“แต่คนล่อคงตึงมือใช่ย่อยเลยนะ”
“เดี๋ยวข้าทำเอง”“เช่นนั้นเจ้าล่อพวกมันไปอีกทาง ข้าจะเก็บผลของมันเท่าที่ทำได้แล้วตามไปช่วยสมทบ”เมื่อตกลงกันได้ดังนั้น ฉินหลิวซีก็โดดขึ้นไปซ่อนบนต้นไม้ ส่วนหลี่เจิ้นหัวก็เดินเข้าไปยั่วโมโหสัตว์อสูรพวกนั้น แค่เขาทำเสียงดัง และจะเข้าไปใกล้ต้นไม้พวกมันก็คำรามลั่น และไล่กวดเด็กชายไปทั้งกลุ่มฉินหลิวซีอาศัยจังหวะนั้นไปเก็บผลของมันมา นางโยนเข้าไปในมิติ และแบ่งใส่ถุงเฉียนคุนไว้ส่วนหนึ่งเมื่อจัดการผลท้อมรกตเสร็จก็ได้ยินเสียงสัตว์อสูรคำรามลั่นดังแต่ไกล ฉินหลิวซีดวงตาเบิกกว้าง วิ่งตามไปทางต้นเสียงนั้นหลังจากล่อพวกมันออกมาไกลประมาณหนึ่งแล้ว เขาก็หันไปประจันหน้า สัตว์อสูรร่างกายสูงใหญ่ใช้กรงเล็บตะปบผู้บุกรุก เมื่อหลบตัวหนึ่งได้ อีกตัวก็ฟาดลงมา ทำให้ต้องรีดเค้นประสาทสัมผัสทั่วร่างให้เปิดออกถึงขีดสุด ด้วยพละกำลังของเด็ก เขาไม่สามารถต้านทานพลังของพวกมันได้ ทำได้แค่หลบไปหลบมาและสวนคืนได้พอเฉียด ๆ เท่านั้น
หลี่เจิ้นหัวใช้กระบี่ของตนออกมาปัดกรงเล็บของพวกมันให้พ้นตัวครั้งแล้วครั้งเล่“จากที่ตรวจสอบดูเดี๋ยวมันก็ออกผลใหม่ ไม่ต้องห่วงว่าสัตว์อสูรพวกนั้นจะไม่มีวิวัฒนาการหรอก คิดว่าไม่ถึงปีผลของมันก็สุกงอมได้ที่เท่ากับตอนนี้แล้ว” จากความเข้มข้นของพลังโดยรอบที่นางสัมผัสได้ ในป่าไพรอัคคีแห่งนี้พลังค่อนข้างบริสุทธิ์ พวกสมุนไพรวิญญาณ และผลไม้วิเศษเติบโตได้ดี ทำให้พวกสัตว์อสูรพลอยมีมาก และวิวัฒนาการได้เร็วกว่าสัตว์อสูรประเภทเดียวกันในพื้นที่อื่น“แล้วเราจะแบ่งกันอย่างไรดี”“ข้าเอาแค่สามผลก็ได้” หลี่เจิ้นหัวเอ่ยอย่างเกรงใจ ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่า ตัวเองจะเกรงใจเด็กหญิงตรงหน้าไปทำไมเหมือนกันฉินหลิวซีไม่ค้าน นางแบ่งให้เขาตามนั้น และที่เหลือเก็บไว้เอง หลังจากสงบอยู่ได้ไม่นานเสียงคำรามและกรีดร้องของสัตว์ในป่าไพรอัคคีก็ดังสะท้อนกันไปมาเป็นทอด ๆ พวกมันแตกตื่นที่ผลท้อมรกตหายไปทั้งสามคนตกใจจนหน้าซีด ยิ่งฉินซือหยวนที่ยังไม่มีภูมิคุ้มกันกับเรื่องแบบนี้ยิ่งตัวสั่นเข้าไปใหญ่ดูเหมือนว่า ข้าจะเก็บมามากไปหน่อยสินะเด็กหญิงได้แต่ยิ้มแห้งให้ตัวเองฉินซือหยวนเอาตัวเองมาเบียดแนบชิดกับพี่สาวอย่างหาที่พึ่งพิง ท่าทางของเขาหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัดจนไม่ต้องวิเคราะห์อะไรเพิ่มเติม“คิดว่าข้างในนี้ปลอดภ
