เมื่อใกล้ถึงเวลาเหม่า[footnoteRef:1] ข้างนอกเรือนของเฉินฝานเริ่มคึกคัก [1: เวลาเหม่า หมายถึงช่วงเวลาระหว่าง 05:00 น. - 07:00 น.] เฉียนลิ่ว จูจื้ออันและคนอื่น ๆ แบกหมูตัวหนึ่งที่ถูกเชือดมาถึงหน้าประตูหน้าเรือนของเฉินฝานและรอเวลาเข้าไปเฉินฝานซื้อหมูก่อนที่ถนนจะถูกปิดหลายวันที่ผ่านมาฝากเลี้ยงไว้ที่เรือนของเฉินผิง“ถึงเวลาเหม่าแล้ว!” เฉินซิ่นลุงคนที่สามของตระกูลเฉินยืนประกาศเวลาอยู่ข้างประตูเสียงของเฉียนลิ่วดังขึ้นตามหลังลุงสามอย่างต่อเนื่อง เขาตะโกนลั่นใส่ประตูที่ปิดอยู่ตรงหน้า “เข้าเรือน!”“นายท่าน!” ฉินเย่ว์ฉู่กระโดดขึ้นลงอยู่ด้านข้างเฉินฝาน “รีบจุดประทัดเร็วเข้า ๆ!”“ได้เลย”เมื่อได้รับการปลุกเร้า เฉินฝานมีความสุขมากเช่นกัน ธูปหนึ่งดอกที่ถืออยู่ในมือยื่นเข้าหาประทัดแถวยาวที่แขวนอยู่ตรงประตู“เข้าเรือนกัน เข้าเรือนกัน!”ท่ามกลางเสียงปลุกเร้าเป็นพัก ๆ และเสียงประทัดที่ดังเปรี้ยงปร้าง เฉียนลิ่วและคนอื่นๆ ก็แบกหมูเดินเข้าเรือนของเฉินฝานงานขึ้นเรือนใหม่เริ่มต้นขึ้น ณ เวลานี้คนที่เดินเข้ามาในเรือนของเฉินฝานและเดินตามหลังเฉียนลิ่วกับคนอื่น ๆ คือกลุ่มภรรยาของสมาชิกของตระกูล
แม้ว่าตอนนี้เฉินเจียงยังไม่ใช่ถงเซิง แต่เขาเริ่มเรียนการเบิกความสว่างทางจิตใจตั้งแต่อายุ 16 และหยุดไปเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งหมายความว่าเขาเพิ่งเรียนไปเพียงสองปี สอบไม่ผ่านนับว่าเป็นเรื่องปกติที่สำคัญ อาจารย์เฉียนบอกเขาว่า ช่วงเวลาที่ผ่านมา บทกวีของเฉินเจียงก้าวหน้ามาก ด้วยความสามารถในปัจจุบันของเฉินเจียง หากสอบระดับถงเซิงให้ผ่านไม่ใช่ปัญหาแน่นอนผู้ใหญ่บ้านเป็นคนฉลาด เขาไม่รู้แผนการในใจของเฉินฝูได้อย่างไรและความฉลาดทางอารมณ์ของเขานั้นสูงกว่าเฉินฝูวันนี้เป็นวันของเฉินฝาน จึงยอมไว้หน้าเขา“พี่ฝู พี่ต่างหากคือคนที่มีบุญบารมีที่สุด บัณฑิตมีเฉินเจียง การค้ามีเฉินฝาน”“เฮ้อ! ไม่เท่าไหร่หรอก? ยังเทียบกับท่านไม่ได้เลย”เฉินฝูกล่าวอย่างถ่อมตัว แต่ในใจรู้สึกชอบใจมาก สายตาของเขาพลางตกลงบนโต๊ะด้านขวาคนที่นั่งอยู่โต๊ะนั้นล้วนเป็นคนหนุ่มสาวจากหมู่บ้านที่ไปสถานศึกษาในสมัยโบราณให้ความสำคัญกับบัณฑิตชนชั้นนำ กสิกร กรรมกรและพ่อค้าวาณิชย์มาก และสถานะของบัณฑิตนั้นย่อมอยู่ระดับสูงอายุเท่ากันแต่พวกเขากลับไม่ต้องทำงานและยังได้นั่งห้องเดียวกับผู้ใหญ่ ได้รับการดูแลแบบเดียวกับผู้ใหญ่ซึ่งแตกต่างจากควา
