หลังคาเป็นกระเบื้อง แต่ปูไว้บางมากและมีกระเบื้องหลายแผ่นที่ผุพัง วันที่ฝนตก ข้างนอกฝนตกหนัก ข้างในฝนตกโปรยปรายแน่นอนเมื่อถึงฤดูร้อน ทนสักหน่อยเดี๋ยวก็ผ่านไป แต่เมื่อถึงฤดูหนาวคงลำบากไม่น้อย เรือนที่มีช่องลมเต็มไปหมดนี้ต้องหนาวแน่ ๆไม้เน่าบางส่วนถูกนำมาทำเป็นรั้วรอบบ้าน เมื่อมองผ่านรั้วจะเห็นลานสวนที่เป็นหลุมเป็นบ่อมุมหนึ่งของสวน เสื้อผ้าสองสามชิ้นที่ตากไว้ก็เป็นเสื้อผ้าที่มีการปะอีกสองหลังที่อยู่ติดกับเรือนอิฐดินหลังนี้ดูดีกว่ามากแม้ว่าจะเป็นเรือนทำจากอิฐดินทั้งหมด แต่ก็เป็นของใหม่ กระเบื้องบนหลังคาก็ปูไว้อย่างหนากระเบื้องเหล่านั้นไม่ดีเท่ากับที่เฉินฝานสั่งกับโรงเผา คงเผาด้วยตนเองท่าทางของสามพี่น้องตระกูลฉิน ไม่มีการเปลี่ยนแปลงมันคงเป็นแบบนี้ตั้งแต่ก่อนออกเรือนฉินเย่ว์โหรวผลักประตูที่ทำจากไม้กระดานเก่าหลายแผ่นฉินเย่ว์เจียวเดินเข้าไปคนแรก“ท่านปู่ ท่านย่า!”ฉินเย่ว์โหรวกับฉินเย่ว์ฉู่เดินตามเข้าไป และเอ่ยเรียกท่านปู่กับท่านย่าเหมือนกันไม่มีใครตอบพวกนาง ภายในเรือนเงียบสงบฉินเย่ว์ฉู่ที่มือเท้าว่องไววิ่งดูห้องสามห้องในพริบตาเดียว “ท่านปู่กับท่านย่าไม่อยู่ที่เรือน!”
ฉินเต๋อโห่วและนางไป๋ไม่เคยเห็นเฉินฝานมาก่อน ตอนนั้นทางการส่งสามพี่น้องไปที่หมู่บ้านซานเหอโดยตรงหลังจากสามพี่น้องไปถึงหมู่บ้านซานเหอ หากไม่ได้รับอนุญาตจากหลานเขย ประกอบกับครอบครัวยังขาดแคลนเงินมากและไม่มีของอะไรให้ คนชราสองคนจึงไม่เคยไปหมู่บ้านซานเหออยากเห็นหลานสาว ทำได้เพียงอดทนเมื่อไปหาไม่ได้ ก็ถามไถ่จากคนหลายคนเมื่อได้ยินว่าฉินเย่ว์ฉู่ไม่อยู่ในหมู่บ้านซานเหออีกต่อไป นางไป๋ร้องไห้จนเป็นลมพวกเขาเข้าใจดี ถ้าไม่อยู่ในหมู่บ้านซานเหอก็แสดงว่าถูกเฉินฝานขายแล้วทุกวันนี้ ผู้ชายขายภรรยานั้นเป็นเรื่องปกติที่พบได้ทั่วไปดังนั้น เมื่อฉินเต๋อโห่วเห็นฉินเย่ว์ฉู่ เขาจึงตื่นเต้นมากฉินเต๋อโห่วกลัวนางไป๋เสียใจ จึงไม่กล้าถามข่าวคราวอีกภายหลัง เขาทนคำวิงวอนของนางไป๋ไม่ไหว หลังผ่านไปครึ่งปีฉินเต๋อโห่วเริ่มถามไถ่อีกครั้ง แต่ผลลัพธ์ที่ได้รับในครั้งนี้คือเฉินฝานไม่ให้ฉินเย่ว์เจียวและฉินเย่ว์โหรวกินข้าว และยังทุบตีฉินเย่ว์โหรวจนขาหักหลังจากได้ยินข่าว นางไป๋ถึงกระทั่งล้มป่วยอาการหนัก หากฉินเต๋อโห่วไม่บอกนางว่าถ้านางจากไปตอนนี้ เมื่อหลาน ๆ ของนางกลับมาแล้วไม่เห็นนาง พวกนางคงจะเสียใจมากที่จา
