การพัฒนาของวงแหวนเวทนั้นทำให้เห็นถึงความต่างในทันที เพราะขนาดของวงแหวนเวทเริ่มต้นนั้นมีความยาวเส้นผ่านศูนย์กลางอยู่เพียงแค่ 1 เมตร แต่ในตอนนี้...
“นี่มันอะไรกันเนี่ย?!!”
ความแตกต่างนั้นปรากฏให้เห็นโดยไม่มีอะไรมาขวางกั้น ตามที่อาคุมุเห็นก็คงจะมีขนาดความยาวเส้นผ่านศูนย์กลางสักประมาณ 100 เมตรได้
“ฉันยืนอยู่ตรงกลาง... จากด้านนั้นถึงอีกด้านหนึ่งมันไกลพอสมควรเลยนะเนี่ย มิน่าล่ะในตอนนั้นองค์ชายถึงโผล่มาตรงนี้ได้ คงจะเพิ่งพัฒนาสำเร็จแล้วก็อยู่ไม่ไกลจากจุดที่ฉันอยู่สินะ”
เขายืนพูดกับตัวเองและคิดไตร่ตรองสิ่งที่ผ่านมาอยู่อย่างนั้น ความน่าจะเป็นที่มีโอกาสมากที่สุดก็คงไม่พ้นแนวคิดของเขาในตอนนี้
แต่ในขณะที่สิ่งนั้นยังไม่กระจ่าง ก็ได้มีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นอีกครั้ง
“หืม?!! นั่นใครน่ะ?!” ในตอนนี้เขาเปิดใช้วงแหวนเวทอยู่ และด้วยการพัฒนาของวงแหวนเวทจึงทำให้ประสาทสัมผัสการรับรู้ของเขาพัฒนาขึ้นตามไปด้วย
“แบบนี้เองสินะ” ใครก็ตามที่อยู่ในรัศมีของวงแหวนเวท เขาจะรับรู้ได้อย่างทันท่วงที แต่ไม่สามารถรับรู้ตำแหน่งแบบเฉพาะเจาะจงได้ ไม่สามารถระบุตำแหน่งนั้นออกมาได้
ไม่นานนัก เขาก็ไม่สามารถรับรู้ถึงบุคคลปริศนานั้นได้อีก ราวกับว่าคน ๆ นั้นหายไปจากระยะของวงแหวนเวทเสียแล้ว
“นี่คงเป็นความสามารถใหม่ที่ได้รับมาหลังจากการพัฒนา เท่านี้ก็มากพอแล้วล่ะ” พูดจบเขาก็ยืนนิ่งไปสักพัก
“อ๋อ ใช่แล้วล่ะ!” เขาพูดออกมาราวกับว่าเพิ่งจะนึกอะไรขึ้นได้
“ลืมไปซะสนิทเลยนะเนี่ย วงแหวนเวทมันใหญ่ขึ้นแล้วฉันก็สามารถเคลื่อนที่ด้วยวงแหวนเวทได้แล้วสิ... สร้างวงแหวนเวท!” ว่าแล้วเขาก็สร้างวงแหวนเวทขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากนั้นจึงลองทำอะไรสักอย่างที่คิดว่าจะเป็นการใช้วงแหวนเวทเพื่อเคลื่อนที่
“อืม... เคลื่อนที่ด้วยวงแหวนเวท!” เขาพูดออกไป แต่นั่นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ร่างกายของเขายังไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ ทั้งสิ้น
“หรือว่าตัวกลางมันจะไม่ใช่การพูดกันนะ?” เมื่อการเปล่งเสียงนั้นยังไม่สามารถทำให้ใช้ทักษะนี้ได้ เขาจึงเปลี่ยนไปใช้วิธีดั้งเดิมและมันเป็นวิธีแรกที่พ่อเขาบอกสอนมา นั่นก็คิอการรวบรวมสมาธิและพลังไปที่ตรงจุดนั้นเพียงจุดเดียว
เขาหลับตาลงและทำแบบเดิมทุกขั้นตอน รับรู้ถึงพลังเวทที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกาย แต่ในครั้งนี้มันมีมากกว่านั้น
แต่นั่นก็ผ่านไปได้ด้วยดี เขาเริ่มรู้สึกได้ถึงกลุ่มพลังที่เบาบางรอบ ๆ ตัว กลุ่มพลังเหล่านั้นมีระยะอยู่แค่ในวงแหวนเวทของเขา สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอาจจะเป็นขั้นแรกของการใช้ทักษะนี้ก็เป็นได้
ภาพในหัวของเขาเริ่มเปลี่ยนเป็นวงกว้าง เขามองเห็นภาพลาง ๆ ที่คล้ายคลึงกันกับวงแหวนเวทขนาดใหญ่และมีตัวเขาเองยืนอยู่ตรงจุดศูนย์กลาง ในตอนนี้ภาพนั้นคือภาพที่เขามองเห็นจากมุมสูงด้านบน ราวกับว่าเขาสามารถมองเห็นทุกอย่างรอบตัวได้ในระยะที่วงแหวนเวทนั้นไปถึง
“สุดยอดจริง ๆ เลยนะเนี่ย นี่คงจะเป็นการรับรู้ในรัศมีของวงแหวนเวทที่แท้จริง”
เขาพูดออกมาแล้วหลังจากนั้นจึงเริ่มลองในขั้นตอนต่อไป แต่จะเป็นวิธีการแบบไหนเขาก็ยังไม่สามารถรู้ได้
