“ข้าเคยบอกแล้วไม่ใช่หรือ พวกนางไม่ใช่ภรรยาใหม่ของข้า ข้าไม่แต่งงานกับพวกนาง? เฮ้อ ไว้ค่อยอธิบายให้พวกเจ้าฟังก็แล้วกัน”เฉินฝานสวมรองเท้าเดินออกจากเรือน“นายท่าน อรุณสวัสดิ์เจ้าค่ะ ขอให้นายท่านสุขสงบร่างกายแข็งแรง!”เพิ่งเปิดประตู หญิงสาวห้าสิบกว่าคนด้านนอก ย่อตัวลงคารวะเฉินฝานอย่างพร้อมเพรียงเฉินฝานที่เกิดเป็นมนุษย์มาสองชาติภพ ถือว่าเปิดหูเปิดตามามาก แต่กลับตกตะลึงกับเหตุการณ์ตรงหน้าเยี่ยม หญิงสาวห้าสิบกว่าคนคารวะพร้อมกัน ไม่ต่างอะไรกับฉากในละคร ตอนที่ชายาคารวะฮ่องเต้การแต่งกายของหญิงสาว แตกต่างจากห้าวันก่อน ส่วนใหญ่สวมเสื้อกันหนาวสีแดงในแคว้นต้าชิ่ง ชุดเจ้าสาวของชาวบ้านทั่วไปคือเสื้อผ้าสีแดง ออกเรือนฤดูคิมหันต์ สวมเสื้อผ้าสีแดง ออกเรือนฤดูเหมันต์ สวมเสื้อกันหนาวสีแดงเพียงแต่เสื้อกันหนาวสีแดงที่หญิงสาวตรงหน้าเฉินฝานสวมใส่นั้นสีซีดมาก พวกนางน่าจะใส่เสื้อกันหนาวของมารดาเมื่อครั้นออกเรือนกระมังตอนหลังฉินเย่ว์โหรวบอกเขาว่า ไม่ใช่แค่มารดา คนส่วนมากสวมใส่ของยายหรือย่า เสื้อกันหนาวสีแดงหนึ่งตัวอย่าน้อยก็ใส่ถึงสามรุ่น บ้างก็ใส่สี่ถึงห้ารุ่น“ด้านนอกลมแรง พวกเจ้าเข้ามาก่อน”“ข
เฉินฝานยื่นไก่ให้เฉียนลิ่วและให้เขาไปรับเงินห้าตำลึงกับฉินเย่ว์โหรว จากนั้นก็ให้คนส่งไปที่เรือนของปาหนิวครอบครัวของฉินเย่ว์เจียว ฉินเย่ว์โหรวและเฉินผิง ต้อนรับเด็กผู้หญิงและครอบครัวของนางอย่างอบอุ่น ภายในสวนคึกคักมากเป็นพิเศษและสนุกสนานกันอย่างมาก“ข้าว่าพวกท่านทั้งหลายอย่ามัวแต่ดีใจเลย ลองดูเรือนของเฉินฝานสิ มีที่สำหรับผู้หญิงอย่างพวกเจ้าหรือไม่ ?”ด้านนอกประตู เสียงของจูต้าอันทำลายความสนุกสนานภายในสวนจากนั้นเหล่าหญิงสาวเพิ่งสังเกตเห็นว่าเรือนของเฉินฝานเหมือนกับเรือนที่พวกนางเห็นเมื่อห้าวันก่อนทุกประการเมื่อห้าวันก่อน ที่พวกนางจากไป เฉินฝานสัญญาไว้ว่าจะมีที่อยู่ใหม่สำหรับพวกนาง“เพียงห้าวัน ลูกเขยฝานเตรียมการไม่ทันอย่างแน่นอน”มีญาติบางคนช่วยเฉินฝานแก้ตัว มีญาติบางคนวางสินเดิมของหญิงสาวแล้ววิ่งออกไป จากนั้นไม่นานก็กลับมา และเมื่อพวกเขากลับมาก็ทำหน้าบูดบึ้งเล็กน้อย“ไม่มีฟางแห้งเหลืออยู่ใกล้หมู่บ้านซานเหอแล้ว”“อ้าว ทำไมเป็นเช่นนี้เล่า บังเอิญเกินไปหรือไม่ ?”“ข้าไม่คิดว่านี่คือเรื่องบังเอิญ แต่ต้องมีคนจงใจแน่ ๆ” จูต้าอันมองเฉินฝานด้วยท่าทางเจาะจง“ทำไมเจ้าถึงปากร้ายเช่นน
