“ในเมื่อเราเป็นพันธมิตรกันแล้ว เราควรจะต้องเริ่มจากอะไร? ถ้ามีแผนแล้วตอนนี้แผนของนายคืออะไรงั้นเหรอเจ้าหนู?” เรย์กล่าวถามกับอาคุมุ
ซึ่งอาคุมุเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะตอบกลับ
“ผมต้องถามก่อนว่ารถม้าจะมุ่งหน้าไปที่ไหนเหรอครับ? แล้วก็ตั้งแต่แรกเริ่มแท้จริงแล้วจะส่งตัวผมให้กับใคร?”
“เดิมทีรถม้าพวกฉันจะตรงไปยังเมืองบาระ ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ใกล้ ๆ เมืองชิโตเสะนี่แหละ แล้วก็เรื่องส่งตัว.. เห้อ! เด็กอะไรฉลาดเป็นบ้า ไม่ได้มีการคุยกันแค่เพียงเล็กน้อยหรอก พวกฉันจะต้องส่งตัวนายให้หน่วยสอบสวนของนักเวท แล้วก็ดูเหมือนว่า...” เรย์พูดแล้วก็หยุดไป
‘ส่งตัวฉันให้นักเวทจริง ๆ ด้วย’
“ดูเหมือนว่าอะไรเหรอครับ?” เมื่อได้ยินอย่างนั้นอาคุมุจึงถามกลับไป
“ดูเหมือนว่าองค์จักรพรรดิจะต้องการตัวนายน่ะสิ แล้วก็ไม่อยากรอนานนัก จึงให้พวกฉันพานายตรงไปยังพระราชวังที่เมืองหลวงเลย แล้วก็ต่อจากนี้จะเป็นขั้นตอนไหนฉันก็ไม่รู้ เพราะทหารราบฝ่ายนอกอย่างพวกฉันมีสิทธิ์ทำได้แค่เข้าไปส่งตัวคนสักคนหนึ่งจากสถานที่ห่างไกลเพียงเท่านั้น แต่ฉันรู้มาว่าหน่วยสอบสวนของนักเวทน่ะ... โหดร้ายมากเลยล่ะ”
‘แบบนี้ก็เข้าทางฉันสิ’
“ในเมื่อเป็นแบบนั้น ตอนนี้ก็ยังไม่มีอะไรที่จะต้องทำหรอกครับ แค่รอเวลาที่จะเข้าเมืองหลวง เพราะผมตั้งใจให้เป็นไปในทิศทางนั้นอยู่แล้ว ว่าแต่อีกไกลไหมครับกว่าจะถึง” เรย์ที่ได้ยินอย่างนั้นจึงตะโกนถามกับสารถี [2] หรือคนขับรถม้า เพราะด้วยความที่รถม้าเป็นแบบปิดด้านหน้า จึงไม่สามารถพูดคุยกับคนขับรถม้าได้
“อีกไกลไหมกว่าจะถึงเมืองหลวงน่ะ”
ซึ่งเขาไม่ได้คำตอบใด ๆ กลับมา และไม่มีการพูดอะไรเลยแม้แต่น้อย ทั้งที่คนขับรถม้าก็เป็นนายทหารในหน่วยของเรย์ และเมื่อเรย์คิดจะเอ่ยปากถามอีกครั้ง ก็ได้มีคำตอบที่ทำให้ทุกคนในรถม้านั้นเกิดความผวาไปตาม ๆ กัน
“ไกลมากเลยล่ะกว่าถึงเมืองหลวง แต่ถ้าเป็นตำแหน่งในการฆ่าล้างหน่วยที่ 7 ของแกล่ะก็... มันไม่ไกลเลยนะ ฮะ ฮะ ฮ่า!” ชายคนนั้นตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่น่ากลัว พร้อมกับรถม้าที่กำลังจะหยุดนิ่ง
“น.. นักเวท?! อย่าบอกนะว่า 3 คนเลยเหรอ?”
เพียงแค่ได้ยินประโยคแบบนั้นก็รู้ได้ในทันทีแล้วว่าคนคนนั้นเป็นนักเวทอย่างไม่ต้องสงสัย ในเมื่อจำนวนของรถม้าคือ 3 แล้ว แน่นอนว่าคนขับก็ต้อง 3 เช่นกัน
“ทำไมพวกแกถึงได้?... บ้าจริง”
ซึ่งเรย์นั้นเกิดความวิตกกังวลเล็กน้อย เพราะครั้งล่าสุดที่เขาได้สู้กับนักเวทนั้นทำให้เขารู้ว่าทหารธรรมดาที่ฝึกฝนได้เพียงทางด้านร่างกายและการต่อสู้ กับนักเวทที่ได้รับการฝึกฝนมาหลากหลายรูปแบบมีความห่างชั้นกันอย่างมาก มากเสียจนแค่เป็นคนที่มีพลังเวทก็สามารถฆ่าทหารร่างยักษ์ได้อย่างง่ายดาย
“จะเอายังไงดีล่ะ... พ่อวีรบุรุษคนสุดท้ายของตระกูลคาอิดะ” นักเวทผู้นั้นกล่าว พร้อมกับรถม้าที่หยุดนิ่ง
ไม่มีเสียงของเกือกม้ากระทบกับพื้น ไม่มีเสียงจากล้อของรถม้า ไม่มีเสียงใด ๆ เลยแม้แต่น้อย
“แผนที่วางไว้ต้องทำยังไงถึงจะสำเร็จนะ... เพราะดูเหมือนว่าตระกูลใหญ่ที่มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนานจะจบลงตรงนี้แล้วล่ะ ฮิ ฮ่า ฮ่า ฮ่า” หนึ่งในนักเวททั้งสามเอ่ยปากพูดขึ้นมา ซึ่งเหล่าทหารทั้งหลายนั้นต่างก็หวาดกลัวเป็นอย่างมากจนร่างกายแทบจะไม่สามารถขยับได้