“ยังไงก็ต้องคิดขึ้นมาสักรูปแบบหนึ่ง” ว่าแล้วเขาก็มุ่งเน้นเพ่งสมาธิไปที่ภาพในหัวอีกครั้ง ในเมื่อความสามารถนี้ไม่ได้ใช้ด้วยการพูด ก็คงจะต้องใช้พลังเวทควบคู่
“เอาล่ะ!” เขาถ่ายโอนพลังไปยังจุดหนึ่งในวงแหวนเวท ออร่าพลังเวทบาง ๆ ที่รู้สึกได้เมื่อตอนแรกนั้นเริ่มก่อตัวขึ้นตรงจุดเดียว
“เอ๊ะ?” เขาลืมตาขึ้นก็พบว่าร่างกายของเขานั้นได้เคลื่อนย้ายมาอีกจุดหนึ่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งตอนที่เปลี่ยนตำแหน่งนั้นตัวเขาก็รู้สึกได้ในทันที นั่นจึงทำให้เขาต้องลืมตาขึ้นมาดู
“แบบนี้นี่เอง” ตามที่เขาเข้าใจคือทักษะนี้จะเคลื่อนที่ไปตามพลังเวทในระยะของวงแหวนเวท หรือก็คือร่างกายจะเคลื่อนย้ายไปหาพลังเวทของตนเอง ตรงจุดไหนที่มีพลังรวมกันอยู่มากที่สุดก็จะสามารถไปตรงนั้นได้
ในตอนนี้อาคุมุต้องการจะใช้ทักษะนี้ให้ชำนาญมากที่สุด ซึ่งวิธีที่เขาคิดออกในตอนนี้ก็ยังไม่มีแบบไหนแตกต่างออกไปจากวิธีปัจจุบัน
“อีกรอบ...” ว่าแล้วเขาก็ลองทำแบบเดิมอีกครั้ง รับรู้ถึงพลังเวทในระยะ กำหนดตำแหน่งที่ไกลที่สุด แล้วไปยังตรงจุด ๆ นั้น เขาทำแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมา ครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งสามารถเคลื่อนที่ได้เร็วขึ้นและไม่ต้องใช้เวลาที่มากในการเพ่งสมาธิ แต่ในตอนนี้เขาก็ยังไม่สามารถใช้มันได้อย่างชำนาญ เพียงแค่เร็วขึ้นมามากพอสมควร
“เฮ้อ!... ถึงจะตื่นเต้นกับสิ่งที่เพิ่งค้นพบก็เถอะ แต่เหนื่อยชะมัดเลยนะเนี่ย” ว่าแล้วเขาก็ทิ้งตัวลงที่พื้นดิน นั่งพักและหายใจด้วยความเหนื่อยล้า
เท่าที่เขาสามารถทำได้ในตอนนี้คือเคลื่อนที่ไปได้ทั่วในระยะของวงแหวนเวท ขีดจำกัดก็คือเมื่อร่างกายของเขานั้นไม่ไหวเอง ทั้งจากความเหนื่อย หรือไร้เรี่ยวแรง นอกจากทั้งสองอย่างนี้ก็ยังไม่พบสาเหตุที่จะทำให้ถึงขีดจำกัดได้เลย รวมถึงขีดจำกัดของการใช้พลังเวทก็ยังไม่พบเช่นกัน
เมื่อได้นั่งพักจนมีแรงและไม่รู้สึกถึงความเหนื่อยล้าร่างกาย อาคุมุจึงลุกขึ้นยืนและเหมือนว่าจะนึกอะไรบางอย่างได้
“อืม... ตระกูลใหญ่กับของล้ำค่าเหรอ?” สิ่งที่เขานึกขึ้นได้ในตอนนี้คือคำพูดของอากิระเมื่อตอนนั้น ซึ่งมันเป็นคำพูดที่ออกมาจากปากของอากิระโดยตรง แน่นอนว่ามันค่อนข้างที่จะน่าเชื่อถือเป็นอย่างมาก
“สร้างวงแหวนเวท” ว่าแล้วเขาก็สร้างวงแหวนเวทพร้อมกับเคลื่อนที่ไปเรื่อย ๆ กลับไปยังบ้านของเขา หรือก็คือทางด้านเดิมที่เคลื่อนที่มาจากการฝึก ซึ่งมันก็ไม่ได้มีระยะทางที่ไกลนักเพราะส่วนมากเขาจะเคลื่อนที่วนไปวนมาซะมากกว่า
และแล้วเมื่อมาถึงที่บ้าน ก็เหมือนว่าคำพูดของอากิระที่เขานึกขึ้นได้เมื่อตอนนั้นจะไปดลใจให้เขาเคลื่อนที่ต่อในตำแหน่งที่อากิระและองค์ชายชูยะนั้นกลับไป
“ถ้าจำไม่ผิดก็คงเป็นทางนี้นี่แหละ” ว่าแล้วเขาก็เคลื่อนที่ต่อไปได้ราว ๆ 1 กิโลเมตร จนกระทั่งเจอกับกลุ่มคนจำนวนหนึ่ง เขาจึงหยุดใช้วงแหวนเวท
“นั่นองค์ชายชูยะกับลุงอากิระนี่ แต่พอเห็นองค์ชายแล้วยิ่งคิดก็ยิ่งสงสัยแฮะ ตอนที่องค์ชายโผล่มาน่าจะเพิ่งพัฒนาวงแหวนเวทได้ ส่วนนี้คงจะจริง แต่ทำไมถึงได้ไปไกลขนาดนั้นกันล่ะ ทั้งที่ตรงจุดนี้กับตรงนั้นมันห่างกันมาก...”
อาคุมุพูดสิ่งที่คิดไว้ยังไม่ทันจบ เขาก็ถึงกับต้องตกใจและเงียบไปในทันที
“บ้าน่า?! นี่มันบ้าเกินไปแล้ว!”