“อวิ๋นอิง นี่เจ้าทำอะไร?”เฉียนหย่งเหนียนรีบเดินออกไปและพูดเสียงดังกับมั่วอวิ๋นอิง “เจ้าไม่เห็นหรือว่ามีงานเลี้ยงฉลอง ทำไมถึงตะโกนเช่นนี้?”ผู้อื่นกำลังจัดงานเลี้ยงขึ้นเรือนใหม่ แต่ลูกสะใภ้ของตนกลับตะโกนและวิ่งเข้ามา เสียมารยาทมากยิ่งไปกว่านั้น ไม่เหลือภาพลักษณ์เลยสักนิดปิ่นปักผมที่เกล้าผมของมั่วอวิ๋นอิงหลุดตั้งแต่นางวิ่งเข้ามา ผมเผ้ากระเซิงเหมือนหญิงสติไม่ดี“นายท่าน พี่หรงน้อย พี่หรงน้อยของเรา พี่หรงน้อยของเรา เขา เขา……”ใบหน้าของมั่วอวิ๋นอิงซีดเซียว สีหน้าหวาดกลัวและตื่นตระหนก พูดจาสะเปะสะปะ ผ่านไปเกือบครึ่งค่อนวันก็พูดอะไรไม่ออก“เขาเป็นอะไรไปเล่า? พี่หรงน้อยเป็นไรไป? เจ้าพูดสิ!” เฉียนหย่งเหนียนขมวดคิ้วและโกรธเนื่องจากมีผู้คนมากมายมองดูเขา วันนี้ทำตัวเสียมารยาทจริง จากนี้ไปคนในหมู่บ้านจะมองเขาอย่างไร“หย่งเหนียน เจ้าจะตะคอกทำไม?”เมื่อเห็นมั่วอวิ๋นอิงในสภาพนี้ ผู้ใหญ่บ้านจึงเดินออกมาตำหนิเฉียนหย่งเหนียน ด้วยประสบการณ์ที่มีมากมาย เขาสัมผัสได้แล้วว่าเกิดเรื่องขึ้นกับพี่หรงน้อยเป็นน้อยผู้ใหญ่บ้านมีลูกชายเฉียนหย่งเหนียนเพียงคนเดียวเมื่อเฉียนหย่งเหนียนอายุได้สิบห้าปี ผู
“หมอ ช่วยดูอาการหลานข้าด้วย”นางหูผู้เป็นภรรยาของผู้ใหญ่บ้านอุ้มเด็กไปหาหมอทันที“หมอ โปรดช่วยลูกชายของข้าด้วย ข้าขอร้อง ๆ” มั่วอวิ๋นอิงที่อยู่ข้างนางหูพนมมือขอร้องไม่หยุด“นายหญิงทั้งสองอย่าเพิ่งใจร้อน เอาเด็กให้ข้าตรวจอาการดูก่อนเถิด”หมอรับเด็กจากอ้อมแขนของนางหู ขณะเดียวกันก็พูดกับเฉียนหย่งเหนียน “ไปหยิบเตาอั้งโล่สองสามอันมาที่นี่โดยเร็ว”อากาศหนาวเหน็บ คนจะเกิดภาวะตัวเย็นได้ง่ายหลังจากตกลงไปในน้ำ การให้ความอบอุ่นเป็นขั้นตอนแรกของการรักษาหมออุ้มเด็กเข้าไปในห้องนอน หลังจากเฉียนหย่งเหนียนอุ้มเตาอั้งโล่เข้าไป หมอก็บอกให้เขาปิดประตูผู้ใหญ่บ้านไม่ได้ตามเข้าไปด้วยและนั่งรอที่ห้องโถง แม้ว่าเขานั่งตัวตรงสุภาพมาก แต่คนที่สายตาดีย่อมสังเกตเห็นได้ว่าบนหน้าผากของผู้ใหญ่บ้านมีเหงื่อผุดบาง ๆผู้คนรวมตัวกันอยู่ข้างนอกเรือนของผู้ใหญ่บ้านต่างก็พูดกันไปต่าง ๆ นานา“เฮ้อ!” ผู้เฒ่าหลี่ส่ายหัว “ข้าดูสภาพพี่หรงน้อยแล้ว คงแย่แล้วล่ะ”“ผู้เฒ่าหลี่ ถ้าท่านไม่พูดก็ไม่มีใครถือว่าท่านเป็นใบ้!”“เอาล่ะ ๆ ข้าไม่พูดแล้ว”“เมื่อครู่นี้ข้าเห็นแล้วว่าภรรยาของหย่งเหนียนไม่ได้เกล้าผมและวิ่งออกไปทั้งเท้าเ
