“การปล่อยพลังเวท เราจะใช้การร่ายออกมาพร้อมกับฝ่ามือที่หันออกจากตัว หรือให้พูดง่าย ๆ ก็คือแบมือไปข้างหน้านั่นแหละนะ พ่อจะทำให้ดูเป็นตัวอย่างแล้วกัน” อิซามุนั้นอธิบายเกี่ยวกับวิธีการร่ายเวท โดยการใช้ฝ่ามือพร้อมกับการพูด
“ลูกบอลเพลิง!” บริเวณรอบข้อมือของอิซามุนั้นมีวงแหวนเวทสีแดงปรากฏขึ้น แล้วมันก็หายไป ในขณะเดียวกันที่กลางฝ่ามือของอิซามุก็มีลูกไฟเล็ก ๆ ออกมาและลอยอยู่อย่างนั้น
“สุดยอด แต่ไหนพ่อบอกว่าตระกูลเรามีพลังมังกรไงครับ ทำไมพ่อถึงมีพลังไฟ.. หรือคือมังกรไฟ? แล้วทำไมมันถึงอยู่นิ่งแบบนั้นล่ะครับพ่อ พ่อทำให้มันไม่ยิงออกไปเหรอครับ?”
“เจ้าลูกบ้านี่ ใช่แล้วล่ะ พลังมังกรที่พ่อบอกไว้ก็คือมังกรไฟ..”
“แล้วก็เราสามารถควบคุมพลังเวทได้อย่างอิสระตราบใดที่มันยังอยู่ตรงฝ่ามือเรา ถ้าจะยิงมันออกไปก็ต้องพูดต่อว่า 'ยิงลูกบอลเพลิง' และการร่ายแบบนี้นั้นส่วนมากจะใช้ในการรวบรวมพลังเพื่อนำไปสู่การใช้พลังเวทหรือใช้การโจมตีขนาดใหญ่ แต่มันก็มีการร่ายแบบลัดเพื่อใช้ในการต่อสู้จริงอยู่แล้ว วิธีก็คือพูด 'ยิงลูกบอลเพลิง' โดยที่ไม่ต้องพูดว่า 'ลูกบอลเพลิง จงออกมา' เหมือนตอนแรก.. มันก็มีอยู่แค่นั้นแหละนะ”
การร่ายเวทที่โลกนี้ใช้ต่อ ๆ กันมานั้นไม่ได้มีความยาวของประโยคที่พูดเลยสักนิด เหมือนกับแค่พูดออกมาว่าต้องการอะไร แต่ก็ยังคงเรียกต่อ ๆ กันมาว่ามันเป็นการร่ายเวท
“ลูกลองรวบรวมสมาธิไว้ในจุดเดียว บีบเค้นพลังเวทให้ออกมาที่ฝ่ามือ ถ้าทำได้ก็จะรู้ว่าพลังเวทของลูกคืออะไร แต่ก็คงจะเป็นพลังมังกรเหมือนกันหมดนี่แหละนะ อีกสักหน่อยก็จะมีเปลวไฟจาง ๆ ออกมาที่ฝ่ามือ หลังจากนี้ลูกก็จะใช้พลังเวทได้แล้วล่ะ”
เมื่อได้ยินอย่างนั้นอาคุมุจึงทำตามที่บอกด้วยความกระตือรือร้น เพราะเขาก็อยากจะรู้ว่าการใช้พลังเวทนั้นเป็นอย่างไร
ไม่นานนักอาคุมุก็เริ่มสัมผัสได้ถึงพลังเวทที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกาย อิซามุก็เริ่มสังเกตเห็นออร่าสีขาวจาง ๆ ที่แผ่ออกมาจากตัวเขา
“แบบนั้นแหละ แล้วค่อย ๆ ควบคุมให้มันออกมาที่ฝ่ามือ เดี๋ยวจะมีเปลวไฟออกมาเอง...”
อิซามุพูดยังไม่ทันจบ เขาก็ต้องตาค้างราวกับว่าเห็นผีในทันที เพราะพลังที่ออกมาจากฝ่ามือของอาคุมุนั้นไม่ใช่ไฟ แต่เป็น..
“มังกรสายฟ้าเหรอ?! อาคุมุ พลังเวทย์ของลูกคือมังกรสายฟ้า! ไม่ใช่มังกรไฟแบบของพ่อ”
ได้มีสายฟ้าปะทุอยู่ที่ฝ่ามือของอาคุมุ ซึ่งทำให้อาคุมุนั้นแปลกใจเป็นอย่างมากเพราะมันไม่เหมือนที่อิซามุนั้นพูดไว้ ถึงแม้มันจะไม่เหมือนที่พูดไว้ อิซามุนั้นก็ไม่ได้มีท่าทีที่แปลกใจแต่อย่างใด เขากับตกใจและยิ้มออกมาด้วยความตื่นเต้น
“หมายความว่าอะไรเหรอครับพ่อ?” อาคุมุกล่าวถามด้วยความสงสัย
“พลังเวทมังกรสายฟ้า(มังกรอัสนี) เป็นพลังเวทที่หาได้ยากมาก ถึงแม้ตระกูลของเราจะเป็นตระกูลแห่งมังกร แต่ส่วนมากก็เป็นมังกรไฟ(มังกรอัคคี) และมังกรน้ำ(มังกรวารี) แต่ของลูกเป็นมังกรสายฟ้าที่มีจุดเด่นคือความเร็วและพลังโจมตีรุนแรงที่สุดในหมู่มังกร พลังเวทของลูกจะทำให้ตัวลูกเองสามารถยกระดับในหลาย ๆ เรื่องได้เลยล่ะนะ เพราะมันเป็นพลังเวทในตำนานเลยล่ะ” อิซามุอธิบายให้อาคุมุได้รับรู้
ดูเหมือนว่าอาคุมุนั้นจะมีความโชคดีไม่น้อย เพราะมีความเป็นไปได้ว่าพลังของเขานั้นมีความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน แม้แต่แววตาของอิซามุก็ยังคงปรากฏให้เห็นถึงความตื่นเต้นอยู่อย่างนั้น
“ถ้าอย่างนั้น โดยพื้นฐานแล้วพลังของผมก็แข็งแกร่งกว่าพ่อสินะครับ” อาคุมุถามกลับไปด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
“อืม แน่นอน แต่ใช่ว่ามีพลังที่แข็งแกร่งแล้วจะแข็งแกร่งได้ตามที่คิดนะ เพราะมันขึ้นอยู่กับปัจจัยหลาย ๆ อย่างรอบด้าน ทั้งการฝึกฝน ความคุ้นเคยกับพลัง ความชำนาญ การใช้พลังอย่างถูกวิธี ระดับพลัง และอีกหลายอย่าง” อิซามุกล่าวตอบ
