“เฮ้อ!” เฉินต้ายาถอนหายใจแล้วส่ายหน้า“เมื่อก่อนข้ามักได้ยินท่านแม่บอกว่า ตั้งครรภ์ครั้งหนึ่งโง่เขลาสามปี ก่อนหน้านี้ข้าไม่เชื่อ ตอนนี้ข้าได้ยินสิ่งที่น้าสะใภ้พูด ข้าเชื่อแล้วจริงๆ น้าสะใภ้ อาการของท่านต้องรีบหาหมอรับยามาทาน มิเช่นนั้นวันข้างหน้าจะยิ่งอยู่ยิ่งโง่เขลาเจ้าค่ะ”“พี่สะใภ้เหลียนฮวา!” นางหลี่พูดกระซิบข้างหูจางเหลียนฮวา “คล้ายนางบอกว่าท่านโง่เขลา ทั้งยังป่วยต้องรีบรักษา”นางหลี่คิดว่าตนพูดเบา แต่ความเป็นจริงชาวบ้านได้ยินอย่างชัดเจน“ฮ่าๆ!”มีคนกลั้นหัวเราะไม่อยู่จางเหลียนฮวาอับอายจนโมโห “เฉินต้ายา เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”ในตอนนั้นทำให้เฉินเจียงหย่ากับจ้าวเสี่ยวหง เฉินต้ายาจะตกใจง่ายๆ เพราะจางเหลียนฮวาได้อย่างไร นางทั้งน้อยเนื้อต่ำใจทั้งเป็นผู้บริสุทธิ์“อาสะใภ้ ท่านโมโหทำไมเจ้าคะ หลานเป็นห่วงท่านจากใจจริง รีบหาหมอ รีบรักษา อย่าปล่อยทิ้งไว้เจ้าค่ะ”ในตอนนั้นจางเหลียนฮวาก็เป็นคนที่เอาชนะจ้าวเสี่ยวหงได้ เพียงไม่นานก็ใจเย็นลง ยิ้มบางๆ มองเฉินต้ายาแล้วเอ่ยถาม“เช่นนั้นเจ้าพูดมาสิ อาสะใภ้คนนี้ของเจ้าโง่เขลาอย่างไร?”เฉินต้ายาเองก็ยิ้มเช่นเดียวกัน ก่อนหน้านี้นางปูทางไว้
กระเบื้องและคานไม้ที่สั่งเมื่อหลายวันก่อนส่งมาถึงหมู่บ้านทั้งหมดแล้ว หลังจากมอบหมายเรื่องส่งปลาในทุกวันให้เฉินผิงและเฉียนลิ่วรับผิดชอบ เฉินฝานก็ง่วนอยู่กับการซ่อมบำรุงบ้านนอกจากบ้านของเขาแล้ว ยังมีบ้านของฉินเต๋อโห่ว ฉินเต๋อโห่วกลับเข้าไปอยู่บ้านหลังเดิมแล้วโชคดีที่มีแค่คนชราสองคน ปลูกบ้านสองหลังก็พออยู่อาศัยแล้ว มิเช่นนั้น ไม่พอทั้งเงินและเวลาเฉินฝานไปกลับระหว่างหมู่บ้านซานเหอและหมู่บ้านตระกูลฉินประมาณสิบกว่าวัน ในที่สุดก็ซ่อมบ้านเสร็จ ก่อนที่พายุหิมะใหญ่ปิดถนนจะเกิดขึ้นช่วงระยะเวลาที่ซ่อมบ้าน เฉินฝานและครอบครัวพักที่บ้านของเฉินผิง ในที่สุดวันนี้ก็ย้ายกลับไปแล้วหลังจากล้างหน้าแปรงฟันเสร็จเฉินเย่ว์ฉู่ขึ้นไปนอนบนแตกเป็นคนแรก นางกลิ้งตัวไปมาบนเตียงหลังใหม่ด้วยความดีใจช่วงเวลานี้ ท่ามกลางความรักของเฉินฝาน ฉินเย่ว์เจียวและฉินเย่ว์โหรวรวมถึงการมีเอ้อร์ยามาอยู่เคียงข้าง ทำให้ฉินเย่ว์ฉู่สดใสขึ้นมาก ในที่สุดนางก็ไม่มีอะไรแตกต่างจากเด็กสาววัยสิบขวบฉินเย่ว์โหรวขึ้นเตียงเป็นคนที่สอง นางนอนอยู่บนเตียง อ้าแขนทั้งสองข้างขึ้นพร้อมเงยหน้ามองเพดาน พูดด้วยความผ่อนคลาย “ในที่สุดก็กลับมาแล้
