื่องเขียนแล้ว ก็ยังมีประวัติส่วนตัว การลงนามในเอกสารราชการและการลงนามร่วมกันประวัติส่วนตัวจะประกอบไปด้วยชื่อ อายุ ภูมิลำเนา เป็นต้นการลงนามร่วมจะประกอบไปด้วยผู้เข้าสอบจำนวนห้าคน ใบรับประกันของผู้เขียนข้อสอบจำนวนห้าฉบับ และพวกสิบแปดมงกุฎจำนวนห้าคนมานั่งด้วยกัน เงื่อนไขนี้มีไว้เพื่อป้องกันการทุจริต หากเจ้ากล้าทุจริต สี่คนที่เหลือก็จบเห่ไปด้วยการลงนามในเอกสารราชการก็คือหนังสือรับรองของผู้ค้ำประกัน โดยปกติแล้วผู้ค้ำประกันจะมีสองคน นั้นก็คือผู้ใหญ่บ้านในหมู่บ้านและอาจารย์ในสำนักศึกษาเนื่องจากนักเรียนทั้งอำเภอต่างพากันลงสอบในปีนี้ จำนวนคนจึงค่อนข้างเยอะ จำเป็นต้องจัดการล่วงหน้า โดยแบ่งเป็นแถว แถวละสิบคน ในลานกว้างจะมีโคมไฟกระดาษแขวนอยู่ ง่ายต้องการมองเห็น พวกเขาจะทยอยกันเขียนชื่อและลงสนามปากทางเข้า จะมีขุนนางคอยตรวจสอบตะกร้าสานของผู้เข้าสอบ รวมถึงสิ่งของที่จะนำเข้าไปการตรวจสอบค่อนข้างเข้มงวด เสื้อผ้า
การสอบระดับอำเภอจะใช้เวลาในการสอบหกชั่วโมง ในระหว่างนี้ไม่อนุญาตให้ออกจากห้องสอบ หากอยากเข้าห้องน้ำ ก็แค่ยกมือส่งสัญญาณ จะมีขุนนางที่คุมสอบเดินไปด้วยไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม เฉินฝานก็เขียนเสร็จไปเกินครึ่งแล้วหากไม่ใช่เพราะต้องใช้พู่กันที่ไม่ถนัดมือ เขาคงเขียนคำตอบเสร็จตั้งแต่ยังไม่ถึงหนึ่งชั่วยามการสอบครั้งนี้ไม่มีความท้ายเลยสักนิด ระหว่างที่เฉินฝานกำลังเขียนคำตอบนั้น เปลือกตาของเขาเริ่มหนักคล้ายกับทองคำหนึ่งพันเหรียญ อยากจะฝืนแต่ก็ฝืนไม่ไหวเริ่มสอบวันนี้ แต่ฉินเย่ว์เจียวตื่นเต้นตั้งแต่เมื่อคืน นางนอนพลิกไปพลิกมาอยู่บนพื้นข้างเตียง เสียงดังจนเขานอนไม่หลับช่างเถอะเฉินฝานวางพู่กันลงบนโต๊ะ จากนั้นก็หยิบผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวฝืนไม่ไหวก็ไม่ต้องฝืน นอนสักตื่นละกันเมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็พบว่ายังเหลือเวลาอีกสองชั่วยามถึงจะหมดเวลาสอบเฉินฝานมองไปรอบ ๆ ตัว เหล่านักศึกษาข้างกายเขาต่างก็เริ่มพากันขมวดคิ้วและเกาหัวเมื่อนักศึกษาที่ขมวดคิ้วและเกาหัวเหล่านั้นเห็นเฉินฝานมองมาที่พวกเขาก็พากันแสดงสีหน้าโล่งใจคำถามนั้นยากมาก ทั้งยังยากกว่าคำถามของพวกเขาด้วยซ้ำ หลังจากสอบไปได้ไม่นาน เขา