“ท่านย่า พี่สามไม่ได้หลอกลวงท่าน” ฉินเย่ว์โหรวรีบอธิบายทันที “ตอนนี้นายท่านไม่เฆี่ยนพวกข้าแล้ว แถมยังหาเงินได้มากขึ้นอีกด้วย ท่านย่า ท่านดูสิ!”ฉินเหย่ว์โหรวกระชับเสื้อนวมนุ่มยัดฝ้ายละเอียดบนร่างกายให้เข้าหาตัวน้ำเสียงของนางฟังดูผ่อนคลายและมีความสุขมาก“เนื้อผ้าของเสื้อตัวนี้เป็นฝ้ายใยละเอียดอย่างดี เป็นเสื้อที่นายท่านเพิ่งซื้อให้พวกข้า ไม่เพียงแค่บนตัวของข้าเท่านั้น เสื้อผ้าบนตัวของพี่สามและน้องโหรวต่างก็ทำจากเนื้อผ้าใหม่เอี่ยมประเภทนี้ทั้งสิ้น”“ฝ้ายใยละเอียดเช่นนั้นหรือ?”“ใช่ ท่านย่า ท่านดูสิ!”สายตาของนางไป๋ค่อนข้างพร่ามัว ฉินเย่ว์โหรวจึงยกแขนขึ้นมาตรงหน้าของนาง ในขณะที่นางไป๋กำลังเพ่งพินิจอยู่นั้น จู่ ๆ ก็ถูกฉินเต๋อโห่วที่เดินเข้ามาตัดบทเสียอย่างนั้นในมือของฉินเต๋อโห่วถือถุงผ้าที่เต็มไปด้วยรอยเย็บปะใบหนึ่ง เดินเข้ามาหยุดยืนตรงหน้าเฉินฝาน จากนั้นก็ยื่นถุงผ้าที่เต็มไปด้วยรอยเย็บปะนั้นให้เขาเฉินฝานมองถุงผ้าด้วยสีหน้าสงสัยและไม่ยอมยื่นมือออกไปรับฉินเย่ว์โหรวยืนขึ้นด้วยสายตาคมกริบ “ท่านปู่ ตอนนี้ในบ้านของพวกข้ามีข้าวสารมากพอแล้ว ท่านไม่ต้องเอามาให้พวกข้าแล้วล่ะ”ฉินเต๋อโ
“พวกเจ้าเร่งมือหน่อย ข้าได้ยินมาว่าพวกเขาเข้ามาในบ้านแล้ว!”เสียงของฉินเต๋อโห่วยังไม่ทันสิ้นสุด ก็มีเสียงสาปแช่งด่าทอดังมาจากข้างนอก ตามมาด้วยการปรากฎตัวของบุรุษสองคนและสตรีสองคนในมือของพวกเขามีทั้งไม้คานหาบ พลั่วขุดดิน ไม้กวาด ไปจนถึงมีดทันทีที่เข้ามาก็จ้องเขม็งไปยังเฉินฝานด้วยสายตาดุดันโหดร้ายฉินเย่ว์เจียวปกป้องน้องสาวทั้งสองคนไว้ด้านหลังด้วยสัญชาตญาณ“ท่านลุง ท่านป้า.......”“ใครคือลุงและป้าของเจ้า!”สิ้นสุดเสียงของฉินเย่ว์เจียว บุรุษที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดในบรรดาทั้งสี่คนก็ตะโกนด่าเสียงดังเขาคือลุงรองของพี่น้องตระกูลฉิน ฉินไฉจิน“หญิงที่เกิดมาก็เลี้ยงเสียข้าวสุกอย่างพวกเจ้า ใครใช้ให้กลับมาไม่ทราบ รีบไสหัวออกไปจากบ้านของข้าเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้น.....”“ไม่อย่างนั้นจะทำไม?”เฉินฝานพูดต่อจากคำพูดของฉินไฉจินด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย“อย่างไรเล่า?” ฉินไฉจินแกว่งมีดทำครัวในมือไปมา“ไฉจิน”ฉินเต๋อโห่ววิ่งมาตรงหน้าของเฉินฝาน รีบอธิบายให้กับฉินไฉจินเข้าใจ “พวกเขาแค่คิดถึงพวกข้า กลับมาเยี่ยมพวกข้าเท่านั้น”“เยี่ยมพวกท่านเช่นนั้นหรือ?” นางเย่ภรรยาของฉินไฉจินเค้นเสียงออกมา ก่อนจะกล