แม้พี่สาวทั้งสองไม่ได้พูดอะไร แต่จากการพูดคุยกับเอ้อร์ยาตลอดระเวลาที่ผ่านมานี้ ทำให้นางรู้ว่าพี่สาวทั้งสองคนที่นางเคยโกรธพวกนางที่ไม่มาช่วยตน แท้จริงแล้วก็ไม่มีชีวิตที่สุขสบายเท้าของพี่สี่ถูกทุบตีจนหัก ทั้งยังเกือบถูกขายให้หอนางโลมอี๋ชุนย่วนแม้พี่สามจะมีฝีมือด้านการต่อสู้ แต่ก็ไม่กล้าตอบโต้ ทำได้เพียงถูกทุบตีไปพร้อมกับพี่สี่ นางมักจะปกป้องพี่สี่ตอนโดนทุบตี ทำให้บาดแผลบนตัวนางมีมากกว่าพี่สี่แค่ว่านางแข็งแกร่งเท่านั้น จึงไม่พิการ“พวกพี่ๆ เมื่อก่อนข้าไม่ควรโกรธเคืองพวกท่าน เมื่อก่อนพวกท่านก็ไม่ได้มีชีวิตที่ดี”เมื่อฉินเย่ว์ฉู่พูด ฉินเย่ว์โหรวก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป น้ำตารินไหล ร้องไห้สะอึกสะอื้นเมื่อนางร้องไห้ ฉินเย่ว์ฉู่ก็ร้องไห้ตามขอบตาของฉินเย่ว์เจียวแดงก่ำ แต่นางดึงสติกลับมาได้อย่างรวดเร็ว“วันนี้พวกเราเท่ากับอยู่บ้านหลังใหม่ วันมงคลเช่นนี้ พวกเจ้ากลับร้องไห้เสียใจ ประเดี๋ยวนายท่านเห็นเข้า ต้องไม่พอใจแน่ๆ”ฉินเย่ว์เจียวอ้างชื่อเฉินฝาน ฉินเย่ว์โหรวและฉินเย่ว์ฉู่รีบเช็ดน้ำตาความเป็นจริงบทสนทนาของพวกเขา น้ำตาของพวกเขา เฉินฝานได้ยินและเห็นแล้วเขาล้างหน้าแปรงฟันเป็นคนสุดท้าย
“ถ้วยชามและตะเกียบในเรือนมีไม่มาก ทั้งยังเก่าควรซื้อชุดใหม่หนึ่งชุดเจ้าค่ะ”“ได้!”“แล้วก็ถังข้าวสารด้วยเจ้าค่ะ ก็ต้อง...”“เหตุใดพี่สี่เป็นคนพูดตลอดเลย ทางข้าก็มีสิ่งที่ต้องซื้อเหมือนกัน” ฉินเย่ว์ฉู่เบ้ปากด้วยความไม่สบอารมณ์“ได้ๆ เย่ว์โหรวเจ้าหยุดก่อน ถึงคราวของเสียวฉู่พูดแล้ว”เฉินฝานส่ายหน้าด้วยความจนปัญญา เด็กจริงๆ“นายท่าน ข้าจะซื้อตู้เสื้อผ้าเจ้าค่ะ ตอนนี้ในเรือนมีแค่อันเดียว ทั้งยังเก่าและเล็ก ใส่เสื้อผ้าได้ไม่กี่ตัวเท่านั้น”ฉินเย่ว์โหรวและฉินเย่ว์ฉู่เป็นคนซักผ้า แต่ตากผ้า เก็บผ้าและพับผ้างานสบายเช่นนี้ เป็นหน้าที่ของฉินเย่ว์ฉู่“อื้ม เสียวฉู่พูดถูก ต้องซื้อตู้เสื้อผ้าจริงๆ แต่ว่า...” เฉินฝานมองสามพี่น้อง “อันหนึ่งไม่พอ น้อยสุดต้องซื้อห้าอัน”“ห้าอัน?” สีหน้าของสามพี่น้องฉายความตกใจ “เยอะเกินไปแล้วกระมังเจ้าคะ”“นายท่าน แม้คุณภาพชีวิตของพวกเราตอนนี้จะดีขึ้น มีเงินเยอะขึ้นด้วย แต่ก็ไม่อาจใช้จ่ายเช่นนี้”ฉินเย่ว์โหรวจอมรักเงินเริ่มบ่น“ไม่มาก ตู้เสื้อผ้าห้าอัน อันหนึ่งเก็บพวกผ้าห่ม อีกสี่อัน พวกเราคนละหนึ่งอัน”“คนละหนึ่งอันหรือเจ้าคะ? พวกเราจะเอาเสื้อผ้ามากมายจากไห