เฉินฝานที่กำลังหลงไหลอยู่กับแผ่นหลังที่งดงามของฉินเย่ว์เจียว จึงไม่ได้ป้องกันตัวทันใดนั้นเสียง ‘ตุ๊บ’ ก็ดังขึ้น ใบหน้าของเฉินฝานเต็มไปด้วยเศษหญ้าสิ่งที่ฟาดหน้าของเฉินฝานเมื่อครู่คือเศษหญ้าถุงใหญ่“นายท่าน!”ฉินเย่ว์เจียวรีบเข้ามาปัดเศษหญ้าบนหน้าของเฉินฝานทันที นางปัดออกอย่างฉุนเฉียว ก่อนจะหันกลับไปถลึงตาใส่คนที่ใช้ถุงเศษหญ้าฟาดหน้าเฉินฝาน “พวกเจ้าทำอะไร? นายท่านของข้าเดินมาอยู่ดี ๆ เขาไปรุกรานพวกเจ้าอย่างนั้นหรือ?”“ไร้การศึกษาสิ้นดี! เป็นสาวเป็นนางต่อหน้าบุรุษเจ้าพูดแทรกเช่นนี้ได้อย่างไร?”คนที่สั่งสอนฉินเย่ว์เจียวคือสวีจื่อหมิง และคนที่ใช้ถุงเศษหญ้าโยนใส่เฉินฝานเมื่อครู่ก็คือสวีจื่อหมิงนักศึกษาในสำนักศึกษาของหมู่บ้านซานเหอที่เขาพาเข้ามาได้ยืนล้อมรอบเฉินฝานอยู่ในห้องโถงกลางของเรือนแขก“พวกเจ้าใช่สิ่งนี้โยนใส่หน้าของนายท่านก่อน”“นังผู้หญิงไร้การศึกษา หากเจ้ายังปากมากอีก ก็อย่ามาหาว่าพวกเราไม่เกรงใจ!”“ข้ากลัวพวกเจ้าตายล่ะ!”ใบหน้าเรียวเล็กละคนคมเข้มของฉินเย่ว์เจียวแดงระเรื่อด้วยความโกรธ จากนั้นก็เอื้อมมือไปหยิบคันธนู“เย่ว์เจียว ถอยไป!”เฉินฝานดุฉินเย่ว์เจียว กฎระเบียบ
“เย่ว์เจียว เราขึ้นไปข้างบนกันเถอะ”เมื่อเห็นว่าฉินเย่ว์เจียวกำลังขุ่นมัว เฉินฝานจึงคว้ามือของนางขึ้นไปชั้นบน“นี่ เสี่ยวฝาน สมุนไพร ๆ!”เฉินเจียงถือสมุนไพรห่อนั้นเดินตามขึ้นไป ฉินเย่ว์เจียวรับไป ก่อนจะโยนใส่ตัวของเฉินเจียง“อยากดื่มก็ดื่มเองสิ”เสียง ‘ปัง’ ดังขึ้นทันทีที่ฉินเย่ว์เจียวปิดประตูเฉินเจียงที่ไล่ตามขึ้นมาไม่ทันระวัง สันจมูกของเขาเกือบกระแทกกับประตู“เด็กพ่อแม่ไม่สั่งสอน นังเด็กไร้การศึกษา!”เฉินเจียงที่โดนปิดประตูใส่หน้า ก็ได้แต่ยืนด่าด้วยความโกรธฉุนเฉียวและอับอายเฉินฝานและฉินเย่ว์เจียวไม่สนใจเขา หลังจากด่าเสร็จแล้วเขาก็เดินจากไปอย่างเบื่อหน่ายการสอบวันที่สาม เฉินฝานก็ยังฟุบหลับอยู่บนโต๊ะเช่นเดิมช่วยไม่ได้ เวลาในการสอบช่างนานและน่าเบื่อ จะไม่ให้ง่วงก็คงไม่ได้สวีจื่อหมิงโกรธมาก เขาตะโกนไล่ด่าเฉินฝานที่กำลังเดินไปยังสำนักศึกษา “พี่หมิง!” มีคนคว้าตัวเขาไว้ “ถึงอย่างไรก็เป็นวันสุดท้ายแล้ว จะไปจู้จี้กับเด็กโง่นั้นอีกทำไม หลังจากประกาศรายชื่อผู้ที่สอบผ่าน เฉินฝานก็ต้องถูกคัดออกเดินคอตกกลับบ้านอยู่แล้ว ปีนี่เขาหลับในสนามสอบ ไม่มีทางได้ลงสอบระดับอำเภอในปีหน้าอย่า
