หิมะตกหนักจนปิดถนนและไม่สามารถออกไปซื้อวัตถุดิบสดใหม่ได้ปลาและเนื้อรมควันก็เป็นอาหารจานหนึ่ง“เสี่ยวฝาน”“พี่ฝาน”ระหว่างทางไปเรือนเฉินผิง มีคนมากมายทักทายเฉินฝานเมื่อก่อนใช้เวลาเพียงห้าหรือหกนาทีก็ถึงเรือนเฉินผิง แต่ตอนนี้ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสิบนาที เพราะเขาอยากตอบกลับกับผู้คนที่ทักทายเขายกเว้นคนที่ไม่ชอบเฉินฝานเอามาก ตอนนี้คนส่วนใหญ่ในหมู่บ้านปฏิบัติกับเฉินฝานสุภาพมากคนที่ไม่อยากเห็นเฉินฝาน แทนที่จะกล่าวว่าไม่อยากเห็น มิสู้กล่าวว่ารู้สึกอิจฉาคนที่พวกเขาเคยหัวเราะเยาะตลอดทั้งวัน ตอนนี้มีชีวิตดีกว่า ไม่เพียงดีกว่าเล็กน้อย แม้จะเขย่งเท้าแต่ก็ไม่สามารถไปถึงระดับของเฉินฝานได้ทุกวันนี้เฉินฝานนำหน้าครอบครัวที่ร่ำรวยอย่างเฉินเจียงในหมู่บ้านไปแล้ว และเกือบจะอยู่ในระดับเดียวกับหัวหน้าหมู่บ้านเมื่อเฉินฝานมาถึง เฉินผิงเพิ่งกลับมาจากหมู่บ้านใกล้เคียง เขาไปหาหม่าเซียนเพื่อหาฤกษ์“เสี่ยวฝาน”เมื่อเฉินฝานกล่าวคำอำลากับเฉินผิงเตรียมจะกลับเรือน เฉินผิงเรียกตัวไว้หลังจากเฉินฝานหันกลับมา เขาก็ทำท่าลังเลราวกับว่าอยากพูดแต่ไม่กล้าพูด“ท่านลุง มีอะไรก็จงพูดเถอะขอรับ”“เสี่ยวฝาน ในอดี
เมื่อใกล้ถึงเวลาเหม่า[footnoteRef:1] ข้างนอกเรือนของเฉินฝานเริ่มคึกคัก [1: เวลาเหม่า หมายถึงช่วงเวลาระหว่าง 05:00 น. - 07:00 น.] เฉียนลิ่ว จูจื้ออันและคนอื่น ๆ แบกหมูตัวหนึ่งที่ถูกเชือดมาถึงหน้าประตูหน้าเรือนของเฉินฝานและรอเวลาเข้าไปเฉินฝานซื้อหมูก่อนที่ถนนจะถูกปิดหลายวันที่ผ่านมาฝากเลี้ยงไว้ที่เรือนของเฉินผิง“ถึงเวลาเหม่าแล้ว!” เฉินซิ่นลุงคนที่สามของตระกูลเฉินยืนประกาศเวลาอยู่ข้างประตูเสียงของเฉียนลิ่วดังขึ้นตามหลังลุงสามอย่างต่อเนื่อง เขาตะโกนลั่นใส่ประตูที่ปิดอยู่ตรงหน้า “เข้าเรือน!”“นายท่าน!” ฉินเย่ว์ฉู่กระโดดขึ้นลงอยู่ด้านข้างเฉินฝาน “รีบจุดประทัดเร็วเข้า ๆ!”“ได้เลย”เมื่อได้รับการปลุกเร้า เฉินฝานมีความสุขมากเช่นกัน ธูปหนึ่งดอกที่ถืออยู่ในมือยื่นเข้าหาประทัดแถวยาวที่แขวนอยู่ตรงประตู“เข้าเรือนกัน เข้าเรือนกัน!”ท่ามกลางเสียงปลุกเร้าเป็นพัก ๆ และเสียงประทัดที่ดังเปรี้ยงปร้าง เฉียนลิ่วและคนอื่นๆ ก็แบกหมูเดินเข้าเรือนของเฉินฝานงานขึ้นเรือนใหม่เริ่มต้นขึ้น ณ เวลานี้คนที่เดินเข้ามาในเรือนของเฉินฝานและเดินตามหลังเฉียนลิ่วกับคนอื่น ๆ คือกลุ่มภรรยาของสมาชิกของตระกูล