“ไปบ้านเฉินฝานกันเถอะ!”น้ำเสียงของผู้เฒ่าหลี่แฝงไปด้วยความไม่ใส่ใจละคนกับความภูมิใจอยู่ไม่น้อยเขากับเฉินฝานไม่มีความแค้นอะไรต่อกัน แต่เขาแค่รู้สึกว่าเฉินฝานเอาตัวรอดอยู่ฝ่ายเดียว มั่งคั่งโดยไม่สนใจเขาเมื่อครั้งที่ผู้ใหญ่บ้านมีหลานชายคนแรก เขายังชวนผู้เฒ่าหลี่มาดื่มฉลองถึงที่บ้าน แต่เฉินฝานกลับไม่เอ่ยปากชวนเขาสักคำในใจของเขาจึงเกิดความไม่พอใจ อยากจะสั่งสอนเฉินฝานเขาไม่รู้ว่าเรื่องนี้มีปีศาจร้ายเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ เขารู้แค่ว่าวันนั้นหลังจากที่นางหลีและจางเหลียนฮวาบอกว่าเฉินฝานตกลงไปในหุบเขา เจ้าตัวก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคนเขาถึงสัมผัสได้ว่าที่นี่ต้องมีบางอย่างไม่ชอบมาพากล จึงเริ่มปั้นเรื่องนางหลีพยักหน้าหงึกหงัก ก่อนกล่าวว่า “ใช่ ใช่เลย ต้องไปบ้านของเขาเดี๋ยวนี้”“นี่!” นางหลีมีท่าทีปวดใจอยู่ไม่น้อย “ข้าดูแลพี่หรงน้อยมากับมือ สำหรับข้า เขาเป็นคนเลี้ยงง่าย ไม่มีทางไปอยู่ในที่แบบนั้นแน่ ทำไมวันนี้เขาถึงดื้อรั้นขึ้นมาซะได้”“ดูท่าจะเจอเข้ากับปีศาจร้ายเสียแล้ว”“หมู่บ้านของเรากำลังประสบกับหายนะจริง ๆ แล้วนะสิ”“เผชิญหน้ากับปีศาจร้ายไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด แต่ข้าคิดว่าอาจจะมี
“พี่หรงน้อย พี่หรงน้อย เจ้ารีบตื่นขึ้นมาสิ!”“พี่หรงน้อย เจ้าอย่าทำแม่กลัวเช่นนี้สิ?”“พี่หรงน้อย เจ้าไม่ลืมตาอย่างน้อยหายใจก็ยังดี ขอเพียงเจ้าดีขึ้นต่อให้ข้าต้องอายุสั้นลงสิบปีข้าก็ยอม”ภายในห้องนางหูและมั่วอวิ๋นอิงร้องไห้เสียงดัง นางยิ่งเจ็บปวดใจเฉินฝานเขย่งปลายเท้าชะเง้อมองผ่านหน้าต่างที่เปิดไว้เพียงครึ่งเดียว กระทั่งเห็นเข็มที่หมอถือยู่ในมือ และเห็นหมอคนนั้นปักเข็มลงบนร่างกายของพี่หรงน้อยด้วยความร้อนใจให้ตายเถอะ!เฉินฝานขมวดคิ้วแน่นอย่างเป็นกังวลการจมน้ำไม่ใช่อาการป่วย ฝังเข็มแล้วจะรอดอย่างนั้นเหรอ?“ผู้ใหญ่บ้าน เรารอไม่ได้อีกแล้ว เปิดทางให้ข้าเข้าไปเดี๋ยวนี้ หมอคนนั้นช่วยชีวิตพี่หรงน้อยไม่ได้”เฉินฝานไม่สนใจอะไรอีกแล้ว เขาผลักผู้ใหญ่บ้านและพุ่งเข้าไปในบ้าน“อย่าให้เขาเข้าไป!” ผู้เฒ่าหลี่รีบตะโกนเสียงดัง “ตอนนี้วิญญาณของพี่หรงน้อยยังไม่หลุดออกจากร่าง ขอเพียงแค่เฉินฝานดูดวิญญาณไปไม่ได้ ความโกรธแค้นของปีศาจร้ายก็จะกลับเข้าหาตัวของเขา เรายังช่วยชีวิตของพี่หรงน้อยได้”“ขวางเขาไว้!”“ผู้ใหญ่บ้าน ข้าเอง!” ชายหนุ่มจากตระกูลเฉียนยังไม่ทันล้อมเข้ามา จูต้าอันก็ได้พุ่งตัวไปต
“จับเขาไว้!”เฉียนหย่งเหนียนกุมท้องหลังงอวิ่งออกมาอย่างโซซัดโซเซ เขาเป็นนักปราชญ์ที่อ่อนแอมากคนหนึ่ง เฉินฝานถีบเขาแค่ครั้งเดียว เขาเจ็บปวดจนเหงื่อแตกพลั่กมีกลุ่มคนนับไม่ถ้วนพุ่งเข้ามาขวางเฉินฝาน แต่ก็ยังไม่มีใครขัดขวางเขาได้ กระทั่งไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าเฉินฝานวิ่งฝ่าพวกเขาออกไปได้อย่างไรเขารวดเร็วกว่าที่ใคร ๆ คาดคิดไว้เพียงพริบตาเดียว เฉินฝานก็แบกพี่หรงน้อยวิ่งออกมาจากบ้านของผู้ใหญ่บ้านได้แล้ว โชคดีที่ออกมาเจอกับฉินเย่ว์โหรวและฉินเย่ว์ฉู่ที่ออกมาจากบ้านพอดี “นายท่าน?”