“คงจะชื่อเหมือนกัน ไม่มีทางเป็นเฉินฝานจากหมู่บ้านซานเหอคนนั้นอย่างแน่นอน”“ไม่!” ผู้จัดอันดับยกนิ้วขึ้นสูง และขยับไปมาอยู่ตรงหน้าของผู้พูด “เจ้ากล่าวผิดแล้ว เฉินฝานที่อยู่ในแผ่นประกาศนั้นก็คือเฉินฝานจากหมู่บ้านซานเหอนั่นแหละ”“นี่ เถ้าแก่ซาง!” จู่ ๆ ก็มีคนตะโกนเสียงดังท่ามกลางฝูงชน “หรือว่าปีนี้เถ้าแก่จะเมตตากรุณา อยากให้แข่งขันกันน้อยลง”นางมือยังคงแกว่งนิ้วของเขาต่อไป “ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือ เดิมพันปีนี้คืออันดับหนึ่งของระดับซานหยวนและรายชื่ออันดับสุดท้าย”“จะลงเดิมพันอันดับสุดท้ายอย่างนั้นหรือ?”“ใช่ ! ยังคงเป็นห้าเหรียญต่อหนึ่งเดิมพัน รีบวางเร็วสิ ซื้อเยอะยิ่งได้เยอะ”“เช่นนี้!” แววตาของสวีจื่อหมิงเปล่งประกายทันใด “เถ้าแก่ซาง ข้าขอวางเดิมพันอีกสี่ร้อยเหรียญ ทุ่มให้เชิญฝานหมดตัว”“ข้าขอเดิมพันสิบเหรียญ”“ข้าขอเดิมพันห้าสิบเหรียญ!”ทุกคนต่างลงเดิมพันว่าเฉินฝานจะได้อันดับสุดท้าย เวลานี้เป็นช่วงเวลาที่ความนิยมของเฉินฝานนั้นเป็นที่ต้องการกว่าเฉินเจียงหลายเท่าเมื่อเห็นสถานการณ์นี้ เฉินฝานก็อดยิ้มไม่ได้ผู้จัดอันดับปีนี้คงจะหาเงินได้เยอะกว่าที่คาดการณ์ไว้เฉินเจียงมองไปทางเฉิน
“ภรรยาหลวงของหลี่เจิ้ง เป็นตำแหน่งที่มีหน้ามีตาขนาดนั้นเชียวนะ เป็นฝ่ายขอหย่าก่อน จุ๊ๆๆ คงเสียสติไปแล้วจริงๆ“ฮ่าฮ่าฮ่า!” หลี่เจิ้งหัวเราะถากถางดังลั่น “ได้! คำไหนคำนั้น! เมื่อถึงตอนนั้นเจ้าอย่ามาร้องไห้ไปทั่วหาว่าข้าทรยศต่อเจ้า!”“แม่!”เถียนเสี่ยวอวี่พรวดพราดไปด้านหน้านางหลิว “ลูกขอร้องท่านล่ะ ท่านอย่าทำแบบนี้”เสื้อคลุมสีขาว ชุดกระโปรงผ้าไหมสีชมพู ร่างกายที่ผอมกะหร่อง ดวงตากลมโต สายตาแห่งความกลัดกลุ้มใจ ขนตาที่กะพริบปริบๆอากาศเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวของเดือนสอง เถียนเสี่ยวอวี่ที่ยืนอยู่ท่ามกลางสายลมดูผอมและอ่อนแอเป็นพิเศษ ทำให้รู้สึกสงสารจับใจเสียจริง“เสี่ยวอวี่ เจ้าไม่ต้องโน้มน้าวแล้ว แม่ตัดสินใจดีแล้ว” ในสายตาที่อบอุ่นของนางหลิว แผ่รังสีสว่างโชติช่วงที่แน่วแน่หาสิ่งใดเปรียบมิได้“ป้าหลิว ท่านทำแบบนี้มันไม่เหมาะสมไปหน่อยจริงๆ ขอโทษหลี่เจิ้งดีๆเรื่องนี้ก็ผ่านไปได้แล้ว”เฉินฝานก็ปริปากพูดโน้มน้าวนางหลิวการสอบระดับอำเภอเขาสอบผ่านได้แน่นอน ทว่าเขาเองก็ไม่อยากให้นางหลิวเลิกกับหลี่เจิ้งเพราะตนเองในสมัยต่อให้หย่าร้าง ผู้หญิงหลังจากที่หย่าร้างก็ถูกคนนินทาลับหลัง ทั้งชีวิตก็ไม่ม