อาคุมุที่แอบดูอยู่ในจุดลับสายตา ซึ่งก็คือบริเวณต้นไม้ใหญ่หลังพุ่มไม้ ตำแหน่งของเขาในตอนนี้นั้นมีระยะห่างจากตำแหน่งขององค์ชายชูยะกับอากิระมากพอสมควร แต่เขาก็ยังคงมองเห็นทุกการกระทำได้ซึ่งเขาเห็นบางสิ่งที่เขาไม่เคยได้เห็นมาก่อนทั้งในโลกก่อนความตายของเขาและในโลกนี้ ถึงแม้จะยังใช้ชีวิตอยู่ในโลกนี้ได้ไม่นานนักก็ตาม แต่ตอนนี้เขาได้เห็นมันแล้ว“มหาศาลชะมัด”ซึ่งนั่นก็คือทอง เพชร อัญมณี และของล้ำค่าต่าง ๆ ที่ดูระยิบระยับเป็นอย่างมากในสายตาของเขา จึงทำให้เขาตาเป็นประกายได้ในทันทีอากิระนั้นควบคุมดูแลการขนย้ายทรัพย์สินออกมาจากอุโมงค์ ซึ่งมันมีมากเกินกว่าที่จะขนย้ายเพียงไม่กี่รอบก็เสร็จสิ้นได้ จากที่อาคุมุนั้นเห็นคือกลุ่มคนนับหลายสิบคนต่างขนย้ายของมีค่าเหล่านั้นด้วยรถเข็น และขนย้ายขึ้นรถม้าอีกครั้งหนึ่ง รถม้านั้นก็มีจำนวนมากอีกเช่นกัน ราวกับว่าเตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้ว“จะว่าไป ที่ลุงอากิระบอกว่าคนจากตระกูลใหญ่นั้นออกตามหาของล้ำค่า แต่ทำไมที่ฉันเห็นตรงนี้กลับเป็นองค์ชายกับตัวเขาเองแล้วก็คนของเขาล่ะเนี่ย”ทันใดนั้นอาคุมุก็นึกสงสัยอีกว่าขนย้ายแบบนี้ไม่กลัวการลอบโจมตีเลยก็คงจะเป็นไปไม่ได้ เขาจึงคิด
ในเมื่อตัวตนขององค์ชายชูยะนั้นไม่ค่อยชัดเจน แต่ด้วยความไม่ชัดเจนนี้นั่นเองที่ทำให้อาคุมุต้องการหาคำตอบ แต่ในตอนนี้มีสิ่งที่ต้องทำนั่นก็คือแข็งแกร่งขึ้นเพื่อไปต่อสู้และล่ารางวัล... รวมถึงล่าแต้ม B ไปในตัวด้วย แน่นอนว่าเขาไม่รอช้าที่จะอยากทำให้สำเร็จ“สร้างวงแหวนเวท!” ว่าแล้วเขาก็ใช้การเคลื่อนที่ด้วยวงแหวนเวทแล้วมุ่งหน้ากลับไปที่บ้าน ซึ่งระหว่างทางนั้นกลับได้พบเจอปีศาจเวทมนตร์อยู่ตรงหน้า แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นปีศาจเวทมนตร์ที่หลงมาตัวเดียวปีศาจเวทมนตร์ตนนั้นมีรูปร่างผอมบาง ความสูงเพียงประมาณ 1 เมตร ผิวหนังสีน้ำตาลเข้ม ดวงตาสีแดง ใบหน้าคล้ายกับมนุษย์แต่มีจมูกที่แหลมยาว ใบหูคล้ายกับมนุษย์ มีฟันที่แหลมคม รอบ ๆ ตัวมีออร่าสีขาวค่อนข้างที่จะเบาบาง และสิ่งที่โดดเด่นคือกรงเล็บบริเวณมือสองข้าง ซึ่งแต่ละข้างมีเพียงอันเดียว เป็นกรงเล็บที่มีความแหลมคมพร้อมกับมีออร่าสีฟ้าอ่อนปกคลุมอยู่“ได้โอกาสทดสอบฝีมือพอดีเลย อยากรู้เหมือนกันว่าฉันจะทำอะไรมันได้บ้าง”พูดจบเขาก็หาตำแหน่งที่เหมาะสมในการโจมตีระยะไกล เพราะในตอนนี้เขายังไม่มีอาวุธหรือทักษะการโจมตีระยะประชิด แน่นอนว่ามันคือสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างมาก หลังจา
อาคุมุกลับมาถึงหน้าบ้านพร้อมกับคำถามที่อยู่ในหัวมากมายเต็มไปหมด“เขาเป็นใครกันแน่นะ...”แน่นอนว่าสิ่งที่เขายังคงคาใจมากที่สุดนั้นเกี่ยวกับเรื่องขององค์ชายชูยะ ซึ่งก็คือการที่พลังเวทขององค์ชายนั้นเป็นเวทน้ำแข็ง แต่เมื่อตอนที่เขาแอบดูการขนย้ายของล้ำค่าอยู่ในป่าแล้วองค์ชายชูยะได้ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเขา ในตอนนั้นได้เกิดความร้อนที่ถ้าใช้พลังทั้งหมดก็คงแทบจะแผดเผาตัวเขาไปได้ในทันทีอีกทั้งชายปริศนาที่ได้มาช่วยให้เขารอดตายไปอย่างหวุดหวิด พลังเวทของชายคนนั้นซึ่งมีความเกี่ยวโยงกับพลังเวทขององค์ชายชูยะความแข็งแกร่งของปีศาจเวทมนตร์ ทั้งที่เป็นเพียงปีศาจเวทมนตร์ระดับ 1 แข็งแกร่งเกินกว่าที่อาคุมุจะรับมือไหว“เหมือนกับว่าเขางัดท่าไม้ตายออกมาจัดการกับปีศาจเวทมนตร์นั่นเลยนะ นี่มันบ้าเกินไปแล้ว แต่รอให้ถึงเวลาของฉันก่อนเถอะ... ฉันจะไม่ยอมโดนเล่นงานแบบนี้อีกแน่นอน”“แต่ตอนนี้จะมืดแล้ว เข้าไปนอนก่อนแล้วกัน”ว่าแล้วเขาก็เดินเข้าไปในบ้าน ซึ่งพบว่าอิซามุนั้นไม่อยู่ จึงเดินไปดูที่ห้องของเก็น พบว่าเขานอนหลับแทบไม่รู้สึกตัว ทั้งสะกิดหรือเรียกก็ไร้วี่แววที่จะลืมตาตื่นขึ้นมาในตอนนี้“อะอ้าว... หมอนี่นอนหลับสนิท
