“น้องสี่ ทำไมวันนี้ช้ากว่าเมื่อวานล่ะ? เพราะว่านายท่านไม่โกรธเจ้าเลยยิ่งทำตามอำเภอใจรึ หากทำเช่นนี้อีกก็ให้เสียวฉู่มัดผมให้นายท่านเถอะ”เสียงของฉินเย่ว์เจียวเรียกเฉินฝานกับฉินเย่ว์โหรวที่เหม่อลอยกลับมาพร้อมกัน……เนื่องจากเขาต้องไปซื้อของ เฉินฝานจึงให้เฉินผิงหยุดหนึ่งวัน และวันนี้เขาจะไปส่งปลาเองนอกเหนือไปส่งปลา เขายังมีเรื่องจะหารือกับหลี่ซานนั่นคือหากถนนถูกปกคลุมด้วยหิมะ เขาอาจไม่สามารถจัดหาปลาให้ได้ แต่จะขอให้หลี่ซานเขียนหลักประกันว่าหากถนนโล่งแล้วเขาจะเป็นผู้จัดหาปลาให้ดั่งเคยหลี่ซานเป็นคนเด็ดขาดเหมือนกันเขากล่าวว่าหากถนนถูกปิดด้วยหิมะที่ตกหนัก แล้วเฉินฝานไม่สามารถจัดหาปลาได้ เขาจะหยุดขายปลาชั่วคราวและจะกลับมาขายปลาอีกครั้งหลังจากที่เฉินฝานสามารถจัดหาปลาได้ตามปกติเมื่อเป็นการค้าขายก็หารือตามระเบียบการค้าขายหลี่ซานตอบตกลงอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่เพราะน้ำใจทั้งหมดส่วนโรงงานไข่ปลา เมื่อเทศกาลปีใหม่ใกล้มาถึง สินค้าทั้งหมดที่ควรส่งออกก็ส่งออกไปหมดแล้ว เฉินฝานเสนอกับหลี่ซานว่าเช่นนั้นก็หยุดพักผ่อนชั่วคราวและกลับมาทำงานต่อหลังผ่านพ้นเทศกาลปีใหม่ ให้เหล่าหญิงสาวได้กลับเรือนไปฉลอ
หิมะตกหนักจนปิดถนนและไม่สามารถออกไปซื้อวัตถุดิบสดใหม่ได้ปลาและเนื้อรมควันก็เป็นอาหารจานหนึ่ง“เสี่ยวฝาน”“พี่ฝาน”ระหว่างทางไปเรือนเฉินผิง มีคนมากมายทักทายเฉินฝานเมื่อก่อนใช้เวลาเพียงห้าหรือหกนาทีก็ถึงเรือนเฉินผิง แต่ตอนนี้ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสิบนาที เพราะเขาอยากตอบกลับกับผู้คนที่ทักทายเขายกเว้นคนที่ไม่ชอบเฉินฝานเอามาก ตอนนี้คนส่วนใหญ่ในหมู่บ้านปฏิบัติกับเฉินฝานสุภาพมากคนที่ไม่อยากเห็นเฉินฝาน แทนที่จะกล่าวว่าไม่อยากเห็น มิสู้กล่าวว่ารู้สึกอิจฉาคนที่พวกเขาเคยหัวเราะเยาะตลอดทั้งวัน ตอนนี้มีชีวิตดีกว่า ไม่เพียงดีกว่าเล็กน้อย แม้จะเขย่งเท้าแต่ก็ไม่สามารถไปถึงระดับของเฉินฝานได้ทุกวันนี้เฉินฝานนำหน้าครอบครัวที่ร่ำรวยอย่างเฉินเจียงในหมู่บ้านไปแล้ว และเกือบจะอยู่ในระดับเดียวกับหัวหน้าหมู่บ้านเมื่อเฉินฝานมาถึง เฉินผิงเพิ่งกลับมาจากหมู่บ้านใกล้เคียง เขาไปหาหม่าเซียนเพื่อหาฤกษ์“เสี่ยวฝาน”เมื่อเฉินฝานกล่าวคำอำลากับเฉินผิงเตรียมจะกลับเรือน เฉินผิงเรียกตัวไว้หลังจากเฉินฝานหันกลับมา เขาก็ทำท่าลังเลราวกับว่าอยากพูดแต่ไม่กล้าพูด“ท่านลุง มีอะไรก็จงพูดเถอะขอรับ”“เสี่ยวฝาน ในอดี