แม้ว่าตอนนี้เฉินเจียงยังไม่ใช่ถงเซิง แต่เขาเริ่มเรียนการเบิกความสว่างทางจิตใจตั้งแต่อายุ 16 และหยุดไปเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งหมายความว่าเขาเพิ่งเรียนไปเพียงสองปี สอบไม่ผ่านนับว่าเป็นเรื่องปกติที่สำคัญ อาจารย์เฉียนบอกเขาว่า ช่วงเวลาที่ผ่านมา บทกวีของเฉินเจียงก้าวหน้ามาก ด้วยความสามารถในปัจจุบันของเฉินเจียง หากสอบระดับถงเซิงให้ผ่านไม่ใช่ปัญหาแน่นอนผู้ใหญ่บ้านเป็นคนฉลาด เขาไม่รู้แผนการในใจของเฉินฝูได้อย่างไรและความฉลาดทางอารมณ์ของเขานั้นสูงกว่าเฉินฝูวันนี้เป็นวันของเฉินฝาน จึงยอมไว้หน้าเขา“พี่ฝู พี่ต่างหากคือคนที่มีบุญบารมีที่สุด บัณฑิตมีเฉินเจียง การค้ามีเฉินฝาน”“เฮ้อ! ไม่เท่าไหร่หรอก? ยังเทียบกับท่านไม่ได้เลย”เฉินฝูกล่าวอย่างถ่อมตัว แต่ในใจรู้สึกชอบใจมาก สายตาของเขาพลางตกลงบนโต๊ะด้านขวาคนที่นั่งอยู่โต๊ะนั้นล้วนเป็นคนหนุ่มสาวจากหมู่บ้านที่ไปสถานศึกษาในสมัยโบราณให้ความสำคัญกับบัณฑิตชนชั้นนำ กสิกร กรรมกรและพ่อค้าวาณิชย์มาก และสถานะของบัณฑิตนั้นย่อมอยู่ระดับสูงอายุเท่ากันแต่พวกเขากลับไม่ต้องทำงานและยังได้นั่งห้องเดียวกับผู้ใหญ่ ได้รับการดูแลแบบเดียวกับผู้ใหญ่ซึ่งแตกต่างจากควา
“อวิ๋นอิง นี่เจ้าทำอะไร?”เฉียนหย่งเหนียนรีบเดินออกไปและพูดเสียงดังกับมั่วอวิ๋นอิง “เจ้าไม่เห็นหรือว่ามีงานเลี้ยงฉลอง ทำไมถึงตะโกนเช่นนี้?”ผู้อื่นกำลังจัดงานเลี้ยงขึ้นเรือนใหม่ แต่ลูกสะใภ้ของตนกลับตะโกนและวิ่งเข้ามา เสียมารยาทมากยิ่งไปกว่านั้น ไม่เหลือภาพลักษณ์เลยสักนิดปิ่นปักผมที่เกล้าผมของมั่วอวิ๋นอิงหลุดตั้งแต่นางวิ่งเข้ามา ผมเผ้ากระเซิงเหมือนหญิงสติไม่ดี“นายท่าน พี่หรงน้อย พี่หรงน้อยของเรา พี่หรงน้อยของเรา เขา เขา……”ใบหน้าของมั่วอวิ๋นอิงซีดเซียว สีหน้าหวาดกลัวและตื่นตระหนก พูดจาสะเปะสะปะ ผ่านไปเกือบครึ่งค่อนวันก็พูดอะไรไม่ออก“เขาเป็นอะไรไปเล่า? พี่หรงน้อยเป็นไรไป? เจ้าพูดสิ!” เฉียนหย่งเหนียนขมวดคิ้วและโกรธเนื่องจากมีผู้คนมากมายมองดูเขา วันนี้ทำตัวเสียมารยาทจริง จากนี้ไปคนในหมู่บ้านจะมองเขาอย่างไร“หย่งเหนียน เจ้าจะตะคอกทำไม?”เมื่อเห็นมั่วอวิ๋นอิงในสภาพนี้ ผู้ใหญ่บ้านจึงเดินออกมาตำหนิเฉียนหย่งเหนียน ด้วยประสบการณ์ที่มีมากมาย เขาสัมผัสได้แล้วว่าเกิดเรื่องขึ้นกับพี่หรงน้อยเป็นน้อยผู้ใหญ่บ้านมีลูกชายเฉียนหย่งเหนียนเพียงคนเดียวเมื่อเฉียนหย่งเหนียนอายุได้สิบห้าปี ผู