“แล้วผมสามารถใช้ทักษะอะไรได้บ้างเหรอครับ?” อาคุมุถามกลับไป เพราะนี่คือสิ่งที่เขาอยากจะรู้มากที่สุด
“ทักษะที่ลูกใช้ได้ตอนนี้จะมีอยู่ 2 ทักษะ คือทักษะร่างกายและทักษะพลังเวท” เขาพูดแล้วหยุดไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพูดต่อ
“ทักษะร่างกายคือสิ่งที่สามารถนำมันออกมาใช้ได้โดยไม่ต้องใช้พลังเวท แต่ก็มีขีดจำกัดตามสภาพของร่างกาย แบ่งออกเป็นทักษะการโจมตี ป้องกัน และเคลื่อนที่ ส่วนทักษะพลังเวทก็คือใช้พลังเวทที่มีในการโจมตี ป้องกัน และเคลื่อนที่ ส่วนขีดจำกัดก็ตามจำนวนของแต้ม B ถึงแม้ในตอนนี้ลูกจะมีแต้ม B อยู่ที่ 0 แต้ม แต่มันจะมีอยู่ 1 ทักษะการโจมตีที่ไม่จำเป็นต้องใช้แต้ม B ทักษะการโจมตีนั้นคือการปล่อยพลังเวทแบบธรรมดา ลูกลองตั้งใจสัมผัสพลังเวทที่ไหลเวียนในร่างกายอีกครั้งหนึ่งสิ”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น อาคุมุพยักหน้ารับแล้วจึงทำตามที่พ่อของตนบอกในทันที เขาเริ่มนั่งนิ่ง ๆ แล้วรวบรวมสมาธิ ไม่นานนักก็เริ่มสัมผัสได้ถึงพลังเวทที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกาย
เขาลืมตาขึ้นพร้อมกับกางนิ้วทั้งห้าและหันออกจากตัว พร้อมกับกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
“แสงอัสนีบาต!!” ได้มีวงแหวนเวทสีฟ้าปรากฏขึ้นรอบข้อมือของเขา พร้อมกับ..
ตู้มม!!
สายฟ้าได้ถูกยิงออกมาจากฝ่ามือของเขาราวกับว่าฟ้าฝ่าลงตรงจุดนั้นโดยเฉพาะ กำแพงบ้านเผยให้เห็นรูขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางยาวเพียงประมาณ 30 เซนติเมตรเท่านั้น แต่มันก็นับว่าเป็นรูอยู่ดี อีกทั้งมันไม่ควรจะเกิดขึ้นในบ้านเพราะกำแพงบ้านก็บาง ๆ ไม่ได้มีความหนามากนัก จึงทำให้มองทะลุได้
“เอ่อ..” เมื่ออิซามุได้เห็นอย่างนั้นจึงพูดไม่ออกในทันที อาคุมุก็เช่นกัน เขายังคงนิ่งอยู่ในท่านั้นและปากของเขาก็อ้าออกจนแทบจะมองผ่านลำคอลงไปได้แล้ว
อิซามุนั้นไม่คิดเลยว่าอาคุมุจะสามารถทำได้ถึงขนาดนี้ทั้งที่อายุยังน้อย มันเกินความคาดหมายของเขาไปอย่างมากเลยทีเดียว
“พี่ชายของลูกยังทำแบบนี้ไม่ได้เลยนะตอนที่เขาอายุเท่ากับลูก นี่นับว่าเป็นพรสวรรค์ที่ดีใช้ได้เลยล่ะ” อิซามุบอกกับอาคุมุด้วยความภูมิใจในตัวลูกชายคนเล็ก แต่ลึก ๆ ก็ยังอยากให้เขาทำแบบนี้ได้ในตอนที่โตกว่านี้ เพราะจะได้ให้เขาช่วยซ่อมกำแพงบ้าน
“ผมว่าน่าจะแค่ดวงดีน่ะครับ..” อาคุมุพูดจบก็ล้มตัวลงและสลบไปในทันที นี่คือผลข้างเคียงของการปล่อยพลังเวทครั้งแรก และมันจะเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวเท่านั้น แต่สิ่งนี้อาจจะเป็นเพราะความรุนแรงของพลังเวทที่อาคุมุปล่อยออกมาก็เป็นได้ การปล่อยพลังครั้งแรกยิ่งรุนแรงเท่าไร ผลกระทบหลังจากนั้นก็จะรุนแรงตาม
“เฮ้อ.. ต้องซ่อมกำแพงบ้านซะได้” อิซามุถอนหายใจเฮือกใหญ่พร้อมกับอุ้มอาคุมุเข้าไปในห้องนอน ให้พลังเวทของเขาได้รับการฟื้นฟูด้วยตนเองและได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตามการฝึกของอาคุมุนั้นไปได้อย่างราบรื่นดี ซึ่งแน่นอนว่ามันเกินความคาดหมายของอิซามุไปอย่างมากโข
แต่สิ่งแรกที่ผู้เป็นพ่อต้องทำในตอนนี้... ก็คือซ่อมกำแพงบ้าน
ในเช้าวันต่อมา อาคุมุนั้นลืมตาตื่นขึ้นพร้อมกับพลังที่เต็มเปี่ยม ภายในร่างกายของเขารู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก พลังเวทของเขาก็ดูเหมือนว่าจะแข็งแกร่งขึ้นอีกด้วย นี่คงเป็นผลดีของการปลดปล่อยพลังเวทที่รุนแรงในครั้งแรกก็เป็นได้
“ทักษะทางร่างกายและทักษะพลังเวท ทั้งโจมตี ป้องกัน และเคลื่อนที่ ตอนนี้ที่ใช้ไปก็แค่การปล่อยพลังเวทแบบธรรมดา.. ยังมีอีกหลายอย่างที่ต้องค้นหาสินะ” เขากำมือไว้แน่นและพูดกับตนเอง เพราะนี่เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างในโลกใบนี้ที่รอเขาอยู่
“ฉันจะต้องเป็นผู้ยิ่งใหญ่ให้ได้เลย ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกใบนี้... จะต้องเป็นฉัน!”