“เจ้าจะเปลี่ยนธนูคันใหม่หรือไม่?”ฉินเย่ว์เจียวหันกลับมาขวับและจ้องเฉินฝานอยู่นานกว่าจะพูด“ข้า……ไม่อยากเปลี่ยน!”เมื่อก่อน เฉินฝานเตือนนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า เป็นผู้หญิงใช้ธนูอะไรกันเขาไม่อนุญาตให้นางสัมผัสธนูมาระยะหนึ่งแล้ว นางกังวลว่าเฉินฝานเพียงต้องการทดสอบนาง“ไม่เปลี่ยนจริงหรือ? เช่นนั้นก็ช่าง…...”“จริงหรือเจ้าคะ?” ฉินเย่ว์เจียวเกือบจะตะครุบเฉินฝานเฉินฝานก้มศีรษะลงเล็กน้อยและเห็นใบหน้าที่สวยงามของฉินเย่ว์เจียว ดวงตาที่เหมือนหยดน้ำของนางเต็มไปด้วยความคาดหวัง โหนกแก้มสองข้างแดงก่ำ รอบตัวเต็มไปด้วยลมหายใจที่มีชีวิตชีวาเฉินฝานอดไม่ได้จึงแตะปลายจมูกของฉินเย่ว์เจียวแผ่วเบา “จริงสิ”เขาไม่ใช่คนโบราณ ความคิดของเขาก็ไม่ได้ล้าหลังขนาดนั้น ผู้หญิงไม่สามารถร่ำเรียนหรือรู้ศิลปะการต่อสู้ได้ล้วนแต่เป็นสิ่งเพ้อเจ้อเมื่อก่อนเขาไม่อนุญาตให้นางใช้ เพราะนางระวังเขามากเกินไป ที่สำคัญก็มีนิสัยหุนหันพลันแล่น เขากลัวว่านางจะก่อปัญหาจึงไม่ให้นางใช้ตอนนี้ไม่ต้องกังวลแล้วสมัยโบราณแตกต่างจากสมัยปัจจุบัน บางทีก็มีสัตว์ป่าปรากฏตัว ประกบอกับสถานการณ์ในปัจจุบันไม่ดีและการรักษาความปลอดภัยก็ยุ่งเหยิ
“เช่นนั้นข้าขอปิ่นปักยาวดอกไม้มุกหนึ่งอันก็พอแล้ว”ใบหน้าที่อ่อนโยนและเรียบนิ่งของฉินเย่ว์โหรว แสดงไว้ด้วยรอยยิ้มอันแสนหวานคำว่า “ดอกไม้มุก” สามคำ เผยให้เห็นถึงความชอบในความงามของนาง“แค่ปิ่นยาวดอกไม้มุกหนึ่งอันได้อย่างไร? ข้าบอกแล้วว่าห้าอย่างก็ต้องมีห้าอย่างสิ”“นายท่านพูดถูก” ฉินเย่ว์ฉู่เอียงหัว ดวงตาไข่มุกสีดำจ้องไปที่ฉินเย่ว์ฉู่“พี่สี่ พี่เกิดมาสวยขนาดนี้ มีแค่ปิ่นยาวอย่างเดียวไม่พอจริง ๆ พี่ควรมีปิ่นระย้า ปิ่นสับ[footnoteRef:1] ปลอกแขนและสายคาดเอวพวกนี้ด้วย” [1: ปิ่นสับ คือ ส่วนหัวของปิ่นทำเป็นแผ่นทรงเหลี่ยมหรือทรงกลม] “ไม่ได้ ๆ ของเหล่านี้มีแต่บุตรีคนโตกับคุณหนูตระกูลร่ำรวยเท่านั้นถึงจะใช้ได้ ถ้าข้าใส่มันคงจะดูโอ่อ่าเกินไป”“อะไรที่ไม่เหมาะสม เรายังไม่ซื้อตอนนี้ อันไหนที่เหมาะสม พวกเจ้าค่อยซื้อพรุ่งนี้ วันหลังเมื่อพวกเรากลายเป็นตระกูลใหญ่ สิ่งที่เย่ว์ฉู่กล่าวถึงเหล่านั้นข้าจะชดเชยให้ทั้งหมด”คำพูดประโยคหลังของเฉินฝาน ไม่เพียงแต่พูดกับภรรยาของเขาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงตัวเขาด้วย“ซื้อสร้อยหยกและพลอยที่สวมใส่ตรงคอแบบเรียบง่ายให้กับเสียวฉู่เถอะเจ้าค่ะ” ฉินเย่ว์โหรวกล่า
“อืม”เสียงงึมงำที่เกียจคร้านและละเอียดอ่อนดังมาจากอ้อมแขนของเฉินฝาน และมีสิ่งนุ่มนวลและอบอุ่นกำลังดิ้นเล็กน้อยอยู่ในอ้อมแขนของเขาทันทีที่เฉินฝานเคลื่อนไหว เสียงงึมงำดังขึ้นต่อเนื่องพร้อมกับขยับตัวเข้าไปในอ้อมแขนและทิ้งศีรษะลงบนแขนของเขาตามมาด้วยกลิ่นหอมสดชื่นแตะที่ปลายจมูกนี่คือ......“หนาว~” เป็นเสียงพึมพำที่แผ่วเบาและอ่อนโยนเป็นเสียงของฉินเย่ว์โหรวหืม?