“เย่ว์โหรว รีบกลับไปจุดไฟทำให้เตียงให้อุ่นเร็วเข้า”เฉินฝานยังวิ่งไม่หยุด หลังจากสั่งงานแล้ว เขาก็แบกพี่หรงน้อยวิ่งต่อกไปไม่หยุด“อื้อ เจ้าค่ะ!”ฉินเย่ว์โหรวไม่รู้ว่าเฉินฝานจะทำอะไร นางไม่ถาม เพราะนางเชื่อใจเขาช่วงนี้เฉินฝานมักจะทำในสิ่งที่นางเห็นแล้วก็คาดไม่ถึงแต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นล้วนออกมาดีทั้งนั้นเฉินฝานยังคงวิ่งไปตามถนนของหมู่บ้าน เดี๋ยววิ่งเดี๋ยวกระโดด“ไอหยา ๆ!” ผู้เฒ่าหลี่ร้องด้วยความตกใจ “ไม่ได้การล่ะ เขาไม่ได้จะมาดูดวิญญาณ แต่กำลังนำทาง โดยการใช้พี่หรงน้อยนำทางปีศาจร้าย ปีศาจร้ายกำลังจะเข้า
“อย่านะ! จูต้าอันปล่อยพี่สี่ของข้าเดี๋ยวนี้! ”“จูต้าอัน ข้าขอเตือนเจ้า...อย่าวู่วาม!”ฉินเย่ว์เจียวและเฉียนลิ่วตะโกนพร้อมกัน“พวกเจ้าต้องไปเรียกเฉินฝานให้พาพี่หรงน้อยกลับมาเดี๋ยวนี้!”“ข้าอยู่นี่!”น้ำเสียงทุ้มต่ำแต่แฝงไปด้วยความหนักแน่นดังขึ้นด้านหลังของฉินเย่ว์เจียวและเฉียนลิ่วเฉินฝานยืนห่างจากหลังของฉินเย่ว์เจียวและเฉียนลิ่วไม่ไกล พี่หรงน้อยที่เดิมทีถูกเขาอุ้มพาดบ่าเวลานี้กลับถูกอุ้มอยู่ในอ้อมกอดของเฉินฝานห่างจากหลังของเขาไปห้าสิบกว่าเมตรเป็นกลุ่มชาวบ้านที่ไล่ตามเขาจนเหนื่อยหอบ“จะเอาแบบนี้ใช่ไหม”มีดทำครัวในมือของจูต้าอันจี้คอของฉินเย่ว์โหรวไม่ห่าง “คืนพี่หรงน้อยมาให้ข้า แล้วข้าจะปล่อยฉินเย่ว์โหรว ไม่อย่างนั้น....”มีดในมือของเขาถูกกดลงบนคอของฉิเย่ว์โหรวเล็กน้อย ทำให้เลือดสดซึมออกมาจากคอที่ขาวเนียนของฉินเย่ว์โหรวอีกครั้งหัวคิ้วของฉินเย่ว์โหรวเริ่มขมวดเข้าหากัน นางกำมือและปล่อย ปล่อยและกำอยู่อย่างนั้นนางเจ็บปวดมาก แต่นางกลับอดทนไม่ส่งเสียงร้องออกมา“เร็วสิ!” จูต้าอันตะโกนใส่เฉินฝานแววตาของเฉินฝานฉายแววเคร่งขรึม เขาอุ้มพี่หรงน้อยเดินมาหาจูต้าอันอย่างรวดเร็วเมื่อ
พวกคนด้านหน้าที่หลบไม่ทัน บ้างก็ถูกม้าเหยียบบ้างก็ถูกเตะจนปลิว พวกเขาร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวดแต่คนที่นั่งอยู่บนหลังม้า กลับไม่ยี่หระแม้แต่น้อย ไม่เพียงไม่ลดความเร็ว แต่ยังฟาดแส้ม้าในมือแรงขึ้น“จ้า!”“ระวัง!”เฉินฝานที่เดิมทีเบี่ยงตัวไปด้านข้างแล้ว รีบหันกลับมา ดึงตัวเมี่ยวอวี่ที่ยังคงยืนอยู่กลางถนน ด้วยความตกตะลึง“ว้าย!”เมี่ยวอวี่ที่ล้มตัวลงในอ้อมกอดของเมี่ยวอวี่ อุทานตามสัญชาตญาณ“วี้ด!”