วันนี้เฉินฝานอยู่ที่เรือนแขกนานกว่าหนึ่งชั่วยามแล้วค่อยออกมาหลังออกมาจากเรือนแขกสำราญสุข เขาไม่ได้ไปโรงงานปลาแห้ง และไม่ได้พาพวกภรรยาเดินเที่ยวในอำเภอเหมือนทุกคน แต่เดินทางออกนอกอำเภอโดยตรงเห็นเฉินฝานออกจากอำเภอ จูต้าอันรีบไปรายงานลวี่ซิงฟา“เหตุใดจึงวิ่งเช่นนี้?”เห็นจูต้าอันวิ่งจนหายใจหอบ ลวี่ซิงฟาจึงเอ่ยถาม“เจ้านั่นออกจากตลาดแล้วหรือ?”ก่อนหน้านี้ลวี่ซิงฟาสะกดรอยตามเฉินฝานหลายวัน พบว่าเฉินฝานส่งปลาทุกวัน หลังจากนั้นก็ตรวจดูความเรียบร้อยของโรงงาน แล้วไปตลาด แม้ไม่ซื้อข้าวสารอาหารแห้งข้าวบ้าน ก็จะพาภรรยาไปซื้อขนมลวี่ซิงฟาบอกจูต้าอัน ขอเพียงเฉินฝานออกจากเรือนแขกสำราญสุขไปตลาด ให้เขารีบมารายงานตนทันทีเพราะเขาออกไปเวลานี้ เมื่อถึงประตูอำเภอ เฉินฝานก็ใกล้ถึงประตูอำเภอเช่นเดียวกัน“เขาไม่ได้ไปตลาด!”จูต้าอันมือท้าวสะเอวหายใจหอบ วิ่งด้วยความรีบร้อน เหงื่อเต็มหน้า“ไม่ได้เข้าตลาด?”“ขอรับ! พี่ซิงฟา พี่ว่าเจ้านั่นจะหนีหรือเปล่า?”“ไม่มีทาง!” ลวี่ซิงฟาส่ายหน้า พูดด้วยความมั่นใจการกระทำของเฉินฝาน ในสายตาของลวี่ซิงฟาแล้วเป็นเรื่องปกติ“แล้วเหตุใดก่อนหน้านี้ไปตลาดทุกวัน แต่ตอ
ตึ้ง!”ไม้ปลุกสติในมือนายอำเภอเคาะโต๊ะอีกครั้ง“ใครคือลวี่ซิงฟา?”“ใต้เท้า ข้าคือลวี่ซิงฟาเองขอรับ!” ลวี่ซิงฟาเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว โค้งคำนับตอบคำถามนายอำเภอ“เฉินฝานชาวบ้านในหมู่บ้านซานเหอเปิดเผยว่า เจ้ากักขังหญิงสาว บังคับให้พวกนางลักขโมย เป็นความจริงหรือไม่?”“ใต้เท้าขอรับ นี่เป็นการปรักปรำ! เขากล่าวหาข้าเช่นนี้มีหลักฐานหรือไม่?”“เฉินฝาน!” นายอำเภอหันไปมองเฉินฝาน “เจ้ามีหลักฐานหรือไม่?”“ใต้เท้าขอรับ ภรรยาของข้าเป็นพยานได้ขอรับ!” เฉินฝานหันไปมองฉินเย่ว์ฉู่ที่อยู่ข้างๆ พยักหน้าให้กำลังใจนางฉินเย่ว์ฉู่เม้มริมฝีปาก แล้วเดินขึ้นหน้า“ใต้เท้า ข้าฉินเย่ว์ฉู่ เขา!” ฉินเย่ว์ฉู่ชี้ไปที่ลวี่ซิงฟา กัดฟันพูด “เขากักขังข้า สอนวิธีการลักขโมย ให้ข้าไปขโมยของทุกวัน หากไม่ทำตามคำสั่ง เขาจะทุบตีทำร้ายข้าอย่างทารุณเจ้าค่ะ”ฉินเย่ว์ฉู่ดึงแขนเสื้อขึ้น แขนของนางเต็มไปด้วยรอยแผลทุกคนในเหตุการณ์ไม่ว่าจะเป็นนายอำเภอหรือเจ้าหน้าที่ในศาลาว่าการ ต่างสูดลมหายใจเข้า”“บาดแผลทั้งหมดนี้ล้วนมาจากการทุบตีของลวี่ซิงฟา ไม่เพียงที่แขนเท่านั้น ข้ามีบาดแผลทั่วร่างกาย”เพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่ตนพูดเป็นควา