ทำไมนางถึงนอนในอ้อมแขนของเขา?เฉินฝานถอยตัวออกเล็กน้อยตามสัญชาตญาณ พยายามคิดว่าเกิดสิ่งใดขึ้นปรากฏว่า เมื่อเขาเพิ่งถอยตัว…...เท้าเล็ก ๆ ข้างหนึ่งก็พาดจากอีกข้างขึ้นมาอยู่บนท้องของเขาเฉินฝานหันกลับมาก็พบว่ามีหัวเล็กปุกปุยอยู่ตรงหน้าเด็กอายุสิบขวบจะมีท่านอนที่ดีได้อย่างไร ขาข้างหนึ่งพาดอยู่บนท้องของเฉินฝาน จากนั้นขาอีกข้างหนึ่งก็พาดขึ้นไปอีกทั้งตัวอยู่ในแนวนอนอย่างสมบูรณ์ ท่านอนนั้นเผด็จการยิ่งนัก“เสียวฉู่ อย่าขยับสิ!”ฉินเย่ว์เจียวที่อยู่ริมสุดตีฉินเย่ว์ฉู่หนึ่งทีแล้วหันหลังกลับไปนอนต่อ“นายท่าน!”ฉินเย่ว์เจียวที่เพิ่งหันกลับไปพลันลุกขึ้นนั่งเมื่อพบว่าน้องสาวนอนหลับในสภาพระเกะระกะบนตัวเฉินฝาน นางก็แสดงสีห
เมื่อพูดถึงเรื่องของชายและหญิง พี่น้องสองสามคนนี้ แต่ละคนขี้กลัวและขี้อายกว่าอีกคนหนึ่งช่างเถอะ ไม่หยอกล้อพวกนางแล้วเฉินฝานลงจากเตียงเตาก่อน เมื่อหันกลับมาก็พบว่าพี่น้องสองสามคนนั้นยังอยู่ในท่าเดิม“ท้องฟ้าสว่างหมดแล้ว จะไม่ไปซื้อของใช้ในเรือนกับเครื่องประดับใหม่ที่ตัวอำเภอแล้วหรือ? ยังนั่งอยู่ทำไม ยังไม่รีบมาช่วยข้ามัดผมอีก”ในสมัยโบราณผู้ชายทุกคนไว้ผมยาว แม้ว่าเดินทางผ่านกาลเวลามานานขนาดนี้ เขาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีในความเป็นจริง ไม่ใช่แค่เฉินฝานเท่านั้นที่มัดผมไม่เป็น ผู้ชายส่วนใหญ่ในราชวงศ์ต้าชิ่งก็มัดผมไม่เป็นผู้ชายในราชวงศ์ต้าชิ่ง ก่อนแต่งงานแม่เป็นผู้มัดผมให้ หลังจากแต่งงานแล้วภรรยาเป็นผู้มัดให้หากเฉินฝานตื่นเช้า เขาจะมัดมันด้วยเชือกแบบสบาย ๆ และรอกระทั่งพี่น้องตระกูลฉินตื่น จากนั้นถึงขอให้พวกนางช่วยมัดผมให้เขาอีกที“นายท่าน ข้าจะไปเดี๋ยวนี้!”ฉินเย่ว์โหรวลุกออกจากเตียงเตาด้วยความตื่นตระหนก หากเฉินฝานจับนางไม่ทัน นางคงล้มฟาดพื้นแล้ว“ระวัง” เฉินฝานก้มศีรษะลงและเตือนไม่ต้องมองก็รู้ว่าใบหน้าเล็กของคนในอ้อมแขนคงแดงระเรื่ออีกครั้งเป็นแน่“ขอบคุณนายท่านเจ้าค่ะ”เสียง
“อะไรนะ!?”“ตอนนี้องค์หญิงเสี่ยวฉู่พาฝ่าบาทไปที่ประตูอู่แล้วขอรับ เจ้าสิ่งนั้น ปะ ปะ...”“ปืนไรเฟิล”“ใช่ ๆ ปืนไรเฟิล ปากกระบอกปืนไรเฟิลจ่อพระเศียรของฝ่าบาทอยู่เลยขอรับ!”“หา นี่เป็นเพราะอะไรกัน?”บรรดาพี่สาวน้องสาวตระกูลฉินได้ยินข่าวขึ้นมา“กราบทูลบรรดาองค์หญิง ข้อเรียกร้องขององค์หญิงเสี่ยวฉู่คืออยากให้ท่านอัครเสนาบดีกับฝ่าบาทอภิเษกสมรสกันเดี๋ยวนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ”“เหลวไหล!”