หลังจากนั้นเป้าหมายของอาคุมุที่คิดไว้ล่วงหน้าก็ไม่ได้มีเพียงแค่การฆ่าเพราะความแค้นในอดีต แต่เป็นการที่ได้ขึ้นไปอยู่ในจุดสูงสุดของโลกใบใหม่นี้ ในดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งนี้ และเป็นจอมเวทที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลกนี้!“ออกไปสูดอากาศข้างนอกก่อนแล้วกัน” ว่าแล้วอาคุมุก็ลุกออกจากเตียงและเปิดผ้าม่าน พร้อมกับเดินไปยังประตูห้องที่ปิดอยู่เขาเอื้อมมือไปจับลูกบิดประตูแต่ทันใดนั้นก็ได้มีสิ่งที่แปลกประหลาดเกิดขึ้น“นี่มันอะไร?!” เขารู้สึกได้ถึงพลังที่มีความแข็งแกร่งยากเกินจะเปรียบเทียบ และแรงกดดันที่มหาศาลราวกับว่ามันกำลังจะกดทับร่างกายของเขาให้จมลงไปภายใต้แรงกดดันนี้“ความแข็งแกร่งของพลังนี้มันเป็นของใครกันแน่?”ทันใดนั้นเอง อิซามุก็เปิดประตูเข้ามาซึ่งมันเป็นเวลาเดียวกันกับที่แรงกดดันอันมหาศาลนั้นหายไป ราวกับว่าถูกเขาหยุดเอาไว้“เอ๊ะ.. พ่อ?”“อาคุมุ ร่างกายและพลังของลูกฟื้นตัวดีแล้วใช่ไหม? มีอะไรผิดปกติหรือเปล่า?” อิซามุเอ่ยถาม“เอ่อ.. ร่างกายและพลังของผมกลับมาเป็นปกติแล้วครับ ไม่มีอะไรผิดปกติ” อาคุมุตอบกลับไปด้วยความงุนงง เพราะเมื่อครู่นี้เขายังรู้สึกถึงแรงกดดันนั้นอยู่เลย แต่ทำไมมันถ
“ฉันจะแสดงให้เห็นเองนี่แหละ ว่าฉันสมควรจะได้รับมัน!! ไม่ใช่แกคนเดียวสักหน่อยที่มีความสามารถนั้น!” ชายคนนั้นเริ่มมีเปลวไฟปะทุออกมารอบตัว และออร่ารอบ ๆ ตัวของเขาก็เริ่มเห็นได้ชัดเจนขึ้นเช่นกัน‘สีม่วง?!’ อาคุมุถึงกับตกใจในทันทีเมื่อได้เห็นออร่านั้น ซึ่งมันปรากฏให้เห็นถึงความน่าเกรงขามและแรงกดดันโดยรอบ“อิชิโร่! ใจเย็น ๆ ก่อนไม่เป็นหรือไง?!” อากิระเอ่ยปากบอกกับชายคนนั้น ซึ่งเขามีนามว่า "ฟุโด อิชิโร่" เป็นพี่ชายแท้ ๆ ของอากิระ แต่ด้วยความที่ไม่ค่อยเอาใจใส่ในหน้าที่การงาน ไม่มีความรับผิดชอบ และด้วยความสามารถรอบด้านที่ด้อยกว่าน้องชาย ทำให้ไม่ได้รับสืบทอดเป็นหัวหน้าตระกูลต่อไป“ห๊าา? นี่แกเรียกชื่อฉันตรง ๆ เลยเหรอ แกไม่นับพี่นับน้องกันแล้วใช่ไหม? อยากจะเป็นศัตรูกันใช่ไหม?!” ด้วยความเอาแต่ใจของอิชิโร่ ทำให้เขาดูเหมือนยังไม่น่านับถือเท่าที่ควร คนส่วนใหญ่ในตระกูลจึงไม่เคารพและเชื่อฟังเขา ทำให้เขาน่าเกรงขามเพียงเพราะว่าเป็นพี่ชายของอากิระก็เท่านั้น“เฮ้อ!.. นี่พี่ยังคิดจะทำตัวเหมือนเด็กไม่เปลี่ยนเลยหรือไง อยู่ต่อหน้าเด็กก็ยังจะทำตัวเป็นเด็กเหมือนเดิม แบบนี้มันจะไปมีคุณสมบัติอะไรที่สามารถเข้ามารั
การพัฒนาของวงแหวนเวทนั้นทำให้เห็นถึงความต่างในทันที เพราะขนาดของวงแหวนเวทเริ่มต้นนั้นมีความยาวเส้นผ่านศูนย์กลางอยู่เพียงแค่ 1 เมตร แต่ในตอนนี้...“นี่มันอะไรกันเนี่ย?!!”ความแตกต่างนั้นปรากฏให้เห็นโดยไม่มีอะไรมาขวางกั้น ตามที่อาคุมุเห็นก็คงจะมีขนาดความยาวเส้นผ่านศูนย์กลางสักประมาณ 100 เมตรได้“ฉันยืนอยู่ตรงกลาง... จากด้านนั้นถึงอีกด้านหนึ่งมันไกลพอสมควรเลยนะเนี่ย มิน่าล่ะในตอนนั้นองค์ชายถึงโผล่มาตรงนี้ได้ คงจะเพิ่งพัฒนาสำเร็จแล้วก็อยู่ไม่ไกลจากจุดที่ฉันอยู่สินะ”เขายืนพูดกับตัวเองและคิดไตร่ตรองสิ่งที่ผ่านมาอยู่อย่างนั้น ความน่าจะเป็นที่มีโอกาสมากที่สุดก็คงไม่พ้นแนวคิดของเขาในตอนนี้แต่ในขณะที่สิ่งนั้นยังไม่กระจ่าง ก็ได้มีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นอีกครั้ง“หืม?!! นั่นใครน่ะ?!” ในตอนนี้เขาเปิดใช้วงแหวนเวทอยู่ และด้วยการพัฒนาของวงแหวนเวทจึงทำให้ประสาทสัมผัสการรับรู้ของเขาพัฒนาขึ้นตามไปด้วย“แบบนี้เองสินะ” ใครก็ตามที่อยู่ในรัศมีของวงแหวนเวท เขาจะรับรู้ได้อย่างทันท่วงที แต่ไม่สามารถรับรู้ตำแหน่งแบบเฉพาะเจาะจงได้ ไม่สามารถระบุตำแหน่งนั้นออกมาได้ไม่นานนัก เขาก็ไม่สามารถรับรู้ถึงบุคคลปริศนานั้