เฉินฝานกำเหรียญทองแดงห้าเหรียญไว้ในมือแน่น นี่คือเหรียญทองแดงที่ฉินเต๋อโห่วยัดใส่มือของเขา เขายังไม่ทันจะคืนให้อีกฝ่าย คนพวกนี้ก็ถลันเข้ามาเสียก่อนนางเย่ชำเลืองมองมือของเฉินฝาน นัยน์ตาพลันฉายแววโลภออกมา “เงิน ต้องเป็นเหรียญเงินแน่ ๆ!”นางเดินเข้าไปหมายจะแย่งมันมาจากมือของเฉินฝาน“เจ้าจะทำอะไร?”น้ำเสียงของเฉินฝานเรียบเฉย แต่นัยน์ตากลับคมกริบดุจมีดนางเย่ที่ดูโอหังและเย่อหยิ่งพลันหยุดชะงัก จากนั้นก็มองเฉินฝานอยู่ที่เดิมไม่กล้าก้าวเท้าต่อสายตาของชายผู้นี้น่ากลัวยิ่งนักแม้ว่าร่างกายจะไม่ขยับ แต่ปากกลับไม่ยอมแพ้ ยังคงพล่ามวาจาเหน็บแนมออกมา“บางคนอายุยังไม่ถึงยี่สิบปี ทั้งยังหนุ่มยังแน่น แต่ดันมีภรรยาอายุเท่ากันหลายคน จนเลี้ยงดูไม่ไหว ถึงได้บากหน้ากลับมาขอเงินจากสองเฒ่า ถ้าเป็นข้าคงเอาหัวโขกกำแพงตายไปแล้ว ไหนเลยจะกล้ามีหน้าใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้ต่อ”“ถุย!” นางเย่ถ่มน้ำลายลงบนพื้น “ขยะ!”“ว่าใครขยะ พูดดี ๆ นะ!”ฉินเย่ว์เจียวเดินขึ้นหน้า จ้องมองนางเย่ด้วยสายตาเย็นเยือกด่าทอว่าพวกนางเป็นผู้หญิงขาดทุน นางทนได้ แต่ว่าเฉินฝานว่าเป็นขยะ นางทนไม่ได้เพียงแต่เขาไม่ใช่เฉินฝานคนเดิมอีกแ
“ใช่....”“สวรรค์!”เสียงที่ตอบกลับจูจื้ออันถูกเสียงร้องด้วยความตกใจจากด้านหลังกลบเสียงไปหมด“พวกเจ้าดูสิว่าเกวียนคันนี้บรรทุกอะไรมา”“น่าทึ่งมาก เกวียนคันนี้เต็มไปด้วยฟืนไม้กว่าครึ่งคัน แถมฟืนไม้พวกนี้ก็ดูเหมือนจะมาจากร้านขายฟืนในตัวอำเภอด้วย”“ไม่ใช่เหมือนนะ แต่มันคือฟืนไม้ของจงจี้ในตัวเมืองจริง ๆ!”“จงจี้? เจ้าดูไม่ผิด ฟืนไม้ของจงจี้เป็นฟืนที่ดีที่สุดและแพงที่สุดในเมือง ปกติแล้วคนที่ซื้อฟืนไม้ของจงจี้ได้จะต้องเป็นเศรษฐีในเมืองไม่ก็นักปราชญ์ในวังเท่านั้นที่จะซื้อได้”“ถูกต้อง หลายวันมานี้ข้าทำงานอยู่ในร้านจงจี้”“ว้าว เจ้าเป็นลูกจ้างของร้านขายฟืนจงจี้อย่างนั้นหรือ? ?เจ้าคงมีเงินน่าดู ข้าได้ยินมาว่าค่าจ้างหนึ่งวันของร้านขายฟืนจงจี้มีจำนวนถึงห้าเหรียญเงิน”“ไม่ใช่ ร้านขายฟืนไม้จงจี้เข้าง่ายที่ไหนกัน พี่เขยของข้าทำงานอยู่ที่นั่น ช่วงนี้เขาไม่สบาย ข้าก็เลยไปช่วยทำงานแทนเขาสองสามวัน วันละห้าเหรียญเงิน ข้าคงได้แค่ฝันแหละ”จูจื้ออันที่อยู่บนเกวียนได้ยินชาวบ้านตระกูลฉินพากันอิจฉาค่าจ้างของร้านขายฟืนจงจี้ ก็พลันรู้สึกภูมิใจและดูแคลนเล็กน้อยอยู่ในใจค่าจ้างร้านขายฟืนจงจี้วันละห้าเหร
“เฉินฝาน? ดูเจ้าพูดเข้าสิ ใครเขาจะเชื่อ”“ฮ่า ๆ นั่นนะสิ”“อย่าว่าแต่เฉินฝานเลย ลูกเขยในหมู่บ้านก็ยังไม่มีใครทำเช่นนี้”“ใช่ สมัยนี้มีแต่พ่อแม่ต้องให้ลูกเขย มีอย่างที่ไหนลูกเขยเอาของมาให้พ่อแม่ ยิ่งไปกว่านั้นเฉินฝานผู้นั้นก็เป็นแค่ขยะคนหนึ่ง เขาไม่กลับมาขอก็ถือว่าดีแค่ไหนแล้ว!”“เจ้าว่าใครขยะ?”