“ลืมไปเลยว่าได้แต้ม B ก็เท่ากับว่ามีพลังที่เพิ่มมากขึ้น แล้วไม่ได้แต้ม B แค่จากการฆ่าพี่ชายสักหน่อย แบบนี้ฉันก็ได้เพิ่มอีกสิเนี่ย”การลงมือปลิดชีพคนซึ่งเกิดขึ้นติดต่อกัน 2 ครั้ง แน่นอนว่าอาคุมุนั้นมีแต้ม B ที่มากขึ้น แต่เหตุการณ์นั้นมันมีมาติด ๆ กันจึงทำให้เขาลืมเรื่องผลที่ได้รับ ซึ่งก็คือพลังที่เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว“อยากรู้ชะมัดว่าจริง ๆ แล้วได้มาเท่าไหร่”ว่าแล้วอาคุมุก็ดึงแขนเสื้อขึ้น เผยให้เห็นตัวเลขบนหัวไหล่ของเขา ซึ่งตัวเลขที่ปรากฏนั้นไม่ใช่ตัวเลขทุกตัว แต่ปรากฏเป็นค่า k(kilo) [1]“หืม... 3k(3,000) งั้นเหรอ? มันเป็นเพราะหัวไหล่ฉันเล็กไปหรือเปล่านะเลขถึงเป็นแบบนี้”ในตอนนี้อาคุมุนั้นมีแต้ม B อยู่ที่ 3,000 แต้ม ซึ่งมันเป็นตัวเลขที่สูงมากสำหรับเด็กอายุ 6 ปี แน่นอนว่าสำหรับผู้ใหญ่บางคนมันก็ยังคงเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างสูงมากเช่นเดิม เนื่องจากในกลุ่มของชาวบ้านธรรมดา การทำอะไรก็ตามเพื่อที่จะได้รับแต้ม B นั้นไม่ค่อยจะเกิดขึ้นกับกลุ่มคนเหล่านี้สักเท่าไร“ทั้ง 2 ศพเลยเหรอลูก? มีดของพ่อด้วย รู้ได้ไงว่าห้องพ่อมีมีดล่ะเนี่ย”“พ.. พ่อ?!”แต่อาคุมุยังไม่ทันได้ทำอะไรไปมากกว่านั้น ก็พบว่าอิซามุนั้
“มากันหลายคนเลยนะพวกนั้น แต่ตอนนี้ฉันจะไปไหนได้ล่ะเนี่ย คงต้องหาที่หลบแล้วดูแผนที่ก่อน”อาคุมุหนีออกมาในทันทีเมื่อมีการโจมตีโดยกลุ่มคนจำนวนหนึ่ง ซึ่งถ้านับจากเสียงฝีเท้าที่อาคุมุได้ยินนั้น จำนวนคนคงไม่ต่ำกว่าสิบเป็นแน่แท้เขาใช้การเคลื่อนที่ด้วยวงแหวนเวทเพียงครั้งเดียว ซึ่งก็คือเคลื่อนที่มาได้ 100 เมตร แล้วจึงหลบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ในป่าซึ่งบดบังเขาได้มิดชิด ทั้งยังรอบด้านมีพุ่มไม้เป็นส่วนใหญ่ บวกกับท้องฟ้าในช่วงหัวค่ำ แต่ต้องแลกมาด้วยการที่ไม่มีแสงไฟจากหมู่บ้าน“รอบด้านมืดชะมัดเลย แต่เดี๋ยวนะ?!!”ทันใดนั้นเขาก็ได้พบสิ่งที่ไม่เคยสังเกตมาก่อนหลังจากมีแต้ม B ซึ่งนั่นก็คือความสามารถการมองเห็นในที่มืดหรือในที่ที่มีแสงน้อย นี่คือความสามารถพื้นฐานแต่ในอนาคตมันอาจพัฒนาไปได้อีก แต่ในตอนนี้เขายังไม่พบความสามารถใหม่ ๆ ไปมากกว่าเท่าที่ใช้ได้“แล้วก็ออร่ารอบตัวฉัน... ที่เป็นสีฟ้าเข้ม” เขาตั้งสมาธิพร้อมกับมองเพ่งไปยังร่างกายของตนเอง และค่อย ๆ ถ่ายเทพลังออกมา ซึ่งออร่ารอบ ๆ ตัวเขานั้นเป็นสีฟ้าเข้ม แน่นอนว่าด้วยแต้ม B ที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก พลังและทักษะรอบด้านต่างพัฒนาขึ้นอย่างมากเช่นกัน“ไม่มีจังหวะได้
หลังจากที่อาคุมุได้พูดคุยกับเรย์เล็กน้อย เขาก็พบว่าความในใจของเรย์นั้นมีมากมาย และทหารราบส่วนใหญ่ล้วนมีบางอย่างที่ไม่สามารถโต้ตอบหรือตอบกลับตามที่ควรจะเป็นได้เลยแม้แต่น้อย‘ฉันคงไม่ต้องคิดอะไรมากมาย เพราะมันคือเรื่องที่เกี่ยวกับองค์จักรพรรดิอย่างแน่นอน... ช่องโหว่ของจักรพรรดิจะเปลี่ยนเป็นปราการที่แข็งแกร่งของฉัน ทหารราบนี่แหละจะเป็นพันธมิตรกลุ่มแรก’นั่นคือสิ่งที่อาคุมุคิด โดยเขาจะอาศัยผลจากการที่อำนาจขององค์จักรพรรดินั้นมีมาก มากเสียจนกดขี่ข่มเหงทุกสิ่งอย่างและดันตัวเองขึ้นไปในจุดสูงสุด ซึ่งเขาจะทำให้เรย์และทหารราบในหน่วยของเรย์นั้นมาเป็นพันธมิตร“ผมรู้นะครับว่าลุงเรย์หมายถึงอะไร... และผมก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่พวกคุณนั้นเจอคืออะไร แค่ได้ยินจากลุงเรย์เพียงไม่กี่ประโยคผมก็กระจ่างแล้วล่ะครับ” อาคุมุพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่เรียบและใบหน้าที่จริงจัง ซึ่งเมื่อเรย์และนายทหารคนอื่น ๆ ในรถม้าได้ยินต่างก็แปลกใจพร้อมกับมองหน้ากันอีกครั้ง“เฮ้ย! ฉันว่ามันจะมากเกินไปแล้วนะโว้ย ตั้งแต่ที่พวกเราไปหาแกโดยที่แกอยู่ในป่าคนเดียวตอนกลางคืน ตอนที่กำลังเดินมาขึ้นรถม้าแกก็ไปเดินอยู่ข้างหลัง ทั้งยังทำอวดเก่งใส่หั