‘พวกนี้เป็นนักเวทและรู้จักตระกูลคาอิดะเป็นอย่างดี... แต่ว่าฉันเหลือเพียงคนเดียวงั้นเหรอ? ฉันไม่ได้คิดหรอกนะว่าพ่อฉันตายแล้วน่ะ หึหึ’
อาคุมุยังคงนั่งนิ่งไม่เคลื่อนไหว ขณะนี้เขากำลังใช้ความคิดเพื่อค้นหาวิธีที่จะรับมือกับสถานการณ์ในตอนนี้
“เฮ้ย! พวกนายเป็นชายชาตินักรบ.. อย่าเพิ่งขวัญอ่อนกันสิโว้ย!!” เรย์ตะโกนออกมาด้วยพลังเสียงที่มหาศาล เขาพูดปลุกใจให้เหล่าทหารในหน่วยของเขาไม่คิดเกรงกลัวและมีแรงกล้า ซึ่งแน่นอนว่ามันได้ผลดีเป็นอย่างมาก
“แล้วนายจะทำยังไงต่อน่ะเจ้าหนู? นายเป็นใครกันแน่เนี่ยตามที่พวกนั้นพูด” เรย์กล่าวถามอาคุมุ
“เรื่องของผมเดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟังนะครับ ตอนนี้ให้ผมจัดการกับเจ้าพวกนี้ก่อน” ว่าแล้วอาคุมุก็ลุกขึ้นพร้อมกับเดินลงไปจากรถม้า
“พวกคุณว่าไงนะครับ? พ่อผมตายแล้วเหรอ?” เขากล่าวพร้อมกับมองไปยังนักเวททั้งสาม
ซึ่งทั้งสามคนนั้นมีลักษณะภายนอกที่คล้ายคลึงกันราวกับว่าเป็นพี่น้องที่คลานตามกันมาแบบติด ๆ และลืมตาดูโลกในเวลาที่ไล่เรี่ยกัน สีผมดกดำ ร่างกายค่อนข้างที่จะสมส่วน ทั้งสามสวมเสื้อคลุมสีม่วงและต่างก็เตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้
‘ออร่าสีฟ้าเข้มทั้ง 3 คน... ส่งคนมาแบบนี้คิดจะฆ่าล้างหน่วยจริง ๆ สินะเนี่ย แต่เดี๋ยวนะ?’ เขาสังเกตเห็นพลังเวทของทั้งสามคนนั้น ซึ่งเป็นพลังเวทชนิดเดียวกัน
“โว้ว! เด็กน้อยเสียพ่อไปโดยไม่รู้ตัวงั้นเหรอ แต่ไม่เป็นไรหรอกนะ เดี๋ยวนายก็ได้ตายตามพ่อไปแล้วล่ะเจ้าหนูน้อย ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
‘หัวอ่อนชะมัด’
“เห? อย่าบอกนะว่าที่มากัน 3 คนโดยทุกคนมีพลังเวทเป็นเวทแห่งน้ำเนี่ย เพื่อที่จะมาจัดการกับเด็ก 6 ขวบอย่างผมโดยเฉพาะเหรอครับ? น่าตลกจังเลยนะว่าไหม ฮ่า ฮ่า ฮ่า” อาคุมุตอบกลับไปด้วยสีหน้าและท่าทางที่เผยให้เห็นว่าเขาไม่กลัวเลยแม้แต่น้อย ทั้งที่ตรงหน้าเขาคือนักเวทสามคนที่มีแต้ม B 1,000 แต้มขึ้นไปทุกคน
“แกพูดว่ายังไงนะ?!” นักเวทคนหนึ่งพูดขึ้นมาพร้อมกับกัดฟันและกำมือไว้แน่น เขาเป็นคนที่รู้สึกโกรธรวมถึงโมโหที่สุดเมื่อได้ยินคำพูดแบบนั้นออกมาจากปากของอาคุมุ
“น้องรองใจเย็นก่อน” นักเวทอีกคนหนึ่งกล่าวขึ้นมา ซึ่งดูเหมือนว่าทั้งสามคนนี้จะเป็นพี่น้องกันอย่างไม่ต้องสงสัย
“แกพูดเหมือนแกจะทำอะไรพวกฉันได้อย่างงั้นแหละ ไปเอาความมั่นใจมาจากไหนห๊ะ? มังกรไฟตัวเล็ก ๆ อย่างแกน่ะแค่เจอพลังเวทแห่งน้ำของพวกฉันก็ดับแล้ว จะจุดยังไงให้ติดได้ล่ะตอนที่แกเปียกโชกไปทั้งตัว ถึงพลังพวกฉันจะเป็นแค่น้ำธรรมดาแต่ไม่ว่าจะวิธีไหนก็ดับไฟอ่อน ๆ ของแกได้ล่ะนะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า... ใช่ไหมล่ะเจ้าหนูพลังมังกรไฟ”
อาคุมุที่ได้ยินอย่างนั้นก็ยิ้มอย่างผู้ชนะในทันที ซึ่งนั่นทำให้นักเวททั้งสามต่างทวีคูณความโกรธรวมถึงปนความแปลกใจไปในเวลาเดียวกัน
“ถึงเวลาตายแล้วแกยังยิ้มได้อีกหรือไง?”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า! เพิ่งรู้นะครับว่าเหล่านักเวททั้งหลายมีความไม่ฉลาดอยู่ลึก ๆ ด้วย เพื่อดับไฟอ่อน ๆ ของผมแต่กลับส่งมาถึง 3 คน ทั้งที่การแพ้ทางธาตุอาจไม่มีความสำคัญในการต่อสู้ตรง ๆ แต่ที่มากไปกว่านั้นคือส่งมาแต่คนที่มีพลังเวทแห่งน้ำเนี่ยนะ? จะเป็นยังไงล่ะครับถ้าพลังเวทของผม... มันไม่ใช่ไฟน่ะ หึหึ” อาคุมุตอบกลับไป ซึ่งทำให้ทั้งสามต่างก็ตกใจไปตาม ๆ กัน
“เหลวไหลชะมัด! พลังเวทของแกมันจะไม่ใช่มังกรไฟได้ไงกัน?!”