เสียงเป่าปากดังก้องทหารตรงกลาง ทันใดนั้นเองเขาก็จับแส้ม้าแน่นม้ายกขาหน้าทั้งสองขึ้น ทหารจับแส้ม้าแน่น หันขวับกลับมาอย่างรวดเร็ว“...”เพียงครู่หนึ่งเฉินฝานก็กระจ่างชัด รู้ว่าใครคือคนบนหลังม้าเขาคือหลี่ชิ่งสุนัขรับใช้ผู้แสนซื่อสัตย์ของเสิ่นหมิงหยวน หัวหน้าทหารรักษาการณ์เมืองหลวงเพิ่งหันกลับไป ดวงตาคู่นั้นของหลี่ชิ่งราวกับอินทรีย์ กวาดตามองไปรอบๆ อย่างรวดเร็วเขาก็มองมาที่เฉินฝานเฉินฝานอ้าแขนทั้งสองข้าง คว้าตัวเย่ว์เจียว เย่ว์หนูและเมี่ยวอวี่เข้าหาตน“ท่าน...”เมี่ยวอวี่เบิกตากว้าง หูของนางแดงก่ำอย่างรวดเร็วเพราะ...มือขวาของเฉินฝาน คลำสะโพกของนางไม่หยุดเฉินฝานก้มหน้าลง พูด
“ตอนนี้พวกเราไม่อาจเข้าเมืองได้!”“เพราะเหตุใด?” สีหน้าของฉินเย่ว์เจียวฉายความฉงน “พวกเราไม่เข้าเมือง แล้วจะเข้าเฝ้าฝ่าบาทได้อย่างไร ตอนนี้ฝ่าบาทต้องเสียพระทัยมากแน่นอน”“เมือง!” ดวงตาสีดำดั่งน้ำหมึกของเฉินฝานมองไปที่ประตูเมือง ‘เมืองเซียนตู’ อักษรสามตัวขนาดใหญ่ “พวกเราต้องเข้าไปแน่นอน อีกทั้งต้องเข้าไปให้ได้”โรงเตี๊ยมและเรือนเซียนผาสุกปิดตัวลงกะทันหัน ต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่นอน“แต่ว่า พวกเราไม่อาจเข้าไปเช่นนี้”เฉินฝานหันหลังเดินออกไป“เจ้าอย่าคิดหนี ตามพวกข้ามา!”ตอนออกไป ฉินเย่ว์เจียวคว้าตัวเมี่ยวอวี่ “เจ้าเคยรับปากข้า หลังจากออกมาได้สำเร็จ เจ้าจะบอกให้ข้ารับรู้ว่าผู้ใดเป็นคนให้จี้หยกแก่เจ้า”คิ้วของเมี่ยวอวี่เลิกต่ำเล็กน้อย “ข้าไม่คิดจะไปจากพวกเจ้า!”เมี่ยวอวี่มาเพื่อลอบสังหารเขา ตอนนี้ไม่อาจให้ใครคนนั้นในเมืองเซียนตูรู้ว่าเขายังมีชีวิตเฉินฝานใช้ใบไม้ทองซื้อชุดไว้อาลัยสี่ตัวที่นอกเมือง ปลอมตัวเป็นชาวบ้านธรรมดาเข้าเมือง“สวรรค์ริษยาความปรีชา ให้ชีวิตมอดม้วย ฮือๆๆ!”เพิ่งเข้าเมือง พวกเฉินฝานก็ได้ยินเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นถนนสองข้างทาง คนมากมายกำลังคุกเข่าร่ำไห้“
“นายท่าน!” เพิ่งจะเดินไปได้มิกี่ก้าว จู่ ๆ ฉินเย่ว์เจียวก็หยุดชะงัก หันหน้าไปมองเฉินฝานด้วยความมึนงง “อัครเสนาบดีเบื้องซ้ายใต้เท้าเฉินฝาน คงจะมิได้หมายถึงท่านหรอกกระมัง”“มีโอกาสเป็นได้สูง!” เฉินฝานกล่าวอย่างเรียบนิ่ง“ว้าว ท่านได้เป็นอัครเสนาบดีแล้ว!” ใบหน้าอันงดงามของฉินเย่ว์เจียวตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างมาก“ทว่า...” เฉินฝานหัวเราะสมเพชตนเอง “ตอนนี้กำลังพิธีศพให้ข้าอย่างยิ่งใหญ่อยู่”“นั้นเป็นเพราะพวกเขาเข้าใจผิด นายท่าน พวกเรารีบไปกันเถอะ เมื่อเจอพวกเราแล้วความเข้าใจผิดก็จะคลี่คลาย” ฉินเย่ว์เจียวรีบสาวเท้าให้เร็วยิ่งขึ้นด้านหน้าเหล่าคนที่มีชีวิตรอดเดินออกมาจากหุบเขาพร้อมกับพวกเฉินฝาน