เสียงนี้เพิ่งเปล่งออกไป เสียงคนด้านล่างก็จอแจวุ่นวายทันทีผู้คนวิ่งบอกต่อกันไปมา ช่วงเวลาพริบตาเดียว ทั้งตัวอำเภอผิงอันราวกับน้ำหยดหนึ่งที่หล่นในหม้อน้ำมันเดือดปุดๆโกลาหลวุ่นวาย!“ติดประกาศแล้ว! นายท่าน เร็ว พวกเรารีบไป!”เฉินฝานที่นั่งอ่านหนังสืออยู่บนเก้าอี้ถูกฉินเย่ว์เจียวลากให้ยืนขึ้น เด็กสาวพละกำลังมหาศาล ทำให้หนังสือที่อยู่มือของเฉินฝานตกลงไปที่พื้น“อ่ะ ตำราของข้า!”“นายท่าน อย่าเพิ่งใส่ใจกับตำรา พวกเราไปดูประกาศก่อน”ฉินเย่ว์เจียวดึงเฉินฝานออกมาจากห้องส่วนตัว วิ่งตรงไปด้านล่างพวกปัญญาชนและนักเรียนของเรือนแขกทั้งหมดต่างคนก็พากันเคลื่อนกายาออกมาจากบ้านความตื่นเต้นกังวลของแต่ละคนพรั่งพรู คนที่รู้สึกว่าตัวเองสอบได้ดี สีหน้าเต็มไปด้วยความหวัง รู้สึกว่าสอบออกมาไม่ดี ในใจก็รู้สึกกระวนกระวายไปต่างๆนานา ภาวนาขอไม่ให้ชื่อของตนเองอย่าอยู่ลำดับหลังๆเกินไปอย่างเงียบๆที่ติดประกาศก็อยู่ที่ทางเข้าของสนามสอบตอนที่พวกเฉินฝานมาถึง ที่ติดประกาศก็เป็นลักษณะที่ผู้คนเบียดเสียดมืดฟ้ามัวดินมีพวกปัญญาชนและนักเรียนที่เข้าร่วมการสอบระดับอำเภอ ทว่าที่เยอะกว่าเป็นพวกมวลชนที่เข้าร่วมการทายผ
ตวนซินอ๋องมิอยากเชื่อสายตาของตนเอง เขายกกำปั้นไปด้านหน้าเฉินฝานทันที หลังนั้นก็ชูสามนิ้วออกไปชูสามนิ้วแล้วตะโกนพูดขึ้นหนึ่งประโยค“หนึ่งกฎเกณฑ์ สองสตรี สามเงินเหวิน!”เมื่อตะโกนจบก็จ้องไปที่เฉินฝาน สื่อความหมายว่าถึงตาเจ้าแล้วเฉินฝานรู้สึกหมดคำพูดอีกครั้ง ถูกพลทหารหนึ่งพันปิดล้อมมิสำคัญ จวนจะถูกตัดหัวประหารก็มิสำคัญเช่นกันสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ...เฉินฝานก็ยกกำปั้นขึ้นมาชูนิ้วยื่นไปด้านหน้าตวนซินอ๋องเช่นกัน“สี่ฤดูกาล ห้าปรมาจารย์ หกที่นั่ง!”ทหารหลวงที่ปิดล้อมเฉินฝานและตวนซินอ๋องไว้มึนงงในบัดดลแม้กระทั่งหลี่ชิ่งที่เป็นหัวหน้าของพวกเขายังกวาดสายตามองไปรอบข้าง เขากำลังสงสัยว่านี้เป็นสัญญาณลับระหว่างเฉินฝานและตวนซินอ๋องหรือไม่“ถูกต้องทั้งหมด ๆ!”ตวนซินอ๋องดีใจออกนอกหน้าเดินไปกอดเฉินฝาน “เจ้าพูดรหัสลับของการเล่นทายตัวเลขถูกทั้งหมด เจ้าเป็นลูกเขยที่แสนดีของข้าจริงๆด้วย เจ้ายังมีชีวิตดังคาดสินะ”กำปั้นแห่งความปีติของตวนซินอ๋อง ทุบไปหลังเฉินฝานครั้งแล้วครั้งเล่าเฉินฝานรู้สึกวิงเวียนศีรษะ เขาจวนจะถูกพ่อตาของตนเองตบหลังจนแทบจะกระอักเลือดออกมาแล้ว“ชาวบ้านใจกล้า ก่อความวุ่