“หมอ ช่วยดูอาการหลานข้าด้วย”นางหูผู้เป็นภรรยาของผู้ใหญ่บ้านอุ้มเด็กไปหาหมอทันที“หมอ โปรดช่วยลูกชายของข้าด้วย ข้าขอร้อง ๆ” มั่วอวิ๋นอิงที่อยู่ข้างนางหูพนมมือขอร้องไม่หยุด“นายหญิงทั้งสองอย่าเพิ่งใจร้อน เอาเด็กให้ข้าตรวจอาการดูก่อนเถิด”หมอรับเด็กจากอ้อมแขนของนางหู ขณะเดียวกันก็พูดกับเฉียนหย่งเหนียน “ไปหยิบเตาอั้งโล่สองสามอันมาที่นี่โดยเร็ว”อากาศหนาวเหน็บ คนจะเกิดภาวะตัวเย็นได้ง่ายหลังจากตกลงไปในน้ำ การให้ความอบอุ่นเป็นขั้นตอนแรกของการรักษาหมออุ้มเด็กเข้าไปในห้องนอน หลังจากเฉียนหย่งเหนียนอุ้มเตาอั้งโล่เข้าไป หมอก็บอกให้เขาปิดประตูผู้ใหญ่บ้านไม่ได้ตามเข้าไปด้วยและนั่งรอที่ห้องโถง แม้ว่าเขานั่งตัวตรงสุภาพมาก แต่คนที่สายตาดีย่อมสังเกตเห็นได้ว่าบนหน้าผากของผู้ใหญ่บ้านมีเหงื่อผุดบาง ๆผู้คนรวมตัวกันอยู่ข้างนอกเรือนของผู้ใหญ่บ้านต่างก็พูดกันไปต่าง ๆ นานา“เฮ้อ!” ผู้เฒ่าหลี่ส่ายหัว “ข้าดูสภาพพี่หรงน้อยแล้ว คงแย่แล้วล่ะ”“ผู้เฒ่าหลี่ ถ้าท่านไม่พูดก็ไม่มีใครถือว่าท่านเป็นใบ้!”“เอาล่ะ ๆ ข้าไม่พูดแล้ว”“เมื่อครู่นี้ข้าเห็นแล้วว่าภรรยาของหย่งเหนียนไม่ได้เกล้าผมและวิ่งออกไปทั้งเท้าเ
“ไปบ้านเฉินฝานกันเถอะ!”น้ำเสียงของผู้เฒ่าหลี่แฝงไปด้วยความไม่ใส่ใจละคนกับความภูมิใจอยู่ไม่น้อยเขากับเฉินฝานไม่มีความแค้นอะไรต่อกัน แต่เขาแค่รู้สึกว่าเฉินฝานเอาตัวรอดอยู่ฝ่ายเดียว มั่งคั่งโดยไม่สนใจเขาเมื่อครั้งที่ผู้ใหญ่บ้านมีหลานชายคนแรก เขายังชวนผู้เฒ่าหลี่มาดื่มฉลองถึงที่บ้าน แต่เฉินฝานกลับไม่เอ่ยปากชวนเขาสักคำในใจของเขาจึงเกิดความไม่พอใจ อยากจะสั่งสอนเฉินฝานเขาไม่รู้ว่าเรื่องนี้มีปีศาจร้ายเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ เขารู้แค่ว่าวันนั้นหลังจากที่นางหลีและจางเหลียนฮวาบอกว่าเฉินฝานตกลงไปในหุบเขา เจ้าตัวก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคนเขาถึงสัมผัสได้ว่าที่นี่ต้องมีบางอย่างไม่ชอบมาพากล จึงเริ่มปั้นเรื่องนางหลีพยักหน้าหงึกหงัก ก่อนกล่าวว่า “ใช่ ใช่เลย ต้องไปบ้านของเขาเดี๋ยวนี้”“นี่!” นางหลีมีท่าทีปวดใจอยู่ไม่น้อย “ข้าดูแลพี่หรงน้อยมากับมือ สำหรับข้า เขาเป็นคนเลี้ยงง่าย ไม่มีทางไปอยู่ในที่แบบนั้นแน่ ทำไมวันนี้เขาถึงดื้อรั้นขึ้นมาซะได้”“ดูท่าจะเจอเข้ากับปีศาจร้ายเสียแล้ว”“หมู่บ้านของเรากำลังประสบกับหายนะจริง ๆ แล้วนะสิ”“เผชิญหน้ากับปีศาจร้ายไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด แต่ข้าคิดว่าอาจจะมี
“พี่หรงน้อย พี่หรงน้อย เจ้ารีบตื่นขึ้นมาสิ!”“พี่หรงน้อย เจ้าอย่าทำแม่กลัวเช่นนี้สิ?”“พี่หรงน้อย เจ้าไม่ลืมตาอย่างน้อยหายใจก็ยังดี ขอเพียงเจ้าดีขึ้นต่อให้ข้าต้องอายุสั้นลงสิบปีข้าก็ยอม”ภายในห้องนางหูและมั่วอวิ๋นอิงร้องไห้เสียงดัง นางยิ่งเจ็บปวดใจเฉินฝานเขย่งปลายเท้าชะเง้อมองผ่านหน้าต่างที่เปิดไว้เพียงครึ่งเดียว กระทั่งเห็นเข็มที่หมอถือยู่ในมือ และเห็นหมอคนนั้นปักเข็มลงบนร่างกายของพี่หรงน้อยด้วยความร้อนใจให้ตายเถอะ!