เมื่อใกล้ถึงเวลาเหม่า[footnoteRef:1] ข้างนอกเรือนของเฉินฝานเริ่มคึกคัก [1: เวลาเหม่า หมายถึงช่วงเวลาระหว่าง 05:00 น. - 07:00 น.] เฉียนลิ่ว จูจื้ออันและคนอื่น ๆ แบกหมูตัวหนึ่งที่ถูกเชือดมาถึงหน้าประตูหน้าเรือนของเฉินฝานและรอเวลาเข้าไปเฉินฝานซื้อหมูก่อนที่ถนนจะถูกปิดหลายวันที่ผ่านมาฝากเลี้ยงไว้ที่เรือนของเฉินผิง“ถึงเวลาเหม่าแล้ว!” เฉินซิ่นลุงคนที่สามของตระกูลเฉินยืนประกาศเวลาอยู่ข้างประตูเสียงของเฉียนลิ่วดังขึ้นตามหลังลุงสามอย่างต่อเนื่อง เขาตะโกนลั่นใส่ประตูที่ปิดอยู่ตรงหน้า “เข้าเรือน!”“นายท่าน!” ฉินเย่ว์ฉู่กระโดดขึ้นลงอยู่ด้านข้างเฉินฝาน “รีบจุดประทัดเร็วเข้า ๆ!”“ได้เลย”เมื่อได้รับการปลุกเร้า เฉินฝานมีความสุขมากเช่นกัน ธูปหนึ่งดอกที่ถืออยู่ในมือยื่นเข้าหาประทัดแถวยาวที่แขวนอยู่ตรงประตู“เข้าเรือนกัน เข้าเรือนกัน!”ท่ามกลางเสียงปลุกเร้าเป็นพัก ๆ และเสียงประทัดที่ดังเปรี้ยงปร้าง เฉียนลิ่วและคนอื่นๆ ก็แบกหมูเดินเข้าเรือนของเฉินฝานงานขึ้นเรือนใหม่เริ่มต้นขึ้น ณ เวลานี้คนที่เดินเข้ามาในเรือนของเฉินฝานและเดินตามหลังเฉียนลิ่วกับคนอื่น ๆ คือกลุ่มภรรยาของสมาชิกของตระกูล
แม้ว่าตอนนี้เฉินเจียงยังไม่ใช่ถงเซิง แต่เขาเริ่มเรียนการเบิกความสว่างทางจิตใจตั้งแต่อายุ 16 และหยุดไปเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งหมายความว่าเขาเพิ่งเรียนไปเพียงสองปี สอบไม่ผ่านนับว่าเป็นเรื่องปกติที่สำคัญ อาจารย์เฉียนบอกเขาว่า ช่วงเวลาที่ผ่านมา บทกวีของเฉินเจียงก้าวหน้ามาก ด้วยความสามารถในปัจจุบันของเฉินเจียง หากสอบระดับถงเซิงให้ผ่านไม่ใช่ปัญหาแน่นอนผู้ใหญ่บ้านเป็นคนฉลาด เขาไม่รู้แผนการในใจของเฉินฝูได้อย่างไรและความฉลาดทางอารมณ์ของเขานั้นสูงกว่าเฉินฝูวันนี้เป็นวันของเฉินฝาน จึงยอมไว้หน้าเขา“พี่ฝู พี่ต่างหากคือคนที่มีบุญบารมีที่สุด บัณฑิตมีเฉินเจียง การค้ามีเฉินฝาน”“เฮ้อ! ไม่เท่าไหร่หรอก? ยังเทียบกับท่านไม่ได้เลย”เฉินฝูกล่าวอย่างถ่อมตัว แต่ในใจรู้สึกชอบใจมาก สายตาของเขาพลางตกลงบนโต๊ะด้านขวาคนที่นั่งอยู่โต๊ะนั้นล้วนเป็นคนหนุ่มสาวจากหมู่บ้านที่ไปสถานศึกษาในสมัยโบราณให้ความสำคัญกับบัณฑิตชนชั้นนำ กสิกร กรรมกรและพ่อค้าวาณิชย์มาก และสถานะของบัณฑิตนั้นย่อมอยู่ระดับสูงอายุเท่ากันแต่พวกเขากลับไม่ต้องทำงานและยังได้นั่งห้องเดียวกับผู้ใหญ่ ได้รับการดูแลแบบเดียวกับผู้ใหญ่ซึ่งแตกต่างจากควา