หลังจากอวี๋ไหวบอกเล่าความผิดของฉินเย่ว์ฉู่ นายอำเภอพูดทันที“ฉินเย่ว์ฉู่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าตนทำความผิด!”“ใต้เท้า!” ฉินเย่ว์ฉู่คุกเข่า “ข้าถูกปรักปรำ ทุกอย่างที่ข้าทำล้วนถูกลวี่ซิงฟาบีบบังคับเจ้าค่ะ!”“ข้าบังคับเจ้าเนี่ยนะ?” ลวี่ซิงฟายกมุมปากขึ้นด้วยความทระนง “เจ้าไม่ใช่ภรรยาของข้า ยิ่งไม่ใช่ญาติมิตรของข้า ข้าบังคับเจ้าแล้วเจ้าจะเชื่อฟังข้าเช่นนั้นหรือ?”“ครึ่งปีก่อน นายท่านขายข้าไปเป็นทาสของเจ้า”“ขายเจ้าให้ข้าเช่นนั้นหรือ? มีหลักฐานใด? อีกเรื่องหนึ่ง กฎหมายต้าชิ่งไม่อนุญาตให้มีการซื้อขายภรรยาของตน นายท่านของเจ้ารู้กฎหมายแล้วยังจะทำผิดกฎหมายหรือ? เขาไม่มีสมองหรืออย่างไร?” ตอนลวี่ซิงฟาพูดคำว่าไม่มีสมอง เสียงของเขาดังมากเขาต้องการจะให้คนในศาล หัวเราะเยาะเฉินฝานที่ไร้สมองเฉินฝานต้องหงุดหงิดมากกระมัง แต่จะทำอะไรได้ เขากล้าโต้เถียงตนหรือ?“เจ้า...” ฉินเย่ว์ฉู่โฒโหจนตาแดงก่ำ “เจ้ามันคนชั่วพูดบิดเบือนข้อเท็จจริงก่อน ! บาดแผลบนตัวข้ามาจากการทุบตีของเจ้าไม่ใช่หรือ?" “ข้าทุบตีเจ้า? ใครเห็นหรือ?”“เจ้าไม่เพียงทุบตีข้า พวกเพื่อนๆ คนอื่นก็ถูกเจ้าทำร้ายร่างกายเหมือนกัน”“อ๋อ พวกเพื่อนๆ
แม้ข้าไม่ใช่ญาติภรรยาของเฉินฝาน แต่ในฐานะมนุษย์ที่มีจิตสำนึกคนหนึ่ง ข้ารับไม่ได้กับการกระทำของเขาจริงๆ ตั้งแต่พี่น้องตระกูลฉินแต่งงานกับเฉินฝาน เฉินฝานทำร้ายร่างกายพวกนางมาโดยตลอด ซึ่งหนึ่งในนั้น”ลวี่ซิงฟาชี้ไปที่ฉินเย่ว์โหรวแล้วพูด “ขาของนางถูกเฉินฝานทุบตีจนหัก กระทั่งทุกวันนี้ยังไม่หายดี”เช่นเดียวกับการห้ามซื้อขายภรรยา กฎหมายต้าซิ่ง สามีห้ามทุบตีภรรยาโดยไร้เหตุผลและเป็นเพราะตอนนี้บุรุษน้อยสตรีมาก ขอเพียงไม่ถึงแก่ความตาย ก็ไม่มีใครสนใจลวี่ซิงฟาคิดมาดีแล้ว เขาร้องเรียนบนชั้นศาลในเวลานี้ นายอำเภอไม่อาจเอาหูไปนาเอาตาไปไร่อีก“สำหรับพยาน คนทั้งหมู่บ้านซานเหอเป็นพยานได้ ใต้เท้าส่งคนไปถามก็จะได้คำตอบเองขอรับ”“เฉินฝาน!” คิ้วหนาของนายอำเภอขมวดเป็นปม ถามเฉินฝานด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เกิดเรื่องนี้ขึ้นจริงๆ หรือไม่?”เขาผิดหวังกับเฉินฝานเล็กน้อย ไม่แปลกที่ก่อนหน้านี้เขาให้รางวัลเฉินฝาน เฉินฝานไม่กล้ารับ ที่แท้เป็นเพราะเฉินฝานไม่ใช่คนขาวสะอาดนี่เองช่วงหลังที่ผ่านมานี้ ได้ยินข่าวสามีทุบตีภรรยารุนแรงขึ้นเรื่อยๆ บุรุษบางคนกล้าทุบตีแม้กระทั่งคุณหนูตระกูลใหญ่ เรื่องนี้ไปถึงฮ่องเต้แล้วฮ่อง