เห็นพี่สาวเริ่มเอาหินมากองทำเป็นฐานตั้งหม้อ ฉินซือหยวนก็ไปหาเศษกิ่งไม้มาทำเป็นฟืน กระท่อมน้อยในมิติมีอุปกรณ์ทำครัวครบครันแล้ว นางแค่ไปหยิบยืมออกมาใช้หั่นเนื้อหั่นผักก็เอาไปเก็บที่เดิมได้โดยไม่ผิดสังเกตอะไร ระหว่างกำลังทำอยู่นั้นนางก็คอยจับสัมผัสหลี่เจิ้นหัวไปด้วยว่าจะออกมาในเร็ว ๆ นั้นหรือไม่ หากไม่มีวี่แววจะออกมา นางจึงค่อยเข้าไปในมิติกลิ่นอาหารในหม้อหอมฉุยโชยฟุ้ง ชวนน้ำลายไหลแค่เพียงได้กลิ่น ฉินซือหยวนนำถ้วยกะลาทำเองมายืนรออย่างใจจดใจจ่ออยู่ข้างหม้อ ยามขึ้นเขาเดินป่ากัน พี่สาวของเขาจะพกอุปกรณ์จำเป็นเหล่านี้มาด้วย แต่เป็นขนาดเล็กที่เด็กพกพาได้โดยไม่หนักเกินไป มีหลายครั้งที่พวกเขาทำอาหารกินเองระหว่างวัน มีอุปกรณ์พวกนี้ไว้ก็ทำให้สะดวกมากขึ้นคนน้ำแกงในหม้อไปในใจก็รู้สึกผิดสังเกตบางอย่าง ในถ้ำนี้นอกจากพวกแร่หายาก สมุนไพรชั้นเลิศ ก็ไม่พบสัตว์อสูรเลยแม้แต่ตัวเดียว ราวกับมีบางอย่างไล่พวกมันออกไป กันไม่ให้เข้ามา ขณะเดียวกันก็ไม่รู้สึกถึงจิตคุกคามใด เหมือนถ้ำแห่งนี้เป็นฝ่ายอนุญาตให้พวกนางเข้ามาเอง“นี่ของเจ้า” ฉินหลิวซีนำถ้วยที่ทำจากกะลามะพร้าวของน้องชายมาตักแกงไก่ใส่ พวกเขาไม่ได้หุงข้าว
“ข้าจะไม่เข้าป่าสักเจ็ดวันนะ ไม่ต้องมารอที่นี่ล่ะ” เมื่อมาถึงทางแยก ฉินหลิวซีหันไปบอกกับสหายแซ่หลี่ก่อนจะแยกย้ายกันในวันนี้“เข้าใจแล้ว” อีกฝ่ายรับคำอย่างเข้าใจ ขนาดเขายังรู้สึกเหนื่อยเลย นับประสาอะไรกับนาง บางทีก็ต้องหยุดพักบ้าง“หลังจากนี้เจ็ดวันข้าจะมาหาเหมือนเดิมนะ”“ตามใจเจ้าเถอะ ข้าไม่ได้บังคับให้ต้องมาทุกวันเสียหน่อย” ถึงการมีเขาไปไหนมาไหนด้วยจะอุ่นใจ แต่ก็ไม่อยากให้คิดว่า เพราะเป็นเรื่องที่ทำประจำและรับปากนางไว้จึงไม่อาจเลี่ยงหลังจากเอ่ยลากันเรียบร้อย นางก็พาน้องชายกลับบ้าน วันต่อมาหลังจากที่ผ่านเรื่องผจญภัยในป่าไพรอัคคีนางก็ไม่ได้ออกไปที่ป่าเหมือนประจำทุกวัน หลังจากคนในบ้านออกไปทำงานจนหมด ฉินหลิวซีก็พาน้องชายเข้าไปอยู่ในมิติเรื่องที่สมควรทำในการฝึกขั้นต้นนางสอนน้องไปหมดแล้วจึงปล่อยให้เขาฝึกฝนด้วยตัวเองในห้อง ส่วนนางก็มานั่งคัดแยกสมุนไพรที่เก็บมาเมื่อวาน ปริมาณของมันมากเสียจนคิดว่า ใช้เวลาแค่วันสองวันคงไม่เสร็จระหว่างที่คัดแยกสมุนไพรนางก็จดบันทึกต้นที่ไม่เคยเห็นไว้ด้วย บางอย่างอ่านจากตำราเข้าใจได้ก็จริง แต่การจดบันทึกซ้ำก็ช่วยให้จำได้ดีกว่าเดิม เด็กหญิงขลุกอยู่ในมิติเกือบทั
ฉินหลิวซียังคงหมกตัวอยู่ในห้องตลอดจนครบเจ็ดวัน หลังจากวันที่สามที่นางไม่ออกไป บ้านสกุลฉินก็เริ่มหวั่นใจว่านางจะไม่ออกไปล่าสัตว์อีก แต่พอเข้าเช้าวันที่แปดเห็นนางเตรียมตัวออกจากบ้านก็โล่งใจ“ไม่ได้เจอพี่ชายหลี่ตั้งเจ็ดวัน ข้าคิดถึงเขามากเลย” หลังออกมาจากบ้านเด็กชายตัวน้อยก็พูดเจื้อยแจ้วเช่นนี้ตลอดทาง จนนางอดรู้สึกเอ็นดูน้องไม่ได้“เดี๋ยวก็ได้เจอแล้ว