เฉินฝานพุ่งตัวออกไปราวกับพายุเวลานี้บรรดาพี่น้องตระกูลฉินที่เพิ่งแสดงท่าทีรีบร้อนทำหน้าร้อนใจกลับมีสีหน้าแจ่มใส ถึงขนาดที่นั่งลงปรึกษาหารือกันฉินเย่ว์โหรว “พี่หญิงรอง ท่านมีฝีมือดี ท่านรีบไปขวางอยู่ที่หอด้านบนประตูอู่ อย่าให้นายท่านลงมา” ฉินเย่ว์เจียว “ไม่มีปัญหา พอถึงเวลานั้นข้าจะเรียกน้องหวั่นเอ๋อร์ นายท่านหนีไม่รอดแน่”ฉินเย่ว์ฉิน “เช่นนั้นข้าจะให้พี่น้องในวังเซียวเหยาก่อนหน้านี้ไปเดินเล่นแถว ๆ ประตูอู่ให้หมดเลย จะต้องครึกครื้นเป็นแน่ รับรองว่าพี่น้องทหารองครักษ์พวกนั้นจะต้องมองสาวงามอย่างไม่หวาดไม่ไหว”สามพี่น้อง “ความปรารถนาของเสี่ยวฉู่ พวกเราในฐานะพี่สาวจะต้องช่วยอย่างเต็มที่!”เมื่อมองถนนละแวกป
“ข้าไม่ได้ขัดขืนจริง ๆ” เย่ลวี่เลี่ยก้มหน้าลง ชายสูงแปดฉื่อทำสีหน้าที่เต็มไปด้วยความท้อแท้ใจ เขาอยากขัดขืนอยู่แล้ว แต่ฉินเย่ว์ฉู่ไม่ได้ให้โอกาสนั้นกับเขาเลยตอนที่ฉินเย่ว์ฉู่บุกเข้ามาในกระโจมใหญ่ของเย่ลวี่เลี่ย ก็ยิงปืนกำจัดองครักษ์ของเย่ลวี่เลี่ยก่อนพูดแล้วก็น่าอับอาย เย่ลวี่เลี่ยที่เคยผ่านศึกมาอย่างโชกโชนตกใจกลัวรูเลือดตรงกลางหน้าผากขององครักษ์ เขาไม่เคยเห็นอาวุธที่รวดเร็วขนาดนี้มาก่อนเลยได้ยินแค่เสียงดังปัง หน้าผากขององครักษ์ก็มีรูเลือดใหญ่ขนาดนี้แล้ว ความเร็วที่แม้แต่เทพเซียนก็ทำไม่ได้ ความแม่นยำที่แม้แต่เทพเซียนก็ยังทำไม่ได้ในตอนที่ฉินเย่ว์ฉู่ยกปืนขึ้นแล้วลั่นไกอีกครั้ง เมื่อเย่ลวี่เลี่ยได้ยินเสียง เขาก็ตกใจจนสลบไปทันที หลับไปตื่นหนึ่งถึงค่อยพบว่าฉินเย่ว์ฉินยิงใส่หมวกเล็กของเขาเท่านั้นตกใจสาวน้อยจนสลบไป ไม่ว่าสือจิ่งซานผู้นี้จะถามอย่างไร เย่ลวี่เลี่ยก็ไม่บอกเขา .....ในคืนที่เย่ลวี่เลี่ยถูกจับ ข่าวก็ไปถึงเมืองหลวงแล้ว “เครื่องอัดเสียงพลังงานแสงอาทิตย์ เครื่องเสียง...” ขณะที่ฉินเย่ว์เหมยอ่านคำเหล่านี้ก็ถามเฉินฝานด้วยความมึนงงว่า “จดหมายของเสี่ยวฉู่บอกว่า นางแค่อาศ
“นางไม่รู้หรือว่าพวกเราไม่อยากลงมือจริงจัง?” “พอไปถึงค่ายทหารของชาวหู ไม่ใช่แค่โดนฆ่าธรรมดาแบบนั้นหรอกนะ” ชาวหูไม่มีทางปล่อยสตรีชาวต้าชิ่งใด ๆ ที่ตกอยู่ในมือพวกเขา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสตรีชาวต้าชิ่งที่หน้าตางดงามฐานะสูงศักดิ์อย่างฉินเย่ว์ฉู่ พฤติกรรมของพวกเขาใช้คำว่าเดรัจฉานมาอธิบายยังไม่พอเลย สือจิ่งซานสะบัดแขนเสื้อ “พอได้แล้ว สตรีนางเดียวไม่มีค่าพอให้เราต้องใส่ใจหรอก นางอยากตายก็ปล่อยนางไปเถิด โจวจวี่ เจ้าส่งคนไปบอกเยลวี่เลี่ยว่าให้พวกเขาเหลือศพไว้ครบถ้วน ข้าจะซื้อศพไว้ใช้ประโยชน์” ไม่ต้องให้สือจิ่งซานรอนานเกินไป วันรุ่งขึ้นทหารลาดตระเวนก็มารายงาน “ว่าไงนะ? เยลวี่เลี่ยมาด้วยตนเอง?”