เฉินฝานและหลี่ซานทำงานร่วมกัน เรื่องนี้นายอำเภอย่อมรู้ เขานึกว่าหลี่ซานมาขอความเมตตาให้เฉินฝานหากเป็นเมื่อก่อน เขาลงโทษสถานเบาได้ ทว่าตอนนี้ไม่ได้“ใต้เท้า! เฉินฝานเคยทุบตีภรรยาของตนเอง เป็นความผิดที่สมควรลงโทษ แม้เทพเซียนจากสวรรค์ลงมา ก็ไม่อาจลบล้างความผิดของเขาได้”หากหลี่ซานไม่มีความสามารถมากพอที่จะรู้ข่าววงใน เช่นนั้นตระกูลหลี่ คงไม่อาจมีอำนาจในอำเภอผิงอันถึงทุกวันนี้ได้เขารู้ว่าตอนนี้นายอำเภออยากจับคนทำร้ายภรรยาสี่ห้าคนมาเป็นตัวอย่าง เวลานี้เขายิ่งช่วยขอความเมตตาให้เฉินฝาน โทษของเฉินฝานก็จะยิ่งหนักได้ยินคำพูดของหลี่ซาน นายอำเภอโล่งอกแม้จะกล่าวว่าลำดับชนชั้นเรียงจากบัณฑิต กสิกร กรรมกรและพ่อค้าวาณิชย์แต่การที่มีเงินมากทำให้ทำงานง่ายขึ้นข้าราชการในพื้นที่ หรือปัญญาชนที่มีชื่อเสียง แม้เบื้องหน้าจะดูแคลนพ่อค้า แต่ยามพ่อค้ามอบประโยชน์ให้พวกเขา พวกเขาแต่ละคนรับไว้ไม่ใช่น้อยๆหลายปีมานี้ตระกูลหลี่ช่วยนายอำเภอแก้ปัญหาการเงินไม่น้อยหากหลี่ซานจะมีปัญหากับเขาในศาล เพราะเรื่องของเฉินฝาน เช่นนั้นก็ยุ่งยากไม่น้อยแน่นอนคนที่มีความสุขที่สุดคือลวี่ซิงฟาเรื่องของเฉินฝานในวันนี
“ใต้เท้า พวกนางปรักปรำข้า หลี่ซานกับเฉินฝานร่วมมือกัน ใช่ๆ!” คล้ายความหวังสุดท้ายของลวี่ซิงฟา เขาชี้ไปที่หลี่ซาน “เป็นเช่นนี้ เจ้ากับเฉินฝานร่วมมือกันทำร้ายข้า หญิงสาวพวกนั้นมาจากหอนางโลมอี๋ชุนย่วนของเจ้าใช่ไหม”“หึ!” หลี่ซานหัวเราะในลำคอ “เรือนด้านในสุดของตลาดฮวาหลี่ ตอนนี้ยังมีหญิงสาวอีกหนึ่งคน ถึงขั้นไม่อาจลุกเดิน หมอกำลังรักษานางอยู่ เจ้าอยากไปดูนางหรือไม่?”“หากเจ้าอยากไป...” หลี่ซานคารวะนายอำเภอ “ข้าขอความเมตตาจากท่านใต้เท้าให้เจ้าได้ นำเจ้าหน้าที่สองคนพาเจ้าไปดู”“อ๋อ!” หลี่ซานชะงักครู่หนึ่ง พูดต่อ “เมื่อครู่ เจ้ายอมรับเองว่าเรือนด้านในสุดของตลาดฮวาหลี่เป็นของเจ้า ข้าเชื่อว่าไม่ได้มีแค่ข้าเท่านั้นที่ได้ยิน ท่านใต้เท้าก็ได้ยินแน่นอน”สีหน้าของลวี่ซิงฟาแปรเปลี่ยนเป็นซีดขาวในทันที เหงื่อผุดเต็มหน้าผากตอนหลี่ซานมา เขาไม่ได้นำตัวหญิงสาวทั้งสามคนมาตั้งแต่แรก แต่เจตนาใกล้ชิดเขาที่แท้ก็เพื่อหลอกให้เขาตอบว่าเรือนหลังนั้นเป็นของเขา โทษได้เพียงว่าเมื่อครู่เขาดีใจจนประมาททำให้ยอมรับไปแค่ว่า...เขาส่ายหน้าพร้อมกับพูดพึมพำด้วยความเหลือเชื่อ “เป็นไปได้อย่างไร เป็นไปได้อย่างไร เจ้า
เฉินฝานยิ้ม “เจ้าเป็นคนบอกข้า”ฉินเย่ว์ฉู่บอกว่าลวี่ซิงฟาเอาตัวพวกนางใส่ไว้ในถังไม้ ถังไม้ดิ่งลงไม่หยุด แล้วนางก็ได้ยินเสียงสะท้อน บวกกับผิวของฉินเย่ว์ฉู่ที่ขาวซีดมากปัจจัยต่างๆ บวกกันแล้ว ขั้นแรกเฉินฝานวิเคราะห์ว่าพวกฉินเย่ว์ฉู่ถูกขังในบ่อบาดาลแห้งที่แสงแดดไม่ตกกระทบฉินเย่ว์ฉู่ยังบอกอีกว่า ทุกครั้งหลังจากพวกนางออกไปลักขโมยเสร็จ จะไปรวมตัวกันในวัดนอกอำเภอเมื่อไปถึงที่นั่น ลวี่ซิงฟาจะมัดพวกนางและปิดตา