“อวิ๋นอิง นี่เจ้าทำอะไร?”เฉียนหย่งเหนียนรีบเดินออกไปและพูดเสียงดังกับมั่วอวิ๋นอิง “เจ้าไม่เห็นหรือว่ามีงานเลี้ยงฉลอง ทำไมถึงตะโกนเช่นนี้?”ผู้อื่นกำลังจัดงานเลี้ยงขึ้นเรือนใหม่ แต่ลูกสะใภ้ของตนกลับตะโกนและวิ่งเข้ามา เสียมารยาทมากยิ่งไปกว่านั้น ไม่เหลือภาพลักษณ์เลยสักนิดปิ่นปักผมที่เกล้าผมของมั่วอวิ๋นอิงหลุดตั้งแต่นางวิ่งเข้ามา ผมเผ้ากระเซิงเหมือนหญิงสติไม่ดี“นายท่าน พี่หรงน้อย พี่หรงน้อยของเรา พี่หรงน้อยของเรา เขา เขา……”ใบหน้าของมั่วอวิ๋นอิงซีดเซียว สีหน้าหวาดกลัวและตื่นตระหนก พูดจาสะเปะสะปะ ผ่านไปเกือบครึ่งค่อนวันก็พูดอะไรไม่ออก“เขาเป็นอะไรไปเล่า? พี่หรงน้อยเป็นไรไป? เจ้าพูดสิ!” เฉียนหย่งเหนียนขมวดคิ้วและโกรธเนื่องจากมีผู้คนมากมายมองดูเขา วันนี้ทำตัวเสียมารยาทจริง จากนี้ไปคนในหมู่บ้านจะมองเขาอย่างไร“หย่งเหนียน เจ้าจะตะคอกทำไม?”เมื่อเห็นมั่วอวิ๋นอิงในสภาพนี้ ผู้ใหญ่บ้านจึงเดินออกมาตำหนิเฉียนหย่งเหนียน ด้วยประสบการณ์ที่มีมากมาย เขาสัมผัสได้แล้วว่าเกิดเรื่องขึ้นกับพี่หรงน้อยเป็นน้อยผู้ใหญ่บ้านมีลูกชายเฉียนหย่งเหนียนเพียงคนเดียวเมื่อเฉียนหย่งเหนียนอายุได้สิบห้าปี ผู
“หมอ ช่วยดูอาการหลานข้าด้วย”นางหูผู้เป็นภรรยาของผู้ใหญ่บ้านอุ้มเด็กไปหาหมอทันที“หมอ โปรดช่วยลูกชายของข้าด้วย ข้าขอร้อง ๆ” มั่วอวิ๋นอิงที่อยู่ข้างนางหูพนมมือขอร้องไม่หยุด“นายหญิงทั้งสองอย่าเพิ่งใจร้อน เอาเด็กให้ข้าตรวจอาการดูก่อนเถิด”หมอรับเด็กจากอ้อมแขนของนางหู ขณะเดียวกันก็พูดกับเฉียนหย่งเหนียน “ไปหยิบเตาอั้งโล่สองสามอันมาที่นี่โดยเร็ว”อากาศหนาวเหน็บ คนจะเกิดภาวะตัวเย็นได้ง่ายหลังจากตกลงไปในน้ำ การให้ความอบอุ่นเป็นขั้นตอนแรกของการรักษาหมออุ้มเด็กเข้าไปในห้องนอน หลังจากเฉียนหย่งเหนียนอุ้มเตาอั้งโล่เข้าไป หมอก็บอกให้เขาปิดประตูผู้ใหญ่บ้านไม่ได้ตามเข้าไปด้วยและนั่งรอที่ห้องโถง แม้ว่าเขานั่งตัวตรงสุภาพมาก แต่คนที่สายตาดีย่อมสังเกตเห็นได้ว่าบนหน้าผากของผู้ใหญ่บ้านมีเหงื่อผุดบาง ๆผู้คนรวมตัวกันอยู่ข้างนอกเรือนของผู้ใหญ่บ้านต่างก็พูดกันไปต่าง ๆ นานา“เฮ้อ!” ผู้เฒ่าหลี่ส่ายหัว “ข้าดูสภาพพี่หรงน้อยแล้ว คงแย่แล้วล่ะ”“ผู้เฒ่าหลี่ ถ้าท่านไม่พูดก็ไม่มีใครถือว่าท่านเป็นใบ้!”“เอาล่ะ ๆ ข้าไม่พูดแล้ว”“เมื่อครู่นี้ข้าเห็นแล้วว่าภรรยาของหย่งเหนียนไม่ได้เกล้าผมและวิ่งออกไปทั้งเท้าเ
“ไปบ้านเฉินฝานกันเถอะ!”น้ำเสียงของผู้เฒ่าหลี่แฝงไปด้วยความไม่ใส่ใจละคนกับความภูมิใจอยู่ไม่น้อยเขากับเฉินฝานไม่มีความแค้นอะไรต่อกัน แต่เขาแค่รู้สึกว่าเฉินฝานเอาตัวรอดอยู่ฝ่ายเดียว มั่งคั่งโดยไม่สนใจเขาเมื่อครั้งที่ผู้ใหญ่บ้านมีหลานชายคนแรก เขายังชวนผู้เฒ่าหลี่มาดื่มฉลองถึงที่บ้าน แต่เฉินฝานกลับไม่เอ่ยปากชวนเขาสักคำในใจของเขาจึงเกิดความไม่พอใจ อยากจะสั่งสอนเฉินฝานเขาไม่รู้ว่าเรื่องนี้มีปีศาจร้ายเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ เขารู้แค่ว่าวันนั้นหลังจากที่นางหลีและจางเหลียนฮวาบอกว่าเฉินฝานตกลงไปในหุบเขา เจ้าตัวก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคนเขาถึงสัมผัสได้ว่าที่นี่ต้องมีบางอย่างไม่ชอบมาพากล จึงเริ่มปั้นเรื่องนางหลีพยักหน้าหงึกหงัก ก่อนกล่าวว่า “ใช่ ใช่เลย ต้องไปบ้านของเขาเดี๋ยวนี้”“นี่!” นางหลีมีท่าทีปวดใจอยู่ไม่น้อย “ข้าดูแลพี่หรงน้อยมากับมือ สำหรับข้า เขาเป็นคนเลี้ยงง่าย ไม่มีทางไปอยู่ในที่แบบนั้นแน่ ทำไมวันนี้เขาถึงดื้อรั้นขึ้นมาซะได้”“ดูท่าจะเจอเข้ากับปีศาจร้ายเสียแล้ว”“หมู่บ้านของเรากำลังประสบกับหายนะจริง ๆ แล้วนะสิ”“เผชิญหน้ากับปีศาจร้ายไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด แต่ข้าคิดว่าอาจจะมี
“พี่หรงน้อย พี่หรงน้อย เจ้ารีบตื่นขึ้นมาสิ!”“พี่หรงน้อย เจ้าอย่าทำแม่กลัวเช่นนี้สิ?”“พี่หรงน้อย เจ้าไม่ลืมตาอย่างน้อยหายใจก็ยังดี ขอเพียงเจ้าดีขึ้นต่อให้ข้าต้องอายุสั้นลงสิบปีข้าก็ยอม”ภายในห้องนางหูและมั่วอวิ๋นอิงร้องไห้เสียงดัง นางยิ่งเจ็บปวดใจเฉินฝานเขย่งปลายเท้าชะเง้อมองผ่านหน้าต่างที่เปิดไว้เพียงครึ่งเดียว กระทั่งเห็นเข็มที่หมอถือยู่ในมือ และเห็นหมอคนนั้นปักเข็มลงบนร่างกายของพี่หรงน้อยด้วยความร้อนใจให้ตายเถอะ!เฉินฝานขมวดคิ้วแน่นอย่างเป็นกังวลการจมน้ำไม่ใช่อาการป่วย ฝังเข็มแล้วจะรอดอย่างนั้นเหรอ?“ผู้ใหญ่บ้าน เรารอไม่ได้อีกแล้ว เปิดทางให้ข้าเข้าไปเดี๋ยวนี้ หมอคนนั้นช่วยชีวิตพี่หรงน้อยไม่ได้”เฉินฝานไม่สนใจอะไรอีกแล้ว เขาผลักผู้ใหญ่บ้านและพุ่งเข้าไปในบ้าน“อย่าให้เขาเข้าไป!” ผู้เฒ่าหลี่รีบตะโกนเสียงดัง “ตอนนี้วิญญาณของพี่หรงน้อยยังไม่หลุดออกจากร่าง ขอเพียงแค่เฉินฝานดูดวิญญาณไปไม่ได้ ความโกรธแค้นของปีศาจร้ายก็จะกลับเข้าหาตัวของเขา เรายังช่วยชีวิตของพี่หรงน้อยได้”“ขวางเขาไว้!”“ผู้ใหญ่บ้าน ข้าเอง!” ชายหนุ่มจากตระกูลเฉียนยังไม่ทันล้อมเข้ามา จูต้าอันก็ได้พุ่งตัวไปต
มีคนไม่เชื่อ ถึงขั้นวิ่งไป ใช้มือลองสัมผัสคนที่ลองสัมผัสยื่นมือไปวางเหนือหินนิลดำที่ถูกเผาจนแดงก่ำ รีบชักมือกลับมา “ร้อน”แล้วมีอีกหลายคนมาลอง ปฏิกิริยาของพวกเขาล้วนเหมือนคนแรกหินนิลดำที่ถูกเผาจนแดงก่ำ ไม่เพียงร้อน ทั้งยังร้อนมากๆ“หินนิลดำนี้เผาได้จริงๆ หรือ?”ชาวบ้านฉงนสงสัย คนที่เคยลองตอบคำถาม“เมื่อครู่ข้าไปลองมาแล้ว คล้ายว่าจะนำไปเผาได้จริงๆ”“พวกเจ้าอย่าถูกหลอก เมื่อครู่ใช้ใบไม้เผาไม่ใช่หรือ? ไฟลุกโชนเช่นนั้น ก้อนหินย่อมร้อน” หลี่เต๋อเจียงพูดเสียงดัง“เจ้าไม่เชื่อ?” เฉินฝานมองหลี่เต๋อเจียงด้วยแววตาเย็นชา“ใต้เท้า ข้าเพียงสงสัยในสิ่งที่สมเหตุสมผลเท่านั้น”“ได้ เช่นนั้นเจ้ามาลองดูเล่า!”