“ท่านแม่ทัพใหญ่ หากพูดให้ตรงคือเยลวี่เลี่ยโดนฮูหยินเล็กของท่านอัครเสนาบดีจับกุมมาขอรับ”“เจ้าพูดอีกทีสิ?”ทหารลาดตระเวนพูดซ้ำถึงสามรอบเต็ม ๆ สือจิ่งซานก็ยังไม่เชื่อไม่ใช่แค่สือจิ่งซานที่ไม่เชื่อ ต่อให้เป็นผู้ถูกจับกุมอย่างเยลวี่เลี่ยก็ไม่เชื่อเช่นกัน เขาจะโดนสตรีนางเดียวจับกุมได้อย่างไรยิ่งไปกว่านั้นสตรีผู้นี้ยังอายุน้อย พาทหารหญิงรุ่นราวคราวเดียวกันมาแค่ร้อยกว่าคนเมื่อฉินเย่ว์ฉู่พาเยลวี่เล
สือจิ่งซานยกมุมปากยิ้มคลุมเครือ “แปรพักตร์อันใดกัน ฝ่าบาทกับท่านอัครเสนาบดีเห็นอกเห็นใจกองทัพหมาป่าเรา จึงส่งสะใภ้คนเล็กมา เช่นนั้นกองทัพหมาป่าเราย่อมต้องต้อนรับสะใภ้ท่านนี้ให้ดี ๆ”“แม่ทัพใหญ่กล่าวถูกต้อง พวกเราต้อง ‘ต้อนรับ’ ให้ดี ๆ!” โจวจวี่พูดคล้อยตามทันที ไม่นานนักก็มีคำสั่งจากในกระโจมใหญ่ ให้ทหารแม่ทัพทั้งหมดของกองทัพหมาป่าเปลือยท่อนบนยุคโบราณที่จารีตเคร่งครัดอย่างยิ่ง การเปลือยท่อนบนเช่นนี้เป็นพฤติกรรมดูหมิ่นไม่ให้ความกียรติสตรีอย่างรุนแรงยิ่งกว่านั้นฉินเย่ว์ฉู่เป็นภรรยาเอกของอัครเสนาบดีขั้นหนึ่ง องค์หญิงแห่งต้าชิ่ง พระขนิษฐาแท้ๆ ของฮ่องเต้หญิงหากฉินเย่ว์ฉู่เป็นเพียงสตรีทั่วไปในยุคนี้ เกรงว่ามีแต่จะตกใจจนมือไม้อ่อนไปหมดทหารแม่ทัพทั้งหมดของกองทัพหมาป่าเปลือยท่อนบนออกจากกระโจม รอดูท่าทางตกใจกลัวจนร้องไห้โฮยกใหญ่ของฉินเย่ว์ฉู่“ผู้ชายมากมายถึงเพียงนี้ข่มขู่เด็กสาวคนเดียวจะไม่เกินไปหน่อยหรือ” มีบางคนรู้สึกว่าแบบนี้ไม่ค่อยดีนัก แต่คำพูดของเขาก็โดนคนอื่นสวนกลับทันที “เกินไปอันใดเล่า เฉินฝานเป็นคนส่งมา ให้เขาหยามพวกเราได้เท่านั้น แต่ไม่ยอมให้พวกเราตอบโต้คืนหรือ? เปลือย
เย่ว์หนูได้รับบาดเจ็บในระหว่างที่ปกป้องเฉินฝานครั้งหนึ่ง ร่างกายของนางตอนนี้จึงไม่แข็งแรงเหมือนเมื่อก่อน เดิมทีเฉินฝานอยากให้หวงหวั่นเอ๋อร์ตามฉินเย่ว์ฉู่ไป มีหวงหวั่นเอ๋อร์อยู่ อย่างน้อยที่สุดก็ไม่มีปัญหาเรื่องความปลอดภัยของฉินเย่ว์ฉู่ ผลปรากฏว่าฉินเย่ว์ฉู่ปฏิเสธแม้กระทั่งหวงหวั่นเอ๋อร์ด้วยฉินเย่ว์ฉู่พาทหารหญิงไปหนึ่งร้อยกว่าคน มุ่งตรงสู่ทางเหนือ บุกไปยังกองทัพหมาป่าอย่างกล้าหาญ “เจ้าปล่อยให้นางไปเช่นนี้หรือ?” คนที่ตำหนิเฉินฝาน ไม่ใช่แค่พี่น้องตระกูลฉินทั้งสามคนในจวนสกุลเฉิน แม้แต่ฉินเย่ว์เหมยที่อยู่ในวังหลวงก็รีบออกมาเช่นกันนางคิดว่าไม่ว่าอย่างไร อย่างน้อยที่สุดเฉินฝานต้องให้ฉินเย่ว์ฉู่นำกองพลมือปืนไป“เย่ว์ฉู่เป็นน้องเล็กของพวกเจ้า น้องเล็กของพวกเจ้ามีนิสับแบบไหน พวกเจ้าไม่รู้เลยหรือไร?” คำพูดประโยคเดียวของเฉินฝานทำให้พวกนางสำลักแล้วแม้ว่าฉินเย่ว์ฉู่จะเป็นน้องเล็กสุดในตระกูลฉิน ทว่าตั้งแต่เด็กจนโต นางมีความคิดของตัวเองมากที่สุด ขอเพียงเป็นเรื่องที่นางตัดสินใจแล้ว ไม่มีใครสามารถทำให้นางเปลี่ยนใจได้“แต่ว่า...” ฉินเย่ว์โหรวที่เป็นคนกังวลใจมากที่สุด ขมวดคิ้วมุ่น ดูกลัดกล