ชายคนหนึ่งในชุดผ้าแพรกระโดดลงจากรถม้าที่จอดด้านหน้าสุดและเดินตรงมาหาเฉินฝาน“น้องฝาน โรงงานจัดตั้งเสร็จแล้ว สามารถเริ่มงานได้ตั้งแต่พรุ่งนี้ คนของเจ้าเตรียมพร้อมหรือยัง?”“ฮ่า ๆ ๆ เป็นเช่นนี้เอง ๆ!”จู้ต้าอันที่ถูกขับไล่ออกไป จู่ ๆ ก็วิ่งกลับมา เขาเดินมาพร้อมกับปรบมือเสียงดังจู้ต้าอันชี้ชายชุดผ้าแพรที่อยู่ข้างหน้าเฉินฝาน “พวกท่านรู้หรือไม่ว่าเขาเป็นใคร”ผู้คนต่างส่ายหัว พวกเขาล้วนเป็นคนที่ยากจนที่สุด จะรู้จักคนร่ำรวยเช่นนี้ได้อย่างไร“ข้าจะบอกให้ เขามีนามว่าหลี่ซาน เป็นลูกเถ้าแก่ของหอนางโลมอี๋ชุนย่วน”“หอนางโลมอี๋ชุนย่วน?”เมื่อพูดถึงหอนางโลมอี๋ชุนย่วน ในสายตาของพวกเขาย่อมมีความดูถูกไม่มากก็น้อยแม้ว่าผู้ชายทุกคนจะชอบไปเที่ยวผู้หญิง แต่สถานที่เช่นนั้นก็ไร้ซึ่งศักดิ์ศรี“เขามาทำอะไรที่นี่?” การมาถึงของหลี่ซานทำให้ผู้คนเต็มไปด้วยความสงสัย“พรวด!”จูต้าอันหัวเราะและกล่าว “ข้าว่าพวกท่านเป็นคนตลกจริง ๆ ในฐานะลูกเถ้าแกของหอนางโลมอี๋ชุนย่วน เขามาที่นี่ก็เพื่อมารับผู้หญิงไปหอนางโลมอี๋ชุนย่วนไงเล่า”“ก็ควรเป็นเช่นนั้น ผู้หญิงที่มีอยู่ในหอนางโลมอี๋ชุนย่วนตอนนี้อายุไม่น้อยแล้ว ถึงเว
“ถ้าเป็นข้า ข้าจะแจ้งทางการทันที ถ้าแจ้งทางการแล้วไม่ได้ผล ก็ไปเอาเรื่องที่เรือนแขกสำราญสุขและตัดขาดการส่งปลาของเขาให้สิ้น ไม่เช่นนั้น เขาจะทำร้ายคนอีกในอนาคต”“เฉินฝาน เจ้าควรอธิบายให้พวกเราฟังสักหน่อยหรือไม่” ครอบครัวของผู้หญิงเหล่านั้นถามหาคำตอบกับเฉินฝานพร้อมกัน หากเฉินฝานคิดแต่งงานกับบุตรสาวของพวกเขาจริง ๆ ย่อมซาบซึ้งในน้ำใจอย่างยิ่ง และพวกเขายอมทำทุกอย่างอย่างไม่เสียใจในภายหลังแต่ถ้าเฉินฝานคิดจะขายบุตรสาวของพวกเขาให้กับหอนางโลมอี๋ชุนย่วน เช่นนั้นพวกเขาจะเอาเรื่องกับเฉินฝานให้ถึงที่สุด“ทุกท่านใจเย็นก่อน” ด้วยความกังวลว่าคนเหล่านั้นจะทำร้ายเฉินฝาน เฉียนลิ่วจึงรีบจูงจูจื้ออันและคนอื่น ๆ ให้มายืนข้างหน้าเฉินฝานเฉียนลิ่วตำหนิด้วยความโกรธ“จู้ต้าอัน เจ้ากำลังบิดเบือนข้อเท็จจริงและกล่าวหาผู้อื่น!”“ข้าบิดเบือนข้อเท็จจริงหรือกล่าวหาผู้อื่นหรือไม่ เช่นนั้นก็ให้เฉินฝานพูด เขาพาหลี่ซานมาที่นี่ เพื่อมารับหญิงสาวเหล่านั้นใช่หรือไม่?”หลี่ซานจ้องจู้ต้าอันด้วยสายตาโมโห “เจ้าเป็นใคร? ถึงต้องให้น้องฝานของข้าอธิบายให้เจ้าฟังด้วยตนเอง ไสหัวออกไปจากที่นี่ซะ อย่ามาขวางทาง ข้ายังต้องพาผู้หญิ
“ทำลึกลับไปได้ ข้าคิดว่าคือสิ่งใด ของสิ่งนั้นน่ะหรือ ปกติข้าเอาไว้เลี้ยงไก่กับเป็ดเท่านั้นแหล่ะ”“อ่อ?” เฉินฝานมองจูต้าอันอย่างเย็นชา “นี่คือเหตุผลว่าทำไมเจ้าถึงไร้ประโยชน์ เจ้าใช้สิ่งนี้เพื่อเลี้ยงไก่ แต่ข้าสามารถเปลี่ยนมันให้เป็นสมบัติได้”จูต้าอันโต้กลับทันที “เจ้าบอกว่าเป็นสมบัติ มันก็เป็นสมบัติเลยรึ ปลาตัวเล็กชนิดนี้ พบได้ตามหนองน้ำทะเลสาบทุกหนแห่งบนภูเขา