“ก็พลังเวทของผม... มันคือมังกรสายฟ้าไงล่ะครับ”
-------------------------------------------------------
[2] สารถี (สาระถี) น. หมายถึง คนขับรถ, คนบังคับม้า หรือคนที่ทำหน้าที่บังคับพาหนะให้เคลื่อนไป
*แต่ไรท์จะใช้เป็นคำว่า “คนขับรถม้า” แล้วกันนะครับ เผื่อไรท์ลืมเองแล้วใส่ทั้ง 2 อันเลยเอาความหมายของคำนี้มาแปะไว้
“เหลวไหลชะมัด! พลังเวทของแกมันจะไม่ใช่มังกรไฟได้ไงกัน?!” หนึ่งในสามคนนั้นพูดขึ้นมา“ก็พลังเวทของผม... มันคือมังกรสายฟ้าไงล่ะครับ” อาคุมุตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงและท่าทางที่แสดงให้เห็นว่าตนคือผู้ชนะ“สายฟ้า? อย่ามาอำพวกฉันเล่นนะโว้ย! ตระกูลของแกมันเป็นตระกูลมังกรไฟ ตระกูลมังกรสายฟ้าน่ะได้หายสาบสูญไปราว ๆ 50 ปีแล้ว และตระกูลมังกรสายฟ้าน่ะมีมาก่อนตระกูลของแกด้วย อีกทั้งเด็กเวรอย่างแกเนี่ยนะจะไปเทียบกับตระกูลที่สูงส่งอย่างตระกูลมังกรสายฟ้า เหอะ! ไปอ่านประวัติความเป็นมาของตระกูลให้เข้าใจก่อนค่อยมาพูดอะไรบ้า ๆ แบบนี้”‘มีมาก่อนตระกูลคาอิดะก็หมายความว่ามันยาวนานกว่านั้น... ลึกซึ้งชะมัด แล้วตัวฉันถูกโยงไปตระกูลมังกรสายฟ้าได้ไงล่ะนั่น? ฉันเป็นคนจากตระกูลมังกรไฟหรือมังกรสายฟ้ากันแน่เนี่ยเริ่มไม่เข้าใจแล้วนะไอ้บ้าเอ๊ย!!’ซึ่งแน่นอนว่าทั้งสามต่างก็ไม่เชื่อในสิ่งที่ตนได้ยิน มันคงไม่มีทางเป็นไปได้เพราะตระกูลคาอิดะนั้นเป็นตระกูลที่มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน เคยได้รับขนานนามว่าเป็นตระกูลแห่ง "ราชามังกรอัคคี" เด่นในเรื่องของการโจมตีด้วยเพลิงที่แข็งแกร่ง บุตรหลานของตระกูลนี้ที่ได้สืบทอดมาก็มีพลังเวทเป็
ทั้งที่อาคุมุเป็นต่อทุกอย่างไม่ว่าจะพลังเวทหรือแต้ม B แต่สาเหตุที่เขาไม่อยากจะต่อสู้ในตอนนี้ ก็เพราะว่าเขาไม่ได้ฝึกอะไรเพิ่มเลยหลังจากมีแต้ม B ที่มากขึ้น ทักษะการโจมตีก็มีเพียงแสงอัสนีบาตเพียงอย่างเดียว ถ้าไม่นับมีดในกระเป๋าและก็ยังไปไม่ถึงเมืองหลวงเสียที ไม่มีความคืบหน้าอะไรเลยแม้แต่น้อย“กระสุนวารี!!” นักเวทผู้เป็นน้องได้พูดพร้อมกับหันฝ่ามือทั้งสองมาทางอาคุมุ วงแหวนเวทสีฟ้าได้ปรากฏขึ้นรอบข้อมือของเขา พลังเวทกระสุนน้ำได้พุ่งออกมาจากฝ่ามือทั้งสอง ผ่านข้างลำตัวของพี่ใหญ่และพี่รองของเขา ตรงไปยังอาคุมุที่ยืนอยู่“หอกวารี!!” ผู้เป็นพี่คนโตและคนรองกล่าวออกมาพร้อมกัน วงแหวนสีฟ้าปรากฏขึ้นข้าง ๆ ลำตัว ได้มีอาวุธหอกซึ่งเป็นอาวุธที่สร้างจากพลังเวทแห่งน้ำค่อย ๆ ออกมาจากวงแหวนเวท แล้วทั้งสองก็ดึงมันออกมา‘ฉันไม่ได้ฝึกอะไรเพิ่มเลยเนี่ยสิ โธ่เว้ย!’“แสงอัสนีบาต!” อาคุมุพูดพร้อมกับหันฝ่ามือไปทางศัตรู วงแหวนเวทสีฟ้าปรากฏขึ้นรอบข้อมือของเขาพร้อมกับสายฟ้าที่มีความรุนแรงได้พุ่งออกจากฝ่ามือและตรงไปหาทั้งคู่ แต่แท้จริงแล้วอาคุมุตั้งใจโจมตีใส่กระสุนวารีของผู้ที่เป็นน้อง เพราะตำแหน่งที่เขายืนในตอนนี้คือด้า
“เราไปกันเถอะครับ” อาคุมุกล่าว เรย์และเหล่าทหารจึงเอามือลงและหันกลับมา“เรียบร้อยแล้วสินะ งั้นเราก็เริ่มเดินทางได้” ว่าแล้วก็หันกลับไปหาทหารในหน่วยของเขา“อาสา 3 คน มาขับรถม้า!!”“รับทราบครับ!” ทหารหนุ่ม 3 นายได้เดินออกมาจากแถว และขึ้นไปนั่งข้างหน้าเตรียมควบคุมรถม้า อาคุมุและคนอื่น ๆ ก็เดินขึ้นไปบริเวณตัวรถในทันที“ไปได้!”รถม้าเคลื่อนแล้ว ซึ่งเส้นทางที่ใช้นั้นจะเป็นเส้นทางไหนก็ไม่อาจทราบได้ เนื่องจากตอนนี้อาคุมุไม่รู้อะไรเลยแม้แต่น้อย เขารู้แค่จากการดูแผนที่โดยใช้เวลาเพียงไม่นานว่าเมืองใหญ่นั้นอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเมืองใหญ่นั้นคงจะเป็นเมืองหลวงอย่างแน่นอน“ว่าแต่นายเป็นใครกันแน่เนี่ยเจ้าหนู?” เรย์เอ่ยปากถามกับอาคุมุ นี่คงจะเป็นสิ่งที่ทั้งเรย์และทหารอยากจะรู้มากที่สุด“ก็.. ผมเป็นคนที่มีพลังเวทครับ” นั่นคือประโยคแรกที่อาคุมุตอบกลับแล้วหยุดไป หลังจากนั้นจึงพูดต่อ“พลังเวทของผมเป็นประเภทที่หายากมากซึ่งก็คือพลังมังกรสายฟ้า” อาคุมุยังไม่ทันได้พูดต่อ เรย์ก็พูดขึ้นมาในทันที“สรุปว่านายมาจากตระกูลคาอิดะจริง ๆ ใช่ไหม?”“ใช่ครับ”ทันทีที่อาคุมุตอบกลับไป แต่ละคนต่างก็ตกใจกันไปตาม ๆ