เจ้าใจเย็นก่อนเถอะ” นางบีบแก้มเขาด้วยความมันเขี้ยวหลังจากมาถึงที่ที่เคยนัดพบกันเป็นประจำฉินซือหยวนก็รู้สึกประหลาดใจที่วันนี้ไม่เห็นหลี่เจิ้นหัวมาก่อน“พี่ชายหลี่ยังไม่มาเลยท่านพี่”“วันนี้เขาอาจจะตื่นสายก็ได้ เรารอก่อนเถอะ”หลังจากรออยู่เกือบชั่วยามในที่สุดเด็กชายแซ่หลี่ก็วิ่งมา เห็นสีหน้าของเขาเคร่งเครียดมาแต่ไกล นางก็รู้สึกไม่สบายใจไปล่วงหน้า“งะ ไง” เขาทักทายอย่างไม่เป็นธรรมชาติ ไม่รู้ว่าเขาวิตกกังวลเรื่องอะไร แต่นางคิดว่ารอให้เจ้าตัวเล่าเองดีกว่า“ไปกันเถอะ” นางจับมือน้องชายเดินนำเขาเข้าไปในป่า พวกเขายังห
วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่หลี่เจิ้นหัวจะเข้าป่ามาด้วยกัน พรุ่งนี้เด็กชายต้องเดินทางกลับเมืองหลวงพร้อมบิดา และฉินซือหยวนไม่ได้มาด้วย เพราะชิวย่าหนานหยุดงาน ผู้เป็นแม่อยากใช้เวลาอยู่กับลูกบ้าง แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยรั้งไว้เพราะปกติก็รู้ว่าน้องชายจะออกมากับนาง ฉินซือหยวนเป็นเด็กดีและรักครอบครัวมาก ถึงแม้จะเสียดายที่ไม่ได้มาส่งด้วยตัวเอง แต่น้องชายของนางก็ฝากของขวัญอำลามาให้“วันนี้เหลือแค่ข้ากับเจ้าสองคนเช่นนั้นสินะ”“ไม่ต่างจากปกตินักหรอก แค่ขาดความสดใสของน้องข้าไปก็เท่านั้น” นางทำท่าทางเสียดายสุดใจสวนทางกับคำพูด เอ่ยประโยคนั้นเสียงติดตลกหลี่เจิ้นหัวหัวเราะออกมาด้วยความชอบจ่าย นางไม่ปรากฏมุมนี้ให้เห็นบ่อยนัก นี่คงเป็นอีกหนึ่งสีหน้าที่เขาไม่อาจลืมเลือนไปจากใจได้“วันนี้จะทำอะไร แยกกันล่าหรือ”“แยกกันล่าลองดูไหมเล่า อาจจะคล่องตัวกว่าปกติก็ได้” นางเสนอเพราะทุกครั้งที่ผ่านมาจะต้องมีคนหนึ่งคอยดูน้องชายของนางเอาไว้ แล้วจึงค่อยมาเปลี่ยนกันออกไปหาเหยื่อหลังจากตกลงกันได้ดังนั้น พวกเขาต่างก็แยกไปคนละทาง แต่ยังเ
หลี่เจิ้นหัวเปิดฝากาน้ำดูก็พบว่าเป็นสิ่งวิเศษแน่ น้ำที่เห็นนั้นใส ไร้กลิ่น ไร้สี แต่สัมผัสถึงพลังทิพย์ได้อย่างหนาแน่น ดูล้ำค่ามากเสียจนเขาไม่กล้าถามเลยว่า นางไปได้มันมาอย่างไร ซาบซึ้งน้ำใจที่เด็กหญิงผู้นี้มอบเงินให้“ข้าจะใช้อย่างดี ขอบคุณเจ้ามาก”“พรุ่งนี้เจ้าคงต้องเดินทางแต่เช้า กลับได้แล้วกระมัง”หากมัวแต่ร่ำลากันอยู่แบบนี้คงไม่ได้ไปไหนหลี่เจิ้นหัวหัวเราะแห้ง เขาเองก็ไม่อยากกลับทำทีเป็นลืมเวลาไป ไม่นึกว่านางจะเป็นฝ่ายทักขึ้นมาเอง แต่มองดูพระอาทิตย์ที่เกือบลับฟ้าไปหมดแล้ว ก็เป็นเวลาอันสมควรที่ควรกลับบ้าน“แล้วพบกันใหม่”“วาสนาได้พานพบ มีหรือรู้ได้”“มันจะเกิดขึ้นแน่ เพราะข้าจะตามหาเจ้าให้เจอ ต่อให้ต้องพลิกแผ่นดินหาเป็นพันลี้ก็ตาม”นับถือในดวงตามุ่งมั่นนั้นนะ แต่จะเป็นไปได้สักแค่ไหนกันเชียวคำถามนี้นางไม่ได้ตอบรับกลับไปอีก “ถ้าอย่างนั้นก็ไว้พบกันใหม่ ลาก่อนหลี่เจิ้นหัว”นางกล่าวคำลาราวกับจะตัดขาดจนคนฟังรู้สึกสะเทือนใจ แต่เขาไม่ได้คิดอะไรซับซ