“ในเมื่อเราเป็นพันธมิตรกันแล้ว เราควรจะต้องเริ่มจากอะไร? ถ้ามีแผนแล้วตอนนี้แผนของนายคืออะไรงั้นเหรอเจ้าหนู?” เรย์กล่าวถามกับอาคุมุซึ่งอาคุมุเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะตอบกลับ“ผมต้องถามก่อนว่ารถม้าจะมุ่งหน้าไปที่ไหนเหรอครับ? แล้วก็ตั้งแต่แรกเริ่มแท้จริงแล้วจะส่งตัวผมให้กับใคร?”“เดิมทีรถม้าพวกฉันจะตรงไปยังเมืองบาระ ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ใกล้ ๆ เมืองชิโตเสะนี่แหละ แล้วก็เรื่องส่งตัว.. เห้อ! เด็กอะไรฉลาดเป็นบ้า ไม่ได้มีการคุยกันแค่เพียงเล็กน้อยหรอก พวกฉันจะต้องส่งตัวนายให้หน่วยสอบสวนของนักเวท แล้วก็ดูเหมือนว่า...” เรย์พูดแล้วก็หยุดไป‘ส่งตัวฉันให้นักเวทจริง ๆ ด้วย’“ดูเหมือนว่าอะไรเหรอครับ?” เมื่อได้ยินอย่างนั้นอาคุมุจึงถามกลับไป“ดูเหมือนว่าองค์จักรพรรดิจะต้องการตัวนายน่ะสิ แล้วก็ไม่อยากรอนานนัก จึงให้พวกฉันพานายตรงไปยังพระราชวังที่เมืองหลวงเลย แล้วก็ต่อจากนี้จะเป็นขั้นตอนไหนฉันก็ไม่รู้ เพราะทหารราบฝ่ายนอกอย่างพวกฉันมีสิทธิ์ทำได้แค่เข้าไปส่งตัวคนสักคนหนึ่งจากสถานที่ห่างไกลเพียงเท่านั้น แต่ฉันรู้มาว่าหน่วยสอบสวนของนักเวทน่ะ... โหดร้ายมากเลยล่ะ”‘แบบนี้ก็เข้าทางฉันสิ’“ในเมื่อเป็นแบบนั้
“เหลวไหลชะมัด! พลังเวทของแกมันจะไม่ใช่มังกรไฟได้ไงกัน?!” หนึ่งในสามคนนั้นพูดขึ้นมา“ก็พลังเวทของผม... มันคือมังกรสายฟ้าไงล่ะครับ” อาคุมุตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงและท่าทางที่แสดงให้เห็นว่าตนคือผู้ชนะ“สายฟ้า? อย่ามาอำพวกฉันเล่นนะโว้ย! ตระกูลของแกมันเป็นตระกูลมังกรไฟ ตระกูลมังกรสายฟ้าน่ะได้หายสาบสูญไปราว ๆ 50 ปีแล้ว และตระกูลมังกรสายฟ้าน่ะมีมาก่อนตระกูลของแกด้วย อีกทั้งเด็กเวรอย่างแกเนี่ยนะจะไปเทียบกับตระกูลที่สูงส่งอย่างตระกูลมังกรสายฟ้า เหอะ! ไปอ่านประวัติความเป็นมาของตระกูลให้เข้าใจก่อนค่อยมาพูดอะไรบ้า ๆ แบบนี้”‘มีมาก่อนตระกูลคาอิดะก็หมายความว่ามันยาวนานกว่านั้น... ลึกซึ้งชะมัด แล้วตัวฉันถูกโยงไปตระกูลมังกรสายฟ้าได้ไงล่ะนั่น? ฉันเป็นคนจากตระกูลมังกรไฟหรือมังกรสายฟ้ากันแน่เนี่ยเริ่มไม่เข้าใจแล้วนะไอ้บ้าเอ๊ย!!’ซึ่งแน่นอนว่าทั้งสามต่างก็ไม่เชื่อในสิ่งที่ตนได้ยิน มันคงไม่มีทางเป็นไปได้เพราะตระกูลคาอิดะนั้นเป็นตระกูลที่มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน เคยได้รับขนานนามว่าเป็นตระกูลแห่ง "ราชามังกรอัคคี" เด่นในเรื่องของการโจมตีด้วยเพลิงที่แข็งแกร่ง บุตรหลานของตระกูลนี้ที่ได้สืบทอดมาก็มีพลังเวทเป็