มีคนจำนวนหนึ่งที่เดินไปถึงประตูเมืองแล้วเป็นดั่งที่หญิงชรากล่าว เพราะพวกเขาสวมเสื้อผ้าที่สกปรก ทหารที่รักษาเมืองจึงมิยอมให้พวกเขาเข้าไป“ใต้เท้า ได้โปรด! พวกเราเดินมาจากเศษซากทางเรือนเซียนผาสุก บ้านอยู่ในเมืองเซียนตู ให้พวกเราเข้าไปจึงจะสามารถเปลี่ยนเสื้อผ้าได้”คนที่กล่าววาจาคือจางเซิง“ถูกต้อง พวกเราถูกกักขังอยู่ด้านในมาหลายวันแล้ว กว่าจะออกมาได้มิง่ายเลย เจ้าให้พวกเราเข้าไปเถอะ”คนจำนวนมา
ทางด้านหน้า มีเงินกระดาษหยวนเป่าสีขาวมากมาย“มีคนทำพิธีกรรมอันใดงั้นรึ?”“ดูเหมือนว่าจะใช่”นับตั้งแต่ทางเข้าหุบเขามาจนถึงประตูทิศตะวันออกของเมืองเซียนตู ตลอดเส้นทางนี้ล้วนมีเงินกระดาษหยวนเป่าสีขาวตอนที่ฝูงชนเดินมาถึงประตูเมือง ก็พบว่าหอประตูเมืองถูกประดับไปด้วยผ้าสีขาวจำนวนมากหอประตูเมืองที่เดิมทีประดับด้วยโคมไฟสีแดงเป็นทิวแถว ตอนนี้โคมไฟเปลี่ยนเป็นสีขาวแล้ว แม้กระทั่งตรงช่วงเอวของพลทหารรักษาก็ยังแขวนผ้าสีขาว“นี่เป็นพิธีศพ และยังยิ่งใหญ่อีกด้วย แม้กระทั่งตรงช่วงเอวของพลทหารยังแขวนผ้าสีขาวอีกด้วย คงจะมีคนใหญ่คนโตของเมืองเซียนตูเสียชีวิตกระมัง จึงทำให้ทั้งเมืองร่วมไว้อาลัยได้เช่นนี้”ฝูงชนพากันถกเถียงอภิปราย“หรือว่าจะเป็นเจ้าเมืองซื่อต้าเผิง?” ฉินเย่ว์เจียวก็รู้สึกสงสัยเช่นกัน“สาวน้อย คำพูดนี้มิสามารถพูดมั่วซั่วได้ ท่านเจ้าเมืองยังอยู่ดี เจ้าสาปแช่งใต้เท้าเช่นนี้ ระวังใต้เท้าจับเจ้าเข้าคุก”มีหญิงชราคนหนึ่งเดินออกมาจากในเมืองมากล่าวเตือนฉินเย่ว์เจียว “ อีกอย่าง เจ้าเมืองจะมีงานใหญ่โตเช่นนั้นได้อย่างไรกัน?”“โอ้?” เฉินฝานรุดหน้าขึ้นมาหนึ่งก้าว ทำมือเคารพให้หญิงชรา “เช่นนั
“เจ้า...โอ๊ย ข้าโมโหจวนจะบ้าแล้ว!”ฉินเย่ว์เจียวค่อยๆลุกขึ้นยืน คิดที่โยนเมียวอวี่ออกไป ปรากฏว่าเมี่ยวอวี่ก็ค่อยๆลุกขึ้นเช่นกัน หลังจากนั้น...“......”เฉินฝานมองไปที่เมี่ยวอวี่ที่ติดหนึบเรือนร่างเขาราวกับปลาหมึกตัวหนึ่งด้วยความมึนงง“แม่นางเมี่ยวอวี่ รบกวนชีวิตสามีภรรยา เป็นเรื่องที่ไร้มารยาทอย่างมาก”เฉินฝานอุ้มเมี่ยวอวี่ออกไปด้านนอก“อย่าเอาข้าออกไป”แขนของเมี่ยวอวี่โอบรัดคอของเฉินฝานไว้แน่น นำศีรษะฝังแนบกับไหล่เขา กล่าวเสียงแผ่วเบารีบร้อน“ขอร้องล่ะ!”“ได้สิ” เฉินฝานเริ่มคิดเล่นสนุก “ให้เจ้าอยู่ก็ได้ ทว่าเจ้าต้องเปลื้องผ้าให้หมดและคลานเข้าไปในถุงนอนของข้า”ใบหูที่ขาวผ่องของเมี่ยวอวี่ เปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างเห็นได้ชัด“มิมีทาง น้ำเสียงของเมี่ยวอวี่นุ่มนวล ทว่าสามารถฟังออกได้ว่ากัดฟันพูด“เหอะ!” เฉินฝานหัวเราะเยาะออกมาทันที “มิมีผลประโยชน์ให้ข้าแม้แต่น้อย ไฉนข้าต้องยอมให้เจ้าอยู่ที่นี้?”“สิ่งนี้!”เมี่ยวอวี่เปิดเสื้อตนเองออกทัศนียภาพที่งดงามพลันปรากฏต่อหน้าเฉินฝานเมี่ยวอวี่ที่ภายนอกที่ดูสูงสง่าราวเทพธิดา ภายในกลับ...“ต้องกล่าวว่าอาหารของกระท่อมหิมะนี้คุณภาพค่อนข้า