การปรากฏตัวของนาง ทำให้ทุกคนรู้สึกปีติยินดีกันมากแต่ฉินเย่ว์เจียวกลับถลึงมองสตรีผู้นั้น “พอได้แล้ว เสี่ยวฉู่เจ้าเด็กตัวแสบ แสร้งทำตัวเป็นผู้ใหญ่อันใด ยังไม่รีบเข้ามาอีก?” ฉินเย่ว์ฉู่ขี่ม้าเข้ามา ขณะที่นางผ่านฉินเย่ว์เจียวยังไม่ลืมเถียงกลับว่า “พี่หญิงรอง ข้าอายุยี่สิบแล้ว เป็นผู้ใหญ่ตั้งนานแล้วนะ”ฉินเย่ว์เจียวเชิดหน้าขึ้นสูง “ไม่ว่าเจ้าจะอายุเท่าไหร่ ถึงอย่างไรในสายตาข้า เจ้าก็เป็นเด็กตลอดกาล” ฉินเย่ว์ฉู่ควบม้าตรงมาหาเฉินฝาน แล้วฟ้องเขาว่า “นายท่านดูสิเจ้าคะ พี่หญิงรองรังแกข้าอีกแล้ว นางรังแกข้ามาตลอด ท่านไม่จัดการนางบ้างหรือ?”เฉินฝานมองฉินเย่ว์ฉู่ที่สดใสมั่นใจในตัวเองตรงหน้า ภาพที่เขาเห็นฉินเย่ว์ฉู่ครั้งแรกเมื่อสิบปีก่อนฉายขึ้นมาในสมอง เกิดความรู้สึกราวกับว่าเวลาผ่านไปชาติหนึ่งเด็กสาวที่ขี้กลัวในวันวาน บัดนี้กลายเป็นโฉมสะคราญที่มีสง่าราศี เฉินฝานรู้สึกภาคภูมิใจเล็กน้อย“เหตุใดที่กลับมาตอนนี้ ไม่ต้องเข้าเรียนแล้วหรือ?” เฉินฝานถามตั้งแต่ฉินเย่ว์ฉู่อายุสิบห้า เฉินฝานก็ส่งนางไปเรียนที่โรงเรียนสตรีในเมืองเซียนตู“นายท่าน ข้าน้อยเรียนจบแล้วเจ้าค่ะ”“เรียนจบแล้ว?”“ข้าน้อยเ
วันนี้เป็นวันหยุดพักผ่อน ซึ่งทั้งเดือนจะมีเพียงวันเดียวเท่านั้น นี่เป็นวันที่หาได้ยาก ในฐานะที่ฉินเย่ว์โหรวเป็นภรรยาเอกที่ดูแลบ้านย่อมไม่ปล่อยให้หลุดมือไปง่าย ๆ นางได้เตรียมการไว้ล่วงหน้าหลายวันแล้วว่าวันนี้พวกเขาจะไปเที่ยวเล่นกินอาหารที่ชานเมืองกันทั้งครอบครัวนี่เป็นสิ่งที่เฉินฝานเสนอขึ้นเมื่อหลายปีก่อน หลังจากครั้งนั้น ฉินเย่ว์โหรวก็หลงใหลอยู่สุดซึ้ง ขอเพียงเฉินฝานมีวันหยุด นางจะต้องออกไปให้ได้สถานที่เที่ยวเล่นกินอาหารกันในครั้งนี้มีทิวทัศน์งดงามราวกับภาพวาดเหมือนเช่นเคยเฉินฝานนั่งอยู่บนเก้าอี้พนักพิง กินผลไม้มองบุตรชายบุตรสาวเล่นกันอย่างสนุกสนานบนทุ่งหญ้า ส่วนบรรดาภรรยาก็ยุ่งอยู่กับการเตรียมอาหารกลางวันกลิ่นอาหารที่เฉินฝานชอบลอยอยู่ในอากาศอาหารของพวกเขาทั้งหมดเป็นรูปแบบยุคปัจจุบัน เนื้อแกะย่างทั้งตัว สเต๊กซี่โครงย่าง หมูสามชั้นย่าง ปีกไก่ย่าง กระดูกอ่อนย่าง... ยังมีหม้อไฟทะเล และผลไม้แช่เย็นต่าง ๆ นานา“อืม~” เฉินฝานสูดจมูก แล้วแค่นเสียงเบา ๆ ด้วยความพึงพอใจ เขาหลับตาพักผ่อน พักผ่อนสักพักก็เริ่มกินได้แล้ว“ฮี่!”เฉินฝานเพิ่งจะนอนหลับก็ตกใจตื่นกับเสียงร้องฮี่ของม้า “