เมื่อได้ยินชาวบ้านในหมู่บ้านกล่าวหาเฉินฝานว่าเป็นขยะ จูจื้ออันก็รีบกระโดดลงจากเกวียนทันที เขาคว้าคอเสื้อของคนที่กล่าวหาเฉินฝานว่าเป็นขยะคนนั้น“คนอย่างเฉินฝาน ในละแวกนี้.....”“ตุบ!”ยังไม่ทันที่คนผู้นั้นจะพูดจบ หมัดของจูจื้ออันก็อัดเข้าหน้าของเขาอย่างแรงซะก่อน“อ๊าก!” คนผู้นั้นกุมหน้าที่โดนอัดไว้แน่นพลางชี้นิ้วด่าทอจูจื้ออัน “ไอ้อันธพาล เจ้ากล้าบุกเข้ามาทำร้ายคนถึงในหมู่บ้านเชียวหรือ?”ชาวบ้านโดยรอบต่างมุงกันเข้ามาคนนอกหมู่บ้านเข้ามาทำร้ายคนในหมู่บ้านเป็นพฤติกรรมที่หยามหน้ากันสำหรับคนในสมัยนี้“ข้าต่อยเจ้า แล้วจะทำไม?”จูจื้ออันยกหมัดขึ้นมาอีกครั้ง เขาในตอนนี้กำลังเดือดพล่าน ในใจคิดอยู่อย่างเดียวพวกเขาด่าเฉินฝานว่าขยะ เขาต้องจัดการให้เฉินฝาน“จื้ออัน หยุดเดี๋ยวนี้!”เฉินฝานได้ยิ
ฉินฉายจินและฉินฉายหัวที่เพิ่งจะเยาะเย้ยว่าเป็นยาจกไร้ประโยชน์ ข่มขู่ว่าจะไล่เฉินฝานออกไปจากหมู่บ้านตระกูลฉิน ต่างตะลึงตาค้างจ้องมองของกินของใช้ที่ขนเข้าบ้านมาทีละอย่างโดยเฉพาะนางเย่ที่กระโดดสูงที่สุดนางมองฟืนพวกนั้น ข้าวพวกนั้น แป้งหมี่พวกนั้น ผ้าพวกนั้นด้วยดวงตาที่เบิกโพลงตอนที่สายตาสุดท้ายกวาดผ่านเนื้อสัตว์ น้ำลายก็ส่งอออกมาอย่างไม่รู้ตัวคิดไม่ถึงเลยว่าเด็กสาวของคนที่ตาแก่ยายแก่เลี้ยงดูมา จะคว้าลูกเขยมหาเศรษฐีกลับมาได้“แหม พี่ชายท่านนี้ เดินทางมาคงจะเหนื่อยแล้วสินะ มาๆ ข้าช่วยท่านถือ”คนโลภตะกละตะกลาม หนังหน้าหนายิ่งกว่าปูนหลายๆชั้น นางเย่วิ่งไปตรงหน้าจูจื้ออัน ต้องการจะรับเนื้อจากมือของเขา“ไม่ต้อง!”ถึงแม้จะไม่รู้ว่านางเย่เป็นใครในบรรดาพี่น้องตระกูลฉิน ทว่าสามารถเดาได้ว่าเป็นญาติกัน และก็ไม่รู้ว่าเมื่อครู่ในบ้านเกิดอะไรขึ้นทว่าก่อนที่เขาจะมา บรรยากาศที่นี้ต้องไม่ดีอย่างแน่นอน ญาติๆของพี่น้องตระกูลฉินเหล่านี้จะต้องไม่ญาติดีกับพวกเฉินฝานเป็นแน่เพราะสิ่งเหล่านี้เขาก็เคยผ่านมาแล้ว หลังจากที่พ่อแม่เขาตายไป พวกลุงป้าน้าอาก็ไม่ญาติดีกับครอบครัวของเขา โดยเฉพาะบรรดาน้องสา
คนแก่คนนี้คือฝูป๋อ คนที่เคยช่วยเฉินฝานดับไฟที่เมืองตงเจียวในตอนแรก เดิมทีเขาไปที่เมืองตงเจียวเพื่อจะไปหาลูกชายคนเล็ก เพิ่งกลับมาเมื่อวาน มิคิดว่าเมื่อเข้าเขตวังหลวงก็พบว่าพวกเหมียวเหลียงจื้อกำลังจะกระโดดหน้าผาและได้ยินมาว่าเฉินฝานจะเดินทางมาจัดการ เขาจึงให้หลานคนโตพาเขามาที่นี้ทันที“ดี ๆ!” ฝูป๋อพยักหน้าหงึก ๆ “โชคดีของข้าที่ได้เจอใต้เท้า ตอนนี้ข้าสบายดีเป็นอย่างมาก!”