เฉินฝานขมวดคิ้วแน่นอย่างเป็นกังวลการจมน้ำไม่ใช่อาการป่วย ฝังเข็มแล้วจะรอดอย่างนั้นเหรอ?“ผู้ใหญ่บ้าน เรารอไม่ได้อีกแล้ว เปิดทางให้ข้าเข้าไปเดี๋ยวนี้ หมอคนนั้นช่วยชีวิตพี่หรงน้อยไม่ได้”เฉินฝานไม่สนใจอะไรอีกแล้ว เขาผลักผู้ใหญ่บ้านและพุ่งเข้าไปในบ้าน“อย่าให้เขาเข้าไป!” ผู้เฒ่าหลี่รีบตะโกนเสียงดัง “ตอนนี้วิญญาณของพี่หรงน้อยยังไม่หลุดออกจากร่าง ขอเพียงแค่เฉินฝานดูดวิญญาณไปไม่ได้ ความโกรธแค้นของปีศาจร้ายก็จะกลับเข้าหาตัวของเขา เรายังช่วยชีวิตของพี่หรงน้อยได้”“ขวางเขาไว้!”“ผู้ใหญ่บ้าน ข้าเอง!” ชายหนุ่มจากตระกูลเฉียนยังไม่ทันล้อมเข้ามา จูต้าอันก็ได้พุ่งตัวไปต
“จับเขาไว้!”เฉียนหย่งเหนียนกุมท้องหลังงอวิ่งออกมาอย่างโซซัดโซเซ เขาเป็นนักปราชญ์ที่อ่อนแอมากคนหนึ่ง เฉินฝานถีบเขาแค่ครั้งเดียว เขาเจ็บปวดจนเหงื่อแตกพลั่กมีกลุ่มคนนับไม่ถ้วนพุ่งเข้ามาขวางเฉินฝาน แต่ก็ยังไม่มีใครขัดขวางเขาได้ กระทั่งไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าเฉินฝานวิ่งฝ่าพวกเขาออกไปได้อย่างไรเขารวดเร็วกว่าที่ใคร ๆ คาดคิดไว้เพียงพริบตาเดียว เฉินฝานก็แบกพี่หรงน้อยวิ่งออกมาจากบ้านของผู้ใหญ่บ้านได้แล้ว โชคดีที่ออกมาเจอกับฉินเย่ว์โหรวและฉินเย่ว์ฉู่ที่ออกมาจากบ้านพอดี “นายท่าน?”“เย่ว์โหรว รีบกลับไปจุดไฟทำให้เตียงให้อุ่นเร็วเข้า”เฉินฝานยังวิ่งไม่หยุด หลังจากสั่งงานแล้ว เขาก็แบกพี่หรงน้อยวิ่งต่อกไปไม่หยุด“อื้อ เจ้าค่ะ!”ฉินเย่ว์โหรวไม่รู้ว่าเฉินฝานจะทำอะไร นางไม่ถาม เพราะนางเชื่อใจเขาช่วงนี้เฉินฝานมักจะทำในสิ่งที่นางเห็นแล้วก็คาดไม่ถึงแต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นล้วนออกมาดีทั้งนั้นเฉินฝานยังคงวิ่งไปตามถนนของหมู่บ้าน เดี๋ยววิ่งเดี๋ยวกระโดด“ไอหยา ๆ!” ผู้เฒ่าหลี่ร้องด้วยความตกใจ “ไม่ได้การล่ะ เขาไม่ได้จะมาดูดวิญญาณ แต่กำลังนำทาง โดยการใช้พี่หรงน้อยนำทางปีศาจร้าย ปีศาจร้ายกำลังจะเข้า
“อะไรนะ!?”“ตอนนี้องค์หญิงเสี่ยวฉู่พาฝ่าบาทไปที่ประตูอู่แล้วขอรับ เจ้าสิ่งนั้น ปะ ปะ...”“ปืนไรเฟิล”“ใช่ ๆ ปืนไรเฟิล ปากกระบอกปืนไรเฟิลจ่อพระเศียรของฝ่าบาทอยู่เลยขอรับ!”“หา นี่เป็นเพราะอะไรกัน?”บรรดาพี่สาวน้องสาวตระกูลฉินได้ยินข่าวขึ้นมา“กราบทูลบรรดาองค์หญิง ข้อเรียกร้องขององค์หญิงเสี่ยวฉู่คืออยากให้ท่านอัครเสนาบดีกับฝ่าบาทอภิเษกสมรสกันเดี๋ยวนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ”“เหลวไหล!”