มีคนมากมายใช้เลี้ยงไก่กับหมู แต่ไก่กับหมูยังไม่ชอบเลย”“จู้ต้าอันพูดถูก” ผู้คนต่างก็รู้จัก พวกเขาตระหนักดีว่าหลายปีที่ผ่านมา ผลผลิตจากการเก็บเกี่ยวนั้นย่ำแย่ หลายคนเคยลองใช้ไข่ปลาตัวเล็กเลี้ยงไก่กับหมู แต่ไก่กับหมูไม่ชอบกิน“จะอร่อยหรือไม่ มาคุยกันภายหลังจากที่ทุกคนได้ชิมแล้วดีกว่า” เฉินฝานหยิบชามแล้วยื่นให้ทุกคนชิมเดิมทีผู้คนยังเกิดความสงสัย แต่หลังจากที่ผู้กล้าสองสามคนเป็นผู้นำในการกิน ไข่ปลาในถ้วยของเฉินฝานก็ถูกแย่งหมดในทันที“อร่อย ๆ”“เฉินฝาน เจ้าทำอย่างไรกันแน่”เฉินฝานยิ้มจาง ๆ และกล่าว “ทุกคนชอบก็พอแล้ว ของว่างไข่ปลาเหล่านี้ เราสามารถไปขายที่หรงตูได้ ข้ากับพี่หลี่ได้สร้างโรงงานแปรรูปไข่ปลาที่อำเภอผิงอัน เพื่อผลิต
หัวใจที่เต้นแรงตั้งแต่ห้าวันก่อน ตอนนี้นิ่งไปถึงก้นบึ้งแล้ววินาทีที่แม่พานางมาอยู่ตรงหน้าเขา นางก็ตกหลุมรักผู้ชายคนนี้ทันทีห้าวันที่ผ่านมา เป็นห้าวันที่นางมีความสุขที่สุดในชีวิตเพราะนางกำลังจะได้แต่งงานกับผู้ชายที่นางชอบเพียงหนึ่งประโยคของปานิวที่ว่าท่านจะไม่แต่งงานกับพวกเราหรือ? ทำให้ผู้หญิงที่ขึ้นรถม้าแล้วและผู้หญิงที่กำลังจะขึ้นรถม้าต่างก็ชะงักเมื่อครู่นี้พวกนางมัวแต่ดีใจ จนไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ด้วยซ้ำผู้หญิงคือสิ่งมีชีวิตที่ละเอียดอ่อนมาก เฉินฝานคือผู้ชายที่ดีคนหนึ่ง พวกนางมองออกคนที่ชอบเฉินฝาน ไม่ได้มีปานิวเพียงคนเดียวพวกนางทุกคนอยากแต่งงานกับเฉินฝาน และเป็นความต้องการจริง ๆ“ข้าไม่ได้เป็นคนดีอย่างที่เจ้าคิด จากนี้ไปถ้าทำงานให้ดี ก็จะมีผู้ชายที่รักเจ้ามากกว่าแต่งงานกับเจ้าเอง”สิ่งที่เป็นเช่นนี้ เป็นเรื่องปกติในยุคปัจจุบัน เพียงแต่ว่า...“ตุบ!”ปานิวคุกเข่าลงต่อหน้าเฉินฝานเสียงดัง“วันนี้ ข้าน้อยได้ผูกเชือกสีแดงรอบหัวและเข้ามาสู่เรือนของตระกูลเฉินแล้ว ชีวิตนี้ ข้าน้อยเป็นของนายท่าน แม้ตายไปก็เป็นผีของนายท่าน”“ไม่ ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้”เฉินฝานอยากพยุงปานิว
เฉินฝานยุ่งตลอดทั้งวันที่โรงงานแปรรูปไข่ปลา เมื่อเขาใกล้ถึงเรือน พลางได้ยินเสียงสั่วน่า [footnoteRef:1]กลองที่บรรเลงอย่างรื่นเริง [1: สั่วน่า เป็นเครื่องดนตรีทางตอนเหนือของจีนที่มีลักษณะคล้ายแตร หรือ ปี่มอญของไทย] หลายปีมานี้มาสถานการณ์ไม่ดี แทบไม่มีใครได้ยินเสียงสั่วน่าและเสียงกลองที่รื่นเริงเช่นนี้ แม้แต่ ฉินเย่ว์โหรวผู้อ่อนโยนและเงียบสงบเสมอมายังมีความสุขกับเสียงที่ได้ยิน นางเปิดม่านขึ้นแล้วถามฉินเย่ว์เจียวที่กำลังขับรถม้าอยู่ข้างหน้า“พี่สาม เสียงนี้มาจากที่ใดหรือ”“ไม่รู้สิ ข้ารู้สึกว่าอยู่ใกล้เรือนเรามาก”“ทำนองของสั่วน่าคึกคักมาก คงมีหญิงสาวสักครอบครัวหนึ่งได้แต่งงานกับผู้ชายดี ๆ กระมัง!”