“เมื่อซดแกงปลาเรียบร้อยแล้ว ปลาย่างก็จวนจะได้ที่พอดีถึงแม้เครื่องเทศจะมิเยอะ ทว่าเฉินฝานก็โรยบนปลาทุกตัวอย่างละเล็กละน้อยเมื่อเครื่องเทศถูกโปรยลงไป กลิ่นหอมก็กระจายฟุ้งทั่วทุกสารทิศทันทีทุกคนล้วนทำจมูกฟุดฟิดสูดลมหายใจเข้าอย่างต่อเนื่องเพื่อจะดูดซับกลิ่นหอมเข้าไปให้ได้มากที่สุด“ข้าขอเอาไปก่อนแล้วกัน พวกเจ้าก็ค่อยๆแบ่งกันเองนะ!”เป็นเซียนเจี้ยนหวงอีกแล้ว เขาแบกปลาหลีฮื้อที่ตัวที่สุดออกไปทันทีเฉินฝานมอบหน้าที่ในการแบ่งปลาให้ฉินเย่ว์เจียว“มิต้องรีบ ได้ทุกคน”ฉินเย่ว์เจียวชำนาญในการกินปลาอยู่ก่อนแล้วนางมิได้นำท้องปลาที่มีก้างเยอะแบ่งให้เด็กเล็กและคนแก่ตอนที่กินปลายังเน้นย้ำให้ระวังก้างปลาซ้ำแล้วซ้ำเล่าฉินเย่ว์เจียวที่มิแยแสต่อสิ่งใดกลับละเอียดรอบคอบเช่นนี้ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเมื่อก่อนตอนที่อยู่หมู่บ้านซานเหอก้างปลาเคยติดคอของนางจึงทำให้หวาดกลัวหลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง ทุกคนก็ล้วนอิ่มจนท้องป่อง สีหน้าอิ่มอกอิ่มใจพูดคุยสัพเพเหระในกระโจมอย่างสนุกสนานหากมิใช่ว่าด้านหลังมีกระท่อมหิมะและเรือนเซียนผาสุกที่ถล่มลงมา ยังคิดว่าคนเหล่านี้มาเที่ยวพักผ่อนเสียอีกเฉินฝานที่กินอิ่
เสียงของเซียนเจี้ยนหวง ไฉนฟังอย่างไรก็มิเหมือนที่ถูกแกงลวก เหมือน...เสียงซาบซึ้งใจที่ได้ลิ้มลองอาหารเลิศรสเสียมากกว่าเฉินฝานก็รู้สึกได้เช่นกัน“ผู้เฒ่า ยังมีคนอีกมากมายที่รอกินอยู่ ไฉนเจ้าซดคนเดียวมากมายเพียงนั้น?”ตอนที่เซียนเจี้ยนหวงซดน้ำแกงทัพพีที่สี่ เฉินฝานก็แย่งทัพพีไม้ไผ่จากมือเขากลับมา“นี่ ๆ ให้ข้าซดอีกทัพพีมิได้หรือ?”เซียนเจี้ยนหวงมองทัพพีไม้ไผ่ในมือเฉินฝานด้วยสายตาละห้อย“ยังจะซดอีกงั้นหรือ?” เฉินฝานจ้องเขม็งไปที่เซียนเจี้ยนหวง “ถ้าขืนซดต่อไปอีกเจ้าก็คงจะอิ่มจนท้องแตกกันพอดี!”ทัพพีไม้ไผ่นี้ ตักได้ทีละครึ่งชั่งเชียวนะ“ใส่เกลือไปเพียงเล็กน้อย เอร็ดอร่อยเพียงนั้นจริงหรือ?”เฉินฝานพูดพึมพำ“แน่นอนว่าต้องอร่อยอยู่แล้วสิ!”อาศัยช่วงที่เฉินฝานกำลังพึมพำ เซียนเจี้ยนหวงก็แย่งทัพพีไม้ไผ่ไปจากมือเฉินฝานอีกครั้ง“ผู้เฒ่า เจ้า...”ตอนที่เซียนเจี้ยนหวงกลืนแกงปลาลงท้องไปอีกหนึ่งทัพพีเรียบร้อยแล้ว ท้องก็กลมป่อง ดูแล้วอิ่มเอมใจและรู้สึกมิสบายตัวเล็กน้อยเฉินฝานส่ายหน้าอย่างเหนื่อยหน่าย “ดูเจ้าสิช่างตะกละเสียจริง ตอนนี้ซดจนหนำใจแล้วกระมัง”“ฮี่ๆ!” เซียนเจี้ยนหวงแยกเขี้ย