เฉินฝานพูด จากนั้นสายตาของเขามองไปทางอ๋องตวน อ๋องตวนเข้าใจทันที เขาสาวเท้าก้าวใหญ่ ไปลากตัวหลี่เต๋อเจียงมา จากนั้นกดมือหลี่เต๋อเจียงลงบนหินนิลดำที่เวลานี้กลายเป็นสีแดง“อ๊าก อ๊าก!” หลี่เต๋อเจียงร้อนจนกรีดเสียงร้อง“ร้อนมาก ร้อนมาก ท่านอ๋องโปรดไว้ชีวิต ท่านอ๋องโปรดไว้ชีวิต!”หลี่เต๋อเจียงอ้อนวอนสุดชีวิต แต่คล้ายอ๋องตวนไม่ได้ยินอย่างไรอย่างนั้น มือที่กดมือหลี่เต๋อเจียงยังคงไม่ปล่อย“
ตอนหม่าเป่าเถียนพูดถ้อยคำนี้ หลี่เต๋อนำหินนิลดำในมือเสิ่นหมิงหยวน ไปตรงหน้าฉินเย่ว์เหมยแล้ว เห็นก้อนหินในมือหลี่เต๋อ หัวใจของฉินเย่ว์เหมยหล่นวูบทันที สีหน้าไม่สู้ดีนักนี่ไม่ใช่อัญมณีอะไรจริงๆ เป็นเพียงหินธรรมดาก้อนหนึ่งเท่านั้น“หินนิลดำ? กระหม่อมเคยเห็นมาก่อนพ่ะย่ะค่ะ”“กระหม่อมก็เคยเห็นมาก่อนพ่ะย่ะค่ะ!”ขุนนางมากมายในท้องพระโรงล้วนบอกว่าตนเคยเห็นมาก่อน“ฝ่าบาท!” เซี่ยชิงขุนนางผู้บัญชาการเดินออกมา “กล่าวว่าหินนิลดำเป็นอัญมณี ใต้เท้าเฉินในฐานะอัครเสนาบดีเบื้องซ้าย กล่าววาจาเหลวไหลเช่นนี้ ส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของราชสำนัก ฝ่าบาทโปรดมีราชโองการ ให้ใต้เท้าเฉินรีบกลับเมืองหลวงด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”ศาลยุติธรรม เทียบเท่ากับคณะกรรมการตรวจสอบวินัย ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของจักรพรรดิโดยตรงเซี่ยชิงเป็นคนเที่ยงตรง ไม่ร่วมมือกับเสิ่นหมิงหยวน และไม่ใกล้ชิดสนิทสนมกับเฉินฝานแม้ฉินเย่ว์เหมยจะเอนเอียงไปทางเฉินฝาน แต่นางไม่อาจหาเหตุผลใดๆ มาอ้างให้เขาได้หินนิลดำเป็นอัญมณี เหลวไหลเกินไปแล้วจริงๆฉินเย่ว์เหมยเขียนจดหมายเรียกตัวเฉินฝานกลับเมืองหลวงทันที เดิมทีนางยื่นให้หลี่เต๋อก่อน ตอนหลี่เต๋อรีบเดิ
อ๋องตวน: “สิ่งที่ข้าเหยีบคือก้อนหินสีดำสนิท มีอัญมณีที่ใดกัน?”เฉินฝาน “ก้อนหินสีดำสนิทเหล่านี้คืออัญมณีขอรับ”“เสี่ยวฝาน...” อ๋องตวนก้มตัวลงเก็บก้อนหินขึ้นมาหนึ่งก้อน “เจ้าบอกว่านี่คืออัญมณี”เฉินฝานพยักหน้ารวมถึงอ๋องตวน ทุกตนต่างเบิกต้ากว้างมองเฉินฝานด้วยความตกตะลึงอย่างช้าๆ สายตาตกตะลึงของขุนนางเมืองเหอตูแปรเปลี่ยนเป็นดูแคลนและหัวเราะเยาะ“หากหินสีดำนี้คืออัญมณี เช่นนั้นเมืองเฟิ่งหวงร่ำรวยมหาศาลจริงๆ!”หลี่เต๋อเจียงที่แฝงตัวอยู่ในกลุ่มคนหัวเราะเยาะเสียงดัง“ช่างเพ้อเจ้อจริงๆ เป็นถึงอัครเสนาบดี แต่กลับปัญญาอ่อนเช่นนี้”“คนเช่นนี้ เป็นอัครเสนาบดีได้อย่างไร?”