หลี่เจิ้นหัวกลับเมืองหลวงได้หลายวันแล้ว ฉินหลิวซีกับน้องชายออกจะเหงาอยู่บ้าง ปกติต้องมีเด็กผู้ชายช่างถามอยู่ด้วย แต่ถึงจะไม่มีเขาก็ไม่ได้มีผลต่อชีวิตเท่าไร แค่ไม่ชินเล็กน้อย ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่เกือบปี ฉินหลิวซีแทบจะอยู่กับน้องชายและหลี่เจิ้นหัวตลอด พอมีอะไรขาดหายไปจึงรู้สึกแปลก ๆเด็กหญิงอยู่บ้านกับน้องชายเกือบทุกวันตั้งแต่สหายผู้นั้นจากไป นางออกไปล่าสัตว์แค่เท่าที่จำเป็น ไม่ได้อยู่ทั้งวันเหมือนก่อน“ท่านพี่ ท่านอย่าเศร้าไปเลย เล่นกับข้าก็ได้นะ” น้องชายเห็นพี่สาวสีหน้าไม่สู้ดีก็คอยชวนนางทำนั่นทำนี่ เขาคิดถึงพี่ชายหลี่ พี่สาวก็คงคิดถึงเหมือนกันเห็นน้องชายพยายามเอาใจนาง ฉินหลิวซีก็ลูบศีรษะเขาด้วยความเอ็นดู มีน้องชายอีกคนที่คอยเอาใจใส่นางเช่นนี้ก็ทำให้ความเหงาคลายลงไป ชีวิตประจำวันค่อนข้างสงบสุข หากไม่นับเสียงรบกวนที่มักจะลอยมาเข้าหูอยู่ทุกวัน คนในบ้านนี้ก็ไม่มีความเกรงอกเกรงใจกันอยู่แล้ว เวลาประชดประชันก็ชอบพูดเสียงดังให้ได้ยินไปทั้งเรือนวันนี้ก็เช่นกัน“ทำไมนางถึงเอาแต่อยู่บ้านไม่ทำงานทำการ!”เสียงอาหญิงเล็กดังทะลุประตูมา ฉินซือหยวนที่เคยตกใจจนสะดุ้งตอนนี้ชินกับเสียงตวาดของคนในบ้าน
ย่าฉินเริ่มคล้อยตาม ฝันถึงอนาคตที่ถูกเป่าหูซึ่งไม่รู้ว่าจะมาถึงได้จริงหรือไม่ ฉินหลิวซีกอดอก กลอกตาเป็นครั้งที่สองด้วยความเหนื่อยหน่าย สองคนนี้ได้กินอาหารดี ๆ ทุกวัน อย่างน้อยก็ดีกว่านางแน่ ๆ ต่อให้ในวันนั้นไม่มีเนื้อเลย สองคนนี้ก็ยังได้กินไข่ แต่วัน ๆ หนึ่งกลับไม่ทำอะไรนอกจากอ้างว่าต้องเตรียมตัวสำหรับสองอย่างที่ว่ามานั้น“ที่พูดมานั้นจะทำได้จริงเมื่อไหร่กันล่ะเจ้าคะ ถึงวัยอันเหมาะสมทั้งสองคนแล้วไม่ใช่หรือ ยังเห็นนอนกระดิกเท้าอยู่บ้านกันอยู่เลย”ย่าฉินได้ยินนางต่อปากต่อคำก็เริ่มฉุน “หลิวซี หัดเคารพผู้ใหญ่เสียบ้าง!”“ก็ทำตัวให้น่าเคารพเสียหน่อยสิ” นางบ่นงึมงำกับตัวเอง พวกเขาจึงไม่ได้ยิน แต่ก็รับรู้ได้ว่านางกำลังไม่เห็นหัวคนอายุมากกว่าทั้งสามคน ถึงจะไม่รู้เนื้อหาที่นางบ่นกับตัวเองก็ตาม“ถ้าพรุ่งนี้ยังไม่ออกไปทำงาน เราได้เห็นดีกันแน่”ฉินหลิวซีคร้านจะต่อปากต่อคำจึงหันหลังกลับ พบว่าน้องชายแอบฟังอยู่ เขายื่นหน้าออกมาเพียงครึ่งเดียวแต่ไม่กล้าออกจากห้อง ฉินหลิวซีพาน้องกลับเข้าไปด้านในเพราะไม่อยากให้เขาทนฟังอะไรแสลงหูที่บ้านเริ่มบรรยากาศไม่ดีตั้งแต่นั้น เช้าวันต่อมานางจึงพาน้องชายออกไปข้างนอ