เฉินฝานพุ่งตัวออกไปราวกับพายุเวลานี้บรรดาพี่น้องตระกูลฉินที่เพิ่งแสดงท่าทีรีบร้อนทำหน้าร้อนใจกลับมีสีหน้าแจ่มใส ถึงขนาดที่นั่งลงปรึกษาหารือกันฉินเย่ว์โหรว “พี่หญิงรอง ท่านมีฝีมือดี ท่านรีบไปขวางอยู่ที่หอด้านบนประตูอู่ อย่าให้นายท่านลงมา” ฉินเย่ว์เจียว “ไม่มีปัญหา พอถึงเวลานั้นข้าจะเรียกน้องหวั่นเอ๋อร์ นายท่านหนีไม่รอดแน่”ฉินเย่ว์ฉิน “เช่นนั้นข้าจะให้พี่น้องในวังเซียวเหยาก่อนหน้านี้ไปเดินเล่นแถว ๆ ประตูอู่ให้หมดเลย จะต้องครึกครื้นเป็นแน่ รับรองว่าพี่น้องทหารองครักษ์พวกนั้นจะต้องมองสาวงามอย่างไม่หวาดไม่ไหว”สามพี่น้อง “ความปรารถนาของเสี่ยวฉู่ พวกเราในฐานะพี่สาวจะต้องช่วยอย่างเต็มที่!”เมื่อมองถนนละแวกป
“ข้าไม่ได้ขัดขืนจริง ๆ” เย่ลวี่เลี่ยก้มหน้าลง ชายสูงแปดฉื่อทำสีหน้าที่เต็มไปด้วยความท้อแท้ใจ เขาอยากขัดขืนอยู่แล้ว แต่ฉินเย่ว์ฉู่ไม่ได้ให้โอกาสนั้นกับเขาเลยตอนที่ฉินเย่ว์ฉู่บุกเข้ามาในกระโจมใหญ่ของเย่ลวี่เลี่ย ก็ยิงปืนกำจัดองครักษ์ของเย่ลวี่เลี่ยก่อนพูดแล้วก็น่าอับอาย เย่ลวี่เลี่ยที่เคยผ่านศึกมาอย่างโชกโชนตกใจกลัวรูเลือดตรงกลางหน้าผากขององครักษ์ เขาไม่เคยเห็นอาวุธที่รวดเร็วขนาดนี้มาก่อนเลยได้ยินแค่เสียงดังปัง หน้าผากขององครักษ์ก็มีรูเลือดใหญ่ขนาดนี้แล้ว ความเร็วที่แม้แต่เทพเซียนก็ทำไม่ได้ ความแม่นยำที่แม้แต่เทพเซียนก็ยังทำไม่ได้ในตอนที่ฉินเย่ว์ฉู่ยกปืนขึ้นแล้วลั่นไกอีกครั้ง เมื่อเย่ลวี่เลี่ยได้ยินเสียง เขาก็ตกใจจนสลบไปทันที หลับไปตื่นหนึ่งถึงค่อยพบว่าฉินเย่ว์ฉินยิงใส่หมวกเล็กของเขาเท่านั้นตกใจสาวน้อยจนสลบไป ไม่ว่าสือจิ่งซานผู้นี้จะถามอย่างไร เย่ลวี่เลี่ยก็ไม่บอกเขา .....ในคืนที่เย่ลวี่เลี่ยถูกจับ ข่าวก็ไปถึงเมืองหลวงแล้ว “เครื่องอัดเสียงพลังงานแสงอาทิตย์ เครื่องเสียง...” ขณะที่ฉินเย่ว์เหมยอ่านคำเหล่านี้ก็ถามเฉินฝานด้วยความมึนงงว่า “จดหมายของเสี่ยวฉู่บอกว่า นางแค่อาศ
“นางไม่รู้หรือว่าพวกเราไม่อยากลงมือจริงจัง?” “พอไปถึงค่ายทหารของชาวหู ไม่ใช่แค่โดนฆ่าธรรมดาแบบนั้นหรอกนะ” ชาวหูไม่มีทางปล่อยสตรีชาวต้าชิ่งใด ๆ ที่ตกอยู่ในมือพวกเขา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสตรีชาวต้าชิ่งที่หน้าตางดงามฐานะสูงศักดิ์อย่างฉินเย่ว์ฉู่ พฤติกรรมของพวกเขาใช้คำว่าเดรัจฉานมาอธิบายยังไม่พอเลย สือจิ่งซานสะบัดแขนเสื้อ “พอได้แล้ว สตรีนางเดียวไม่มีค่าพอให้เราต้องใส่ใจหรอก นางอยากตายก็ปล่อยนางไปเถิด โจวจวี่ เจ้าส่งคนไปบอกเยลวี่เลี่ยว่าให้พวกเขาเหลือศพไว้ครบถ้วน ข้าจะซื้อศพไว้ใช้ประโยชน์” ไม่ต้องให้สือจิ่งซานรอนานเกินไป วันรุ่งขึ้นทหารลาดตระเวนก็มารายงาน “ว่าไงนะ? เยลวี่เลี่ยมาด้วยตนเอง?”