“เพ้อเจ้อจริงๆ ไม่รู้ว่าเขาเป็นอัครเสนาบดีได้อย่างไร”คนจากเมืองอื่นที่มาดูความครึกครื้น ตำหนิเฉินฝาน ตามหลี่เต๋อเจียงแม้กระทั่งชาวเมืองเฟิ่งหวงที่เคารพเฉินฝาน ก็เริ่มมองเฉินฝานด้วยสายตาเคลือบแคลงสงสัยหินสีดำเช่นนี้ มีอยู่ทั่วเมืองเฟิ่งหวงชาวเมืองเฟิ่งหวง เกลียดหินสีดำเช่นนี้เป็นที่สุด ภูเขาและพื้นดินที่มีหินสีดำเยอะ ล้วนไม่อาจปลูกอาหารและต้นไม้ได้อีกทั้งหินสีดำนั้นเพียงออกแรงเล็กน้อย แค่เคาะก็แตกแล้ว ไม่อาจนำ
“เสี่ยวฝานสบายดี พวกเจ้าอย่าพูดจาเหลวไหล”“เช่นนั้นก็ดีขอรับ ตอนนี้เมืองเหอตูไม่มีท่านเจ้าเมืองชั่วคราว ข้ามีเรื่องงานอยากขอคำชี้แนะจากท่านใต้เท้า ท่านอ๋อง ท่านเชิญใต้เท้าออกมาให้พวกข้าได้หรือไม่ขอรับ?”อ๋องตวนเป็นคนตรงไปตรงมา เขาจะเอาชนะพวกขุนนางวิชาการได้อย่างไร ชั่วขณะหนึ่งก็หลงกลพวกเขาแล้วเวลานี้ เขาจะไปตามเฉินฝานออกมาได้อย่างไร?อ๋องตวนไม่ตามเฉินฝานออกมา เช่นนั้นก็พิสูจน์ว่าหากเฉินฝานไม่ป่วย เช่นนั้นเขาก็กำลังหลบหน้าไม่กล้าเจอผู้คน“เอี๊ยด!”ขณะที่อ๋องตวนกำลังลำบากใจอยู่นั้น เฉินฝานเปิดประตูห้อง“เสี่ยวฝาน!”การปรากฏตัวของเฉินฝาน คนที่ดีใจที่สุดคืออ๋องตวน “เจ้าออกมาได้อย่างไร?”“ขืนข้ายังไม่ออกมา ข้าจะป่วยตายในห้องแล้วขอรับ” ขณะเฉินฝานพูด สายตาเย็นชาของเขามองไปทางพวกขุนนางเมืองเหอตูตำแหน่งที่สายตาของเขากวาดมองไปนั้น ทำให้เกิดความสั่นเทาท่านอัครเสนาบดีเบื้องซ้ายคนนี้ มองดูแล้วสะอาดสะอ้านเรียบร้อย แต่ยามลงโทษคน วิธีการของเขานั้นร้ายกาจยิ่งนัก กระทำเพียงเล็กน้อย ก็ปลดท่านเจ้าเมืองคนหนึ่งได้แล้ว“ท่านอ๋อง ไป พวกเราไปขุดสมบัติกัน!” เฉินฝานกล่าว“ขุด ขุดสมบัติ? ได้ ได้สิ
“พื้นที่ต้าเฮยนั่น!” เฉินฝานกล่าว“พื้นที่ต้าเฮยที่พวกโจรป่าอาศัยอยู่หรือ?”“ถูกต้อง!”“ข้าว่าพื้นที่ต้าเฮยนั่น นอกจากโคลนดำที่ดูดมนุษย์ได้แล้ว ภูเขาโดยรอบก็เป็นภูเขาหัวโล้น ไม่มีแม้กระทั่งต้นไม้ แล้วจะอุดมสมบูรณ์ได้อย่างไร?”“ภูเขาหัวโล้นเหล่านั้นคือความร่ำรวยที่มากล้น”“เสี่ยวฝาน!” ทันใดนั้นเองดวงตาของอ๋องตวนทอประกาย “หรือว่าด้านในภูเขามีทองคำเช่นนั้นหรือ?”อ๋องตวนครุ่นคิด ภูเขาหัวโล้นมีความร่ำรวยซ่อนอยู่ เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นทองคำ“ไม่ใช่ทองคำ ชั่วขณะหนึ่งอธิบายให้ท่านฟังก็ไม่อาจเข้าใจได้ อีกสองสามวันพวกเราไปพื้นที่ต้าเฮย ถึงเวลานั้นท่านก็จะรู้เอง”เฉินฝานเพิ่งตื่นนอน ทั่วทั้งเมืองเฟิ่งหวงก็มีข่าวลือแพร่สะพัดพื้นที่ต้าเฮยซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของโจรป่า มีความร่ำรวยที่มากล้นเมื่อคืน หลังออกมาจากห้องของเฉินฝาน อ๋องตวนทนไม่ไหวแล้วจริงๆ จึงวิ่งไปถามเหอหรันที่คุกข่าวลือจึงแพร่สะพัดเช่นนี้ผู้คนมากมายต่างไปถามคนที่เคยเป็นโจรป่ามาก่อน ว่าพื้นที่ต้าเฮยร่ำรวยมากใช่หรือไม่ข่าวลือนี้เกินจริงไปเรื่อยๆ กล่าวถึงขั้นว่าพื้นที่ต้าเฮอยที่พวกโจรป่าอยู่นั้นมีสมบัติล้ำค่