"ไปไหน""สถานที่ล่าสัตว์วันนั้น"ถ้าเป็นเรื่องนี้ละก็นางไม่ปฏิเสธแน่อยู่แล้ว"เอาสิ"การล่าสัตว์ขององค์ชายรองกับองค์ชายรัชทายาทนั้นเกิดขึ้นระหว่างเสด็จเยี่ยมราษฎร ระหว่างรับเรื่องร้องทุกข์ของชาวบ้าน วันหนึ่งพวกเขาก็ชวนกันไปล่าสัตว์ฆ่าเวลาป่านนี้อยู่ระหว่างเมืองหลวงกับเมืองเหวินทางตะวันออก ป่าหนาทึบเป็นอันดับสองจากป่ารอบเมืองทั้งหมดหลี่เจิ้นหัวออกมากับนางสองคน ครั้งนี้พวกเขาไม่ได้ใช้รถม้าหรือพาหนะใดเพราะไม่อยากสะดุดตา แม้จะมีคนเชื่อว่าเป็นฝีมือองค์ชายรองแต่พระองค์ยืนกรานว่าไม่รู้เรื่อง หากอยากให้คนร้ายดิ้นไม่หลุดก็ต้องหาหลักฐานมาให้ได้"เจ้าคิดไว้ในใจแล้วหรือยัง!""เรื่องอะไร!" เขาตะโกนถามกลับ การวิ่งฝ่าสายลมทำให้พวกเขาไม่ค่อยได้ยินเสียงกันและกัน"จะสืบอย่างไร…" พูดได้ไม่ถึงครึ่งประโยคฉินหลิวซีก็ส่ายหน้า ทำมือเป็นสัญญาได้ไปคุยกันหลังถึงที่หมาย คุยกันตอนนี้ให้ตายอย่างไรก็ไม่รู้เรื่องเดินทางกันอยู่นานในที่สุดก็ถึงป่าระหว่างสองเมืองเสียที พวกเขาตามร่องรอยมาถึงจุดเกิดเหตุ ทั้งรอยเท้าและของตกหายไม่เหลืออะไรแล้ว แต่ก
โจวเมิ่งอิ๋งคร่ำครวญถึงความน่าสงสารราวโชคชะตากลั่นแกล้งของบุตรสาว ไม่มีแก่ใจมารับรองแขกด้วยตัวเองด้วยซ้ำ ดีที่มีอนุคนสนิทอยู่ข้างกายคอยปลอบใจฟังจากน้ำเสียงคงทุกข์ใจเหลือประมาณ หลี่เจิ้นหัวรู้เรื่องที่ตัวเองสามารถทำได้แล้ว"ทีนี้ข้าจะลงมืออย่างไรดีนะ…"บรรยากาศในห้องค่อนข้างอับชื้น พี่หญิงต้อนรับนางเป็นอย่างดีแม้จะหน้าซีดเซียวกว่าปกติก็ตาม"เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ พี่หญิงดูผอมลงไปหรือไม่ กินข้าวไม่อร่อยอย่างนั้นหรือ""อยากที่เจ้าเห็น ก็ไม่ค่อยดีเท่าไร แต่ข้าเป็นผู้บริสุทธิ์ดังนั้นเลยเชื่อว่าอีกไม่นานคงดีขึ้น"แต่ดูเหมือนความเชื่อของนางจะทรยศนางทีละนิด แต่ละวันที่ผ่านไปขื่นขมนักสีหน้าของหลี่เมิ่งเหยาอิดโรยเหมือนคนไม่ได้นอน ถึงจะบอกว่าตนเป็นผู้บริสุทธิ์อย่างไร แต่สถานการณ์แบบนี้คงยิ้มไม่ออก"เรื่องนี้จัดการไม่ได้ง่าย ๆ แต่หากต้องการให้ข้าช่วยเหลืออะไรพี่หญิงอย่าได้เกรงใจนะเจ้าคะ""ฉินหลิวซี ถ้าซาบซึ้งน้ำใจเจ้าจริง ๆ" หลี่เมิ่งเหยาน้ำตารื้น พอรู้ว่านางอาจต้องโทษเหล่ามิตรสหายก็พากันหนีหน้า ส่วนหนึ่งก็คงเพราะคำสั่งของบิดามารดามิให้มาข้อง