“กำลังจะถึงเมืองไดอิกิแล้วครับ” นายทหารที่อาสาเป็นคนขับรถม้าได้พูดประกาศบอกกับคนข้างหลัง“สร้างวงแหวนเวท” อาคุมุพูดขึ้นมา วงแหวนของเขาค่อย ๆ ขยายวงกว้างออกไป‘ตอนนี้สร้างได้ยังไม่แปลก’“เอ๋? ทำอะไรน่ะเจ้าหนู...” ทันทีที่เรย์ถาม อาคุมุก็หายไปจากตรงหน้าเขาทันทีอาคุมุนั้นใช้การเคลื่อนที่ด้วยวงแหวนเวทแล้วออกไปนั่งข้าง ๆ คนขับรถม้า ซึ่งอยู่ ๆ มีคนโผล่มาด้วยความรวดเร็วแบบนี้แน่นอนว่าต้องตกใจเป็นธรรมดา“เย้ย?! มาได้ไงกันเนี่ย?”“ขอดูอะไรสักครู่นะครับ” ตามที่อาคุมุคิดไว้ ที่ในตอนนี้ยังสามารถสร้างวงแหวนเวทได้อยู่เพราะว่ายังไม่ได้เข้าไปในตัวเมือง แต่ถึงแม้จะสร้างได้มันก็คงไม่มีขนาดที่ใหญ่ที่สุดวงแหวนเวทของเขาที่ขยายออกไป ได้ไปถึงเขตของเมืองหลวงแล้ว“เป็นแบบนี้จริง ๆ ด้วยแฮะ”“หืม? คืออะไรเหรอ?” ไม่แปลกที่ทหารคนนั้นจะไม่เข้าใจสิ่งที่อาคุมุกำลังคิดและทำ เพราะดูเหมือนว่าผู้ที่เป็นทหารจะไม่สามารถใช้พลังเวทได้ ถึงแม้อาคุมุจะยังไม่รู้อย่างแน่ชัดก็ตาม“คนที่ใช้พลังเวทได้จะมีวงแหวนเวทครับ ซึ่งวงแหวนเวทจะไม่สามารถใช้งานได้เมื่อมีพลังสักอย่างที่ดูเหมือนว่าจะใช้ในการลบล้างวงแหวนเวทนั้น เป็นเหมือนพลังที่
ไม่สามารถทราบได้ว่าถูกหลอกตั้งแต่ตอนไหน ไม่สามารถทราบได้ว่าเรื่องไหนบ้างจากปากของเรย์ที่เป็นเรื่องจริง แล้วเรื่องไหนที่เป็นเรื่องเท็จ สิ่งที่อาคุมุลงมือทำไปทั้งหมดคืออะไร? สิ่งที่อาคุมุคิดจะเป็นจริงหรือไม่? ก็ไม่อาจทราบได้ในตอนนี้สถานการณ์ของอาคุมุนั้นค่อนข้างที่จะจนตรอกอยู่พอสมควร เพราะเขาได้ก้าวเข้าสู่เขตของเมืองหลวงอย่างเมืองไดอิกิแล้ว เขาไม่สามารถเคลื่อนไหวหรือทำอะไรง่าย ๆ ได้อีกแล้ว‘บ้าจริง’ไม่ว่าจะใช้วงแหวนเวทในการเคลื่อนที่ก็ไม่สามารถทำได้ จะวิ่ง? แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว‘หรือจะฆ่ามันซะตรงนี้.. ไม่ได้ ๆ ไม่มีทางทำได้เลย’ อาคุมุก็ไม่สามารถทำอย่างนั้นได้ เพราะในตอนนี้ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ต้องรอบคอบและไม่ผลีผลาม เนื่องจากเป็นตัวเขาเองที่ติดกับดักของศัตรู จะออกไปจากกับดักนี้ก็ค่อนข้างที่จะยากพอสมควร“แล้วเมืองหลวงนี่มีป่าไหมครับลุงเรย์?” อยู่ ๆ อาคุมุก็ถามออกไปอย่างนั้น“หืม? ฮ่า ฮ่า มีสิ แต่เป็นป่าที่อยู่ริมสุดของเมืองหลวง อยู่ใกล้เมืองข้าง ๆ เหมือนเดิม ถามไปเพื่ออะไรเนี่ย?” เรย์หัวเราะและตอบกลับไป ซึ่งเขาตอบกลับไปโดยที่ไม่ได้คิดอะไรเลยแม้แต่น้อย เพราะไม่ว่าจะวิธีไหนเด็กคนน
“หรือว่าคุณ.. คนที่ 13 สินะครับ?”“ใช่แล้วล่ะ”การช่วยเหลือที่อาคุมุได้รับในครั้งนี้ไม่ใช่การช่วยเหลือจากคนแปลกหน้าอย่างที่เขาคิด เพราะชายคนนี้เขาได้เคยเจอแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งนั่นก็คือผู้ใช้พลังปีศาจคนที่ 13“แล้วทำไมถึงได้...” อาคุมุพูดยังไม่ทันจบประโยค ชายคนนั้นก็พูดแทรกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว“ยังไม่ต้องพูดอะไร รอถึงป่าใหญ่โน้นก่อน” เขาชี้ไปทางข้างหน้า อาคุมุจึงหันตามป่าใหญ่ที่เขาบอกก็คือป่าเดียวกันกับที่เรย์ได้บอกอาคุมุเมื่อตอนอยู่บนรถม้า