ได้ฟังถ้อยคำของเฉินฝานขุนนางเมืองเหอตูหลายคนต่างกลั้นหัวเราะ บางคนถึงขั้นไม่อาจกลั้นหัวเราะ หลุดหัวเราะออกมาพวกเขาไม่ได้ใจกล้า แต่คำพูดของเฉินฝาน เพ้อเจ้อเกินไปแล้วจริงๆเมืองเฟิ่งหวงแทบจะเป็นเมืองยากจนที่สุดของต้าชิ่ง การจะให้เมืองเฟิ่งหวงกลายเป็นเมืองร่ำรวยที่สุดในแคว้นต้าชิ่งเทียบเท่ากับ การให้คนไม่รู้แม้กระทั่งคัมภีร์สามอักษรสอบผ่านจอหงวน“เอ่อ...” อ๋องตวนรู้สึกประหม่าเล็กน้อย เขาเอียงตัวหันมาถามเฉินฝานเสียงเบา “เจ้าเมาหรือไม่? หืม!”อ๋องตวนพูด แล้วส่ายหน้ากับตนเอง “ข้าลืมไปเสียสนิทว่าเหล้าดอกท้อของแคว้นจ้าวค่อนข้างแรง ข้าไม่ควรให้เจ้าดื่ม”เฉินฝานบอกว่า เขาจะทำให้เมืองเฟิ่งหวงกลายเป็นเมืองร่ำรวยที่สุดของต้าชิ่งคืนวันนั้น มีคนออกเดินทางจากเมืองเฟิ่งหวง ขี่ม้าเร็วส่งข่าวนี้ไปยังเมืองหลวงเมื่อได้ยินเรื่องนี้ พวกเสิ่นหมิงหยวนหัวเราะกันจนฟันแทบหลุดฉินเย่ว์เหมยที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร สีหน้าของนางไม่แตกต่างจากอ๋องตวนเท่าใดนัก พวงแก้มแดงระเรื่อเล็กน้อย รู้สึกประหม่าอย่างมากไม่ใช่ว่านางไม่เชื่อเฉินฝาน แต่การทำให้เมืองเฟิ่งหวงกลายเป็นเมืองที่ร่ำรวยที่สุดของต้าชิ่ง ยากรา
หลี่เต๋อเจียงใช้สายตา ลอบส่งสัญญาณให้กับขุนนางที่คุกเข่าอยู่ข้างๆหลังจากขุนนางคนนั้นเห็น ก็รีบย่องออกไปจากหอประตูเมืองทั้งหมดนี้ หลี่เต๋อเจียงคิดว่าตนทำได้อย่างเนียบแนนโดยไม่รู้เลยว่า...เฉินฝานยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยวันนี้อารมณ์ดี เช่นนั้นก็จะเล่นกับหลี่เต๋อเจียงเสียหน่อย เขาจะดูสิว่า หลี่เต๋อเจียงจะมาไม้ไหน?หลังจากขุนนางคนนั้นไปจากหอประตูเมืองไม่นาน...“ตึ้ง ตึ้ง ตึ้ง ตึ้ง”เสียงฝีเท้ามากมายและชุลมุนวุ่นวาย ดังมาจากด้านล่างหอประตูเมืองเฉินฝานโน้มตัวมองลงไปกลุ่มคนมากมายล่างหอประตูเมืองพวกเขาเหล่านี้ล้วนเป็นชาวเมืองเฟิ่งหวงหลังจากพวกเขามาถึงด้านล่างหอประตูเมือง ต่างก็คุกเข่าลง“ท่านอัครเสนาบดี โปรดให้ใต้เท้าเหออยู่ในเมืองเฟิ่งหวงต่อด้วยขอรับ”“ท่านอัครเสนาบดี พวกเราไม่อาจไปจากใต้เท้าเหอ”“ท่านอัครเสนาบดี โปรดเมตตาด้วยขอรับ!”ใต้หอประตูเมืองมีชาวบ้านมาขอร้องมากขึ้นเรื่อยๆ ถนนตรอกซอยต่างๆ ระแวกหอประตูเมือง ล้วนเต็มไปด้วยชาวบ้านที่กำลังคุกเข่าเจตนาของชาวบ้านล้นหลามเช่นนี้ บวกกับเหอจื้อเฟยไม่ยอมไป หากเฉินฝานยืนกรานให้เหอจื้อเฟยเช่นนั้นก็ไร้ประโยชน์ ทั้งยังทำให้ชาว