อาคุมุที่แอบดูอยู่ในจุดลับสายตา ซึ่งก็คือบริเวณต้นไม้ใหญ่หลังพุ่มไม้ ตำแหน่งของเขาในตอนนี้นั้นมีระยะห่างจากตำแหน่งขององค์ชายชูยะกับอากิระมากพอสมควร แต่เขาก็ยังคงมองเห็นทุกการกระทำได้ซึ่งเขาเห็นบางสิ่งที่เขาไม่เคยได้เห็นมาก่อนทั้งในโลกก่อนความตายของเขาและในโลกนี้ ถึงแม้จะยังใช้ชีวิตอยู่ในโลกนี้ได้ไม่นานนักก็ตาม แต่ตอนนี้เขาได้เห็นมันแล้ว“มหาศาลชะมัด”ซึ่งนั่นก็คือทอง เพชร อัญมณี และของล้ำค่าต่าง ๆ ที่ดูระยิบระยับเป็นอย่างมากในสายตาของเขา จึงทำให้เขาตาเป็นประกายได้ในทันทีอากิระนั้นควบคุมดูแลการขนย้ายทรัพย์สินออกมาจากอุโมงค์ ซึ่งมันมีมากเกินกว่าที่จะขนย้ายเพียงไม่กี่รอบก็เสร็จสิ้นได้ จากที่อาคุมุนั้นเห็นคือกลุ่มคนนับหลายสิบคนต่างขนย้ายของมีค่าเหล่านั้นด้วยรถเข็น และขนย้ายขึ้นรถม้าอีกครั้งหนึ่ง รถม้านั้นก็มีจำนวนมากอีกเช่นกัน ราวกับว่าเตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้ว“จะว่าไป ที่ลุงอากิระบอกว่าคนจากตระกูลใหญ่นั้นออกตามหาของล้ำค่า แต่ทำไมที่ฉันเห็นตรงนี้กลับเป็นองค์ชายกับตัวเขาเองแล้วก็คนของเขาล่ะเนี่ย”ทันใดนั้นอาคุมุก็นึกสงสัยอีกว่าขนย้ายแบบนี้ไม่กลัวการลอบโจมตีเลยก็คงจะเป็นไปไม่ได้ เขาจึงคิด
ในเมื่อตัวตนขององค์ชายชูยะนั้นไม่ค่อยชัดเจน แต่ด้วยความไม่ชัดเจนนี้นั่นเองที่ทำให้อาคุมุต้องการหาคำตอบ แต่ในตอนนี้มีสิ่งที่ต้องทำนั่นก็คือแข็งแกร่งขึ้นเพื่อไปต่อสู้และล่ารางวัล... รวมถึงล่าแต้ม B ไปในตัวด้วย แน่นอนว่าเขาไม่รอช้าที่จะอยากทำให้สำเร็จ“สร้างวงแหวนเวท!” ว่าแล้วเขาก็ใช้การเคลื่อนที่ด้วยวงแหวนเวทแล้วมุ่งหน้ากลับไปที่บ้าน ซึ่งระหว่างทางนั้นกลับได้พบเจอปีศาจเวทมนตร์อยู่ตรงหน้า แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นปีศาจเวทมนตร์ที่หลงมาตัวเดียวปีศาจเวทมนตร์ตนนั้นมีรูปร่างผอมบาง ความสูงเพียงประมาณ 1 เมตร ผิวหนังสีน้ำตาลเข้ม ดวงตาสีแดง ใบหน้าคล้ายกับมนุษย์แต่มีจมูกที่แหลมยาว ใบหูคล้ายกับมนุษย์ มีฟันที่แหลมคม รอบ ๆ ตัวมีออร่าสีขาวค่อนข้างที่จะเบาบาง และสิ่งที่โดดเด่นคือกรงเล็บบริเวณมือสองข้าง ซึ่งแต่ละข้างมีเพียงอันเดียว เป็นกรงเล็บที่มีความแหลมคมพร้อมกับมีออร่าสีฟ้าอ่อนปกคลุมอยู่“ได้โอกาสทดสอบฝีมือพอดีเลย อยากรู้เหมือนกันว่าฉันจะทำอะไรมันได้บ้าง”พูดจบเขาก็หาตำแหน่งที่เหมาะสมในการโจมตีระยะไกล เพราะในตอนนี้เขายังไม่มีอาวุธหรือทักษะการโจมตีระยะประชิด แน่นอนว่ามันคือสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างมาก หลังจา
อาคุมุกลับมาถึงหน้าบ้านพร้อมกับคำถามที่อยู่ในหัวมากมายเต็มไปหมด“เขาเป็นใครกันแน่นะ...”แน่นอนว่าสิ่งที่เขายังคงคาใจมากที่สุดนั้นเกี่ยวกับเรื่องขององค์ชายชูยะ ซึ่งก็คือการที่พลังเวทขององค์ชายนั้นเป็นเวทน้ำแข็ง แต่เมื่อตอนที่เขาแอบดูการขนย้ายของล้ำค่าอยู่ในป่าแล้วองค์ชายชูยะได้ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเขา ในตอนนั้นได้เกิดความร้อนที่ถ้าใช้พลังทั้งหมดก็คงแทบจะแผดเผาตัวเขาไปได้ในทันทีอีกทั้งชายปริศนาที่ได้มาช่วยให้เขารอดตายไปอย่างหวุดหวิด พลังเวทของชายคนนั้นซึ่งมีความเกี่ยวโยงกับพลังเวทขององค์ชายชูยะความแข็งแกร่งของปีศาจเวทมนตร์ ทั้งที่เป็นเพียงปีศาจเวทมนตร์ระดับ 1 แข็งแกร่งเกินกว่าที่อาคุมุจะรับมือไหว“เหมือนกับว่าเขางัดท่าไม้ตายออกมาจัดการกับปีศาจเวทมนตร์นั่นเลยนะ นี่มันบ้าเกินไปแล้ว แต่รอให้ถึงเวลาของฉันก่อนเถอะ... ฉันจะไม่ยอมโดนเล่นงานแบบนี้อีกแน่นอน”“แต่ตอนนี้จะมืดแล้ว เข้าไปนอนก่อนแล้วกัน”ว่าแล้วเขาก็เดินเข้าไปในบ้าน ซึ่งพบว่าอิซามุนั้นไม่อยู่ จึงเดินไปดูที่ห้องของเก็น พบว่าเขานอนหลับแทบไม่รู้สึกตัว ทั้งสะกิดหรือเรียกก็ไร้วี่แววที่จะลืมตาตื่นขึ้นมาในตอนนี้“อะอ้าว... หมอนี่นอนหลับสนิท