เป็นป่าที่ใหญ่พอสมควรโดยอยู่ทางริมสุดของเมืองไดอิกิ ติดกับเมืองข้าง ๆ กันซึ่งนั่นก็คือเมือง "คานะ" ป่านี้คือป่าใหญ่แห่งที่สองของจักรวรรดิที่อาคุมุได้พบเจอไม่นานนักก็มาจนถึง เขาจึงพาอาคุมุวิ่งเข้าไปต่อ สิ่งที่อาคุมุตกใจมากที่สุดแน่นอนว่ามันก็คือความเร็วในการเคลื่อนที่ เพราะมันเร็วยิ่งกว่าการเคลื่อนที่ของนักเวท ทั้งที่ดูยังไงก็แทบไม่ต่างจากการวิ่งธรรมดาเลยแม้แต่น้อย ความเร็วกลับมีมากเกินกว่าจะพรรณนาได้สิ่งที่อาคุมุตกใจไม่แพ้กันก็คือตอนที่เขาถูกช่วยไว้และกำลังออกมา ชายคนนี้ได้ใช้การพันธนาการอย่างหนึ่งซึ่งก็คือ "พันธนาการทางจิตแบบหมู่" นั่นคือการพันธนาก
การปรากฏตัวของโทชิในครั้งนี้ทำให้อาคุมุรู้อะไรหลาย ๆ อย่างในสิ่งที่เขาไม่รู้ แทบจะทุกเรื่องที่กล่าวมาก็เป็นได้การควบคุมออร่าพลังเวทนั้นทำได้ยากกว่าการควบคุมพลังเวทในร่างกายหลายเท่า เนื่องจากคนส่วนใหญ่คิดแค่ว่ามันมีไว้ใช้ในการบ่งบอกระดับพลังเพียงเท่านั้น แต่แท้จริงแล้วมันสามารถนำมาใช้ได้ไม่ต่างจากพลังเวทเลยแม้แต่น้อย มากไปกว่านั้นคือผลกระทบจากการใช้ก็ไม่มี ออร่าพลังเวทจึงเป็นสิ่งที่ใช้งานได้ดีเป็นอย่างยิ่ง“ออร่าพลังเวทมันสามารถซ่อนได้ รวบรวมไว้ตรงไหนก็ได้ มันอยู่รอบตัวเราก็ไม่ได้แปลว่าจะใช้ไม่ได้สักหน่อย” โทชิพูดพร้อมกับเผยออร่าพลังเวทรอบตัวเขาให้อาคุมุได้เห็น ทั้งยังถ่ายเทไปยังจุดต่าง ๆ รอบตัวแต่ที่อาคุมุตกใจก็คือออร่าพลังเวทของโทชินั้นเป็นสีขาว?“ทำไมถึงเป็นสีขาวล่ะครับ? คนระดับคุณน่าจะสีส้มหรือสีแดงได้เลยนี่?”“นี่แหละคืออีกอย่างที่สามารถทำได้ มันเปลี่ยนสีได้ไงล่ะ” โทชิตอบกลับมา นั่นเป็นอีกอย่างหนึ่งที่อาคุมุคาดไม่ถึง และแน่นอนว่าคนที่ไม่รู้ก็คงคิดว่าออร่าพลังเวทของคนคนหนึ่งตามที่ตาเห็นคือสีนั้น ทั้งที่มันสามารถเปลี่ยนแปลงได้ด้วยการฝึกใช้ทักษะในตัวของมันเอง“อีกอย่างหนึ่งที่ฉันจะ
หลังจากที่อาคุมุสามารถใช้ทักษะบาทาไร้เงาได้แล้วนั้น ทักษะอีกอย่างที่ควรมีก็คือการสร้างวงแหวนเวท ซึ่งเป็นการสร้างวงแหวนเวทไว้ใช้ในการโจมตีโดยตรง ต่างจากการสร้างวงแหวนเวทธรรมดาเพื่อใช้ในการเคลื่อนที่ เพราะมันทั้งควบคุมยากกว่าและสารพัดประโยชน์ยิ่งกว่า“ตอนนี้เราวิ่งเข้ามาลึกกว่าเดิม ถ้าพวกนั้นจะออกตามหาก็คงต้องใช้เวลาหน่อย แต่ว่าถ้าเป็นตำแหน่งนี้สิ่งที่ควรระวังมากที่สุดมันไม่ใช่พวกนักเวทน่ะสิ” โทชิพูดขึ้นมา“หรือว่าจะหมายถึง.. ปีศาจเวทมนตร์เหรอครับ?”“ใช่แล้วล่ะ เราอยู่ในจุดที่ใกล้กลางป่ามากเท่าไร โอกาสที่จะเจอกับปีศาจเวทมนตร์ก็มากขึ้นเท่านั้น ที่เราต้องระวังรองลงมาก็คือนักเวท.. แต่ก็นะ ในจักรวรรดินี้ถึงจะมีก็มีได้ไม่เยอะหรอก เพราะอะไรฉันก็ไม่รู้เหมือนกันแต่จักรวรรดิไดจิเป็นจักรวรรดิที่มีปีศาจเวทมนตร์น้อยที่สุดในโลกนี้น่ะ”“ต้องมีเบื้องหลังสินะครับ”“ถึงเวลาเดี๋ยวนายก็จะรู้เอง”ป่าใหญ่แห่งนี้นั้นเป็นป่าที่อยู่ในเมืองไดอิกิ เรียกได้ว่ามันอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของเมืองหลวง ซึ่งเดิมทีป่าก็เป็นตำแหน่งออกล่าของปีศาจเวทมนตร์อยู่แล้ว แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างที่ทำให้จักรวรรดิแห่งนี้มีปีศาจเวทมนตร์ออกเพ