บทที่ 60 : มอบรางวัลด้วยเลือด [จบเล่ม 2]การต่อสู้จบลง สนามประลองแบบจำลองก็ได้หายไป อาคุมุลืมตาขึ้นมาก็พบว่าเขาอยู่ที่สนามประลองของจักรวรรดิไดจิเสียแล้ว เขามองไปรอบ ๆ ขณะเดียวกันกับเสียงตอบรับที่ดังมาจากผู้ชมทั่วทั้งสนามประลองอย่างครึกครื้น“อาคุมุชนะจริง ๆ ด้วย?!!”“เขาสู้แบบนั้นได้ยังไงกันนะ? โดนรุมนั่นน่ะ”“เจ้าเด็กคนนี้ต้องแข็งแกร่งขนาดไหนกันเนี่ย?! แน่ใจนะว่าไม่ใช่นักเวทของจักรวรรดิ?”“ตามดูเจ้าหนูนี่มาตั้งแต่วันแรก ไม่ทำให้ผิดหวังเลย!”…“ในรอบนี้เราสามารถหาผู้ชนะเลิศได้เลยล่ะครับทุกท่าน! ผู้ชนะการประลองของจักรวรรดิไดจิในครั้งนี้คือ… คาอิคะ อาคุมุ!!!” ผู้คุมสนามประกาศออกไปอย่างเป็นทางการด้วยผลการต่อสู้ที่เป็นเอกฉันท์กลางสนามประลองที่มีผู้ชมเป็นจำนวนมาก คู่ต่อสู้ทั้งหกคนของอาคุมุนั้นนอนบาดเจ็บอยู่ที่พื้น โดยมีอาคุมุยืนอยู่ท่ามกลางคนเหล่านั้น แม้การบาดเจ็บจะไม่ได้สาหัสมากนัก แต่ร่องรอยบาดแผลตามที่เห็นคงต้องใช้เวลาพอสมควร‘ไม่มีใครตายเพราะเมื่อพลังชีวิตแบบจำลองหมดไปก็จะถูกส่งออกมาทันทีสินะ’ อาคุมุที่ไม่ได้เข้าใจเกี่ยวกับทักษะสร้างภาพลวงตาของราชันจอมเวทอาวุโสนี้มากนัก ทำได้เพียงวิเ
บทที่ 59 : หนึ่งรุมหกการโจมตีที่รุนแรงและรวดเร็วของรินนั้นทำให้ฮิบาริไม่สามารถหลบหลีกหรือป้องกันได้ทั้งหมด ทำให้เขาต้องรับการโจมตีไปอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งพลังชีวิตแบบจำลองเป็นศูนย์ในตอนนี้ฮิบาริได้ถูกคัดออกจากการประลองแบบกลุ่มแล้ว ซึ่งทำให้กลุ่มของอาคุมุนั้นเหลือเพียงสามคน และภายในทักษะหมอกเพลิงสีชาดของรินนี้… เหลือเพียงอาคุมุและรินเท่านั้น“นายจะทำยังไงดีล่ะเจ้าหนูอาคุมุ? สู้กับฉันตัวต่อตัวไหวไหมนะ? อืม… ฉันมีสมาชิกอยู่ข้างล่างทั้งหมด 5 คนเนี่ยสิ คงจะเอาชนะฉันได้ไม่ง่ายหรอกมั้ง” รินพูดขึ้นมา ซึ่งนั่นทำให้อาคุมุแปลกใจในทันที“ว่าไงนะ? ทั้งหมดห้าคนนี่หมายความว่าอะไร?” อาคุมุถามกลับไป“ฮ่า ฮ่า ฮ่า! นายนี่น่าขำจริง ๆ เลย คิดว่าเจ้าพวกที่เหลืออยู่จะมั่นใจในตัวนายแล้วไม่สนผลประโยชน์หรือไงกัน?” รินตอบกลับมา“หรือว่านั่นคือ…”“ใช่แล้วล่ะ! ฉันแค่เสนอให้พวกมันมาร่วมมือกับฉัน ข้อแลกเปลี่ยนคือการเข้าร่วมกลุ่มจันทราแดง ถึงจะถูกคัดออกและไม่ชนะเลิศในการประลอง แต่มีเงินใช้ง่าย ๆ ต่อจากนี้… ใครจะไม่ชอบกันล่ะ ลองดูนั่นสิ” รินพูดจนจบและชี้ลงไปยังข้างล่าง ซึ่งสิ่งที่เห็นนั้นคือสมาชิกกลุ่มของอาคุมุที
บทที่ 58 : ผู้ที่ถูกคัดออกคนแรกในตอนนี้ สถานการณ์ของอาคุมุและฮิบารินั้นไม่สู้ดีนัก พวกเขาถูกปิดล้อมไปด้วยทักษะหมอกเพลิงสีชาดของริน อีกทั้งยังถูกล้อมไปด้วยสมาชิกคนอื่น ๆ ในกลุ่มของรินจากภายนอก ซึ่งสามารถโจมตีเข้ามาได้โดยตรง เรียกได้ว่าถูกบีบให้จนมุมทั้งอย่างนั้น‘ซวยจริง ๆ แล้วไง’“ออกไปเฉย ๆ ไม่ได้เลย!” ฮิบาริกำลังพยายามจะดันตัวเองออกไปจากทักษะของริน‘ไอ้บ้านี่มันแกล้งทำเป็นไม่รู้เหรอ?’“ถ้าออกไปได้ง่าย ๆ เขาจะสร้างขึ้นมาทำไมล่ะครับคุณฮิบาริ?” อาคุมุถามกลับไป“พวกนายฟังฉันนะ! ทักษะหมอกเพลิงสีชาดนี้จะสามารถใช้ได้ 30 นาที หลังจากนั้นจะสามารถใช้ทักษะนี้ได้อีกครั้งเมื่อเวลาผ่านไปอีก 30 นาที” รินพูดขึ้นมา“แล้ว... บอกทำไมเหรอครับ?” อาคุมุที่ได้ยินอย่างนั้นจึงถามกลับไป“เพราะว่า... ฉันสามารถเอาชนะพวกนายได้ใน 30 นาทีนี้ไงล่ะ!! กระสุนเพลิงสีชาด!!!” รินตอบกลับมาพร้อมกับยิงกระสุนเพลิงเข้าใส่อาคุมุและฮิบาริด้วยความเร็ว“ตาข่ายอัสนี!”ตู้มมมม!!!“อึ่ก! บ้าจริง”ถึงแม้อาคุมุจะใช้ทักษะป้องกันไว้ได้ทัน แต่ความเสียเปรียบนั้นปรากฏขึ้นมาให้เห็นอย่างชัดเจน เพราะตาข่ายอัสนีของอาคุมุนั้นถูกทำลายได้โดยการ