เฉินฝานกำลังจะพูด ทว่าก็ถูกฝูป๋อชิงพูดตัดบทไปอีกแล้ว“พวกเด็กเปรต ช่างมิรู้จักผิดชอบชั่วดีเสียจริง!” ฝูป๋อยกไม้เท้าชี้ไปที่ฝูงชนด้านหน้าเขาฝูป๋อค่อนข้างมีอำนาจในกลุ่มฝูงเหล่านี้ ฝูป๋อตีพวกเขาก็ยังไม่มีใครกล้าต่อต้าน“มีความรู้อันน้อยนิด ก็กล้าพูดช่วยพวกเดียวกันเองแล้วรึ? พวกเจ้ารู้หรือว่าสิ่งใดเรียกว่าช่วยพวกเดียวกันเอง?”“ขุนนางเหล่านั้นตายไปแล้ว นอกจากทำให้พวกเจ้าคลายความเคียดแค้นลงไปได้เล็กน้อย แล้วมันทำให้ชีวิตต่อจากนี้ของพวกเจ้าดีขึ้นงั้นรึ? ก็ยังคงจะต้องใช้ชีวิตอดมื้อกินมื้อด้วยความยากลำบากทุกวันมิใช่หรือกระไร?”“ตอนนี้ใต้เท้าให้ขุนนางเหล่านั้นสร้างความชอบชดเชยความผิด พวกเขาจะทุ่มเทแรงกายคิดหาทุกวิธีทางให้พว
“เฉินฝานมองข้ามเหมียวเหลียงจื้อไปที่เหล่าเสนาบดีด้านหลังเขาแทน “พวกเจ้าก็ด้วย ยังมิรีบไปหาสถานที่พัฒนาเศรษฐกิจอีก!”“พัฒนาเศรษฐกิจงั้นรึ?”เหล่าขุนนางเงยหน้าเล็กน้อยมองเฉินฝานด้วยความสงสัย“โอ้ ถ้าพูดในแบบพวกเจ้าก็คือคิดหาวิธีที่ทำให้ราษฎรหาเงินได้ดีขึ้น หากราษฎรมีสภาพความเป็นอยู่ที่ดี ก็จะจ่ายภาษีได้มากขึ้น เงินในท้องพระคลังจะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย”หลังจากที่ขุนนางเหล่านั้นพยักหน้าเข้าใจแล้ว น้ำเสียงของเฉินฝานก็เปลี่ยนเป็นดุดันทันที “อย่าหาว่าข้ามิเตือน หลังจากนี้ห้าปีหากเหมียวเหลียงจื้อทำเป้าหมายที่ข้าพูดเมื่อครู่มิได้ พวกเจ้าทุกคนจะถูกตัดหัวเหมือนกับเหมียวเหลียงจื้อ”เฉินฝานเพิ่งกล่าวจบก็มีขุนนางพูดโพล่งขึ้นมาทันที“ใต้เท้า ข้าน้อยขอกราบลาขอรับ”คนแรกทูลลาเสร็จ ก็มีคนที่สองตามมาทันที“ใต้เท้า ข้าน้อยขอกราบลาเช่นกันขอรับ”ขุนนางเหล่านี้ทยอยกันทูลลาจากไป ในใจพวกเขาคิดเพียงแค่ว่าอยากออกไปโดยเร็วเพื่อไปแย่งชิงเมืองที่ดีในการพัฒนาเศรษฐกิจเฉินฝานผายมือกว้าง “ไปเถอะ!”“ขอบคุณท่านอัครเสนาบดี!”เพิ่งจะได้รับการอนุญาตจากเฉินฝานได้มินาน ขุนนางเหล่านั้นรีบวิ่งแข่งกกันเพื่อไปเขตพระราช
“ข้าถามพวกเจ้าหน่อย มิรู้สึกผิดอันใดบ้างรึ?”“เหล่าราษฎรมากมายปานนั้นต้องเสียชีวิตอยู่ในกองเพลิงครั้งนี้ พวกเจ้ามีสามัญสำนึกอยู่หรือไม่ พวกเจ้ามิกลัวว่ากลางดึกพวกเขาจะเอาวิญญาณของพวกเจ้าไปงั้นรึ?”“แปะ!”“แปะ ๆ ๆ ๆ!”เฉินฝานเพิ่งพูดจบ ทั่วบริเวณเกิดเสียงดังขึ้นเกรียวกราวราษฎรที่มามุงดูปรบมือจนเจ็บมือ ทว่าก็ยังคงปรบมือต่อไป“พูดได้ดีมาก!”“ท่านอัครเสนาบดีพูดได้ดีมาก!”เหล่าราษฎรล้วนน้ำตาไหลทุกคนเฉินฝานได้พูดความเกลียดชังและความคับแค้นใจของพวกเขาออกไปแล้วขุนนางที่อยู่บนพื้น มีบางส่วนที่สอบขุนนางได้จากหมูบ้านเล็ก ๆ ตอนที่พวกเขายังเด็กก็มีชีวิตที่ยากลำบากเช่นกันท่ามกลางเสียงกล่าวถามของเฉินฝานและเสียงเชียร์ของเหล่าราษฎร ไม่นานนักพวกเขาก็กลั้นน้ำตาไว้มิอยู่สีหน้าพลันปรากฎความเศร้าสลด“เพียะๆ!”