“ท่านแม่ทัพใหญ่ หากพูดให้ตรงคือเยลวี่เลี่ยโดนฮูหยินเล็กของท่านอัครเสนาบดีจับกุมมาขอรับ”“เจ้าพูดอีกทีสิ?”ทหารลาดตระเวนพูดซ้ำถึงสามรอบเต็ม ๆ สือจิ่งซานก็ยังไม่เชื่อไม่ใช่แค่สือจิ่งซานที่ไม่เชื่อ ต่อให้เป็นผู้ถูกจับกุมอย่างเยลวี่เลี่ยก็ไม่เชื่อเช่นกัน เขาจะโดนสตรีนางเดียวจับกุมได้อย่างไรยิ่งไปกว่านั้นสตรีผู้นี้ยังอายุน้อย พาทหารหญิงรุ่นราวคราวเดียวกันมาแค่ร้อยกว่าคนเมื่อฉินเย่ว์ฉู่พาเยลวี่เล
สือจิ่งซานยกมุมปากยิ้มคลุมเครือ “แปรพักตร์อันใดกัน ฝ่าบาทกับท่านอัครเสนาบดีเห็นอกเห็นใจกองทัพหมาป่าเรา จึงส่งสะใภ้คนเล็กมา เช่นนั้นกองทัพหมาป่าเราย่อมต้องต้อนรับสะใภ้ท่านนี้ให้ดี ๆ”“แม่ทัพใหญ่กล่าวถูกต้อง พวกเราต้อง ‘ต้อนรับ’ ให้ดี ๆ!” โจวจวี่พูดคล้อยตามทันที ไม่นานนักก็มีคำสั่งจากในกระโจมใหญ่ ให้ทหารแม่ทัพทั้งหมดของกองทัพหมาป่าเปลือยท่อนบนยุคโบราณที่จารีตเคร่งครัดอย่างยิ่ง การเปลือยท่อนบนเช่นนี้เป็นพฤติกรรมดูหมิ่นไม่ให้ความกียรติสตรีอย่างรุนแรงยิ่งกว่านั้นฉินเย่ว์ฉู่เป็นภรรยาเอกของอัครเสนาบดีขั้นหนึ่ง องค์หญิงแห่งต้าชิ่ง พระขนิษฐาแท้ๆ ของฮ่องเต้หญิงหากฉินเย่ว์ฉู่เป็นเพียงสตรีทั่วไปในยุคนี้ เกรงว่ามีแต่จะตกใจจนมือไม้อ่อนไปหมดทหารแม่ทัพทั้งหมดของกองทัพหมาป่าเปลือยท่อนบนออกจากกระโจม รอดูท่าทางตกใจกลัวจนร้องไห้โฮยกใหญ่ของฉินเย่ว์ฉู่“ผู้ชายมากมายถึงเพียงนี้ข่มขู่เด็กสาวคนเดียวจะไม่เกินไปหน่อยหรือ” มีบางคนรู้สึกว่าแบบนี้ไม่ค่อยดีนัก แต่คำพูดของเขาก็โดนคนอื่นสวนกลับทันที “เกินไปอันใดเล่า เฉินฝานเป็นคนส่งมา ให้เขาหยามพวกเราได้เท่านั้น แต่ไม่ยอมให้พวกเราตอบโต้คืนหรือ? เปลือย
เย่ว์หนูได้รับบาดเจ็บในระหว่างที่ปกป้องเฉินฝานครั้งหนึ่ง ร่างกายของนางตอนนี้จึงไม่แข็งแรงเหมือนเมื่อก่อน เดิมทีเฉินฝานอยากให้หวงหวั่นเอ๋อร์ตามฉินเย่ว์ฉู่ไป มีหวงหวั่นเอ๋อร์อยู่ อย่างน้อยที่สุดก็ไม่มีปัญหาเรื่องความปลอดภัยของฉินเย่ว์ฉู่ ผลปรากฏว่าฉินเย่ว์ฉู่ปฏิเสธแม้กระทั่งหวงหวั่นเอ๋อร์ด้วยฉินเย่ว์ฉู่พาทหารหญิงไปหนึ่งร้อยกว่าคน มุ่งตรงสู่ทางเหนือ บุกไปยังกองทัพหมาป่าอย่างกล้าหาญ “เจ้าปล่อยให้นางไปเช่นนี้หรือ?” คนที่ตำหนิเฉินฝาน ไม่ใช่แค่พี่น้องตระกูลฉินทั้งสามคนในจวนสกุลเฉิน แม้แต่ฉินเย่ว์เหมยที่อยู่ในวังหลวงก็รีบออกมาเช่นกันนางคิดว่าไม่ว่าอย่างไร อย่างน้อยที่สุดเฉินฝานต้องให้ฉินเย่ว์ฉู่นำกองพลมือปืนไป“เย่ว์ฉู่เป็นน้องเล็กของพวกเจ้า น้องเล็กของพวกเจ้ามีนิสับแบบไหน พวกเจ้าไม่รู้เลยหรือไร?” คำพูดประโยคเดียวของเฉินฝานทำให้พวกนางสำลักแล้วแม้ว่าฉินเย่ว์ฉู่จะเป็นน้องเล็กสุดในตระกูลฉิน ทว่าตั้งแต่เด็กจนโต นางมีความคิดของตัวเองมากที่สุด ขอเพียงเป็นเรื่องที่นางตัดสินใจแล้ว ไม่มีใครสามารถทำให้นางเปลี่ยนใจได้“แต่ว่า...” ฉินเย่ว์โหรวที่เป็นคนกังวลใจมากที่สุด ขมวดคิ้วมุ่น ดูกลัดกล