“ลืมไปเลยว่าได้แต้ม B ก็เท่ากับว่ามีพลังที่เพิ่มมากขึ้น แล้วไม่ได้แต้ม B แค่จากการฆ่าพี่ชายสักหน่อย แบบนี้ฉันก็ได้เพิ่มอีกสิเนี่ย”การลงมือปลิดชีพคนซึ่งเกิดขึ้นติดต่อกัน 2 ครั้ง แน่นอนว่าอาคุมุนั้นมีแต้ม B ที่มากขึ้น แต่เหตุการณ์นั้นมันมีมาติด ๆ กันจึงทำให้เขาลืมเรื่องผลที่ได้รับ ซึ่งก็คือพลังที่เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว“อยากรู้ชะมัดว่าจริง ๆ แล้วได้มาเท่าไหร่”ว่าแล้วอาคุมุก็ดึงแขนเสื้อขึ้น เผยให้เห็นตัวเลขบนหัวไหล่ของเขา ซึ่งตัวเลขที่ปรากฏนั้นไม่ใช่ตัวเลขทุกตัว แต่ปรากฏเป็นค่า k(kilo) [1]“หืม... 3k(3,000) งั้นเหรอ? มันเป็นเพราะหัวไหล่ฉันเล็กไปหรือเปล่านะเลขถึงเป็นแบบนี้”ในตอนนี้อาคุมุนั้นมีแต้ม B อยู่ที่ 3,000 แต้ม ซึ่งมันเป็นตัวเลขที่สูงมากสำหรับเด็กอายุ 6 ปี แน่นอนว่าสำหรับผู้ใหญ่บางคนมันก็ยังคงเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างสูงมากเช่นเดิม เนื่องจากในกลุ่มของชาวบ้านธรรมดา การทำอะไรก็ตามเพื่อที่จะได้รับแต้ม B นั้นไม่ค่อยจะเกิดขึ้นกับกลุ่มคนเหล่านี้สักเท่าไร“ทั้ง 2 ศพเลยเหรอลูก? มีดของพ่อด้วย รู้ได้ไงว่าห้องพ่อมีมีดล่ะเนี่ย”“พ.. พ่อ?!”แต่อาคุมุยังไม่ทันได้ทำอะไรไปมากกว่านั้น ก็พบว่าอิซามุนั้
“มากันหลายคนเลยนะพวกนั้น แต่ตอนนี้ฉันจะไปไหนได้ล่ะเนี่ย คงต้องหาที่หลบแล้วดูแผนที่ก่อน”อาคุมุหนีออกมาในทันทีเมื่อมีการโจมตีโดยกลุ่มคนจำนวนหนึ่ง ซึ่งถ้านับจากเสียงฝีเท้าที่อาคุมุได้ยินนั้น จำนวนคนคงไม่ต่ำกว่าสิบเป็นแน่แท้เขาใช้การเคลื่อนที่ด้วยวงแหวนเวทเพียงครั้งเดียว ซึ่งก็คือเคลื่อนที่มาได้ 100 เมตร แล้วจึงหลบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ในป่าซึ่งบดบังเขาได้มิดชิด ทั้งยังรอบด้านมีพุ่มไม้เป็นส่วนใหญ่ บวกกับท้องฟ้าในช่วงหัวค่ำ แต่ต้องแลกมาด้วยการที่ไม่มีแสงไฟจากหมู่บ้าน“รอบด้านมืดชะมัดเลย แต่เดี๋ยวนะ?!!”ทันใดนั้นเขาก็ได้พบสิ่งที่ไม่เคยสังเกตมาก่อนหลังจากมีแต้ม B ซึ่งนั่นก็คือความสามารถการมองเห็นในที่มืดหรือในที่ที่มีแสงน้อย นี่คือความสามารถพื้นฐานแต่ในอนาคตมันอาจพัฒนาไปได้อีก แต่ในตอนนี้เขายังไม่พบความสามารถใหม่ ๆ ไปมากกว่าเท่าที่ใช้ได้“แล้วก็ออร่ารอบตัวฉัน... ที่เป็นสีฟ้าเข้ม” เขาตั้งสมาธิพร้อมกับมองเพ่งไปยังร่างกายของตนเอง และค่อย ๆ ถ่ายเทพลังออกมา ซึ่งออร่ารอบ ๆ ตัวเขานั้นเป็นสีฟ้าเข้ม แน่นอนว่าด้วยแต้ม B ที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก พลังและทักษะรอบด้านต่างพัฒนาขึ้นอย่างมากเช่นกัน“ไม่มีจังหวะได้
บทที่ 60 : มอบรางวัลด้วยเลือด [จบเล่ม 2]การต่อสู้จบลง สนามประลองแบบจำลองก็ได้หายไป อาคุมุลืมตาขึ้นมาก็พบว่าเขาอยู่ที่สนามประลองของจักรวรรดิไดจิเสียแล้ว เขามองไปรอบ ๆ ขณะเดียวกันกับเสียงตอบรับที่ดังมาจากผู้ชมทั่วทั้งสนามประลองอย่างครึกครื้น“อาคุมุชนะจริง ๆ ด้วย?!!”“เขาสู้แบบนั้นได้ยังไงกันนะ? โดนรุมนั่นน่ะ”“เจ้าเด็กคนนี้ต้องแข็งแกร่งขนาดไหนกันเนี่ย?! แน่ใจนะว่าไม่ใช่นักเวทของจักรวรรดิ?”“ตามดูเจ้าหนูนี่มาตั้งแต่วันแรก ไม่ทำให้ผิดหวังเลย!”