มีขุนนางจำนวนหนึ่งเริ่มตบหน้าตัวเอง“หลงผิด ตอนนั้นข้าถลำตัวหลงผิดเกินไปแล้ว!”ขุนนางที่ตบหน้าตนเองเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนท้ายที่สุดเหลือเพียงเหมียวเหลียงจื้อ เขาสีหน้าไร้อารมณ์ ทำเพียงก้มหน้าคุกเข่าอยู่ตรงนั้นเฉินฝานยกมือขึ้นเล็กน้อย“ทุกคนจงหยุดเถอะ!” อวิ๋นเต๋อออกคำสั่งให้ขุนนางเ
เมื่อถึงหุบเขาซื่อสัตย์แล้ว เฉินฝานก็เปิดม่านลงรถม้าทันทีในขณะที่เขารีบสาวเท้ารุดหน้าขึ้นไป ก็ยื่นมือไปทางองครักษ์ข้างกาย “กระบี่!”เมื่อได้ยินดังนั้น องครักษ์รีบนำกระบี่ประจำกายส่งให้เฉินฝานทันที เฉินฝานรับกระบี่มา มิพูดพร่ำทําเพลงขว้างกระบี่ออกไปอย่างสุดแรงทันที“ปึก!”กระบี่ที่เฉินฝานขว้างลอย ปักเข้ากับเรือนร่างเหมียวเหลียงจื้อที่กำลังจะกระโดดหน้าผาพอดี“เอื้อ...”เหมียวเหลียงจื้อกรีดร้องเพียงเล็กน้อยก็ล้มลงไปทันทีกระบี่ของเฉินฝานพุ่งเข้าหาเหมียวเหลียงจื้อจากทางด้านหน้า ดังนั้นจึงทำให้เขาล้มหงายหลังลงไปเหมียวเหลียงจื้อลุกขึ้นมาอย่างทุลักทุเล เมื่อเห็นเฉินฝานแล้วก็จะกระโดดหน้าผาทันที ขุนนางคนอื่นจึงพากันทำตาม“ขวางพวกเขาไว้!”ในขณะที่เฉินฝานตะโกนลั่น ก็ขว้างกระบี่ออกไปอีกสองเล่มองครักษาพระองค์ที่ติดตามเฉินฝานมาด้วย รีบรุดหน้าเข้าไปลากเหล่าเหมียวเหลียงปิงจากหน้าผาเข้ามาทันทีคำสั่งของเฉินฝานเด็ดขาดมากพอ เหล่าพลทหารก็ลงมือทำได้อย่างรวดเร็วทันท่วงทีเช่นกัน ทว่าก็มีสองสามาที่กระโดดลงหน้าผาได้สำเร็จ“อ้าก!”เสียงกรีดร้องดังขึ้นมาด้านล่างหุบเขาเฉินฝานส่ายหน้าคนที่อยาก
“ข้าอยากไปเดินเล่นข้างนอกได้หรือไม่?”กลัวว่าเฉินฝานจะไม่อนุญาต นางจึงรีบพูดเสริมทันที “ ขืนยังนอนต่ออีก ข้าก็จะอ้วนกว่าเดิมแล้ว”“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าไม่ได้ชอบสตรีที่ผอมบางร่างน้อยเสียหน่อย”คำพูดของเฉินฝานทำให้โอวหยางน่าหลันหยุดชะงักไปทันที“โอ้!”โอวหยางน่าหลันนั่งกลัดกลุ้มอยู่บนเตียง ผิดหวังอย่างมากที่ช่วงนี้เฉินฝานไม่ให้นางลงจากเตียงช่วงแรกนางก็ดีใจอย่างมาก เพราะความเป็นห่วงและความใส่ใจของเฉินฝาน ต่อมานางก็ไม่ดีใจแล้ว เพราะนอนอยู่บนเตียงตลอดช่างทรมานเหลือเกิน“เด็กโง่!”เฉินฝานยื่นมือไปหยิกจมูกโอวหยางน่าหลันเบาๆ จับมือของนางไว้ “ไปกันเถอะ!”ช่วงก่อนที่เขาไม่ยอมให้โอวหยางน่าหลันลงจากเตียง เพราะนางมีความเสี่ยงที่จะแท้งบุตร ดังนั้นจึงไม่ให้นางลงจากเตียง ที่ไม่ได้บอกเหตุผลกับนางเพราะกลัวว่านางจะกังวลเกินเหตุเมื่อครู่หมอหลวงบอกเขาว่าตอนนี้เด็กในครรภ์ของโอวหยางน่าหลันปลอดภัยแล้ว“อะไรนะ?”โอวหยางน่าหลันมองเฉินฝานด้วยสายตาเหลือเชื่อ“งงอันใดอีกเล่า เมื่อครู่โวยวายอยากจะออกไปมิใช่รึ? หรือว่าตอนนี้ไม่อยากออกไปแล้ว?”“ไปสิ ข้าอยากออกไป!”โอวหยางน่าหลันกระโดดลงเตียง