บทที่ 57 : ความได้เปรียบเป็นศูนย์รินและสมาชิกอีกสามคนได้มาถึงที่ตำแหน่งของอาคุมุ ซึ่งรินนั้นปรากฏตัวขึ้นมาพร้อมกับอาวุธคู่กายอย่างปืนพกเช่นเดิม ส่วนอีกสามคนนั้นก็คือนักเวทชุดขาวเป็นผู้ชายสองคนและผู้หญิงอีกหนึ่งคน โดยทุกคนนั้นมีกระเป๋าสะพายอยู่ข้างหลัง“อย่างที่คิดไว้ไม่มีผิดเลยล่ะครับ... ทุกอย่างเลย” สิ่งที่อาคุมุคิดไว้นั้นเป็นจริงทุกอย่าง ซึ่งก็คือการที่นักเวทชุดขาวทั้งสามนั้นเปลี่ยนชุดก่อนจะเข้ามายังสนามประลองแบบจำลองนี้“แต่ว่า... จะทำไปเพื่ออะไรเหรอครับ? เตรียมชุดมาเปลี่ยนตอนเข้ามาในนี้แล้วเนี่ย?” อาคุมุถามออกไป“ก็ถ้าพวกฉันอยู่ในบทบาทของนักเวทชุดขาวตั้งแต่ตอนที่อยู่ข้างนอกล่ะก็... คงจะโดนประท้วงพอดีน่ะสิ” หนึ่งในนักเวทชุดขาวตอบกลับมา“ฉันควรจะแนะนำตัวอีกครั้งไหมนะ? ฉันคือ อากาเนะ ริน เป็นเพียงคนที่กำลังจะได้เป็นจอมเวทระดับ 3 แล้วล่ะนะ!!” รินพูดขึ้นมาพร้อมกับจับปืนพกทั้งสองกระบอกไว้แน่น ลมจากแรงของพลังเวทปะทะเข้ากับร่างของอาคุมุโดยตรง‘กำลังจะได้เป็นจอมเวทระดับ 3 งั้นเหรอ? สีของออร่าพลังเวทกำลังจะเป็นสีแดงแล้วสินะ แข็งแกร่งขึ้นมากจริง ๆ ด้วย’“สุดยอดไปเลยนะครับ สมแล้วกับตำแหน่งรอ
บทที่ 56 : เริ่มการประลองแบบกลุ่มในตอนนี้ ผู้คุมสนามได้ทำการสร้างสนามประลองแบบจำลองเสร็จสิ้นแล้ว เป็นทักษะที่มีความเหมือนจริงเป็นอย่างมาก ถึงได้ชื่อว่าเป็นภาพลวงตา และด้วยความแข็งแกร่งระดับราชันจอมเวทอาวุโส การที่สิ่งนี้เกิดขึ้นได้ก็คงจะไม่เกินจริงนัก...ที่สนามประลอง ภายนอกทักษะภาพลวงตา“สิ่งที่ทุกคนเห็นอยู่ตรงหน้านี้... คือสิ่งที่เกิดขึ้นภายในนั้นครับ” เสียงของผู้คุมสนามได้ดังกึกก้องไปทั่วทั้งสนามประลองด้วยทักษะพลังเวทของพิธีกร เสียงตอบรับจากคนดูก็เกิดขึ้นในทันที“น... นี่เหมือนฉันดูการประลองผ่านจอเลยนะ”“ข้างในนั้นจะไม่เป็นอะไรแน่เหรอ?”“ดูนั่นสิ! อาคุมุอยู่นั่นล่ะ!!”“ที่นั่นมันคือจำลองเมืองไหนหรือเปล่า? ที่ไหนในจักรวรรดิหรือเปล่านะ?”...สิ่งที่ทุกคนเห็นอยู่ตรงหน้านั้น คือลูกบาศก์ขนาดใหญ่ที่ปกคลุมไปด้วยออร่าของพลังเวทสีม่วง ลอยอยู่ในอากาศตรงกลางสนามประลอง ทั้งสี่ด้านนั้นเผยให้เห็นภาพจากมุมมองของแต่ละคนและมุมมองภาพรวมภายในนั้น ราวกับว่ากำลังดูผ่านจอขนาดยักษ์“สถานที่ภายในนั้นคือเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในจักรวรรดิ มีชื่อว่าเมืองชิโตเสะครับ... ขอให้ทุกคนเพลิดเพลินไปกับการประลองในครั้ง
บทที่ 55 : ราชันจอมเวทอาวุโส?กฎและกติกาการแข่งขันในรอบ 8 คนสุดท้ายนั้น ได้ถูกเปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหันโดยไม่ได้มีการประกาศล่วงหน้า ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่เข้ารอบหรือผู้ชมทั่วทั้งสนามประลอง ไม่เคยมีใครคิดไว้ว่าจะถูกเปลี่ยนเป็นการประลองแบบกลุ่ม“เริ่มจากการจัดกลุ่ม กลุ่มที่ 1 จะมีผู้ชนะจากสายการต่อสู้เดิมก็คือสาย A, B, C และ D ส่วนกลุ่มที่ 2 ก็จะมีผู้ชนะจากสายการต่อสู้เดิมคือสาย E, F, G และ H ครับ”พิธีกรได้ประกาศวิธีการแบ่งกลุ่มให้กับทั้ง 8 คน‘ฉันพอเข้าใจแล้วว่าทำไมถึงแบ่งกลุ่มง่าย ๆ แบบนี้...’‘...เพราะรินอยู่ในกลุ่มที่ 2 สินะ? การคาดเดาของฉันถูกต้องอย่างแน่นอน!’สิ่งที่อาคุมุคิดไว้นั้นมีเพียงความได้เปรียบของฝั่งตรงข้าม ซึ่งนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นมาโดยตลอด และในสถานการณ์ตรงหน้านี้ ความได้เปรียบที่ว่าก็คงจะหนีไม่พ้นการที่กลุ่มนั้นมีคนอย่างรินอยู่ด้วยนั่นเอง“ก่อนที่จะเข้าสู่ลำดับถัดไป...” พิธีกรพูดยังไม่ทันจบประโยค เสียงจากแท่นด้านบนก็ดังขึ้นมาในทันทีตึ้ง!!ซึ่งเป็นเสียงขององค์จักรพรรดิที่ใส่พลังเวทเข้าไปในแท่นข้าง ๆ ตัว สิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนี้ทำให้ทุกคนต่างก็ตกใจกันไปตาม ๆ กัน“องค์จักร