เหตุการณ์นี้ทั้งสองนัดแนะกันเองโดยไม่ได้บอกผู้ติดตามพวกเขาจึงไม่ได้ถูกลงโทษที่ละเลยหน้าที่ และโชคดีที่แม่ทัพหลี่ซึ่งเดินทางไปด้วยมาช่วยไว้ทันด้วยเหตุนี้จึงบังเกิดความสงสัยขึ้นในหมู่ชาวเมือง ว่าเป็นฉากที่ถูกจัดไว้หรือเปล่า"เพราะอย่างนี้จึงไม่มีใครสนใจเจ้าของร้านเครื่องประทินโฉมแล้วสินะ…"เรื่องนี้มันเป็นเรื่องใหญ่กว่าเห็น ๆ ก็ดี เพราะข้าก็ไม่ได้อยากเป็นจุดสนใจมากนักในตอนนี้ แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสกุลหลี่ ยังวางใจไม่ได้"ต้องไปหาเจิ้นหัวหน่อยแล้ว"ฉินหลิวซีไปที่หอกระจายข่าวแล้วก็ต้องประหลาดใจเมื่อการรักษาความปลอดภัยเข้มงวดขึ้นกว่าปกติ นางรู้แล้วว่ามีเรื่องไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น แต่ไม่นึกว่าจะส่งผลกระทบถึงสกุลหลี่มากกว่าที่คิด"เพราะพี่หญิงเป็นพระคู่หมั้นขององค์ชายรัชทายาทอย่างนั้นหรือ…?"หรือจะไม่ใช่กันนะคุยกับตัวเองยังไม่จบก็พบว่ายืนอยู่หน้าห้องทำงานของหลี่เจิ้นหัวเสียแล้ว นางเคาะประตูสองครั้งอีกฝั่งก็เอ่ยอนุญาต"หลิวซี~" พอเห็นหน้านางอีกคนก็โอดครวญเสียงอ่อนอย่างน่าสงสาร ท่ามกลางม้วนกระดาษสู่ท่วมหัว"ดูเหมือนเจ้าจะมี
ร้านที่ไม่มีใครรู้ที่มาแน่ชัด รู้แต่ว่าสกุลหลี่เป็นผู้จัดจำหน่ายให้เสมือนคนกลางหลี่ซีเหยาเหยียดยิ้มนึกอยากขัน สินค้านี้มีอยู่ในร้านของบ้านอยู่แล้ว นางเป็นผู้เอามาให้เช่นนี้ช่างน่าขายหน้าจริง ๆ ช่างไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยหากสังเกตและไตร่ตรองดูสักนิดจะรู้ว่าบรรจุภัณฑ์นี้ไม่ได้วางขายในปัจจุบัน มันเป็นตลับแบบใหม่ที่ยังไม่ได้วางหน้าร้านที่ไหน"นี่เป็น…สินค้าจากร้านของข้าเอง เป็นกระปุกชาดและตลับแป้งลายใหม่ที่ยังไม่ได้วางจำหน่ายที่ไหน ข้ามอบมันให้พี่หญิงเป็นคนแรก"ทันทีที่ฉินหลิวซีพูดจบเสียงฮือฮาก็ดังขึ้นอย่างไม่ขาดสาย"เป็นไปไม่ได้ สามัญชนชั้นต่ำอย่างเจ้าจะเป็นเจ้าของสิ่งนี้ได้อย่างไร อย่ามาแอบอ้างนะ เจ้าต้องไปแอบซื้อที่ไหนมาแน่ ๆ แล้วไปแอบเปลี่ยนตลับทีหลังใช่ไหมล่ะ" หลี่ซีเหยาอย่างไม่ยอม นางเริ่มเสียงดังขึ้นเรื่อย ๆ จนมารดาที่เป็นอนุสั่งให้สาวใช้มาพาตัวออกไปเพราะเริ่มจะทำขายหน้า อีกทั้งแม่ทัพยังมองนางด้วยแววตากรุ่นโกรธอีกด้วย หากไม่รีบจัดการนางก็จะโดนลงโทษหลังจบงานนี้แน่สถานการณ์สงบลงแต่เรื่องของฉินหลิวซียังเป็นที่พูดถึงตัวตนของเจ้าขอ
"บุตรสาวคนเล็กของข้าอยู่ในวัยไล่เลี่ยกับคุณชายหลี่ เรียนรู้งานฝีมือตั้งแต่ยังเล็กจนชำนาญ พิณ หมาก อักษร ล้วนเป็นเลิศ…"เซียนโอสถน้อยรู้สึกกระดากใจเกินจะฟังจึงเดินหนีออกมา รู้หรอกว่าหลี่เจิ้นหัวคงไม่เอาด้วยแต่นางก็ไม่ชอบใจอยู่ดีถึงจะไม่พอใจแต่ถ้านางโวยวายหรืออาละวาดขึ้นมาเพราะเรื่องนี้ รังแต่จะสร้างความไม่พอใจให้ฮูหยินท่านที่มีต่อนางเพิ่มมากขึ้นฉินหลิวซีกลับมานั่งที่โต๊ะ น้าหญิงกับน้าเขยทำตัวไม่ถูกกับงานเช่นนี้จึงเลือกโต๊ะที่ไม่ค่อยโดดเด่น นางเข้าใจว่าทั้งสองคงอึดอัดจึงไม่ห้าม