“ต้าชิ่งของเราไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ในอดีต จะเป่าสั่วน่าก็ต่อเมื่อแต่งภรรยา หลังจากที่เรามีผู้ชายลดลงผู้หญิงมากขึ้น ก็เปลี่ยนมาเป็นเป่าสั่วน่าเวลาผู้หญิงออกเรือน”“ดีจัง!”หญิงสาวสองคนแสดงแววตาอิจฉาพร้อมกัน นึกถึงตอนที่พวกนางถูกจัดสรรให้กับเฉินฝานในตอนแรก พี่น้องทั้งสองกอดและร้องไห้ด้วยกันร้องไห้ให้กับโชคชะตาไม่เป็นธรรมและความโหดร้ายจากเบื้องบนโชคดีที่......“นายท่านตื่นแล้วหรือ
“ขาและเท้าของเขาไม่ดี?” เฉินฝานมองขาของเฉินฟู่อย่างจริงจัง“ใช่ ปู่แก่แล้ว” เวลาเดิน เฉินฟู่จงใจเดินกะโผลกกะเผลกดูน่าสงสาร“โห ไม่ดีจริงด้วย เย่ว์เจียว” เฉินฝานหันกลับไปเรียกฉินเย่ว์เจียว“เสี่ยวฝานให้พวกเจ้าหยุด พวกเราจะขึ้นไป ไม่ได้ยินรึ” นางโจวแสดงสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสุขนางรู้ว่าวิธีนี้ได้ผล ไม่ว่าเฉินฝานจะแข็งแกร่งแค่ไหน พวกเขาก็ยังเป็นปู่ย่าของเขาอยู่ดีเวลานี้ เฉินฝานได้ดึงเชือกบังเหียนออกจากมือของฉินเย่ว์เจียว รถม้าก็หยุดชั่วคราว“ตาแก่ เร็วเข้า ขึ้นรถม้ากัน” นางโจวดึงเฉินฟู่ขึ้นรถม้าอย่างมีความสุขผู้ชายเหนือกว่าผู้หญิง เฉินฟู่ขึ้นรถม้าก่อน เมื่อขาข้างขวาเพิ่งเหยียบลงไปเฉินฝานก็ดึงเชือกบังเหียน"ไป!"“กับ ๆ ๆ ๆ!”รถม้าเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว“โอ้……ย โอ้ย ๆ!” เฉินฟู่ที่ล้มลงกับพื้นร้องด้วยความเจ็บปวด“อ้าว!” เฉินฝานหันกลับมาและถอนหายใจ “ขาของท่านปู่ไม่ดีจริงด้วย ท่านย่าต้องพาไปหาหมอโดยเร็วที่สุดนะขอรับ”“เฉินฝาน ไอ้เด็บ้า เจ้ามันเลวทรามยิ่งนัก......”นางโจดุด่าต่าง ๆ นานา และไม่น่าฟังมาก แต่เฉินฝานกลับไม่ได้ยินเลยเดิมที ฉินเย่ว์โหรวกับฉินเย่ว์เจียวยังรู
“ผู้จัดสรร มิสามารถแบ่งให้คนนอกที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าเช่นนี้ได้เด็ดขาด!”“ถูกต้องแล้ว แบ่งให้คนที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้ามิได้!”คนรับใช้สองสามคนข้างกายเหลยหย่งอัน พูดเสริมทันที“เช่นนั้นนายน้อยเหลยคิดว่าผู้ใดเป็นผู้จัดสรรจึงจะเหมาะสม?”