บทที่ 54 : รอบ 8 คนสุดท้ายอาคุมุนั้นเก็บชัยชนะไปได้อีกครั้ง ทุกรอบของการลงสนาม อาคุมุได้สร้างความประหลาดใจให้กับทุกคน แต่จากการที่สามารถเอาชนะผู้ใช้พลังศักดิ์สิทธิ์นี้ได้ ทำให้ทั่วทั้งเมืองหลวงแห่งนี้ได้รับรู้และได้สัมผัสแล้ว... ...ว่าความแข็งแกร่งของเขานั้นเป็นเช่นไรโดยไร้ข้อกังขาวันต่อมาในเวลาเดิม อาคุมุและคาเอเกะก็เดินไปยังสนามประลอง วันนี้เขาได้สะพายกระเป๋าและเตรียมเสื้อคลุมยาวใส่ไว้ในกระเป๋าด้วย แน่นอนว่าของสำคัญที่ขาดไม่ได้เลยก็คือดาบแห่งราชันสิ่งที่เกิดขึ้นก็ยังคงเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับทุกครั้งที่ผ่านมา ซึ่งก็คือเหล่าผู้คนที่เข้าหาล้อมหน้าล้อมหลัง‘เฮ้อ! ฉันล่ะเหนื่อยจริง ๆ เลย ในช่วงอาคุมุพบปะประชาชนเนี่ย’“ยินดีต้อนรับท่านผู้มีเกียรติทั้งหลาย!! ไม่ว่าจะเป็นผู้เข้าแข่งขัน หรือผู้ที่ชื่นชอบในการประลอง วันนี้... เราเดินทางมาถึงวันสุดท้ายในการประลองของจักรวรรดิไดจิแล้วครับ!!!”ผู้เป็นพิธีกรกล่าวขึ้นมาเพียงเท่านั้น กระแสตอบรับของผู้คนต่างก็แตกออกเป็นสองเสียง ทั้งคนที่ดีใจกับการจะได้เห็นรอบชิงชนะเลิศ และคนที่เสียใจกับการจบลงของการประลองอันแสนดุเดือดนี้“ใกล้จะได้ดูรอบชิงแล้วโ
บทที่ 53 : คู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดการโจมตีของอาคุมุในครั้งนี้นั้นรุนแรงยิ่งกว่าการโจมตีของดาอิเสียอีก ทั้งยังทำให้ดาอิต้องถอยร่นออกไปเพื่อรับมือกับการโจมตีนี้‘ถึงจะบอกว่าลบล้างสิ่งชั่วร้าย แต่ไอ้หมอนี่ดูจะไม่ใช่คนชั่วร้ายแบบนั้นเลยนะ หมายความว่ายังไงกันแน่เนี่ย? ฉันล่ะไม่เข้าใจกับดาบเล่มนี้เลยจริง ๆ แฮะ’อาคุมุยังคงครุ่นคิดกับสิ่งที่มังกรผู้เป็นเจ้าของดาบแห่งราชันได้บอกไว้“แต่... ดาบฉัน? มันไม่ได้อยู่ในมือนี่?!” นั่นคือสิ่งที่อาคุมุเพิ่งจะรู้สึกตัวได้“ความรู้สึกนายนี่มันช้าจริง ๆ เลยนะ” ดาอิพูดและเดินเข้ามาหาอาคุมุอย่างช้า ๆ พร้อมกับดาบแห่งราชันที่อยู่ในมือดาอินั้นสามารถหลบการโจมตีที่รุนแรงของอาคุมุได้เพียงบางส่วน ซึ่งเขาได้รับบาดเจ็บมากพอสมควร“แล้วมันไปอยู่ที่คุณได้ยังไงกัน? แล้วก็สภาพแบบนั้น...”“การโจมตีของนายมันรุนแรงจนดาบนายหลุดมือมาทางนี้เลยล่ะ ฉันแค่โดนเฉียด ๆ ยังเละขนาดนี้ ถ้าฉันรู้สึกตัวช้าอีกหน่อยคงละเอียดจนเป็นผงไปแล้ว” ดาอิตอบกลับมาพร้อมกับโยนดาบแห่งราชันของอาคุมุไปยังทางด้านหลังของตัวเขาเอง จุดที่ดาบตกอยู่นั้นคือขอบของสนามประลองพอดี“ปล่อยมันไว้แบบนั้นก่อนก็แล้ว
บทที่ 52 : พลังที่แท้จริง?“ลุกขึ้นมาซะ!! ผมบอกแล้วไง... ว่าผมกำลังต้องการคู่ซ้อมน่ะ” อาคุมุพูดด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่ใครเห็นต่างก็คงต้องขนลุกไปตาม ๆ กัน“นี่แก... เป็นบ้าไปแล้วรึไง?! ชนะขาดลอยขนาดนี้แล้วยังจะเอาอะไรอีกห๊ะ?!!” ดาอิตอบกลับมา“ขาดลอย?”ดาอิที่ได้ยินอย่างนั้นก็แปลกใจ“อะไรของแก?”“ผมถามอะไรคุณหน่อยสิ คุณผู้ใช้พลังศักดิ์สิทธิ์... หากได้ชัยชนะมาแบบนี้นี่คุณภูมิใจเหรอครับ? ทั้งที่อีกฝ่ายยังไม่ได้ใช้พลังเลยเนี่ยนะ? ผมไม่เอาด้วยหรอกนะครับ” อาคุมุถามกลับไปดาอิที่ได้ยินอย่างนั้นก็ชะงักไปในทันที“อึ่ก... แต่ตอนนี้เราแค่ประลองกันนี่! จะเล่นเอาตายเลยหรือไง?!! แกคิดจะรบเร้าฉันไปถึงไหน?”“ถ้าผมตายขึ้นมาจริง ๆ ล่ะก็... คนที่ได้ผลประโยชน์คือคุณไม่ใช่เหรอครับ? แข็งแกร่งขึ้นมาทันตาเห็นเลยนะ เป็นจอมเวทระดับ 3 เลยสิเนี่ย? ระดับพลังเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวเลยแฮะ...” อาคุมุพูดแล้วจึงหยุดไป“ฮ่า! แก... ไม่สิ นายนี่ทำให้ฉันนึกถึงสิ่งที่ลืมคิดไปได้ยังไงกันนะ? หาแรงจูงใจมาให้ฉันจนได้!!” ดาอิพูดพร้อมกับใช้หอกดันตัวขึ้น ออร่าพลังเวทได้ถูกแผ่ออกมาจากรอบ ๆ ตัวเขา “ไม่ธรรมดาจริง ๆ เลย ต้องแบบนี้สิครั