“เราไปกันเถอะครับ” อาคุมุกล่าว เรย์และเหล่าทหารจึงเอามือลงและหันกลับมา
“เรียบร้อยแล้วสินะ งั้นเราก็เริ่มเดินทางได้” ว่าแล้วก็หันกลับไปหาทหารในหน่วยของเขา
“อาสา 3 คน มาขับรถม้า!!”
“รับทราบครับ!” ทหารหนุ่ม 3 นายได้เดินออกมาจากแถว และขึ้นไปนั่งข้างหน้าเตรียมควบคุมรถม้า อาคุมุและคนอื่น ๆ ก็เดินขึ้นไปบริเวณตัวรถในทันที
“ไปได้!”
รถม้าเคลื่อนแล้ว ซึ่งเส้นทางที่ใช้นั้นจะเป็นเส้นทางไหนก็ไม่อาจทราบได้ เนื่องจากตอนนี้อาคุมุไม่รู้อะไรเลยแม้แต่น้อย เขารู้แค่จากการดูแผนที่โดยใช้เวลาเพียงไม่นานว่าเมืองใหญ่นั้นอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเมืองใหญ่นั้นคงจะเป็นเมืองหลวงอย่างแน่นอน
“ว่าแต่นายเป็นใครกันแน่เนี่ยเจ้าหนู?” เรย์เอ่ยปากถามกับอาคุมุ นี่คงจะเป็นสิ่งที่ทั้งเรย์และทหารอยากจะรู้มากที่สุด
“ก็.. ผมเป็นคนที่มีพลังเวทครับ” นั่นคือประโยคแรกที่อาคุมุตอบกลับแล้วหยุดไป หลังจากนั้นจึงพูดต่อ
“พลังเวทของผมเป็นประเภทที่หายากมากซึ่งก็คือพลังมังกรสายฟ้า” อาคุมุยังไม่ทันได้พูดต่อ เรย์ก็พูดขึ้นมาในทันที
“สรุปว่านายมาจากตระกูลคาอิดะจริง ๆ ใช่ไหม?”
“ใช่ครับ”
ทันทีที่อาคุมุตอบกลับไป แต่ละคนต่างก็ตกใจกันไปตาม ๆ กัน เพราะพวกเขาเหล่านั้นไม่คิดเลยว่าบุคคลจากตระกูลที่เคยยิ่งใหญ่และมีอิทธิพล จะมาอยู่ ณ ตรงนี้ต่อหน้าพวกเขา ทั้งที่พวกเขาทุกคนคือทหาร และยังให้การช่วยเหลือเหล่าทหารอีก
“ทำไมต้องตกใจถึงขนาดนั้นด้วยล่ะครับเนี่ย ตอนที่ผมสู้กับ 3 คนนั้นก็น่าจะได้ยินหมดแล้วไม่ใช่หรือไงครับ?”
“ก็ตอนนั้นเราไม่เชื่อน่ะสิ อยากฟังโดยตรงแบบนี้ถึงจะน่าเชื่อถือมากกว่า แล้วก็.. ไม่เคยมีใครคิดจะช่วยพวกเราแบบนี้มาก่อนเลย”
สำหรับนักเวทแล้วนั้น ทหารไม่ต่างจากเบี้ยล่างเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังเป็นตัวตายตัวแทน มีทหารก็เปรียบเสมือนมีโล่กำบังป้องกันตนเอง จะมีทหารสักกี่ร้อยกี่พันนายก็ไม่สามารถที่จะต่อกรกับนักเวทได้
หลังจากที่มีการปกครองของจักรพรรดิเพียงพระองค์เดียว นักเวทในจักรวรรดิก็มีความหยิ่งในศักดิ์ศรี ยกระดับนักเวทด้วยกันเองอยู่เหนือทุกสิ่งอย่างภายใต้การปกครองที่ไม่มีความยุติธรรม ภายใต้ตำแหน่งของจักรพรรดิ ว่าคนเหล่านั้นคือนักเวทที่ยิ่งใหญ่ขององค์จักรพรรดิ