นักเวทที่เหลือนั้นหายไปพร้อมกันด้วยความเร็วอย่างไร้ร่องรอย ซึ่งแน่นอนว่านั่นคงเป็นเวทที่ใช้ในการเคลื่อนที่“หายไปหมดเลย เวทเคลื่อนที่สินะครับ” พูดจบอาคุมุก็หันไปทางองค์ชายชูยะ ซึ่งองค์ชายนั้นเดินออกมาหลังจากทำการรักษาให้กับอากิระแล้ว“อืม การต่อสู้ทุกครั้งต้องมีนักเวทที่เชี่ยวชาญในการใช้เวทเคลื่อนที่อย่างน้อยสักหนึ่งคน ถึงจะเป็นนักเวทชุดขาวก็เถอะนะ แต่ถ้าเจอสถานการณ์แบบนี้แล้วไม่มีเวทเคลื่อนที่ก็คงตายยกกลุ่ม”“แล้วก็สีหน้าท่าทางของพวกเขามัน...” อาคุมุยังไม่ทันได้พูดจนจบแต่อย่างใด องค์ชายชูยะก็ตอบกลับในทันที“ก็เพื่อทำให้ไม่ผิดสังเกตนั่นแหละ และมันเป็นกลอุบายอย่างหนึ่งที่มีโอกาสทำให้ศัตรูใจอ่อน หรือดึงเวลาเอาไว้เพราะหนึ่งในนั้นต้องมีสักคนกำลังร่ายเวทขนาดใหญ่อยู่ และอาจเป็นคนที่อยู่แนวหลังซึ่งนายยังเดินไปไม่ถึง อีกทั้งยังไม่ได้อยู่ในระยะสายตาของนาย จึงทำให้ร่ายเวทได้ไม่ยากนัก” องค์ชายชูยะอธิบาย“แต่ว่าปล่อยไว้แบบนี้จะเป็นอะไรไหมครับ? เหมือนว่าพวกเขาจะได้ข้อมูลกลับไปรายงานองค์จักรพรรดิแล้ว”“ก็ค่อนข้างเสียเปรียบอยู่พอสมควร การฝึกก็จะลำบากยิ่งขึ้นเพราะสถานที่แห่งนี้เป็นที่เดียวที่ฉันใช้ เ
นักเวททุกคนถูกพันธนาการไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งทักษะนี้นั้นราวกับว่ามันคือทักษะขั้นสูง เพราะในการควบคุมให้ตรงกับตำแหน่งที่ต้องการนั้นคงมีความยากเป็นแน่ อีกทั้งองค์ชายชูยะก็ใช้มันได้ด้วยความชำนาญ อาคุมุจึงมั่นใจได้อีกอย่างหนึ่งว่าองค์ชายชูยะอาจจะเป็นชายปริศนาคนนั้นที่เคยได้ช่วยเขาไว้แท่งน้ำแข็งจำนวนมากออกมาจากวงแหวนเวทสีส้มด้วยความรวดเร็ว ทั้งหมดนั่นล้อมรอบตัวของนักเวทเอาไว้และเป็นคุกน้ำแข็งในที่สุด‘ทักษะพันธนาการนี้แข็งแกร่งมากเลยนะเนี่ย’ นี่เป็นอีกครั้งที่อาคุมุได้เห็นการใช้ทักษะพันธนาการแบบหมู่ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่อาคุมุจะต้องกลับไปฝึกฝนและนำออกมาใช้ให้ได้ โดยเริ่มจากทักษะพันธนาการทั่วไปที่เขาจะต้องทำให้ชำนาญและคล่องแคล่วที่สุด“ลุงอากิระน่ะยังไม่ตายหรอก แต่คนที่จะตายก็คงหนีไม่พ้นลุงอิชิโร่... ใช่ไหม?” องค์ชายชูยะพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ แต่แววตาทั้งสองกลับไม่ใช่แบบนั้นอาคุมุที่ได้ยินอย่างนั้นก็พยายามจะลุกขึ้นไปดูอาการของอากิระ แต่เขาก็ต้องแปลกใจที่ทักษะพันธนาการด้วยด้ายของนักเวทคนนั้นยังคงอยู่ ถึงแม้จะถูกพันธนาการด้วยคุกน้ำแข็งขององค์ชายชูยะ“เลิกเรียกฉันว่าลุงสักทีสิองค์ชาย!
“ชิ! เพราะไอ้โง่คนเดียวเลยทำให้นักเวทชุดขาวอย่างเราถูกเด็กตัวแค่นี้หยามได้ ผู้ใหญ่หัวอ่อนน่ะมันมีแค่ไม่กี่คนหรอกนะเฟ้ย!!” หนึ่งในนักเวทพูดจบก็กระโดดขึ้นไปลอยค้างอยู่ในอากาศ“ปีกแห่งลม!” เขาใช้ทักษะพลังเวท ได้มีปีกซึ่งเป็นปีกแห่งลมปรากฏขึ้นมาที่ร่างกายของเขา จึงทำให้นักเวทคนนั้นสามารถบินได้“ไม่ธรรมดาเลยนะครับ”“ทักษะแบบนี้น่ะ มีน้อยคนที่จะสามารถใช้ได้ เพราะฉะนั้นแล้วก็เตรียมรับการโจมตีแบบที่นายไม่เคยเจอมาก่อนได้เลย!” ว่าแล้วนักเวทคนนั้นก็บินพุ่งตรงเข้ามาหาอาคุมุด้วยความเร็ว“กรงเล็บแห่งลม!!” ที่มือทั้งสองของนักเวทนั้นได้มีพลังเวทมาห่อหุ้ม จนก่อตัวเป็นกรงเล็บที่พร้อมสำหรับการโจมตี“บาทาไร้เงา... ผมไม่ยืนอยู่นิ่ง ๆ เพื่อให้โดนการโจมตีหรอกนะครับ” อาคุมุพูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบและแผ่วเบาขณะที่หลบการโจมตี ทั้งยังพูดในตอนที่เห็นการเคลื่อนที่ของนักเวทนั้นช้าลง จนกระทั่งเขาไปยืนอยู่ข้างหลังนักเวทคนนั้น“แสงอัสนีบาต!!” เมื่อสิ้นเสียงของอาคุมุ วงแหวนเวทสีฟ้าปรากฏขึ้นรอบข้อมือของเขา ตามด้วยการโจมตีจากแสงอัสนีบาตที่ออกมาจากวงแหวนเวทสีฟ้าเข้ม ซึ่งปรากฏให้เห็นอยู่หน้าฝ่ามือของอาคุมุ“อ่อก! ธ.. โธ่เว