มีคนตะโกนถามท่ามกลางผู้เหลือรอดเหลยหย่งอันเลิกคิ้วขึ้นทันที ประโยคที่เขารอก็คือประโยคนี้ผู้นั้นเพิ่งจะกล่าวจบ เหลยหย่งอันก็ส่งสายตาไปที่คนรับใช้ข้างกายทันที“ร้านค้าตระกูลเหลยมากมายมหาศาล นายน้อยของพวกเราก็มีส่วนร่วมดูแล ไปตรวจสอบที่ร้านค้าทุกเดือน”ตรวจสอบแบบใดกัน ไปเกี้ยวพาราสีสตรีในร้านเสียมากกว่าเรื่องนี้ทุกคนในเมืองเซียนตูทราบดี เพียงแต่มิอยากให้เหลยหย่งอันมิพอใจ จึงมิมีผู้ใดกล้าพูดเปิดโปง“ดังนั้น...” คนใช้ผู้นั้นกล่าวต่อ “ผู้จัดสรรนี้ นายน้อยของข้าเป็นคนที่เหมาะสมที่สุด “ทุกคนลงเรือลำเดียวกันแล้ว พวกเจ้า...” เหลยหย่งอันยกมือขึ้นทำท่าทางแบกรับรับความผิดชอบไว้เพียงผู้เดียว “คนที่ร่วมทุกข์กับข้าทุกคน ขอเพียงแค่สามารถมีชีวิตรอดออกไปได้ ก็สามารถไปรับเงินหนึ่งร้อยตำลึงได้ที่ตระกูลเหลยของพวกเรา”เพื่อที่จะได้ตำแหน่งผู้จัดสรรนี้ เหลยห
“ต่อให้เสบียงอาหารทั้งหมดต้องถูกจัดสรรปันส่วนอย่างเท่าเทียม เช่นนั้นไฉนอำนาจในการจัดการจัดแบ่งต้องเป็นเจ้าคนเดียวงั้นหรือ? เจ้าเป็นใครกัน?”ชายหนุ่มที่สวมชุดผ้าไหมอย่างดี ศีรษะสวมหมวกสีทองประดับด้วยไข่มุกเดินเข้ามากล่าวถามเฉินฝานด้วยท่าทีโอหังบุคคลนี้คือลูกชายคนโตของตระกูลเหลยเก่าแก่อันดับหนึ่งของเมืองเซียนตู เหลยหย่งอันด้วยความที่ชาติตระกูลมีเงินและอำนาจ เหลยหย่งอันได้รับสมญานามให้เป็นอันธพาลอันดับหนึ่งในเมืองเซียนตู ปกติก็มักจะรังแกผู้ชายข่มเหงผู้หญิง กระทำชั่วทุกรูปแบบสำหรับวีรกรรมของเหลยหย่งอันแล้ว เจ้าเมืองซื่อต้าเผิงต้องยอมปล่อยผ่านไปเหลยหย่งอันรู้สึกว่ามิถูกชะตาเฉินฝานอยู่ก่อนแล้วเรือนเซียนผาสุกมีกฎว่านอกจากผู้ฟังโชคดี่ถูกเมี่ยวอวี่สุ่มเลือกมา บุคคลที่ให้เงินรางวัลจำนวนมากที่สุด เมี่ยวอวี่ก็จะบรรเลงพิณเป็นการส่วนตัวเช่นกันทว่า ทุกปีจะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นต้นปีเหลยหย่งอันก็เริ่มให้เงินรางวัลจำนวนมหาศาล ในที่สุดเมื่อมาถึงเดือนท้ายปีก็ได้ลำดับที่หนึ่งมาครองเห็นว่าตนเองสามารถเข้าไปในกระท่อมหิมะพบกับเมี่ยวอวี่ ได้ฟังพิณที่นางบรรเลงให้ตนเองโดยเฉพาะ กลับคาดมิถึงว่าอย
เรือนเซียนผาสุกมีชื่อเสียงเงินทองมหาศาลดังคาด จำนวนเสบียงที่กักตุนไว้ตอนฤดูหนาว มากกว่าเสบียงครึ่งปีของครอบครัวสามัญชนเสียอีกตรงข้ามกับผู้เหลือรอดเหล่านั้น เฉินฝานยิ่งฟัง คิ้วยิ่งขมวดหนักขึ้นเรื่อย ๆน้อยไป น้อยเกินไปแล้วคนสามร้อยกว่าคน ต่อให้กินอาหารวันละหนึ่งมื้อ เสบียงอาหารเหล่านี้ก็หมดเกลี้ยงเพียงในพริบตาเดียว“เสบียงอาหารของกระท่อมหิมะนำออกมาไว้ที่แห่งนี้ทั้งหมดแล้วใช่หรือไม่?” เฉินฝานหันหน้ากล่าวถามเมี่ยวอวี่“กระท่อมหิมะแห่งนี้ของข้ามิได้ใหญ่โตเสียหน่อย ตุนไว้จำนวนมากเพียงนั้น ยังมินับว่าเยอะอีกหรือ?” เมี่ยวอวี่ย้อนถามเฉินฝาน“ก็จริง” เฉินฝานหัวเราะสมเพชตนเองในส่วนลึกของหัวใจ หวังว่าจะมีเยอะกว่านี้“ตอนนี้นับเสบียงเรียบร้อยแล้ว รีบแบ่งให้ทุกคนเถอะ”มีคนเร่งเร้าหิวจนทนมิไหวแล้วจริง ๆ“แบ่งมิได้!” เฉินฝานกล่าว“มิแบ่งงั้นหรือ?”