ผ่านไปครู่เดียว เซียนเจี้ยนหวงก็สามารถเจาะรูที่กว้างประมาณห้าสิบเซนติเมตรบนพื้นน้ำแข็งได้“เจ้าหนุ่ม ใหญ่ขนาดนี้ใช้ได้หรือไม่?” เซียนเจี้ยนหวงหันหน้าไปถาม“ใช้ได้แล้ว รอให้ปลาว่ายมาแล้วกัน!”ระหว่างที่กล่าว เฉินฝานก็นั่งยองลงไปคนรอบข้างพากันชะเง้อคอดู แค่เจาะรูปลาก็จะว่ายมาเองงั้นหรือ?การจับปลาจะง่ายดายเช่นนั้นจริงหรือ?“มาแล้ว!”ตอนที่ฝูงชนกำลังสงสัย เฉินฝานก็ตะโกนลั่นทันทีเฉินฝานยื่นมือลงในน้ำ จับปลาแล้วก็โยนขึ้นไปบนฝั่งทีละตัว“แปะ!” ปลาหลีฮื้อหนักหกชั่งหนึ่งถูกโยนขึ้นมาบนพื้นน้ำแข็งเสียง “แปะ!” ดังขึ้นอีกครั้ง ปลาที่หนักห้าหกชั่งถูกเฉินฝานโยนขึ้นฝั่งอีกครั้ง ครั้งนี้เป็นปลาที่ตัวใหญ่เนื้อแน่น “ว้าว!”ทุกคนล้วนตื่นตกใจ ที่แท้การจับปลาง่ายเพียงนี้เชียวหรือ?“พวกเจ้าอย่ามัวแต่ยืนงงอยู่สิ เร็ว รีบไปจับปลาสิ!”“ข้าเอง!”เซียนเจี้ยนหวงนั่งย่อตัวลงไปคนแรกผู้เฒ่าชื่นชอบในการเล่นสนุกอย่างมาก เขามิได้ใช้กำลังภายใน บรรจงใช้มือจับปลาทีละตัว ช่างสนุกยิ่งนัก“ข้าก็จับได้หนึ่งตัวแล้วเช่นกัน!” จางเซิงถือปลาหลีฮื้อด้วยมือสองข้าง ยิ้มราวกับเด็กน้อย“นี่ ๆ ข้าก็จับได้เหมือนกัน
เพื่อเป็นการประหยัดแผ่นหนัง นางจึงทำถุงนอนให้มีขนาดค่อนข้างใหญ่ ถุงนอนหนึ่งผืน อย่างน้อยก็ซุกตัวได้เจ็ดแปดคนอย่างไรเสียอากาศก็หนาวเหน็บอยู่แล้ว เบียดเสียดอยู่ด้วยกันก็จะทำให้อุ่นขึ้นได้อีกด้วยนางจางนำปุยนุ่นในเครื่องนอนออกมาทำถุงนอนที่ยัดปุยนุ่นสองสามผืน ถุงนอนเหล่านี้เอาไว้ให้คนแก่และเด็กเล็กใช้ในตอนท้าย นางจางก็ยังเอาใจใส่ทำถุงนอนยัดนุ่นสำหรับสองคนให้เฉินฝานและฉินเย่ว์เจียวกระโจมสร้างเสร็จแล้ว ถุงนอนก็ทำเรียบร้อยแล้ว เตาไฟก็ก่อแล้วลำดับถัดไปก็เป็นเรื่องอาหารแล้วนี่เป็นปัญหาที่ทำให้คนกังวลใจที่สุดเดิมทีเสบียงอาหารก็เหลือเพียงกินไปได้มิกี่วันแล้ว หลังจากที่แผ่นดินไหว ก็ลดทอนลงไปอีก“คนขายเนื้อ!”เฉินฝานตะโกนลั่นทันที“นายท่าน ข้าอยู่นี้ขอรับ!”คนขายเนื้อที่ร่างกายสูงใหญ่วิ่งมาด้านหน้าเฉินฝาน“พกของมีคมทั้งหมดติดตัวมา ไปรวบรวมคนที่ร่างกายค่อนข้างกำยำ แล้วตามข้ามา”“ขอรับ!”“ทำไมล่ะ ครั้งนี้มิพาข้าไปด้วยรึ? เจ้ารังเกียจที่ข้าอายุมากแล้วงั้นหรือ?” เซียนเจี้ยนหวงสีหน้ามิพอใจเดินโซเซไปด้านหน้าเฉินฝาน“พาไปด้วยสิ!” เฉินฝานฉีกยิ้มกว้างเมื่อครู่เขาจงใจมิเรียก เพราะรอให้