“ตุ้บ!”หลี่ชิ่งที่แต่เดิมกำลังพยุงหลิวเกาจัวปล่อยมือออกทันทีหลิวเกาจัวที่หกล้มหน้าคะมำตะโกนร้องโอดโอย เห็นว่ามีเท้าสองข้างอยู่ด้านหน้าจึงคิดที่จะใช้เพื่อยันตัวลุกขึ้นปรากฏว่าเมื่อเขาสัมผัสเท้านั้น เจ้าของฝ่าเท้านั้นก็จงใจยกขึ้น จึงทำให้เขาลื่นล้มลงกับพื้นอีกครั้ง“บัณฑิตหลิว กลางวันแสกๆเช่นนี้ นักพรตชิงเฟิงก็กำลังทำพิธีอยู่ที่แห่งนี้ จะมีภูตผีตนใดกล้าออกมากัน?”ผู้ที่ถีบหลิวเกาจัวคือเลขาธิการกรมโยธาธิการหยางอวิ๋นหู่ เดิมทีหยางอวิ๋นหู่เป็นผู้เก่งกาจในการประจบประแจงคนหนึ่ง ก่อนที่หลิวเกาจัวจะทรยศซูซิวฉี เสิ่นหมิงหยวนให้ความสนใจกับหยางอวิ๋นหู่เป็นอย่างมาก ปรากฏว่าเมื่อหลิวเกาจัวปรากฏตัวขึ้นมา หยางอวิ๋นหู่ก็เทียบเคียงหลิวเกาจัวมิได้แม้แต่น้อยครั้งนี้สามารถทำให้เฉินฝานติดอยู่ในเมืองเซียนตูได้ เดิมทีก็เป็นความดีความชอบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของหยางอวิ๋นหู่ แต่เพราะสาเหตุที่ว่าเรือนเซียนผาสุกมิสามารถปิดตายเฉินฝานได้อย่างสมบูรณ์ หลิวเกาจัวก็คอยใส่สีตีไข่อยู่เสมอ หยางอวิ๋นหู่มิเพียงแต่มิได้รับรางวัลจากเสิ่นหมิงหยวนเท่านั้น กลับถูกตำหนิอย่างรุนแรงอีกด้วย“ใต้เท้าหยางพูดถูก ต่อให้เป็นกลางวั
เฉินฝานเดินออกมาจากห้องตั้งดวงวิญญาณ ก่อนจะเดินไปยังแท่นบูชาบนแท่นบูชายังมีคนกำลังทำพิธีอยู่นอกจากนี้คนบนแท่นบูชาผู้นี้แต่งกายงดงามกว่าหมอผีที่อยู่ในห้องตั้งดวงวิญญาณ เครื่องมืออุปกรณ์ก็ดูอลังการมากกว่าว้าวเฉินฝานอดลอบอุทานไม่ได้เสิ่นหมิงหยวนลงทุนสำหรับงานศพนี้ของเขาไปไม่น้อยเลยตรงพื้นที่เปิดโล่งใต้แท่นบูชา มีขุนนางฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊คุกเข่ากันเต็มไปหมดหิมะเริ่มโปรยปรายลงมาอีกครั้งเฉินฝานมองแวบเดียวก็เห็นอ๋องตวนที่ยืนอยู่หน้าขุนนางทั้งหมด อ๋องตวนไม่มีท่าทางเมามายเหมือนก่อนหน้านี้แล้วผมที่เดิมทีขาวแค่ครึ่งเดียว ตอนนี้ขาวโพลนไปหมดแล้ว ใบหน้าเต็มไปด้วยความโศกเศร้าลูกเขยจากไปแล้วท่ามกลางเพลิงไหม้อย่างรุนแรงเมื่อไม่กี่วันก่อน อีกทั้งยังสูญเสียบุตรีไปอีกสองคนนี่ก็คือคนผมขาวส่งศพคนผมดำสินะเฉินฝานเห็นแล้วรู้สึกประทับใจเล็กน้อยแม้ว่าพ่อตาที่โผล่มาตอนครึ่งทางผู้นี้ของเขา ปกติจะชอบดื่มเหล้า และเป็นคนที่ดูไม่น่าเชื่อถืออย่างมาก แต่ก็ปฏิบัติกับเขาดีมากจริง ๆ จนไม่มีอะไรจะพูด อีกไม่นาน อีกไม่นาน เขาก็ไม่ต้องเสียใจแล้วส่วนบนพระที่นั่งมังกรที่อยู่ไกล ๆ... ว่างเปล่าไม่