เอาตัวพวกนางขึ้นไปบนเกวียนที่ล้อเว้าแหว่ง ฉินเย่ว์ฉู่ที่นั่งบนเกวียน ด้วยความเบื่อหน่าย ขณะเดียวกันก็เพื่อลืมความเจ็บปวดของร่างกาย นางก็จะเริ่มนับเลข ล้อหมุนทั้งหมดแปดร้อยสามสิบหกครั้ง เกวียนก็จะหยุดจอดจากข้อมูลนี้ เฉินฝานวิเคราะห์ว่า เกวียนมุ่งหน้าเข้าไปในอำเภอเพราะทำให้ฉินเย่ว์ฉู่รับรู้ถึงการเว้าแหว่งของล้อเกวียนได้ หมายความว่าถนนค่อนข้างราบเรียบ แล้วถนนที่ราบเรียบเช่นนี้ ต้องเป็นถนนในอำเภอแน่นอนหลายวันมานี้ เฉียนลิ่วมาส่งปลากับเฉินฝานทุกวัน เฉียนลิ่วคนนี้ชอบคุยโว ระหว่างทางเขาพูดไม่หยุดเขาบอกว่ารู้จักเกวียนเป็นอย่างดี ล้อเกวียนในราชวงศ์ต้าซิ่งมีสามประเภท แต่ละประเภทก็มี
“ฮะ?” เฉินฝานเอียงศีรษะเล็กน้อยแล้วจ้องหลี่ซาน “เจ้าหมายถึงอะไรหรือ?”“อ่อ!” หลี่ซานรีบหยุดส่ายหัวแล้วฉีกยิ้ม “ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร”“สถานที่อย่างที่ทำการ เป็นสถานที่ที่ชั่วร้ายยิ่งนัก ปกติแล้วถ้าไม่มีธุระใครก็ไม่เข้าไปที่นี่หรอก คนที่เข้ามาก็มีแต่เรื่องไม่ดีทั้งนั้น”หลี่ซานผลักเฉินฝานเบา ๆ “ไปกันเถอะ ๆ วันนี้ข้าเป็นเจ้ามือเอง ไปที่ร้านของข้ากัน วันนี้เจ้าอยากกินอะไรสั่งได้เต็มที่ ชำระความโชคร้ายกัน!”เฉินฝานเองก็ไม่เกรงใจกับหลี่ซานอีก เขายืนที่ที่ทำการนานขนาดนั้น รู้สึกหิวแล้วเหมือนกัน“ได้สิ อย่าโทษทีหลังว่าคนของข้าเยอะจึงกินเยอะ ข้าจะกินให้เจ้าเงินหมดเลยทีเดียว”ฉินเย่ว์เจียว ฉินเย่ว์โหรวและฉินเย่ว์ฉู่ ต่างก็อยู่ในช่วงการเจริญเติบโตของร่างกาย เรื่องกินไม่มีใครด้อยกว่าใคร“พูดตลกแล้ว!” หลี่ซานฉีกยิ้มและขมวดคิ้ว “คนที่กินจนเงินข้าหมด ยังไม่เกิดเลย”หลังจากกินและดื่มที่เรือนสำราญสุขเสร็จแล้ว เฉินฝานพร้อมกับคนของเขาก็ออกเดินทางกลับเรือนเฉินฝานนั่งอยู่บนรถม้าและเปิดม่านรถม้าพูดกับหลี่ซานว่า “นายน้อยหลี่ ข้าจะไม่พูดคำขอบคุณอะไรมากไปกว่านี้ หากเจ้าต้องการข้าในอนาคตเพียงแค่ตะโกนบอ
“ผู้จัดสรร มิสามารถแบ่งให้คนนอกที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าเช่นนี้ได้เด็ดขาด!”“ถูกต้องแล้ว แบ่งให้คนที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้ามิได้!”คนรับใช้สองสามคนข้างกายเหลยหย่งอัน พูดเสริมทันที“เช่นนั้นนายน้อยเหลยคิดว่าผู้ใดเป็นผู้จัดสรรจึงจะเหมาะสม?”