เฉินฝานจับคอเสื้อโจวหยางชิงกระชากเขาลงมาจากเก้าอี้“ฝ่าบาท ๆ ช่วย...”โจวหยางชิงที่ถูกเพิ่งเฉินฝานกระชากตัวออกมา รีบขอความช่วยจากโอวหยางกว่างเซวียนทันที เขาพูดไม่ทันจบ ศีรษะก็ถูกตัดตกลงพื้นไปเรียบร้อยแล้วศีรษะของโจวหยางชิงไหลลงบันไดไปทีละขั้นพร้อมกับเลือดสดที่ไหลนองเป็นทางขุนนางฝ่ายบุ๊นส่วนใหญ่มิเคยเห็นเหตุการณ์นองเลือดเช่นนี้มาก่อน บางคนไม่กล้าดู บางคนอาเจียนออกมามิหยุด ถึงขั้นมีบางคนที่ขี้กลัวเป็นลมหมดสติไปทันทีทว่าคนส่วนใหญ่ล้วนตกตะลึงทำอันใดไม่ถูกโจวหยางชิงเป็นมหาราชครูของโอวหยางกว่างเซวียนและเป็นคนที่โอวหยางน่าหลันเคารพนับถือ คิดไม่ถึงว่าเฉินฝานจะลงมือสังหารจริงและยังเป็นตอนที่กำลังปรึกษาหารือในพระราชวังอีกด้วยเฉินฝานรูปร่างดูสะอาดเกลี้ยงเกลา หน้าตาดูใจดีมีเมตตา มิคิดว่าเขาจะโหดเหี้ยมกว่าโอวหยางน่าหลันเสียอีกเพียงโอวหยางน่าหลันคนเดียวพวกเขาก็จวนจะรับมือไม่ไหวแล้ว ตอนนี้มีเฉินฝานเพิ่มมาอีกหลังจากนั้น...บรรยากาศในพระราชวังน่าอึดอัดใจสุดขีด ทุกคนล้วนท้อแท้ใจกับอนาคตโดยเฉพาะพรรคพวกเหมียวเหลียงจื้อและเหล่าเสนาบดีที่ยืนระนาบเดียวกันกับโจวหยางชิง คนเหล่านั้นล้วนมีสีหน
โอวหยางกว่างเซวียนขมวดคิ้วจนเป็นปม ขอบตาเริ่มแดงก่ำ ดูเหมือนจะร้องไห้แล้ว“ร้องไห้อะไร ฝ่าบาททรงเป็นชายชาตรี ห้ามร้องไห้นะพ่ะย่ะค่ะ!”น้ำตาของโอวหยางกว่างเซวียนหดกลับไปเพราะเสียงตวาดของโจวหยางชิง เขาเม้มปาก เลื่อนบั้นท้ายไปบนบัลลังก์มังกรด้วยความไม่เต็มใจ“ใต้เท้าโจวพูดถูกต้อง ชายชาตรีจะร้องไห้ไม่ได้ แต่ยิ่งไม่อาจให้ผู้อื่นมาตวาดใส่ตามใจชอบได้!”เฉินฝานพูดพลางเดินเข้ามาในท้องพระโรงโอวหยางกว่างเซวียนที่ตอนแรกยังอืดอาดชักช้า คราวนี้เขากระโดดพรวดมาอยู่ตรงหน้าเฉินฝานราวกับลิงที่กระโดดขึ้นฟ้า “พี่หญิงของข้าตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”ใบหน้าของโอวหยางกว่างเสวียนเต็มไปด้วยความห่วงใย แม้เขาจะเป็นเด็กโง่เขลา สติปัญญาเทียบเท่าเด็กอายุห้าหกขวบ แต่ความรู้สึกที่เขามีต่อโอวหยางน่าหลันนั้นเป็นของจริง“ท่านยังมีหน้ามาถามอาการพี่สาวของท่านอีกหรือ?”เฉินฝานถลึงตาใส่โอวหยางกว่างเซวียนด้วยความเดือดดาล เขาโมโหแล้วจริง ๆ ความไม่รู้ของโอวหยางกว่างเซวียนเกือบจะทำให้ภรรยาและลูกที่ยังไม่เกิดมาของเขาต้องตายเสียแล้วโอวหยางกว่างเซวียนเอามือขยุ้มเสื้อแน่นราวกับเด็กที่ทำผิด ก่อนจะเอ่ยเสียงเบาว่า “เซวียนเอ๋อ