แต่ว่านางร่วมโต๊ะด้วยไม่ได้ ในบัตรเชิญบอกไว้ว่าให้นางนั่งร่วมโต๊ะกับเจ้าของงานโคมไฟแดงประดับต้นไม้สว่างวาบขึ้นจากเดิมพร้อม ๆ กัน ทุกคนพร้อมใจกันหันไปมองหน้าเรือนรับรองที่มีทางเดินหินอ่อนทอดยาวออกมาถึงสวน ฉินหลิวซีเห็นหลี่เมิ่งเหยาออกมาแล้วจึงขอตัวท่านหญิงหลี่ออกมาพร้อมกับสหายท่านหญิงคนอื่น ๆ ฉินหลิวซีรู้สึกคุ้นหน้าพวกนางเกือบทุกคนเพราะเคยเจอกันมาก่อนแล้ว นางรู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย ถ้าได้ร่วมโต๊ะกับคนที่คุ้นเคยกันมันดีต่อความรู้สึกนางมากกว่าที่ต้องร่วมโต๊ะกับคนแ
"จริงสิ พี่หญิงเชิญเจ้าไปงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของนาง เจ้าพอจะมีเวลาหรือไม่""งานวันคล้ายวันเกิดของพี่หญิงหรือ ต่อให้ข้าไม่ว่างก็จะไปแน่"ฉินหลิวซีได้รับความช่วยเหลือจากพี่หญิงของหลี่เจิ้นหัวมาไม่น้อย แค่ไปร่วมงานแค่นี้ทำไมนางจะทำไม่ได้แล้ว"ถ้าพี่หญิงได้ยินคงดีใจ""งานเริ่มวันไหน""วันมะรืนปลายยามโหย่ว นี่บัตรเชิญของเจ้า น้าหญิงกับน้าเขยเจ้าสามารถมาเข้าร่วมในฐานะผู้ติดตามได้""นางคงตื่นเต้น"ฉินหลิวซีคิดภาพออกเลยว่าชิวหลานจะพูดอะไรหรือแสดงท่าทีประมาณไหนหลังจากได้ยินเรื่องนี้ น้าหญิงของนางร่าเริงมากตั้งแต่มาเมืองหลวง คุ้มค่าแล้วที่พาทั้งคู่มาเปิดหูเปิดตาฉินหลิวซีตั้งใจสร้างชื่อเสียงและตัวตนของตนเอาไว้ที่นี่ ในอนาคตไม่รู้ว่าลูกหลานสกุลชิวกับท่านพ่อท่านแม่จะย้ายมาที่เมืองหลวงหรือไม่ แต่หากพวกเขามาสิ่งที่นางสร้างไว้จะต้องเป็นประโยชน์แน่"ข้าเองก็ตั้งตารอวันนั้น"หลี่เจิ้นหัวมองนาง สายตาแสดงความรู้สึกอย่างไม่ปิดบัง หญิงสาวไม่รู้ว่าคนตรงหน้าเฝ้ารออะไร แต่แววตาของเขานั้นทำให้นางอยากสร้างความประทับใจที่จะได้พบกันยามค่ำคืนให้พิเศษขึ
"ที่นี่ยอดเยี่ยมไปเลย""ดีใจที่เจ้าชอบ นี่ใบเสนอราคาที่เถ้าแก่คนก่อนเขียนมา"นางกวาดสายตาอ่านดูแล้วก็พยักหน้า "รับได้ แต่ทำไมถึงปล่อยขายล่ะ ทำเลดีมากไม่ใช่หรือ""เขาจะย้ายไปอยู่เมืองอื่นกับหลานชาย กิจการนี้ไม่มีคนสานต่อแล้วเจ้าตัวก็ไม่อยากเดินทางมาเก็บค่าเช่าทุกเดือนด้วย""เข้าใจล่ะ แต่เจ้าเอามันมาได้อย่างไร ร้านทำเลดีแบบนี้ต้องมีคนแย่งกันประมูลมากมายแน่ คงไม่ใช่ว่าเจ้าแอบสนับสนุนเงินเพิ่มให้ข้าหรอกนะ"พอเห็นนางมองตาขวางเขาก็รีบปฏิเสธ"เปล่า ๆ เถ้าแก่เป็นคนรู้จักของข้า เคยมีบุญคุณต่อกันนิดหน่อยเท่านั้น ข้ามาขอร้องให้เขาช่วยหาเพราะเส้นสายก็ไม่น้อย แล้วเขาก็เสนอร้านที่นี่มา ซึ่งก็เป็นร้านของตัวเองนั่นแหละ"ฉินหลิวซีเคยสำรวจราคาตลาดมาบ้างแล้ว ที่นี่ก็ให้ราคาที่ถูกมากกว่าที่อื่นจริง ๆเมื่อได้คำตอบที่พอใจนางก็ไม่ถามอะไรเขาอีกก่อนจะหมดวันพวกเขาไปยังที่ตั้งโกดัง มันเป็นโรงเก็บไม้เก่าที่เลิกกิจการไปแล้ว อายุการใช้งานก็ยังไม่มาก ไม่ถึงกับต้องซ่อมแซมแค่ปัดฝุ่นนิดหน่อยก็ใช้ได้ฉินหลิวซีจะเริ่มทยอยขนของย้ายไปที่คฤหาสน์วันพรุ่งนี้