หลังจากสือจิ่งซานควบคุมกองทัพหมาป่า เขาก็เปลี่ยนตัวแม่ทัพก่อนหน้านี้ทั้งหมด ตอนนี้ทหารเหล่านี้ล้วนเชื่อฟังสือจิ่งซานเท่านั้น“ใครบังอาจวิจารณ์ฝ่าบาทและท่านอัครเสนาบดีที่นี่?”สือจิ่งซานตวาดอย่างเย็นชา เขาเดินแหวกแม่ทัพเหล่านั้นพร้อมกับเอ่ยวาจา หลังจากนั้นก็หันกาย สายตากวาดมองไปบนร่างแม่ทัพเหล่านั้นห“ข้าน้อยไม่บังอาจวิจารณ์ เดิมทีสิ่งที่ข้าน้อยพูดก็เป็นความจริง หากไม่มีกองทัพหมาป่าของเรา ไม่มีท่านแม่ทัพใหญ่ ต้าชิ่งจะสงบสุขเหมือนทุกวันนี้ได้อย่างไร เวลานี้กลับให้เฉินฝานผู้นั้นยึดความดีความชอบทั้งหมดไว้เพียงผู้เดียว” “ถูกต้อง พวกเรารู้สึกว่าไม่ยุติธรรมกับท่านแม่ทัพใหญ่เลย”แม้ว่าเสียงของพวกแม่ทัพจะเบาลงแล้ว แต่ความโกรธเกรี้ยวและความไม่พอใจในคำพูดกลับยิ่งรุนแรงขึ้น “เหลวไหล เดิมทีความสงบสุขของต้าชิ่งก็เป็นหน้าที่ของกองทัพหมาป่าเรา ในฐานะที่ข้าเป็นแม่ทัพใหญ่ของกองทัพหมาป่ายิ่งต้องทำเช่นเดียว ต่อไปหากมีใครกล้าบังอาจวิจารณ์ฝ่าบาทกับอัครเสนาบดีอีก ลงโทษโบยด้วยไม้พลองทหาร!”“ท่านแม่ทัพใหญ่...”“ทหาร!” สือจิ่งซานตัดบทคนผู้นั้น “นำตัวสวี่ต๋าออกไปโบยด้วยไม้พลองทหารห้าสิบที!” ไม่นานนัก
ตอนนี้น่าจะถือว่ารักษาสัญญาแล้วกระมังฉินเย่ว์เหมยรับประทานอาหารค่ำที่จวนสกุลเฉิน พี่น้องทั้งห้าคุยเล่นกันในห้องจนดึกดื่น หลี่เต๋อฉวนเร่งอยู่หลายครั้ง ฉินเย่ว์เหมยถึงค่อยอำลาบรรดาน้องสาวของตนด้วยความอาลัยอาวรณ์“พี่หญิงใหญ่ ท่านถอนรับสั่งได้หรือไม่?”เมื่อเห็นฉินเย่ว์เหมยกำลังจะจากไป ฉินเย่ว์ฉินก็รีบเอ่ยขึ้นมา“รับสั่งใดเล่า?” ฉินเย่ว์เหมยหันหน้ากลับมาถาม“ก็เรื่อง ก็เรื่อง...” เสียงของฉินเย่ว์ฉินแผ่วเบา หน้าแดงเล็กน้อย “เข้าหอในวันนี้”แม้ยามนี้ฉินเย่ว์ฉินไม่รังเกียจเฉินฝานแล้ว แต่นางยังไม่ได้เตรียมใจแต่งงานกับเฉินฝาน “เหตุใดต้องถอนคืนด้วย เจ้าเองก็อายุไม่น้อยแล้ว ควรจะมีทายาทให้สามีของเจ้าได้แล้ว เช้านี้ข้าตรวจดูปฏิทินโหรแล้ว วันนี้เป็นวันดี ไม่อนุญาตให้ปฏิเสธอีก”นี่ก็คือการปราบปรามโดยสายเลือด ก่อนที่ฉินเย่ว์เหมยจะมา พวกฉินเย่ว์เจียวไม่อาจเอ่ยถึงเรื่องเข้าหอได้เลย เวลานี้เมื่อฉินเย่ว์เหมยเอ่ย ฉินเย่ว์ฉินไม่อาจโต้แย้งได้แม้แต่คำเดียว “ยังจะว่าข้าอีก ท่านก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ ไม่ใช่ว่าท่านเองก็หาเหตุผลต่าง ๆ เพื่อหนีนายท่านหรือไร” ขณะที่ฉินเย่ว์เหมยหันกายเดินจากไป ฉินเย่ว์ฉ