“วันที่แปดแล้วเจ้าค่ะ พรุ่งนี้เป็นวันสุดท้าย นายท่าน คนข้างนอกพวกนั้นด่าท่านมาแปดวันแล้ว ท่านยังอารมณ์ดีทนได้ แต่ข้าทนไม่ไหวแล้วนะเจ้าคะ”ฉินเย่ว์เจียวรู้สึกน้อยอกน้อยใจ นางกำหมัดแน่นมาหลายวันแล้ว แต่เฉินฝานสั่งให้เย่ว์หนูคอยดูแลนาง นางจึงทำได้เพียงงอนอยู่ที่บ้าน“เจ้าลดเสียงหน่อย จินเป่าเพิ่งจะหลับไปนะ!”เฉินฝานวางจินเป่าที่ไม่ง่ายเลยกว่าจะกล่อมให้นอนหลับลงบนเตียง จากนั้นก็เดินไปที่ริมหน้าต่าง ฟังเสียงด่าทอจากข้างนอกเสิ่นหมิงหยวนตั้งใจปล่อยให้ชาวบ้านในเซียนตูก่นด่าเฉินฝาน อยากจะทำให้เฉินฝานชื่อเสียงฉาวโฉ่เฉินฝานฟังชาวบ้านในเซียนตูด่าทอตนเอง เพื่อให้พวกเสิ่นหมิงหยวนสูญเสียความระแวดระวัง ชาวบ้านยิ่งด่ารุนแรงและยิ่งด่านานเท่าไร ความระแวดระวังของเสิ่นหมิงหยวนก็จะยิ่งหย่อนยานลง เชื่อว่าเขาตายไปแล้วจริง ๆแววตาของเฉินฝานเย็นชาขึ้นมาทีละนิด“พรุ่งนี้ข้าก็จะ ‘ถูกฝัง’ ได้แล้ว” พรุ่งนี้...ทุกอย่างจะกลับคืนสู่ที่ของมัน ไม่สิควรพูดว่าพรุ่งนี้เขาจะกลายเป็นอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายของต้าชิ่งอย่างเป็นทางการหลังจากอยู่ในเมืองหลวงมาหนึ่งปีกว่า ในที่สุดเขาก็ได้ยืนอยู่บนตำแหน่งเดิมของซูซิว
“วันนั้นไฟไหม้ลานบ้านรุนแรงมากถึงเพียงนั้น รอบด้านถูกเราพวกเราห้อมล้อมไว้เป็นชั้น ๆ อย่าว่าแต่คนตายเลย ต่อให้เป็นมดสักตัวก็ไม่สามารถหนีออกมาจากลานบ้านนั้นได้ หรือว่าจู่ ๆ เฉินฝานจะกลายเป็นถู่สิงซุนขุดดินหนีออกไปแล้ว”“พรืด!” เลขาธิการกรมพิธีการหลิวเกาจัวที่ยืนอย่างเชื่อฟังอยู่ทางด้านข้างเหมือนกับสุนัขพลันอดหัวเราะออกมาไม่ได้ เมื่อเสิ่นหมิงหยวนกับเสิ่นหยวนเลี่ยงมองมาทางเขา เขาก็รีบอธิบาย “ข้าน้อยคิดว่าต่อให้เฉินฝานกลายเป็นถู่สิงซุนขุดลงไปใต้ดิน เช่นนั้นก็คงโดนเผาจนสุกอยู่ดี ตอนนี้น่าจะเปลี่ยนจากถู่สิงซุนไปเป็นหนูสุกแล้วขอรับ” หลิวเกาจัวพูดประจบมากมายขนาดนั้น ในที่สุดครั้งนี้เขาก็ประจบถูกจุดแล้วเมื่อได้ยินคำพูดของหลิวเกาจัว เสิ่นหมิงหยวนก็อารมณ์ดีขึ้นในพริบตาใช่แล้ว ไฟไม้แรงขนาดนั้น ต่อให้เฉินฝานสามารถขุดลงไปใต้ดินได้ก็คงโดนเผาจนสุกไปแล้ว“เจ้าไปเถิด!” เสิ่นหมิงหยวนที่อารมณ์ดีมากยกมือขึ้นมาโบกทีหนึ่งแล้วพูดกับหลิวเกาจัวว่า “รัฐพิธีศพของท่านอัครมหาเสนาบดีเบื้องซ้ายจะหยุดไม่ได้ เจ้าไปเชิญนักพรตที่ดีที่สุดในเซียนตูมา จะต้องทำพิธีอุทิศส่วนกุศลดี ๆ ให้ท่านอัครมหาเสนาบดีเบื้องซ้