"ช่างเถอะเจ้าค่ะท่านน้า เราคงจะเจอแบบนี้อีกบ่อยเลยล่ะ ถึงจะน่าหงุดหงิดไปบ้าง แต่คนที่หน้าคบหาและเป็นมิตรยังมีอีกมาก"หลังจากกินอาหารเสร็จแล้ว ฉินหลิวซีก็ให้พวกสาวใช้ไปเดินสำรวจในเมืองโดยให้ไปกันเป็นกลุ่ม ห้ามแยกไปคนเดียวเพราะต่อให้เป็นเมืองหลวงก็ใช่ว่าจะปลอดภัย ที่สำคัญคือห้ามก่อเรื่องเป็นอันขาดหลังจากพวกเขาแยกย้ายกันไปแล้ว นางที่กำลังจะขึ้นไปพักบนห้องก็ถูกเรียกเอาไว้"หลิวซี!""เจิ้นหัว?" นางหันหลังมาเห็นก็รู้แล้วว่าเป็นใคร อีกฝ่ายวิ่งมาหาจากแยกด้านหน้าของถนน ทำหญิงสาวเอ่ยชื่อของเขาด้วยความประหลาดใจวิ่งมาแบบนั้นจะหายใจทันไหมนี่"ดูจากสีหน้าคงไม่ใช่เรื่องฉุกเฉินอะไรหรอก ก็แค่ตื่นเต้น…" หญิงสาวเอ่ยพึมพำกับตัวเองนางอมยิ้มแล้วหัวเราะออกมาเบา ๆเพราะข้าล่ะมั้งหลี่เจิ้นหัววิ่งเข้ามาหาฉินหลิวซีโดยไม่สนสายตาใคร โรงเตี๊ยมนี้อยู่ตรงข้ามเหลาอาหารพวกเขาจึงตกเป็นเป้าสายตา ทำเอานางรู้สึกขัดเขิน"จะ เจ้าไม่ได้บอกว่าจะมาถึงพรุ่งนี้หรอกหรือ ขอโทษนะ ข้าไม่ได้ออกไปรับเลย""ไม่เป็นไร เจ้าหายใจช้า ๆ หน่อย วิ่งมาตั้งแต่ที่จวนหรือไงเนี่ย
แม้ตอนจะจากก็ยังมีอารมณ์ขัน เชื่อแทบไม่ลงเลยว่าเป็นองค์ชายต่างแคว้นเหตุผลหนึ่งที่ไม่มีกล้ามีใครมาโจมตีนอกจากพวกไม่มีหัวคิดก็เพราะสถานะของเจียงหรูอี้ ถึงเจ้าตัวจะบอกว่าตอนนี้เป็นแค่จอมยุทธ์พเนจรไม่มีสถานะอื่น แต่หากติดตามข่าวสารต่างแดนบ้างต้องเคยได้เห็นหรือได้ยินเรื่องของเขาบ้างองค์ชายยังประหลาดใจที่ฉินหลิวซีรู้ว่าตนเป็นใคร ชาวบ้านทั่วไปไม่มีใครสนใจสถานะของเขา ซึ่งนั่นทำให้หรูอี้สบายใจและใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ พอรู้ว่านางผิดสังเกตก็ประหม่า ฉินหลิวซีต้องอธิบายนานกว่าเขาจะเข้าใจว่านางไม่ได้เจตนาจับผิดหรือเป็นสายลับที่ไหน ก็แค่มีหน่วยข่าวกรองดี ๆ ให้ถามโดยไม่คิดค่าจ้างแค่นั้นเมื่อสิ้นสุดการเดินทางก็ได้เวลาแปลงโฉม ฉินหลิวซีสั่งตั้งกระโจมด้านนอกหนึ่งวันเพื่อเตรียมตัว"น้าหญิง น้าเขย เชิญทางนี้หน่อยเจ้าค่ะ""นะ น้าเขยหรือ!?" เฉาฟางทั้งเขินอายทั้งประหม่าในคราวเดียว"อย่างไรผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายก็รับรู้แล้ว ไม่เป็นอะไรหรอกเจ้าค่ะ น้าหญิงงามออกปานนี้ ถ้าไม่ทำให้ชัดเจนละก็อาจจะมีคนมาตามตื้อได้""หยา แบบนั้นไม่ได้สิ ไม่ได้เด็ดขาดเลยนะ" โวยวายเสร็จ