การปรากฏตัวของนาง ทำให้ทุกคนรู้สึกปีติยินดีกันมากแต่ฉินเย่ว์เจียวกลับถลึงมองสตรีผู้นั้น “พอได้แล้ว เสี่ยวฉู่เจ้าเด็กตัวแสบ แสร้งทำตัวเป็นผู้ใหญ่อันใด ยังไม่รีบเข้ามาอีก?” ฉินเย่ว์ฉู่ขี่ม้าเข้ามา ขณะที่นางผ่านฉินเย่ว์เจียวยังไม่ลืมเถียงกลับว่า “พี่หญิงรอง ข้าอายุยี่สิบแล้ว เป็นผู้ใหญ่ตั้งนานแล้วนะ”ฉินเย่ว์เจียวเชิดหน้าขึ้นสูง “ไม่ว่าเจ้าจะอายุเท่าไหร่ ถึงอย่างไรในสายตาข้า เจ้าก็เป็นเด็กตลอดกาล” ฉินเย่ว์ฉู่ควบม้าตรงมาหาเฉินฝาน แล้วฟ้องเขาว่า “นายท่านดูสิเจ้าคะ พี่หญิงรองรังแกข้าอีกแล้ว นางรังแกข้ามาตลอด ท่านไม่จัดการนางบ้างหรือ?”เฉินฝานมองฉินเย่ว์ฉู่ที่สดใสมั่นใจในตัวเองตรงหน้า ภาพที่เขาเห็นฉินเย่ว์ฉู่ครั้งแรกเมื่อสิบปีก่อนฉายขึ้นมาในสมอง เกิดความรู้สึกราวกับว่าเวลาผ่านไปชาติหนึ่งเด็กสาวที่ขี้กลัวในวันวาน บัดนี้กลายเป็นโฉมสะคราญที่มีสง่าราศี เฉินฝานรู้สึกภาคภูมิใจเล็กน้อย“เหตุใดที่กลับมาตอนนี้ ไม่ต้องเข้าเรียนแล้วหรือ?” เฉินฝานถามตั้งแต่ฉินเย่ว์ฉู่อายุสิบห้า เฉินฝานก็ส่งนางไปเรียนที่โรงเรียนสตรีในเมืองเซียนตู“นายท่าน ข้าน้อยเรียนจบแล้วเจ้าค่ะ”“เรียนจบแล้ว?”“ข้าน้อยเ
วันนี้เป็นวันหยุดพักผ่อน ซึ่งทั้งเดือนจะมีเพียงวันเดียวเท่านั้น นี่เป็นวันที่หาได้ยาก ในฐานะที่ฉินเย่ว์โหรวเป็นภรรยาเอกที่ดูแลบ้านย่อมไม่ปล่อยให้หลุดมือไปง่าย ๆ นางได้เตรียมการไว้ล่วงหน้าหลายวันแล้วว่าวันนี้พวกเขาจะไปเที่ยวเล่นกินอาหารที่ชานเมืองกันทั้งครอบครัวนี่เป็นสิ่งที่เฉินฝานเสนอขึ้นเมื่อหลายปีก่อน หลังจากครั้งนั้น ฉินเย่ว์โหรวก็หลงใหลอยู่สุดซึ้ง ขอเพียงเฉินฝานมีวันหยุด นางจะต้องออกไปให้ได้สถานที่เที่ยวเล่นกินอาหารกันในครั้งนี้มีทิวทัศน์งดงามราวกับภาพวาดเหมือนเช่นเคยเฉินฝานนั่งอยู่บนเก้าอี้พนักพิง กินผลไม้มองบุตรชายบุตรสาวเล่นกันอย่างสนุกสนานบนทุ่งหญ้า ส่วนบรรดาภรรยาก็ยุ่งอยู่กับการเตรียมอาหารกลางวันกลิ่นอาหารที่เฉินฝานชอบลอยอยู่ในอากาศอาหารของพวกเขาทั้งหมดเป็นรูปแบบยุคปัจจุบัน เนื้อแกะย่างทั้งตัว สเต๊กซี่โครงย่าง หมูสามชั้นย่าง ปีกไก่ย่าง กระดูกอ่อนย่าง... ยังมีหม้อไฟทะเล และผลไม้แช่เย็นต่าง ๆ นานา“อืม~” เฉินฝานสูดจมูก แล้วแค่นเสียงเบา ๆ ด้วยความพึงพอใจ เขาหลับตาพักผ่อน พักผ่อนสักพักก็เริ่มกินได้แล้ว“ฮี่!”เฉินฝานเพิ่งจะนอนหลับก็ตกใจตื่นกับเสียงร้องฮี่ของม้า “