สายตาสามร้อยกว่าคนจับจ้องไปที่เฉินฝานอย่างพร้อมเพียงมิเข้าใจ มิเชื่อเสบียงอาหารทั้งหมดถูกขนย้ายออกมานับจำนวนแล้ว ไม่เพียงแต่จำนวนเสบียงเท่านั้น จำนวนคนก็นับแล้วเช่นกันทำถึงเพียงนี้แล้ว เฉินฝานกลับกล่าวว่ามิแบ่งแล้ว“เจ้าหมายความว่าอย
เขายืนกรานไม่ยอมนำเสบียงออกมามิใช่หรือ ไฉนตอนนี้ต้องการเอาออกมา และยังต้องนำออกมาทั้งหมดอีกด้วยเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่กันแน่?“ทำไมล่ะ? แม่นางเมี่ยวอวี่มิเห็นด้วยงั้นหรือ?” เฉินฝานกล่าวถาม“โอ้ ไม่ใช่หรอก!” เมี่ยวอวี่กล่าวอย่างรีบร้อน “แน่นอนว่าข้าต้องเห็นด้วยอยู่แล้ว เจ้ารีบพาคนไปนำเสบียงอาหารในคลังออกมาทั้งหมด”“ช้าก่อน!” เฉินฝานเรียกยายจ้าวไว้ “เพื่อให้มั่นใจว่าเสบียงอาหารทั้งหมดจะถูกขนย้ายออกมา เย่ว์เจียวเจ้าไปตามยายจ้าวไปด้วย พวกเจ้า... ”เฉินฝานหันไปกล่าวกับผู้เหลือรอดเหล่านั้น “ก็ส่งหนึ่งคนตามไปด้วย”ผ่านไปครู่เดียว เสบียงอาหารทั้งหมดในกระท่อมหิมะถูกขนมาไว้ด้านหน้าฝูงชนเฉินฝานมองดูเสบียงอาหารที่กองเป็นพะเนินด้านหน้า กล่าวอย่างเนิบนาบ “โอ้ จำนวนมิน้อยเลยนะเนี่ย”“อากาศเย็น คร้านออกไปจับจ่าย ดังนั้นจึงซื้อจำนวนมากในคราวเดียว” เมี่ยวอวี่กล่าวอย่างมิใส่ใจมากนักเสบียงอาหารเหล่านั้นมีจำนวนมากก็จริงทว่าเป็นเรื่องยากที่จะทำให้คนจำนวนมากเพียงนี้อยู่รอด!ท้ายที่สุด ก็ยังคงต้องตายอยู่ดีเหล่าผู้เหลือรอด มิได้มองการณ์ไกลเช่นนั้น พวกเขาที่หิวมาหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว มองเสบียงอาห
เมื่อมีคนเปิดประเด็นแล้วคนอื่นก็พากันทำตาม คนกลุ่มใหญ่จำนวนมหาศาลคุกเข่าต่อหน้าเฉินฝานเฉินฝานมิได้กล่าวอันใด เมี่ยวอวี่ที่อยู่ด้านข้างชิงพูดก่อน“เหอะ!” เมี่ยวอวี่เยาะเย้ยออกมาทันที กล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ช่างเป็นชายที่ใจดำอำมหิตเสียจริง คิดว่าตนเองมีผู้มากฝีมือที่เก่งกาจอยู่ข้างกาย ก็สามารถมิสนใจชีวิตของผู้คนรอบตัว แม้กระทั่งเด็กและคนชราก็ยังมิยอมช่วย”เมี่ยวอวี่จงใจกล่าวเช่นนี้จงใจที่พัดความโมโหของฝูงชนให้ลุกฮือดังคาด...“เขาใจดำอำมหิตเพียงนั้น แม้กระทั่งเด็กน้อยคนแก่ก็ยังมิยอมให้อาหารกินแม้แต่น้อย เช่นนั้นเรายังต้องกลัวสิ่งใดอีก?”เมื่อมีคนเริ่มก็มีคนตาม“ถูกต้อง อย่างไรเสียก็ถูกขังจนตายอยู่ที่นี้อยู่ดี ก่อนที่จะจากโลกนี้ไป ทุกคนต้องได้กินให้อิ่มท้อง!”“พวกเรามิต้องมาอ้อนวอนอยู่ตรงนี้และ ไปสืบเสาะ ไปค้นหา กระท่อมหิมะอาจจะใหญ่ไปเสียหน่อย แต่พวกเรามีจำนวนคนเยอะจะหาที่ซ่อนของเสบียงอาหารมิได้เชียวหรือ?”กลุ่มคนจำนวนมหาศาลในกระท่อมแต่เดิม รีบออกไปอย่างรวดเร็วราวกับกระแสน้ำลงของมหาสมุทร“เจี้ยนฮวง!” เฉินฝานกล่าวเกรงว่าเซียนเจี้ยนหวงจะเข้าใจผิด เฉินฝานจึงพูดเสริมอีกห