“อ๊า!”เสียงกรีดร้องดังไปทั่วท้องพระโรง“หุบปาก!”ขณะที่เฉินฝานประคองโอวหยางน่าหลันไว้ เขาก็ตวาดใส่ขันทีที่อยู่ทางด้านข้างด้วยความเกรี้ยวกราดตอนที่กระบี่แทงมา คนที่กรีดร้องไม่ใช่โอวหยางน่าหลัน แต่เป็นขันทีข้างกายนางโอวหยางกว่างเซวียนอายุสิบสามปีก็ตัวสูง 185 เซนติเมตรแล้ว ส่วนโอวหยางน่าหลันสูง 165 เซนติเมตร เมื่อโอวหยางกว่างเซวียนแทงกระบี่ลงมา จึงแทงเข้าใส่ไหล่ของโอวหยางน่าหลันไม่ได้โดนจุดสำคัญ นี่เป็นความโชคดีในความโชคร้ายแล้ว“พี่หญิง พี่หญิง พี่หญิง”โอวหยางกว่างเซวียนจ้องมองกระบี่ที่แทงเข้าไหล่ของโอวหยางน่าหลัน ก่อนจะตกใจกลัวจนหน้าซีดเผือด ริมฝีปากสั่นระริก “ไสหัวไป!” เฉินฝานเตะโอวหยางกว่างเซวียนที่อยากจะพุ่งเข้ามาให้ออกไป“ท่านพี่ฝาน...”โอวหยางน่าหลันที่อยู่ในอ้อมแขนของเฉินฝานข่มกลั้นความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสบนไหล่ จับคอเสื้อของเฉินฝานไว้แน่น “เซวียนเอ๋อร์แค่โง่เขลา ท่านอย่าต่อว่าเขาเลย”แม้โอวหยางกว่างเซวียนจะทำร้ายนาง แต่นางยังคงเป็นห่วงว่าเฉินฝานจะแก้แค้นคนนอกเอาแต่พูดว่าภรรยาของเฉินฝานล้วนเป็นมารคลั่งปกป้องสามี แต่พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าเพราะเหตุใดพวกนางถึงปกป้อ
โอวหยางกว่างเซวียนมองโจวหยางชิง แล้วหันหน้ากลับไปมองโอวหยางน่าหลัน สีหน้าดูลำบากใจ“เซวียนเอ๋อร์ เจ้ายังลังเลอะไรอีก? สังหารขุนนางชั่วที่นำภัยมาสู่บ้านเมืองและราษฎรผู้นี้เสีย!”โอวหยางน่าหลันเร่งเร้า โจวหยางชิงก็เร่งเร้าเช่นกัน“ฝ่าบาท พระองค์รีบลงมือเถิดพ่ะย่ะค่ะ”“แต่ว่า...” โอวหยางกว่างเซวียนทำหน้านิ่ว ดูลำบากใจมากยิ่งขึ้นเสด็จพ่อเคยบอกเขาว่าเขาต้องเชื่อฟังคำพูดของพี่หญิงเขาเองก็ต้องเชื่อฟังคำพูดของท่านอาจารย์ด้วยแต่เพราะเหตุใดพี่หญิงถึงอยากฆ่าท่านอาจารย์ท่านอาจารย์ก็จะให้เขาฆ่าท่านอาจารย์ด้วยเขาไม่กลัวเจ็บเลยหรือไร?หลายวันมานี้ท่านอาจารย์เอาแต่พูดเรื่องความตายกับเขา ท่านอาจารย์บอกว่าตายแล้วก็จะไม่ได้พบคนผู้นั้นอีกตลอดกาลหากท่านอาจารย์ตายแล้ว เช่นนั้นเขาก็จะไม่ได้พบท่านอาจารย์ตลอดไปไม่ใช่หรือ?เขาไม่อยากไม่ได้เจอท่านอาจารย์ตลอดไป“....ขะ ข้ากลัวดาบ!”ในขณะที่โอวหยางน่าหลันกับโจวหยางชิงเร่งเร้าครั้งแล้วครั้งเล่า โอวหยางกว่างเซวียนก็เค้นคำพูดนี้ออกมาด้วยความร้อนรน“เจ้าเป็นฮ่องเต้ ฆ่าคนไยต้องให้เจ้าลงมือเองด้วยเล่า หลีกังหัวหน้าทหารรักษาพระองค์ก็อยู่ที่นี่ เจ้า