…“ในรอบนี้เราสามารถหาผู้ชนะเลิศได้เลยล่ะครับทุกท่าน! ผู้ชนะการประลองของจักรวรรดิไดจิในครั้งนี้คือ… คาอิคะ อาคุมุ!!!” ผู้คุมสนามประกาศออกไปอย่างเป็นทางการด้วยผลการต่อสู้ที่เป็นเอกฉันท์กลางสนามประลองที่มีผู้ชมเป็นจำนวนมาก คู่ต่อสู้ทั้งหกคนของอาคุมุนั้นนอนบาดเจ็บอยู่ที่พื้น โดยมีอาคุมุยืนอยู่ท่ามกลางคนเหล่านั้น แม้การบาดเจ็บจะไม่ได้สาหัสมากนัก แต่ร่องรอยบาดแผลตามที่เห็นคงต้องใช้เวลาพอสมควร‘ไม่มีใครตายเพราะเมื่อพลังชีวิตแบบจำลองหมดไปก็จะถูกส่งออกมาทันทีสินะ’ อาคุมุที่ไม่ได้เข้าใจเกี่ยวกับทักษะสร้างภาพลวงตาของราชันจอมเวทอาวุโสนี้มากนัก ทำได้เพียงวิเ
บทที่ 59 : หนึ่งรุมหกการโจมตีที่รุนแรงและรวดเร็วของรินนั้นทำให้ฮิบาริไม่สามารถหลบหลีกหรือป้องกันได้ทั้งหมด ทำให้เขาต้องรับการโจมตีไปอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งพลังชีวิตแบบจำลองเป็นศูนย์ในตอนนี้ฮิบาริได้ถูกคัดออกจากการประลองแบบกลุ่มแล้ว ซึ่งทำให้กลุ่มของอาคุมุนั้นเหลือเพียงสามคน และภายในทักษะหมอกเพลิงสีชาดของรินนี้… เหลือเพียงอาคุมุและรินเท่านั้น“นายจะทำยังไงดีล่ะเจ้าหนูอาคุมุ? สู้กับฉันตัวต่อตัวไหวไหมนะ? อืม… ฉันมีสมาชิกอยู่ข้างล่างทั้งหมด 5 คนเนี่ยสิ คงจะเอาชนะฉันได้ไม่ง่ายหรอกมั้ง” รินพูดขึ้นมา ซึ่งนั่นทำให้อาคุมุแปลกใจในทันที“ว่าไงนะ? ทั้งหมดห้าคนนี่หมายความว่าอะไร?” อาคุมุถามกลับไป“ฮ่า ฮ่า ฮ่า! นายนี่น่าขำจริง ๆ เลย คิดว่าเจ้าพวกที่เหลืออยู่จะมั่นใจในตัวนายแล้วไม่สนผลประโยชน์หรือไงกัน?” รินตอบกลับมา“หรือว่านั่นคือ…”“ใช่แล้วล่ะ! ฉันแค่เสนอให้พวกมันมาร่วมมือกับฉัน ข้อแลกเปลี่ยนคือการเข้าร่วมกลุ่มจันทราแดง ถึงจะถูกคัดออกและไม่ชนะเลิศในการประลอง แต่มีเงินใช้ง่าย ๆ ต่อจากนี้… ใครจะไม่ชอบกันล่ะ ลองดูนั่นสิ” รินพูดจนจบและชี้ลงไปยังข้างล่าง ซึ่งสิ่งที่เห็นนั้นคือสมาชิกกลุ่มของอาคุมุที
บทที่ 58 : ผู้ที่ถูกคัดออกคนแรกในตอนนี้ สถานการณ์ของอาคุมุและฮิบารินั้นไม่สู้ดีนัก พวกเขาถูกปิดล้อมไปด้วยทักษะหมอกเพลิงสีชาดของริน อีกทั้งยังถูกล้อมไปด้วยสมาชิกคนอื่น ๆ ในกลุ่มของรินจากภายนอก ซึ่งสามารถโจมตีเข้ามาได้โดยตรง เรียกได้ว่าถูกบีบให้จนมุมทั้งอย่างนั้น‘ซวยจริง ๆ แล้วไง’“ออกไปเฉย ๆ ไม่ได้เลย!” ฮิบาริกำลังพยายามจะดันตัวเองออกไปจากทักษะของริน‘ไอ้บ้านี่มันแกล้งทำเป็นไม่รู้เหรอ?’“ถ้าออกไปได้ง่าย ๆ เขาจะสร้างขึ้นมาทำไมล่ะครับคุณฮิบาริ?” อาคุมุถามกลับไป“พวกนายฟังฉันนะ! ทักษะหมอกเพลิงสีชาดนี้จะสามารถใช้ได้ 30 นาที หลังจากนั้นจะสามารถใช้ทักษะนี้ได้อีกครั้งเมื่อเวลาผ่านไปอีก 30 นาที” รินพูดขึ้นมา“แล้ว... บอกทำไมเหรอครับ?” อาคุมุที่ได้ยินอย่างนั้นจึงถามกลับไป“เพราะว่า... ฉันสามารถเอาชนะพวกนายได้ใน 30 นาทีนี้ไงล่ะ!! กระสุนเพลิงสีชาด!!!” รินตอบกลับมาพร้อมกับยิงกระสุนเพลิงเข้าใส่อาคุมุและฮิบาริด้วยความเร็ว“ตาข่ายอัสนี!”ตู้มมมม!!!“อึ่ก! บ้าจริง”ถึงแม้อาคุมุจะใช้ทักษะป้องกันไว้ได้ทัน แต่ความเสียเปรียบนั้นปรากฏขึ้นมาให้เห็นอย่างชัดเจน เพราะตาข่ายอัสนีของอาคุมุนั้นถูกทำลายได้โดยการ