หลังจากสือจิ่งซานควบคุมกองทัพหมาป่า เขาก็เปลี่ยนตัวแม่ทัพก่อนหน้านี้ทั้งหมด ตอนนี้ทหารเหล่านี้ล้วนเชื่อฟังสือจิ่งซานเท่านั้น“ใครบังอาจวิจารณ์ฝ่าบาทและท่านอัครเสนาบดีที่นี่?”สือจิ่งซานตวาดอย่างเย็นชา เขาเดินแหวกแม่ทัพเหล่านั้นพร้อมกับเอ่ยวาจา หลังจากนั้นก็หันกาย สายตากวาดมองไปบนร่างแม่ทัพเหล่านั้นห“ข้าน้อยไม่บังอาจวิจารณ์ เดิมทีสิ่งที่ข้าน้อยพูดก็เป็นความจริง หากไม่มีกองทัพหมาป่าของเรา ไม่มีท่านแม่ทัพใหญ่ ต้าชิ่งจะสงบสุขเหมือนทุกวันนี้ได้อย่างไร เวลานี้กลับให้เฉินฝานผู้นั้นยึดความดีความชอบทั้งหมดไว้เพียงผู้เดียว” “ถูกต้อง พวกเรารู้สึกว่าไม่ยุติธรรมกับท่านแม่ทัพใหญ่เลย”แม้ว่าเสียงของพวกแม่ทัพจะเบาลงแล้ว แต่ความโกรธเกรี้ยวและความไม่พอใจในคำพูดกลับยิ่งรุนแรงขึ้น “เหลวไหล เดิมทีความสงบสุขของต้าชิ่งก็เป็นหน้าที่ของกองทัพหมาป่าเรา ในฐานะที่ข้าเป็นแม่ทัพใหญ่ของกองทัพหมาป่ายิ่งต้องทำเช่นเดียว ต่อไปหากมีใครกล้าบังอาจวิจารณ์ฝ่าบาทกับอัครเสนาบดีอีก ลงโทษโบยด้วยไม้พลองทหาร!”“ท่านแม่ทัพใหญ่...”“ทหาร!” สือจิ่งซานตัดบทคนผู้นั้น “นำตัวสวี่ต๋าออกไปโบยด้วยไม้พลองทหารห้าสิบที!” ไม่นานนัก
ตอนนี้น่าจะถือว่ารักษาสัญญาแล้วกระมังฉินเย่ว์เหมยรับประทานอาหารค่ำที่จวนสกุลเฉิน พี่น้องทั้งห้าคุยเล่นกันในห้องจนดึกดื่น หลี่เต๋อฉวนเร่งอยู่หลายครั้ง ฉินเย่ว์เหมยถึงค่อยอำลาบรรดาน้องสาวของตนด้วยความอาลัยอาวรณ์“พี่หญิงใหญ่ ท่านถอนรับสั่งได้หรือไม่?”เมื่อเห็นฉินเย่ว์เหมยกำลังจะจากไป ฉินเย่ว์ฉินก็รีบเอ่ยขึ้นมา“รับสั่งใดเล่า?” ฉินเย่ว์เหมยหันหน้ากลับมาถาม“ก็เรื่อง ก็เรื่อง...” เสียงของฉินเย่ว์ฉินแผ่วเบา หน้าแดงเล็กน้อย “เข้าหอในวันนี้”แม้ยามนี้ฉินเย่ว์ฉินไม่รังเกียจเฉินฝานแล้ว แต่นางยังไม่ได้เตรียมใจแต่งงานกับเฉินฝาน “เหตุใดต้องถอนคืนด้วย เจ้าเองก็อายุไม่น้อยแล้ว ควรจะมีทายาทให้สามีของเจ้าได้แล้ว เช้านี้ข้าตรวจดูปฏิทินโหรแล้ว วันนี้เป็นวันดี ไม่อนุญาตให้ปฏิเสธอีก”นี่ก็คือการปราบปรามโดยสายเลือด ก่อนที่ฉินเย่ว์เหมยจะมา พวกฉินเย่ว์เจียวไม่อาจเอ่ยถึงเรื่องเข้าหอได้เลย เวลานี้เมื่อฉินเย่ว์เหมยเอ่ย ฉินเย่ว์ฉินไม่อาจโต้แย้งได้แม้แต่คำเดียว “ยังจะว่าข้าอีก ท่านก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ ไม่ใช่ว่าท่านเองก็หาเหตุผลต่าง ๆ เพื่อหนีนายท่านหรือไร” ขณะที่ฉินเย่ว์เหมยหันกายเดินจากไป ฉินเย่ว์ฉ