เซียนเจี้ยนหวงมิลงมือทำร้ายสามัญชน ชายรอยบาดแผลคิดว่าชื่อเสียงของเซียนเจี้ยนหวงเป็นสิ่งจอมปลอม และเขาคิดว่าตนเองมีจำนวนมากมาย ต่อให้เซียนเจี้ยนหวงจะเก่งกาจเพียงใดก็มิสามารถลุยเดี่ยวกับคนหนึ่งร้อยคนได้และเฉินฝานก็ดูจะเป็นคนสุภาพเรียบร้อย ดังนั้นชายรอยบาดแผลมิได้รู้สึกเกรงกลัวอันใด ท่าทียโสโอหังยิ่งเขาต้องการเสบียงอาหารในกระท่อมหิมะทั้งหมด และประสงค์ที่จะคุมชะตาคนหลายคนไว้ในกำมือ ในขณะเดียวกันก็สามารถช่วยเมี่ยวอวี่ให้หลุดพ้นได้ด้วยอำนาจ สาวงาม เสบียงอาหารเขาต้องการทั้งหมดเฉินฝานเงยหน้าขึ้น เหลือบมองชายรอยบาดแผลอย่างเรียบนิ่ง “ดูเจ้าพูดเข้าสิ เจ้าเก่งกาจมากสินะ”“เยี่ยนหลิ่งผู้ยิ่งใหญ่!” ชายรอยบาดแผลวางท่าทีใหญ่โต“ว้าว!” เฉินฝานยกนิ้วโป้ง “ชื่อนี้ช่างน่าเกรงขามเสียจริง!”สุดยอด!เซียนเจี้ยนหวงต้องเก็บอาการอยู่ด้านข้างนี่คงจะเป็นความสนุกเพียงอย่างเดียวตอนที่ถูกกักขังอยู่ที่แห่งนี้ดูคนโง่ ที่จริงแล้วก็เป็นเรื่องที่น่าสนุก“เพียงแต่...” เฉินฝานเปลี่ยนเรื่องทันที “มิทราบว่าชื่อที่น่าเกรงขามเช่นนี้ จะชำนาญในการต่อสู้หรือไม่?”ระหว่างที่พูด เฉินฝานหันไปด้านข้างเล็กน้อย “
“ตุ้บ ๆ ๆ ๆ!”เสียงทุบประตูหน้าต่างด้านนอกดังขึ้นเรื่อย ๆ เซียนเจี้ยนหวงฝึกวรยุทธ์จนชำนาญแล้ว สถานการณ์ฝั่งเขานั้นค่อนข้างไปในทิศทางที่ดีฝั่งฉินเย่ว์เจียวและเย่ว์หนูนี้ค่อนข้างลำบาก“เย่ว์หนู เจ้ากันไว้ก่อน ข้าจะไปย้ายเตียงมากันไว้!”“มิจำเป็นหรอก!” เฉินฝานโบกมือเล็กน้อย เขาให้ฉินเย่ว์เจียวและเย่ว์หนูเปิดประตูออก“เปิดประตูงั้นหรือ?” ฉินเย่ว์เจียวส่ายหน้าทันที “ไม่ได้เจ้าค่ะ นายท่าน”คนด้านนอกทุกคนล้วนโกรธเฉินฝานจนกัดฟันกรอด ตะโกนอย่างดุเดือดเพื่อให้ต้องการพวกเขาผ่านเข้าไป เฉินฝานเสี่ยงอันตรายเกินไปแล้ว“พวกเจ้าสามารถกันไว้ได้หนึ่งชั่วยาม จะสามารถกันได้ถึงสองชั่วยามงั้นหรือ?”เมื่อคนตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงตาย มิว่าสิ่งใดก็สามารถทำได้ความเลวทรามของมนุษย์ เป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวที่สุดในโลกใบนี้“นายท่าน ขอเพียงข้ายังอยู่ ข้าก็จะยังคงกันต่อไปเรื่อย ๆ จะมิยอมให้คนด้านนอกเหล่านั้นทำร้ายท่านแม้แต่ปลายเล็บ”ฉินเย่ว์เจียวกำหมัดไว้แน่นขนัดเฉินฝานมองท่าทีที่เศร้าสลดทว่าเข้มแข็งของฉินเย่ว์เจียว รู้สึกซาบซึ้งและหงุดหงิด“นายท่าน บ่าวก็เช่นกันเจ้าค่ะ”เย่ว์หนูเพิ่มแรงในการกันประต