“ทำไม?” อ๋องตวนเคาะศีรษะของเหอจื้อเฟย “ซื่อบื้อไปแล้วจริงๆ หรือ? ยังไม่รีบขอบพระทัยฝ่าบาทอีก?”“ข้าน้อยจะเป็นเจ้าเมืองเหอตูได้อย่างไร?”“เหอจื้อเฟยจะเป็นเจ้าเมืองเหอตูได้อย่างไร?”เหอจื้อเฟยและหลี่เต๋อเจียงพูดขึ้นพร้อมกันเหอจื้อเฟยถูกอ๋องตวนเคาะศีรษะอีกครั้ง “เสี่ยวฝานบอกว่าเจ้าทำได้ก็ทำได้ พูดพล่ามอะไรมากมาย?”“ท่านอัครเสนาบดีเบื้องซ้าย ท่านมีสิทธิ์อันใดจึงทำเช่นนี้? มีอำนาจใดในการทำเช่นนี้?”หลี่เต๋อเจียวที่กำลังสับสนงุนงงอยู่นั้น ใบหน้าและหูแดงก่ำ เขาทั้งกระวนกระวาย ทั้งสับสนและทั้งหงุดหงิด จึงถามเฉินฝาน“เฉินฝานไม่ได้ตอบในทันที แต่ง้างมือตบอย่างแรง“เพี๊ยะ!”เสียงตบดังก้อง ใบหน้าของหลี่เต๋อเจียง มีรอยฝ่ามือแดงก่ำ“ข้าเป็นถึงอัครเสนาบดีเบื้องซ้าย ข้าไม่อาจเปลี่ยนเจ้าเมืองคนหนึ่งได้หรือ?”“ข้า ตำแหน่งเจ้าเมืองของข้า ท่านอัครเสนาบดีเบื้องขวาเสิ่นหมิงหยวนเป็นคนแต่งตั้งด้วยตนเอง...”“เพี๊ยะ!”หลี่เต๋อเจียงยังพูดไม่จบ เขาก็ถูกตบอีกหนึ่งฉาด“เจ้าแกล้งทำเป็นถูกรังแกอะไรของเจ้าหา?” แววตาเย็นชาของเฉินฝาน มองไปยังใบหน้าเคืองขุ่นของหลี่เต๋อเจียง “เจ้าแทนตนเองว่าข้าเมื่อครู่ตอนอย
หลี่เต๋อเจียงมองหมวกขุนนางในมือเฉินฝานด้วยความงงงันทั้งตกใจ งุนงงและหวาดกลัวหลี่เต๋อเจียงมิกล้าหายใจดังคนที่ตกใจกลัวมิได้มีเพียงหลี่เต๋อเจียงเท่านั้น ยังมีเหล่าขุนนางเมืองเหอตูอีกด้วยเฉินฝานเขย่าหมวกขุนนางสีดำเล็กน้อย “ฝุ่นบนหมวกช่างมากมายเสียจริง!”หลี่เต๋อเจียงลอบถอนหายใจที่แท้เฉินฝานมิชอบใจที่หมวกขุนนางของเขามีฝุ่นมากมาย“ใต้เท้า ข้าน้อยรีบเคลื่อนทัพมามิได้หยุดพัก ฝุ่นควันระหว่างทางมีมากมายจึงมาติดอยู่บนหมวก ข้าน้อยจะไปทำความสะอาดเดี๋ยวนี้ขอรับ”ระหว่างที่พูด หลี่เต๋อเจียงคุกเข่ายกมือสองขึ้นต่อหน้าเฉินฝาน รอให้เฉินฝานนำหมวกขุนนางสีดำส่งคืนให้กับมือเขาเฉินฝานเหลือบมองมือของหลี่เต๋อเจียงอย่างเรียบนิ่ง เขาเงยหน้าขึ้น กล่าวกับเหอจื้อเฟยที่คุกเข่าอยู่ตรงมุมหนึ่ง “เหอจื้อเฟย เจ้ามานี้!”เหอจื้อเฟยโน้มวิ่งเหยาะมาด้านหน้าเฉินฝาน“ใต้เท้า!” เหอจื้อเฟยคุกเข่าอยู่ด้านหลังหลี่เต๋อเจียง เขาตำแหน่งต่ำกว่าหลี่เต๋อเจียงจึงมิสามารถคุกเข่าอยู่ในระนาบเดียวกันได้“เจ้าขยับขึ้นมาอีกนิด” เฉินฝานกล่าวเหอจื้อเฟยขยับขึ้นเล็กน้อยตามที่สั่งทว่าก็ยังอยู่ด้านหลังหลี่เต๋อเจียงอยู่ดี“ไฉนเจ