มีคนตะโกนถามท่ามกลางผู้เหลือรอดเหลยหย่งอันเลิกคิ้วขึ้นทันที ประโยคที่เขารอก็คือประโยคนี้ผู้นั้นเพิ่งจะกล่าวจบ เหลยหย่งอันก็ส่งสายตาไปที่คนรับใช้ข้างกายทันที“ร้านค้าตระกูลเหลยมากมายมหาศาล นายน้อยของพวกเราก็มีส่วนร่วมดูแล ไปตรวจสอบที่ร้านค้าทุกเดือน”ตรวจสอบแบบใดกัน ไปเกี้ยวพาราสีสตรีในร้านเสียมากกว่าเรื่องนี้ทุกคนในเมืองเซียนตูทราบดี เพียงแต่มิอยากให้เหลยหย่งอันมิพอใจ จึงมิมีผู้ใดกล้าพูดเปิดโปง“ดังนั้น...” คนใช้ผู้นั้นกล่าวต่อ “ผู้จัดสรรนี้ นายน้อยของข้าเป็นคนที่เหมาะสมที่สุด “ทุกคนลงเรือลำเดียวกันแล้ว พวกเจ้า...” เหลยหย่งอันยกมือขึ้นทำท่าทางแบกรับรับความผิดชอบไว้เพียงผู้เดียว “คนที่ร่วมทุกข์กับข้าทุกคน ขอเพียงแค่สามารถมีชีวิตรอดออกไปได้ ก็สามารถไปรับเงินหนึ่งร้อยตำลึงได้ที่ตระกูลเหลยของพวกเรา”เพื่อที่จะได้ตำแหน่งผู้จัดสรรนี้ เหลยห
“ต่อให้เสบียงอาหารทั้งหมดต้องถูกจัดสรรปันส่วนอย่างเท่าเทียม เช่นนั้นไฉนอำนาจในการจัดการจัดแบ่งต้องเป็นเจ้าคนเดียวงั้นหรือ? เจ้าเป็นใครกัน?”ชายหนุ่มที่สวมชุดผ้าไหมอย่างดี ศีรษะสวมหมวกสีทองประดับด้วยไข่มุกเดินเข้ามากล่าวถามเฉินฝานด้วยท่าทีโอหังบุคคลนี้คือลูกชายคนโตของตระกูลเหลยเก่าแก่อันดับหนึ่งของเมืองเซียนตู เหลยหย่งอันด้วยความที่ชาติตระกูลมีเงินและอำนาจ เหลยหย่งอันได้รับสมญานามให้เป็นอันธพาลอันดับหนึ่งในเมืองเซียนตู ปกติก็มักจะรังแกผู้ชายข่มเหงผู้หญิง กระทำชั่วทุกรูปแบบสำหรับวีรกรรมของเหลยหย่งอันแล้ว เจ้าเมืองซื่อต้าเผิงต้องยอมปล่อยผ่านไปเหลยหย่งอันรู้สึกว่ามิถูกชะตาเฉินฝานอยู่ก่อนแล้วเรือนเซียนผาสุกมีกฎว่านอกจากผู้ฟังโชคดี่ถูกเมี่ยวอวี่สุ่มเลือกมา บุคคลที่ให้เงินรางวัลจำนวนมากที่สุด เมี่ยวอวี่ก็จะบรรเลงพิณเป็นการส่วนตัวเช่นกันทว่า ทุกปีจะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นต้นปีเหลยหย่งอันก็เริ่มให้เงินรางวัลจำนวนมหาศาล ในที่สุดเมื่อมาถึงเดือนท้ายปีก็ได้ลำดับที่หนึ่งมาครองเห็นว่าตนเองสามารถเข้าไปในกระท่อมหิมะพบกับเมี่ยวอวี่ ได้ฟังพิณที่นางบรรเลงให้ตนเองโดยเฉพาะ กลับคาดมิถึงว่าอย
เรือนเซียนผาสุกมีชื่อเสียงเงินทองมหาศาลดังคาด จำนวนเสบียงที่กักตุนไว้ตอนฤดูหนาว มากกว่าเสบียงครึ่งปีของครอบครัวสามัญชนเสียอีกตรงข้ามกับผู้เหลือรอดเหล่านั้น เฉินฝานยิ่งฟัง คิ้วยิ่งขมวดหนักขึ้นเรื่อย ๆน้อยไป น้อยเกินไปแล้วคนสามร้อยกว่าคน ต่อให้กินอาหารวันละหนึ่งมื้อ เสบียงอาหารเหล่านี้ก็หมดเกลี้ยงเพียงในพริบตาเดียว“เสบียงอาหารของกระท่อมหิมะนำออกมาไว้ที่แห่งนี้ทั้งหมดแล้วใช่หรือไม่?” เฉินฝานหันหน้ากล่าวถามเมี่ยวอวี่“กระท่อมหิมะแห่งนี้ของข้ามิได้ใหญ่โตเสียหน่อย ตุนไว้จำนวนมากเพียงนั้น ยังมินับว่าเยอะอีกหรือ?” เมี่ยวอวี่ย้อนถามเฉินฝาน“ก็จริง” เฉินฝานหัวเราะสมเพชตนเองในส่วนลึกของหัวใจ หวังว่าจะมีเยอะกว่านี้“ตอนนี้นับเสบียงเรียบร้อยแล้ว รีบแบ่งให้ทุกคนเถอะ”มีคนเร่งเร้าหิวจนทนมิไหวแล้วจริง ๆ“แบ่งมิได้!” เฉินฝานกล่าว“มิแบ่งงั้นหรือ?”