บทที่ 57 : ความได้เปรียบเป็นศูนย์รินและสมาชิกอีกสามคนได้มาถึงที่ตำแหน่งของอาคุมุ ซึ่งรินนั้นปรากฏตัวขึ้นมาพร้อมกับอาวุธคู่กายอย่างปืนพกเช่นเดิม ส่วนอีกสามคนนั้นก็คือนักเวทชุดขาวเป็นผู้ชายสองคนและผู้หญิงอีกหนึ่งคน โดยทุกคนนั้นมีกระเป๋าสะพายอยู่ข้างหลัง“อย่างที่คิดไว้ไม่มีผิดเลยล่ะครับ... ทุกอย่างเลย” สิ่งที่อาคุมุคิดไว้นั้นเป็นจริงทุกอย่าง ซึ่งก็คือการที่นักเวทชุดขาวทั้งสามนั้นเปลี่ยนชุดก่อนจะเข้ามายังสนามประลองแบบจำลองนี้“แต่ว่า... จะทำไปเพื่ออะไรเหรอครับ? เตรียมชุดมาเปลี่ยนตอนเข้ามาในนี้แล้วเนี่ย?” อาคุมุถามออกไป“ก็ถ้าพวกฉันอยู่ในบทบาทของนักเวทชุดขาวตั้งแต่ตอนที่อยู่ข้างนอกล่ะก็... คงจะโดนประท้วงพอดีน่ะสิ” หนึ่งในนักเวทชุดขาวตอบกลับมา“ฉันควรจะแนะนำตัวอีกครั้งไหมนะ? ฉันคือ อากาเนะ ริน เป็นเพียงคนที่กำลังจะได้เป็นจอมเวทระดับ 3 แล้วล่ะนะ!!” รินพูดขึ้นมาพร้อมกับจับปืนพกทั้งสองกระบอกไว้แน่น ลมจากแรงของพลังเวทปะทะเข้ากับร่างของอาคุมุโดยตรง‘กำลังจะได้เป็นจอมเวทระดับ 3 งั้นเหรอ? สีของออร่าพลังเวทกำลังจะเป็นสีแดงแล้วสินะ แข็งแกร่งขึ้นมากจริง ๆ ด้วย’“สุดยอดไปเลยนะครับ สมแล้วกับตำแหน่งรอ
บทที่ 56 : เริ่มการประลองแบบกลุ่มในตอนนี้ ผู้คุมสนามได้ทำการสร้างสนามประลองแบบจำลองเสร็จสิ้นแล้ว เป็นทักษะที่มีความเหมือนจริงเป็นอย่างมาก ถึงได้ชื่อว่าเป็นภาพลวงตา และด้วยความแข็งแกร่งระดับราชันจอมเวทอาวุโส การที่สิ่งนี้เกิดขึ้นได้ก็คงจะไม่เกินจริงนัก...ที่สนามประลอง ภายนอกทักษะภาพลวงตา“สิ่งที่ทุกคนเห็นอยู่ตรงหน้านี้... คือสิ่งที่เกิดขึ้นภายในนั้นครับ” เสียงของผู้คุมสนามได้ดังกึกก้องไปทั่วทั้งสนามประลองด้วยทักษะพลังเวทของพิธีกร เสียงตอบรับจากคนดูก็เกิดขึ้นในทันที“น... นี่เหมือนฉันดูการประลองผ่านจอเลยนะ”“ข้างในนั้นจะไม่เป็นอะไรแน่เหรอ?”“ดูนั่นสิ! อาคุมุอยู่นั่นล่ะ!!”“ที่นั่นมันคือจำลองเมืองไหนหรือเปล่า? ที่ไหนในจักรวรรดิหรือเปล่านะ?”...สิ่งที่ทุกคนเห็นอยู่ตรงหน้านั้น คือลูกบาศก์ขนาดใหญ่ที่ปกคลุมไปด้วยออร่าของพลังเวทสีม่วง ลอยอยู่ในอากาศตรงกลางสนามประลอง ทั้งสี่ด้านนั้นเผยให้เห็นภาพจากมุมมองของแต่ละคนและมุมมองภาพรวมภายในนั้น ราวกับว่ากำลังดูผ่านจอขนาดยักษ์“สถานที่ภายในนั้นคือเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในจักรวรรดิ มีชื่อว่าเมืองชิโตเสะครับ... ขอให้ทุกคนเพลิดเพลินไปกับการประลองในครั้ง
บทที่ 55 : ราชันจอมเวทอาวุโส?กฎและกติกาการแข่งขันในรอบ 8 คนสุดท้ายนั้น ได้ถูกเปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหันโดยไม่ได้มีการประกาศล่วงหน้า ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่เข้ารอบหรือผู้ชมทั่วทั้งสนามประลอง ไม่เคยมีใครคิดไว้ว่าจะถูกเปลี่ยนเป็นการประลองแบบกลุ่ม“เริ่มจากการจัดกลุ่ม กลุ่มที่ 1 จะมีผู้ชนะจากสายการต่อสู้เดิมก็คือสาย A, B, C และ D ส่วนกลุ่มที่ 2 ก็จะมีผู้ชนะจากสายการต่อสู้เดิมคือสาย E, F, G และ H ครับ”พิธีกรได้ประกาศวิธีการแบ่งกลุ่มให้กับทั้ง 8 คน‘ฉันพอเข้าใจแล้วว่าทำไมถึงแบ่งกลุ่มง่าย ๆ แบบนี้...’‘...เพราะรินอยู่ในกลุ่มที่ 2 สินะ? การคาดเดาของฉันถูกต้องอย่างแน่นอน!’สิ่งที่อาคุมุคิดไว้นั้นมีเพียงความได้เปรียบของฝั่งตรงข้าม ซึ่งนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นมาโดยตลอด และในสถานการณ์ตรงหน้านี้ ความได้เปรียบที่ว่าก็คงจะหนีไม่พ้นการที่กลุ่มนั้นมีคนอย่างรินอยู่ด้วยนั่นเอง“ก่อนที่จะเข้าสู่ลำดับถัดไป...” พิธีกรพูดยังไม่ทันจบประโยค เสียงจากแท่นด้านบนก็ดังขึ้นมาในทันทีตึ้ง!!ซึ่งเป็นเสียงขององค์จักรพรรดิที่ใส่พลังเวทเข้าไปในแท่นข้าง ๆ ตัว สิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนี้ทำให้ทุกคนต่างก็ตกใจกันไปตาม ๆ กัน“องค์จักร