“ฆ่ามันซะ!!!” อิชิโร่ตะโกนสั่งการนักเวทที่อยู่ข้างหลังเขา ซึ่งจำนวนที่มีนั้นไม่ได้น้อยเลย ทั้งยังมีมาสมทบเพิ่มอีกหลายคน โดยนักเวททุกคนนั้นใส่ชุดคลุมที่มีหมวกสีขาว ปิดหน้าด้วยผ้าสีดำ ไม่สามารถคาดเดาพลังเวทของคนพวกนี้ได้เลยแม้แต่น้อย“คิดจะลงมือแล้วก็เตรียมตัวรับแรงกระแทกไว้เลย!” อากิระตะโกนโต้ตอบพร้อมกับเตรียมที่จะต่อสู้ ซึ่งขณะนี้อาคุมุนั้นกำลังหลับตาและทำการบางอย่างอยู่ ทันใดนั้นเขาก็ลืมตาขึ้นแล้วหันไปถามอากิระ“ลงมือได้ไหมครับ?”“แน่นอน! นี่น่ะมันคือการเปิดศึกแล้วไงล่ะ”เมื่อได้ยินอย่างนั้น อาคุมุก็ชี้นิ้วขึ้นไปข้างบนในทันที“มองดูข้างบนสิครับลุง”“ทำอะไรของแกน่ะเจ้าหนู? จะให้ฉันมองวิวที่มันเหมือนกับท้องฟ้า...” อิชิโร่พูดยังไม่ทันจบประโยค เขาก็ต้องตกตะลึงในทันที เพราะเหนือศีรษะของทุกคนขึ้นไปนั้น มีวงแหวนเวทขนาดเล็กอยู่เต็มไปหมด“แสงอัสนีบาต!!” เมื่อสิ้นเสียงของอาคุมุ วงแหวนเวทสีฟ้าได้ปรากฏขึ้นรอบข้อมือของเขา พร้อมกับการโจมตีด้วยสายฟ้าที่ลงมาจากข้างบนตู้มมม!!!“อ่อก! โธ่เว้ย” นักเวทจำนวนหนึ่งที่กำลังพุ่งเข้ามาหาอากิระนั้นโดนการโจมตีที่รุนแรงของอาคุมุเป็นพิเศษ เนื่องจากว่าจำนวนวงแหวน
หลังจากที่อาคุมุได้พูดคุยกับองค์ชายชูยะเล็กน้อย องค์ชายชูยะก็บอกให้อากิระนั้นนำทางและพาอาคุมุไปยังที่พัก ซึ่งสิ่งที่เขาคาดไม่ถึงก็คือองค์ชายนั้นจัดการเตรียมที่พักให้เป็นอย่างดี ซึ่งที่พักนั้นอยู่ในตึกใหญ่ที่อยู่นอกพระราชวัง แต่แค่นี้ก็ดีเกินกว่าที่อาคุมุนั้นต้องการแล้ว ทั้งยังมีสถานที่สำหรับใช้ในการฝึกที่อากิระจะแนะนำหลังต่อจากนี้ เริ่มจากการที่อากิระนั้นผลักประตูบานยักษ์ หลังจากนั้นก็เดินเข้าไปตามโถงทางเดิน จนกระทั่งมาถึงห้องพักห้องหนึ่ง “นี่แหละห้องของนาย ลองเข้าไปดูสิ” อากิระกล่าวหลังจากที่เดินมาแล้วหยุดอยู่หน้าห้อง 06 นั่นคือหมายเลขห้องของเขา เมื่อได้ยินอย่างนั้นอาคุมุจึงเดินเข้าไป ในที่สุดก็มาถึงห้องของอาคุมุเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งห้องนอนนั้นเป็นเพียงห้องสี่เหลี่ยมที่มีกำแพงเป็นสีขาวล้วนรอบด้าน มีเตียงนอนและของใช้ต่าง ๆ ครบครัน ทั้งโต๊ะทำงาน ตู้หนังสือ โคมไฟ หรือแม้กระทั่งดาบเล่มหนึ่งที่วางอยู่ แน่นอนว่าห้องนี้นั้นมีขนาดความกว้างมากกว่าห้องของเขาที่บ้าน ทั้งยังมีความสะดวกสบายมากเป็นพิเศษ ซึ่งเขาไม่แปลกใจเท่าไรเพราะนี่เป็นที่ที่องค์ชายชูยะเตรียมไว้ให้ “ห้องกว้างมากเลยล่ะครั
ความประมาทของอาคุมุทำให้ตัวเขาเองได้รับบาดเจ็บมากที่สุดเท่าที่เคยเจอมา เสื้อขาดตามแนวของการโจมตีจนเผยให้เห็นรอยแผลเป็นปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน นี่คือบาดแผลขนาดใหญ่แผลแรกของเขา “จะเป็นยังไงล่ะครับ... ถ้าผมเก็บกวาดตรงนี้ซะหมด? แต้ม B ของผมคงจะมีเยอะมากและแข็งแกร่งขึ้นอย่างก้าวกระโดดเลยล่ะ มันคงจะดีต่อตัวผมมากเลยนะครับ” อาคุมุพูดพร้อมกับยิ้มที่มุมปาก สายตาของเขานั้นดูน่ากลัวราวกับปีศาจอย่างไม่ต้องสงสัย “ม.. ไม่เอาน่า มันคงไม่ดีต่อตัวนายนักหรอก” คาซูโอะพูดด้วยน้ำเสียงและร่างกายที่มีอาการสั่นกลัวเล็กน้อย “ที่ไม่ดี.. เพราะกลัวตายหรือเปล่าครับ? ถ้าอย่างนั้น...” อาคุมุพูดยังไม่ทันจบก็ได้มีชายคนหนึ่งพูดแทรกขึ้นมา “นายควรพอได้แล้วนะน้องชาย คนพวกนี้ทำอะไรนายไม่ได้หรอก” “เอ๋? องค์ชาย?” ซึ่งชายคนนั้นก็คือองค์ชายชูยะนั่นเอง เขาปรากฏตัวขึ้นมาพร้อมกับอากิระที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ในขณะที่อาคุมุไม่ทันได้สังเกตเห็น “องค์ชาย... ทั้งหมดเป็นฝีมือของเขาครับ!” คาซูโอะพูดขึ้นมาพร้อมกับชี้นิ้วไปยังอาคุมุ “คาซูโอะ... นายพามาแทบทั้งหน่วยเพื่อจัดการกับเด็กคนเดียวเนี่ยนะ? แต่ฉันจะบอกอะไรให้อย่าง.. เด็กคนนี้คือเพื่อน