สายตาสามร้อยกว่าคนจับจ้องไปที่เฉินฝานอย่างพร้อมเพียงมิเข้าใจ มิเชื่อเสบียงอาหารทั้งหมดถูกขนย้ายออกมานับจำนวนแล้ว ไม่เพียงแต่จำนวนเสบียงเท่านั้น จำนวนคนก็นับแล้วเช่นกันทำถึงเพียงนี้แล้ว เฉินฝานกลับกล่าวว่ามิแบ่งแล้ว“เจ้าหมายความว่าอย
เขายืนกรานไม่ยอมนำเสบียงออกมามิใช่หรือ ไฉนตอนนี้ต้องการเอาออกมา และยังต้องนำออกมาทั้งหมดอีกด้วยเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่กันแน่?“ทำไมล่ะ? แม่นางเมี่ยวอวี่มิเห็นด้วยงั้นหรือ?” เฉินฝานกล่าวถาม“โอ้ ไม่ใช่หรอก!” เมี่ยวอวี่กล่าวอย่างรีบร้อน “แน่นอนว่าข้าต้องเห็นด้วยอยู่แล้ว เจ้ารีบพาคนไปนำเสบียงอาหารในคลังออกมาทั้งหมด”“ช้าก่อน!” เฉินฝานเรียกยายจ้าวไว้ “เพื่อให้มั่นใจว่าเสบียงอาหารทั้งหมดจะถูกขนย้ายออกมา เย่ว์เจียวเจ้าไปตามยายจ้าวไปด้วย พวกเจ้า... ”เฉินฝานหันไปกล่าวกับผู้เหลือรอดเหล่านั้น “ก็ส่งหนึ่งคนตามไปด้วย”ผ่านไปครู่เดียว เสบียงอาหารทั้งหมดในกระท่อมหิมะถูกขนมาไว้ด้านหน้าฝูงชนเฉินฝานมองดูเสบียงอาหารที่กองเป็นพะเนินด้านหน้า กล่าวอย่างเนิบนาบ “โอ้ จำนวนมิน้อยเลยนะเนี่ย”“อากาศเย็น คร้านออกไปจับจ่าย ดังนั้นจึงซื้อจำนวนมากในคราวเดียว” เมี่ยวอวี่กล่าวอย่างมิใส่ใจมากนักเสบียงอาหารเหล่านั้นมีจำนวนมากก็จริงทว่าเป็นเรื่องยากที่จะทำให้คนจำนวนมากเพียงนี้อยู่รอด!ท้ายที่สุด ก็ยังคงต้องตายอยู่ดีเหล่าผู้เหลือรอด มิได้มองการณ์ไกลเช่นนั้น พวกเขาที่หิวมาหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว มองเสบียงอาห
เมื่อมีคนเปิดประเด็นแล้วคนอื่นก็พากันทำตาม คนกลุ่มใหญ่จำนวนมหาศาลคุกเข่าต่อหน้าเฉินฝานเฉินฝานมิได้กล่าวอันใด เมี่ยวอวี่ที่อยู่ด้านข้างชิงพูดก่อน“เหอะ!” เมี่ยวอวี่เยาะเย้ยออกมาทันที กล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ช่างเป็นชายที่ใจดำอำมหิตเสียจริง คิดว่าตนเองมีผู้มากฝีมือที่เก่งกาจอยู่ข้างกาย ก็สามารถมิสนใจชีวิตของผู้คนรอบตัว แม้กระทั่งเด็กและคนชราก็ยังมิยอมช่วย”เมี่ยวอวี่จงใจกล่าวเช่นนี้จงใจที่พัดความโมโหของฝูงชนให้ลุกฮือดังคาด...“เขาใจดำอำมหิตเพียงนั้น แม้กระทั่งเด็กน้อยคนแก่ก็ยังมิยอมให้อาหารกินแม้แต่น้อย เช่นนั้นเรายังต้องกลัวสิ่งใดอีก?”เมื่อมีคนเริ่มก็มีคนตาม“ถูกต้อง อย่างไรเสียก็ถูกขังจนตายอยู่ที่นี้อยู่ดี ก่อนที่จะจากโลกนี้ไป ทุกคนต้องได้กินให้อิ่มท้อง!”“พวกเรามิต้องมาอ้อนวอนอยู่ตรงนี้และ ไปสืบเสาะ ไปค้นหา กระท่อมหิมะอาจจะใหญ่ไปเสียหน่อย แต่พวกเรามีจำนวนคนเยอะจะหาที่ซ่อนของเสบียงอาหารมิได้เชียวหรือ?”กลุ่มคนจำนวนมหาศาลในกระท่อมแต่เดิม รีบออกไปอย่างรวดเร็วราวกับกระแสน้ำลงของมหาสมุทร“เจี้ยนฮวง!” เฉินฝานกล่าวเกรงว่าเซียนเจี้ยนหวงจะเข้าใจผิด เฉินฝานจึงพูดเสริมอีกห