ฉินเย่ว์เจียวง้างมือขึ้นทันที เดิมทีต้องการจะตบหน้าเมี่ยวอวี่เป็นครั้งที่สองพลันยั้งมือกะทันหันกลั้นหายใจ รอฟังคำตอบของเมี่ยวอวี่ด้วยความกังวลเฉินฝานก็อดมิได้ที่จะเงี่ยหูฟังจะรู้ร่องรอยของเย่ว์ฉินแล้ว รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย“หยกห้อยเอวชิ้นนี้...”“ตุ้บ!”อยู่ ๆ ก็มีก้อนหิมะลอยก้อนหนึ่งลอยทะลุหน้าต่างเข้ามา“โอ๊ย!”เมี่ยวอวี่อยู่ใกล้หน้าต่างอย่างมาก ก้อนหิมะขว้างโดนหัวหน้า ทำให้นางตกใจจึงร้องออกมาทันที“ตุ้บ”ครั้งนี้สิ่งที่ขว้างมาคือก้อนหิน“ระวัง!”เมี่ยวอวี่รู้สึกเพียงว่าร่างกายทรงตัวมิอยู่ ตัวไปชนกับอ้อมอกที่ล่ำสันหัวสมองว่างเปล่าราวกับถูกจี้จุด เมี่ยวอวี่มองเฉินฝานด้วยความมึนงงดวงตากลมโตที่เปล่งประกายแวววับดังดวงดารา สภาพอารมณ์แปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็วหาคำตอบมิได้ มิเชื่อ มิเข้าใจ“เจ้า...” เมี่ยวอวี่กลอกตาไปมา “ไยเจ้าจึงช่วยข้า?”หากมิใช่เฉินฝานดึงนางหลบได้ทัน ตอนนี้นางก็คงหัวแตกเลือดไหลนองไปนานแล้วเฉินฝานผลักเมี่ยวอวี่ในอ้อมอกออก เขาที่พลังภายในยังฟื้นฟูมิสมบูรณ์เอนตัวล้มพิงเรือนร่างของฉินเย่ว์เจียว น้ำเสียงเยือกเย็น “อย่าคิดเข้าตัวเอง ข้าทำไปตามสัญชาตญาณเท
ถึงแม้ในทุกวันนางมักจะรับคำเยินยอจากบุรุษเพศอยู่แล้ว ทว่าท่าทางที่รักใคร่หวานยิ่งกว่าน้ำผึ้งราวภาพวาดนี้ นางมิเคยพบเห็นมาก่อนเมี่ยวอวี่ที่สงสัยว่าตัวเองมองผิดไป จึงตั้งใจหันกลับไปดูอีกครั้งภาพที่เฉินฝานช่วยปัดไรผมบนหน้าผากของฉินเย่ว์เจียวออก และฉินเย่ว์เจียวยิ้มตอบกลับให้เฉินฝานอย่างหวานหยาดเยิ้ม เมี่ยวอวี่เหลือบไปเห็นพอดีไม่จริงหรอก!เมี่ยวอวี่รีบหันหน้ากลับไปด้วยความรวดเร็ว ตีหน้าอกตนเองเบา ๆสองสามทีคาดมิถึงว่าจะเป็นเรื่องจริงใต้หล้านี้มีสามีภรรยาที่รักใคร่กันเช่นนี้จริงหรือ ? เป็นเรื่องจริงหรือว่าผู้ชายจะอ่อนโยนกับภรรยาตนเองได้เพียงนั้น?เฉินฝานเป็นชายที่เลวทรามต่ำช้ามิใช่หรือ?เย่ว์หนูชะเง้อมองมาจากทางเข้าเห็นว่าเฉินฝานตื่นแล้ว รีบวิ่งกลับไปที่ในห้อง ยกโจ๊กครึ่งชามที่วางไว้ในห้องไปอุ่นที่ห้องครัว หลังจากที่อุ่นจนร้อนแล้วก็วิ่งกลับมา“โจ๊กมาแล้วเจ้าค่ะ”“เอามาให้ข้า!” ฉินเย่ว์เจียวรับโจ๊กในมือเย่ว์หนูมาทันที“ลำบากเจ้าแล้ว” เฉินฝานหันไปพยักหน้ากับเย่ว์หนู“บ่าวมิลำบากเลยเจ้าค่ะ ขอเพียงนายท่านหายดีก็เพียงพอแล้ว” เย่ว์หนูหน้าแดง ส่ายหน้าอย่างแรงกล่าวว่าตนเองมิลำ