การโจมตีในครั้งนี้อาคุมุไม่ได้คาดหวังผลลัพธ์อะไรมากนัก แค่ได้นำสิ่งที่ฝึกฝนมาประยุกต์แล้วทดลองใช้ก็ถือว่าเป็นกำไรสำหรับเขาแล้ว อีกอย่างคือเขาสามารถหนีไปได้อย่างแน่นอนด้วยการใช้บาทาไร้เงา สังเกตได้จากการที่เขาออกมาจากการปิดล้อมนั้นได้โดยง่าย เพียงแต่ว่า.. เขายังไม่ได้ฝึกทักษะที่ใช้ป้องกันเลยแม้แต่ครั้งเดียว ‘ไม่เป็นไร ยังไงเราก็พอหนีได้ล่ะนะ’ เมื่อควันเริ่มเบาบางลง เผยให้เห็นคนนับสิบนอนล้มอยู่ที่พื้นดิน โดยพื้นที่บริเวณรอบนั้นเป็นหลุมเป็นบ่อใหญ่พอสมควร “เอ๋? ทำไมถึงไม่ใช้เวทป้องกันล่ะเนี่ย?” อาคุมุเกิดความตกใจพอสมควรที่ไม่มีใครใช้เวทป้องกันเลยแม้แต่คนเดียว ซึ่งแท้จริงแล้วมันไม่ใช่อย่างนั้น “อึ่ก!... ไม่ใช่หรอก ใช้แล้วแต่ไม่ไหวต่างหาก” ชายหนุ่มผู้ที่เป็นหัวหน้าค่อย ๆ ยืนขึ้นและใช้ดาบที่อยู่ในมือประคองไว้ ซึ่งดาบของเขาติดตัวไว้ตำแหน่งไหนอาคุมุก็ไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ที่น่าตกใจไปมากกว่านั้นคือการป้องกันกลับต้านพลังโจมตีของอาคุมุไม่ได้ ‘เดี๋ยวนะ เขาระดับสูงกว่าฉันมากเลยนี่ ทำไมถึงไม่ไหวได้ล่ะเนี่ย?’ “ฉันล่ะยอมใจนายจริง ๆ มิน่าล่ะองค์จักรพรรดิถึงต้องการตัว เอาล่ะฉันชื่อ "มิกาซูกิ คาซูโอ
ในตอนนี้อาคุมุได้ผ่านการฝึกกับโทชิทั้งทักษะบาทาไร้เงาและการสร้างวงแหวนเวทเพื่อใช้โจมตีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เท่านี้ก็นับว่าเขาแข็งแกร่งขึ้นมามากพอสมควรถ้าฟังจากที่โทชิได้บอกไว้ และหลังจากนี้ก็จะขึ้นอยู่กับการฝึกฝนของตัวเขาเอง ความชำนาญในการใช้ทักษะต่าง ๆ จะทำให้เขาได้เปรียบในการต่อสู้.. แม้กระทั่งการวิ่งหนีอาคุมุนั่งลงและฝึกการสร้างวงแหวนเวทอีกครั้ง โดยเขาจะสร้างมันขึ้นมาสองอัน ตามเทคนิคที่เขาเข้าใจคาดว่าคงจะไม่ยากนัก“เอาล่ะ สร้างวงแหวนเวท!” เขาพูดขึ้นมาพร้อมกับยกแขนขวาขึ้นในระดับเอว หันฝ่ามือขึ้นและแยกนิ้วทั้งห้าออกจากกัน ซึ่งอาคุมุยังไม่ทันได้บีบอัดออร่าและพลังเวทไว้ตรงจุดเดียวแต่อย่างใด วงแหวนเวทสีฟ้าก็ปรากฏขึ้นเหนือฝ่ามือของเขาในทันที“เอ๋? ทำแบบนี้ได้แล้วหรอกเหรอ? ถ้างั้น..” ว่าแล้วอาคุมุก็ยกแขนซ้ายขึ้นมาในระดับเดียวกันและทำแบบเดียวกัน โดยเขาแค่เกร็งแขนและยังไม่ทันได้พูดว่าสร้างวงแหวนเวทเลยด้วยซ้ำ มันก็ปรากฏขึ้นมาเหนือฝ่ามือเขาเสียแล้ว“เยี่ยมเลย! ทำได้เร็วกว่าที่คิดแฮะ” การที่เขาฝึกฝนต่อหลังจากเรียนรู้เทคนิควิธีใช้ ทำให้เขามีความเข้าใจและสามารถควบคุมพลังได้ง่ายขึ้น อีกทั้งยังทำ
หลังจากที่อาคุมุสามารถใช้ทักษะบาทาไร้เงาได้แล้วนั้น ทักษะอีกอย่างที่ควรมีก็คือการสร้างวงแหวนเวท ซึ่งเป็นการสร้างวงแหวนเวทไว้ใช้ในการโจมตีโดยตรง ต่างจากการสร้างวงแหวนเวทธรรมดาเพื่อใช้ในการเคลื่อนที่ เพราะมันทั้งควบคุมยากกว่าและสารพัดประโยชน์ยิ่งกว่า“ตอนนี้เราวิ่งเข้ามาลึกกว่าเดิม ถ้าพวกนั้นจะออกตามหาก็คงต้องใช้เวลาหน่อย แต่ว่าถ้าเป็นตำแหน่งนี้สิ่งที่ควรระวังมากที่สุดมันไม่ใช่พวกนักเวทน่ะสิ” โทชิพูดขึ้นมา“หรือว่าจะหมายถึง.. ปีศาจเวทมนตร์เหรอครับ?”“ใช่แล้วล่ะ เราอยู่ในจุดที่ใกล้กลางป่ามากเท่าไร โอกาสที่จะเจอกับปีศาจเวทมนตร์ก็มากขึ้นเท่านั้น ที่เราต้องระวังรองลงมาก็คือนักเวท.. แต่ก็นะ ในจักรวรรดินี้ถึงจะมีก็มีได้ไม่เยอะหรอก เพราะอะไรฉันก็ไม่รู้เหมือนกันแต่จักรวรรดิไดจิเป็นจักรวรรดิที่มีปีศาจเวทมนตร์น้อยที่สุดในโลกนี้น่ะ”“ต้องมีเบื้องหลังสินะครับ”“ถึงเวลาเดี๋ยวนายก็จะรู้เอง”ป่าใหญ่แห่งนี้นั้นเป็นป่าที่อยู่ในเมืองไดอิกิ เรียกได้ว่ามันอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของเมืองหลวง ซึ่งเดิมทีป่าก็เป็นตำแหน่งออกล่าของปีศาจเวทมนตร์อยู่แล้ว แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างที่ทำให้จักรวรรดิแห่งนี้มีปีศาจเวทมนตร์ออกเพ