เซียนเจี้ยนหวงมิลงมือทำร้ายสามัญชน ชายรอยบาดแผลคิดว่าชื่อเสียงของเซียนเจี้ยนหวงเป็นสิ่งจอมปลอม และเขาคิดว่าตนเองมีจำนวนมากมาย ต่อให้เซียนเจี้ยนหวงจะเก่งกาจเพียงใดก็มิสามารถลุยเดี่ยวกับคนหนึ่งร้อยคนได้และเฉินฝานก็ดูจะเป็นคนสุภาพเรียบร้อย ดังนั้นชายรอยบาดแผลมิได้รู้สึกเกรงกลัวอันใด ท่าทียโสโอหังยิ่งเขาต้องการเสบียงอาหารในกระท่อมหิมะทั้งหมด และประสงค์ที่จะคุมชะตาคนหลายคนไว้ในกำมือ ในขณะเดียวกันก็สามารถช่วยเมี่ยวอวี่ให้หลุดพ้นได้ด้วยอำนาจ สาวงาม เสบียงอาหารเขาต้องการทั้งหมดเฉินฝานเงยหน้าขึ้น เหลือบมองชายรอยบาดแผลอย่างเรียบนิ่ง “ดูเจ้าพูดเข้าสิ เจ้าเก่งกาจมากสินะ”“เยี่ยนหลิ่งผู้ยิ่งใหญ่!” ชายรอยบาดแผลวางท่าทีใหญ่โต“ว้าว!” เฉินฝานยกนิ้วโป้ง “ชื่อนี้ช่างน่าเกรงขามเสียจริง!”สุดยอด!เซียนเจี้ยนหวงต้องเก็บอาการอยู่ด้านข้างนี่คงจะเป็นความสนุกเพียงอย่างเดียวตอนที่ถูกกักขังอยู่ที่แห่งนี้ดูคนโง่ ที่จริงแล้วก็เป็นเรื่องที่น่าสนุก“เพียงแต่...” เฉินฝานเปลี่ยนเรื่องทันที “มิทราบว่าชื่อที่น่าเกรงขามเช่นนี้ จะชำนาญในการต่อสู้หรือไม่?”ระหว่างที่พูด เฉินฝานหันไปด้านข้างเล็กน้อย “
“ตุ้บ ๆ ๆ ๆ!”เสียงทุบประตูหน้าต่างด้านนอกดังขึ้นเรื่อย ๆ เซียนเจี้ยนหวงฝึกวรยุทธ์จนชำนาญแล้ว สถานการณ์ฝั่งเขานั้นค่อนข้างไปในทิศทางที่ดีฝั่งฉินเย่ว์เจียวและเย่ว์หนูนี้ค่อนข้างลำบาก“เย่ว์หนู เจ้ากันไว้ก่อน ข้าจะไปย้ายเตียงมากันไว้!”“มิจำเป็นหรอก!” เฉินฝานโบกมือเล็กน้อย เขาให้ฉินเย่ว์เจียวและเย่ว์หนูเปิดประตูออก“เปิดประตูงั้นหรือ?” ฉินเย่ว์เจียวส่ายหน้าทันที “ไม่ได้เจ้าค่ะ นายท่าน”คนด้านนอกทุกคนล้วนโกรธเฉินฝานจนกัดฟันกรอด ตะโกนอย่างดุเดือดเพื่อให้ต้องการพวกเขาผ่านเข้าไป เฉินฝานเสี่ยงอันตรายเกินไปแล้ว“พวกเจ้าสามารถกันไว้ได้หนึ่งชั่วยาม จะสามารถกันได้ถึงสองชั่วยามงั้นหรือ?”เมื่อคนตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงตาย มิว่าสิ่งใดก็สามารถทำได้ความเลวทรามของมนุษย์ เป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวที่สุดในโลกใบนี้“นายท่าน ขอเพียงข้ายังอยู่ ข้าก็จะยังคงกันต่อไปเรื่อย ๆ จะมิยอมให้คนด้านนอกเหล่านั้นทำร้ายท่านแม้แต่ปลายเล็บ”ฉินเย่ว์เจียวกำหมัดไว้แน่นขนัดเฉินฝานมองท่าทีที่เศร้าสลดทว่าเข้มแข็งของฉินเย่ว์เจียว รู้สึกซาบซึ้งและหงุดหงิด“นายท่าน บ่าวก็เช่นกันเจ้าค่ะ”เย่ว์หนูเพิ่มแรงในการกันประต