“ที่ผมอยากช่วย เพราะว่าในจักรวรรดินี้ผมก็มีเป้าหมายใหญ่อยู่เหมือนกันน่ะครับ” อาคุมุตอบกล้บ
“เป้าหมายใหญ่ในจักรวรรดิ?” เรย์ที่ได้ยินอย่างนั้นก็อยากรู้ขึ้นมาอีกครั้ง เพราะก่อนหน้านี้อาคุมุเคยบอกเขาไว้ แต่อาคุมุยังไม่ได้พูดอะไรมากมาย เพียงแต่ให้คำมั่นว่าสามารถช่วยเรย์และทหารราบได้เท่านั้น
“ก็.. ใหญ่ที่สุดในจักรวรรดิเลยน่ะครับ จะเป็นอะไรไปได้นอกจากองค์จักรพรรดิ คือผมต้องการฆ่าจักรพรรดิครับ นั่นแหละครับเป้าหมายใหญ่ของผมในตอนนี้”
เรย์และเหล่าทหารที่ได้ยินอย่างนั้นต่างกลืนน้ำลายลงไปอึกใหญ่ พวกเขาไม่คิดเลยว่าเด็กคนนี้จะมีแต่อะไรที่ทำให้ตกใจได้ตลอด อีกทั้งตัวตนของเด็กคนนี้ก็ยังไม่สามารถรู้อย่างชัดเจนว่าเป็นมายังไงกันแน่
“จะว่าไป ทำไมนายถึงตั้งเป้าหมายแบบนั้นล่ะ?” เรย์ถามกลับไป อาคุมุเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่ตอบกลับ
“ผมแค่คิดว่าองค์จักรพรรดิมีส่วนเกี่ยวข้องกับการที่พ่อผมต้องมาจบชีวิตลงครับ”
“พ่อนาย... คุณอิซามุน่ะเหรอ? นี่เขาเสียชีวิตแล้วงั้นเหรอ?” เรย์ถามกลับด้วยท่าทางที่ดูแปลกไป ราวกับว่าตัวเขากำลังกลัวและคาดไม่ถึงอยู่ในตอนนี้
“ใช่ครับ แล้วรู้จักพ่อผมด้วยเหรอครับ? แล้วพ่อผม.. มีอะไรเหรอครับ?” อาคุมุที่ได้ยินอย่างน้้นก็อยากรู้ขึ้นมาในทันที เพราะนี่อาจเป็นหนึ่งในสิ่งที่เขายังไม่รู้ก็เป็นได้
เนื่องจากเขาไม่ค่อยจะรู้เกี่ยวกับตัวตนของพ่อเขาเลย ด้วยความที่ก่อนหน้านี้เขาคิดถามอะไรที่เกี่ยวกับพ่อของเขา เพื่อรู้ถึงเรื่องบางอย่างที่มันอาจจะลึกซึ้งและดูเหมือนเป็นความลับ พ่อของเขาก็จะเข้าเรื่องอื่นทุกครั้ง จึงทำให้รู้แค่เรื่องที่รู้ในปัจจุบัน
“ก็พ่อของนายน่ะ เป็นคนที่มีชื่อเสียงมากพอสมควรเลยนะ เป็นเหมือนวีรบุรุษของจักรวรรดิเลยล่ะ แต่ว่า... อย่าโกรธฉันนะ มีข่าวลือมาว่าเขาดูเหมือนไม่ใช่คนธรรมดาและดูเหมือนไม่ใช่คนในจักรวรรดิ ฉันไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่แต่พ่อของนายเสียชีวิตแล้วจริง ๆ เหรอ?”
สิ่งที่เรย์ตอบกลับมานั้น ก็ทำให้อาคุมุเกิดคำถามมากมายขึ้นมาในหัวอย่างนับไม่ถ้วน
‘มีชื่อเสียง เป็นเหมือนวีรบุรุษ ไม่ใช่คนธรรมดา ไม่ใช่คนในจักรวรรดิ... อะไรกันเนี่ย?’