...เฉินฝานไม่ทันได้รับคำตอบจากเมี่ยวอวี่ เขาก็รู้สึกว่ามีวัตถุร่วงลงมาบนฝ่ามือ จี้หยกในมือเมี่ยวอวี่หล่นลงมาบนฝ่ามือของเฉินฝาน“เมี่ยวอวี่ เมี่ยวอวี่!” ไม่ว่าเฉินฝานจะเรียกอย่างไร โฉมงามในอ้อมแขนก็ไม่มีการตอบสนองเลยตั้งแต่ต้นจนจบนางหลับตา มุมปากยังคงยกยิ้มเล็กน้อยราวกับเจ้าหญิงที่หลับใหลไปพร้อมกับความฝันอันงดงามในหนังสือนิทาน...“คุณหนู!” แม่นมชางร้องไห้พลางโผเข้ามา คุกเข่าอยู่ข้างกายเฉินฝาน ปากก็พึมพำซ้ำ ๆ ว่า “ท่านสาบานตั้งแต่เด็กว่าอยากจะสังหารบุรุษใน ใต้หล้าให้หมด สุดท้ายกลับยังคงตายเพื่อบุรุษ”จากคำพูดของแม่นมชาง เฉินฝานค่อย ๆ เข้าใจแล้วว่าตำหนักเซียวเหยาเป็นองค์กรที่สังหารบุรุษโดยเฉพาะ เดิมทีเฉินฝานอยากจับแม่นมชางเพื่อมาสอบสวน ผลปรากฏว่าแม่นมชางกินยาพิษฆ่าตัวตายไปก่อนแล้วตอนที่ขุดหลุมฝังศพเมี่ยวอวี่ เฉินฝานพลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้“เจี้ยนหวง?” เฉินฝานหันหน้าไปถามเซียนเจี้ยนหวงที่อนู่ทางด้านข้าง “ท่านรู้เรื่องตำหนักเซียวเหยา และรู้ว่าตำหนักเซียวเหยาอยู่ที่ใดใช่หรือไม่?” “ขะ ข้า...” เซียนเจี้ยนหวงดึงรากหญ้าออกจากมุมปาก “ตำหนักเซียวเหยานั้นออกจะลึกลับ ข้าจะไ
“นายท่าน...ถอดผ้าคลุมหน้า...ของข้าเถิด” เมี่ยวอวี่นอนอยู่ในอ้อมกอดของเฉินฝาน อ่อนแรงจนกระทั่งไม่มีแรงที่จะลืมตาแล้วแต่ดูออกได้จากแววตาที่ส่องประกายวิบวับ นางแทบจะรอไม่ไหวแล้ว ร้อนใจอยากจะเป็นภรรยาของเฉินฝานนางเคยคิดว่าบนโลกใบนี้นางคงจะหาบุรุษที่ถอดผ้าคลุมหน้าของนางไม่ได้แล้ว พระเจ้าช่วย สุดท้ายเขาก็ยังไม่ใจร้ายกับนางมากเกินไปนางรอคอยจนได้เจอกับบุรุษที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเฉินฝานถอนหายใจ “ถ้าเกิดโลกนี้มีการเวียนว่ายตายเกิดจริง ๆ หากชาติหน้ามีจริง เจ้าเจอข้าแล้วอย่าได้โง่งมแบบนี้อีก เข้าใจหรือไม่?” ในฐานะที่เป็นคนยุคปัจจุบัน เติบโตมาพร้อมกับการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยียุคปัจจุบัน เฉินฝานคิดว่าคำพูดนี้ของตัวเองน่าขันมากแต่ส่วนลึกภายในใจยังคงหวังว่าวิทยาศาสตร์จะไม่สามารถพิสูจน์ได้ทุกสิ่ง หวังว่าจะมีการกลับชาติมาเกิดใหม่ “ได้!” เมี่ยวอวี่พยักหน้าอย่างว่าง่าย เฉินฝานเอามือวางไว้ที่ด้านหลังหูของเมี่ยวอวี่ จากนั้นก็กระตุกเชือกสีแดงบนหูเบา ๆ ผ้าสีแดงที่ปกปิดใบหน้าครึ่งหนึ่งของเมี่ยวอวี่ก็เลื่อนหลุดลงมาสิ่งแรกที่ปรากฏเข้ามาในสายตาของเฉินฝานคือ ปลายจมูกอันงดงาม ดั