ฉินเย่ว์เจียวง้างมือขึ้นทันที เดิมทีต้องการจะตบหน้าเมี่ยวอวี่เป็นครั้งที่สองพลันยั้งมือกะทันหันกลั้นหายใจ รอฟังคำตอบของเมี่ยวอวี่ด้วยความกังวลเฉินฝานก็อดมิได้ที่จะเงี่ยหูฟังจะรู้ร่องรอยของเย่ว์ฉินแล้ว รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย“หยกห้อยเอวชิ้นนี้...”“ตุ้บ!”อยู่ ๆ ก็มีก้อนหิมะลอยก้อนหนึ่งลอยทะลุหน้าต่างเข้ามา“โอ๊ย!”เมี่ยวอวี่อยู่ใกล้หน้าต่างอย่างมาก ก้อนหิมะขว้างโดนหัวหน้า ทำให้นางตกใจจึงร้องออกมาทันที“ตุ้บ”ครั้งนี้สิ่งที่ขว้างมาคือก้อนหิน“ระวัง!”เมี่ยวอวี่รู้สึกเพียงว่าร่างกายทรงตัวมิอยู่ ตัวไปชนกับอ้อมอกที่ล่ำสันหัวสมองว่างเปล่าราวกับถูกจี้จุด เมี่ยวอวี่มองเฉินฝานด้วยความมึนงงดวงตากลมโตที่เปล่งประกายแวววับดังดวงดารา สภาพอารมณ์แปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็วหาคำตอบมิได้ มิเชื่อ มิเข้าใจ“เจ้า...” เมี่ยวอวี่กลอกตาไปมา “ไยเจ้าจึงช่วยข้า?”หากมิใช่เฉินฝานดึงนางหลบได้ทัน ตอนนี้นางก็คงหัวแตกเลือดไหลนองไปนานแล้วเฉินฝานผลักเมี่ยวอวี่ในอ้อมอกออก เขาที่พลังภายในยังฟื้นฟูมิสมบูรณ์เอนตัวล้มพิงเรือนร่างของฉินเย่ว์เจียว น้ำเสียงเยือกเย็น “อย่าคิดเข้าตัวเอง ข้าทำไปตามสัญชาตญาณเท
ถึงแม้ในทุกวันนางมักจะรับคำเยินยอจากบุรุษเพศอยู่แล้ว ทว่าท่าทางที่รักใคร่หวานยิ่งกว่าน้ำผึ้งราวภาพวาดนี้ นางมิเคยพบเห็นมาก่อนเมี่ยวอวี่ที่สงสัยว่าตัวเองมองผิดไป จึงตั้งใจหันกลับไปดูอีกครั้งภาพที่เฉินฝานช่วยปัดไรผมบนหน้าผากของฉินเย่ว์เจียวออก และฉินเย่ว์เจียวยิ้มตอบกลับให้เฉินฝานอย่างหวานหยาดเยิ้ม เมี่ยวอวี่เหลือบไปเห็นพอดีไม่จริงหรอก!เมี่ยวอวี่รีบหันหน้ากลับไปด้วยความรวดเร็ว ตีหน้าอกตนเองเบา ๆสองสามทีคาดมิถึงว่าจะเป็นเรื่องจริงใต้หล้านี้มีสามีภรรยาที่รักใคร่กันเช่นนี้จริงหรือ ? เป็นเรื่องจริงหรือว่าผู้ชายจะอ่อนโยนกับภรรยาตนเองได้เพียงนั้น?เฉินฝานเป็นชายที่เลวทรามต่ำช้ามิใช่หรือ?เย่ว์หนูชะเง้อมองมาจากทางเข้าเห็นว่าเฉินฝานตื่นแล้ว รีบวิ่งกลับไปที่ในห้อง ยกโจ๊กครึ่งชามที่วางไว้ในห้องไปอุ่นที่ห้องครัว หลังจากที่อุ่นจนร้อนแล้วก็วิ่งกลับมา“โจ๊กมาแล้วเจ้าค่ะ”“เอามาให้ข้า!” ฉินเย่ว์เจียวรับโจ๊กในมือเย่ว์หนูมาทันที“ลำบากเจ้าแล้ว” เฉินฝานหันไปพยักหน้ากับเย่ว์หนู“บ่าวมิลำบากเลยเจ้าค่ะ ขอเพียงนายท่านหายดีก็เพียงพอแล้ว” เย่ว์หนูหน้าแดง ส่ายหน้าอย่างแรงกล่าวว่าตนเองมิลำ