บทที่ 54 : รอบ 8 คนสุดท้ายอาคุมุนั้นเก็บชัยชนะไปได้อีกครั้ง ทุกรอบของการลงสนาม อาคุมุได้สร้างความประหลาดใจให้กับทุกคน แต่จากการที่สามารถเอาชนะผู้ใช้พลังศักดิ์สิทธิ์นี้ได้ ทำให้ทั่วทั้งเมืองหลวงแห่งนี้ได้รับรู้และได้สัมผัสแล้ว... ...ว่าความแข็งแกร่งของเขานั้นเป็นเช่นไรโดยไร้ข้อกังขาวันต่อมาในเวลาเดิม อาคุมุและคาเอเกะก็เดินไปยังสนามประลอง วันนี้เขาได้สะพายกระเป๋าและเตรียมเสื้อคลุมยาวใส่ไว้ในกระเป๋าด้วย แน่นอนว่าของสำคัญที่ขาดไม่ได้เลยก็คือดาบแห่งราชันสิ่งที่เกิดขึ้นก็ยังคงเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับทุกครั้งที่ผ่านมา ซึ่งก็คือเหล่าผู้คนที่เข้าหาล้อมหน้าล้อมหลัง‘เฮ้อ! ฉันล่ะเหนื่อยจริง ๆ เลย ในช่วงอาคุมุพบปะประชาชนเนี่ย’“ยินดีต้อนรับท่านผู้มีเกียรติทั้งหลาย!! ไม่ว่าจะเป็นผู้เข้าแข่งขัน หรือผู้ที่ชื่นชอบในการประลอง วันนี้... เราเดินทางมาถึงวันสุดท้ายในการประลองของจักรวรรดิไดจิแล้วครับ!!!”ผู้เป็นพิธีกรกล่าวขึ้นมาเพียงเท่านั้น กระแสตอบรับของผู้คนต่างก็แตกออกเป็นสองเสียง ทั้งคนที่ดีใจกับการจะได้เห็นรอบชิงชนะเลิศ และคนที่เสียใจกับการจบลงของการประลองอันแสนดุเดือดนี้“ใกล้จะได้ดูรอบชิงแล้วโ
บทที่ 53 : คู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดการโจมตีของอาคุมุในครั้งนี้นั้นรุนแรงยิ่งกว่าการโจมตีของดาอิเสียอีก ทั้งยังทำให้ดาอิต้องถอยร่นออกไปเพื่อรับมือกับการโจมตีนี้‘ถึงจะบอกว่าลบล้างสิ่งชั่วร้าย แต่ไอ้หมอนี่ดูจะไม่ใช่คนชั่วร้ายแบบนั้นเลยนะ หมายความว่ายังไงกันแน่เนี่ย? ฉันล่ะไม่เข้าใจกับดาบเล่มนี้เลยจริง ๆ แฮะ’อาคุมุยังคงครุ่นคิดกับสิ่งที่มังกรผู้เป็นเจ้าของดาบแห่งราชันได้บอกไว้“แต่... ดาบฉัน? มันไม่ได้อยู่ในมือนี่?!” นั่นคือสิ่งที่อาคุมุเพิ่งจะรู้สึกตัวได้“ความรู้สึกนายนี่มันช้าจริง ๆ เลยนะ” ดาอิพูดและเดินเข้ามาหาอาคุมุอย่างช้า ๆ พร้อมกับดาบแห่งราชันที่อยู่ในมือดาอินั้นสามารถหลบการโจมตีที่รุนแรงของอาคุมุได้เพียงบางส่วน ซึ่งเขาได้รับบาดเจ็บมากพอสมควร“แล้วมันไปอยู่ที่คุณได้ยังไงกัน? แล้วก็สภาพแบบนั้น...”“การโจมตีของนายมันรุนแรงจนดาบนายหลุดมือมาทางนี้เลยล่ะ ฉันแค่โดนเฉียด ๆ ยังเละขนาดนี้ ถ้าฉันรู้สึกตัวช้าอีกหน่อยคงละเอียดจนเป็นผงไปแล้ว” ดาอิตอบกลับมาพร้อมกับโยนดาบแห่งราชันของอาคุมุไปยังทางด้านหลังของตัวเขาเอง จุดที่ดาบตกอยู่นั้นคือขอบของสนามประลองพอดี“ปล่อยมันไว้แบบนั้นก่อนก็แล้ว
บทที่ 52 : พลังที่แท้จริง?“ลุกขึ้นมาซะ!! ผมบอกแล้วไง... ว่าผมกำลังต้องการคู่ซ้อมน่ะ” อาคุมุพูดด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่ใครเห็นต่างก็คงต้องขนลุกไปตาม ๆ กัน“นี่แก... เป็นบ้าไปแล้วรึไง?! ชนะขาดลอยขนาดนี้แล้วยังจะเอาอะไรอีกห๊ะ?!!” ดาอิตอบกลับมา“ขาดลอย?”ดาอิที่ได้ยินอย่างนั้นก็แปลกใจ“อะไรของแก?”“ผมถามอะไรคุณหน่อยสิ คุณผู้ใช้พลังศักดิ์สิทธิ์... หากได้ชัยชนะมาแบบนี้นี่คุณภูมิใจเหรอครับ? ทั้งที่อีกฝ่ายยังไม่ได้ใช้พลังเลยเนี่ยนะ? ผมไม่เอาด้วยหรอกนะครับ” อาคุมุถามกลับไปดาอิที่ได้ยินอย่างนั้นก็ชะงักไปในทันที“อึ่ก... แต่ตอนนี้เราแค่ประลองกันนี่! จะเล่นเอาตายเลยหรือไง?!! แกคิดจะรบเร้าฉันไปถึงไหน?”“ถ้าผมตายขึ้นมาจริง ๆ ล่ะก็... คนที่ได้ผลประโยชน์คือคุณไม่ใช่เหรอครับ? แข็งแกร่งขึ้นมาทันตาเห็นเลยนะ เป็นจอมเวทระดับ 3 เลยสิเนี่ย? ระดับพลังเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวเลยแฮะ...” อาคุมุพูดแล้วจึงหยุดไป“ฮ่า! แก... ไม่สิ นายนี่ทำให้ฉันนึกถึงสิ่งที่ลืมคิดไปได้ยังไงกันนะ? หาแรงจูงใจมาให้ฉันจนได้!!” ดาอิพูดพร้อมกับใช้หอกดันตัวขึ้น ออร่าพลังเวทได้ถูกแผ่ออกมาจากรอบ ๆ ตัวเขา “ไม่ธรรมดาจริง ๆ เลย ต้องแบบนี้สิครั