“เหตุใดเจ้าถึงได้โง่เง่าเช่นนี้? อะไรคือข้ารอดแล้วเจ้าต้องตาย!” เฉินฝานด่าอย่างรุนแรงมากเฉินฝานรำคาญกฎเกณฑ์ที่ว่ามีเจ้าไม่มีข้าเช่นนี้มากเลย คนเรามีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ก็เพื่อที่จะฝืนเปลี่ยนชะตาชีวิตต่อให้สุดท้ายไม่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตได้จริง ๆ อย่างน้อยก็พยายามสู้ให้ถึงที่สุด ไม่ให้ตัวเองหลงเหลือความเสียใจเมี่ยวอวี่ผู้นี้ไม่มีแม้กระทั่งดิ้นรนต่อสู้เลยเขาโกรธมากจริง ๆหากเมี่ยวอวี่เชื่อใจเขาได้ บอกเรื่องราวทุกอย่างกับเขาตามความเป็นจริง นางจะเดินมาถึงเส้นทางนี้ได้อย่างไร ตั้งแต่ที่ติดอยู่ในกระท่อมหิมะ เขาก็ให้โอกาสนางสารภาพความจริงมาโดยตลอด แต่ไม่เคยคิดเลยว่านางจะเลือกเช่นนี้ตรงหน้าอกของเมี่ยวอวี่เป็นสีแดงเพลิง นั่นเป็นการย้อมจนเป็นสีแดงสด ผ้าแพรสีขาวที่ผูกไว้บนใบหน้าก็ถูกย้อมจนเป็นสีแดงเช่นเดียวกัน เลือดไหลออกมาจากในร่างกายเยอะมาก ซึมออกมาจากในปากของนางแล้ว ต้องเจ็บมากแน่ ๆ หางตาของเมี่ยวอวี่กลับยกขึ้นเล็กน้อย “อยู่ต่อหน้าเจ้า มีใครที่ไม่โง่ได้หรือ?”“แต่เจ้าก็ยังโง่ไม่พอ ภารกิจของเจ้าคือการลอบสังหารฆ่าไม่ใช่หรือ อยากจะฆ่าข้าให้ตายไม่ใช่หรือ? ฮึดสู้ขึ้นมาสิ!”เฉินฝา
“คุณหนู พวกเขา...”“นี่เป็นคำสั่ง!” เมี่ยวอวี่ตัดบทหญิงชราด้วยเสียงเฉียบขาด “เปิดเครือข่ายใต้ดินในเมืองเซียนตูเดี๋ยวนี้เลยนะ!”“ว้าว!”เซียนเจี้ยนหวงพุ่งปราดเข้าไป ถามเมี่ยวอวี่ด้วยความตื่นเต้นว่า “แม่หนูน้อย ในเมืองเซียนตูมีเครือข่ายใต้ดินตำหนักเซียวเหยาของพวกเจ้าจริง ๆ หรือ”ดวงตาของชายชราเปล่งประระยิบระยับ เขาเคยได้ยินมานานแล้วว่าตำหนักเซียวเหยามีเครือข่ายใต้ดินอยู่ในเมืองใหญ่มากมาย เขาสงสัยใคร่รู้มากจริง ๆ รีบร้อนอยากจะเห็นเมี่ยวอวี่ผงกศีรษะเล็กน้อย เสียงฟังดูล่องลอย “รบกวนท่านพาพวกเขาเข้ามาด้วย”“ได้เลย ๆ!”เซียนเจี้ยนหวงวิ่งไปหาเฉินฝานอย่างเบิกบานใจ “เจ้าหนู ยังจะอึ้งอยู่ทำไม? เมี่ยวอวี่จะเปิดเครือข่ายใต้ดินแล้ว พวกเรารอดแล้ว!” แม้ว่าในใจยังคงมีความสงสัย แต่ตอนนี้ไม่มีทางอื่นแล้ว เฉินฝานพาภรรยาและลูกตามหลังเซียนเจี้ยนหวงเข้าไปในห้องอีกครั้งหญิงชรากวาดตามองพวกเฉินฝาน ก่อนจะหันไปถามเมี่ยวอวี่อย่างจริงจังว่า “คุณหนู ท่านรู้ไหมว่าตอนนี้ท่านกำลังทำอะไรอยู่?”“ข้าจะทำอะไร?” เสียงของเมี่ยวอวี่ฟังดูคลุมเครือ แต่ว่ามีความเด็ดเดี่ยวอย่างยิ่ง “ไม่ต้องให้แม่นมชางมาเตือนหรอ