“ใช่ครับ เขาเสียชีวิตแล้ว”
‘ถึงแม้ฉันจะคิดเหมือนเดิมว่าพ่อยังไม่ตายก็เถอะ แล้วก็ทำไมเขาถึงต้องให้ฉันไปเมืองใหญ่ด้วยเนี่ยสิ ฉันยังไม่รู้คำตอบอะไรเลยสักอย่างเดียว ฉันต้องหาที่อยู่ที่ปลอดภัยแล้วฝึกให้ได้ก่อนสินะ ส่วนการประลอง.. อ๋อใช่! ถ้าไปเมืองหลวงก็คงจะได้พบองค์ชาย งั้นก็คงไม่ยากแล้วล่ะ’
ตอนนี้อย่างแรกที่อาคุมุต้องทำให้สำเร็จให้ได้เลยก็คือต้องไปถึงเมืองหลวง หลังจากนั้นเขาจะต้องหาที่อยู่เป็นหลักเป็นแหล่งให้ได้โดยเร็ว
สิ่งที่สำคัญคือเขาต้องหาสถานที่ที่เอื้ออำนวยต่อการฝึก เพราะอาคุมุนั้นต้องแข็งแกร่งขึ้นและมีทักษะด้านต่าง ๆ มากกว่านี้ สิ่งที่มากไปกว่านั้นคือต้องชำนาญการใช้ทักษะหลาย ๆ อย่างให้เร็วที่สุด
ส่วนเรื่องวันที่เริ่มการประลองคงจะไม่มีปัญหา เพราะไม่ว่ายังไงก็อยู่ในเมืองหลวง ต้องมีโอกาสที่จะได้เจอกับองค์ชายชูยะอย่างแน่นอน และด้วยความที่ได้รู้จักกับองค์ชาย อาคุมุอาจจะได้รับรู้อะไรอีกหลายสิ่งหลายอย่างก็เป็นได้
“แล้ว.. ลุงเรย์รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับพ่อผมอีกไหมครับ?” อาคุมุถามกลับไป แน่นอนว่าเขามีความอยากรู้เป็นอย่างยิ่ง
“ก็รู้แค่ว่าเขาเป็นคนที่ไม่ธรรมดาน่ะนะ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขามาจากตระกูลคาอิดะจริงหรือเปล่า”
“อะไรนะครับ?” นั่นคือสิ่งที่อาคุมุตกใจเป็นอย่างมาก เพราะถ้าอิซามุไม่ใช่คนของตระกูลคาอิดะ แล้วเขาจะเป็นใคร ยิ่งถามมากเท่าไรก็มีแต่เรื่องที่ทำให้เขาต้องคิดเพิ่ม
“มันเป็นเรื่องที่ยังไม่รู้คำตอบแน่ชัดน่ะ ไม่ต้องไปสนใจหรอก” เรย์ตอบกลับไป
“จะว่าไป ไม่ใช่ว่ามันจะเช้าแล้วเหรอครับ นี่ผ่านมานานแค่ไหนแล้วนะตั้งแต่ออกมา” ออกมาจากเมืองชิโตเสะตอนที่ท้องฟ้ามืดพอสมควร ทั้งยังติดกับของนักเวทและต้องมาสู้กับนักเวท ทั้งหมดจึงใช้เวลาไปค่อนข้างนาน
“ตั้งแต่ออกจากเมืองก็ผ่านมา 3 ชั่วโมงแล้ว เป็นเด็กเป็นเล็กไม่ง่วงเลยหรือไง? นายสู้กับเจ้าพวกนั้นด้วยนะเจ้าหนู”
‘นั่นสินะ ถึงฉันจะเคยใช้ชีวิตมาแล้วก็เถอะ แต่ว่าตอนนี้ฉันคือเด็ก 6 ขวบ’
“ที่ผมพูดขึ้นมาก็เพราะว่าผมง่วงนี่แหละครับ” อาคุมุพูดออกมา ก่อนที่เขาจะค่อย ๆ เคลิ้มและหลับไป
“ไม่หลับสิแปลก คงจะเหนื่อยน่าดู”
...
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไรแล้ว ขณะนี้อาคุมุเริ่มขยับตัวและลืมตาขึ้นช้า ๆ แน่นอนว่าเขาหลับสนิทตลอดการเดินทาง ท้ายที่สุดก็กำลังจะมาถึงเมืองหลวงในช่วงเช้าที่ท้องฟ้าสุดแสนจะสว่างและแจ่มใส
“ตื่นแล้วเหรอเจ้าหนู? เรากำลังจะถึงแล้วล่ะนะ.. เมืองหลวงน่ะ”
“กำลังจะถึงเมืองไดอิกิแล้วครับ” นายทหารที่อาสาเป็นคนขับรถม้าได้พูดประกาศบอกกับคนข้างหลัง“สร้างวงแหวนเวท” อาคุมุพูดขึ้นมา วงแหวนของเขาค่อย ๆ ขยายวงกว้างออกไป‘ตอนนี้สร้างได้ยังไม่แปลก’“เอ๋? ทำอะไรน่ะเจ้าหนู...” ทันทีที่เรย์ถาม อาคุมุก็หายไปจากตรงหน้าเขาทันทีอาคุมุนั้นใช้การเคลื่อนที่ด้วยวงแหวนเวทแล้วออกไปนั่งข้าง ๆ คนขับรถม้า ซึ่งอยู่ ๆ มีคนโผล่มาด้วยความรวดเร็วแบบนี้แน่นอนว่าต้องตกใจเป็นธรรมดา“เย้ย?! มาได้ไงกันเนี่ย?”“ขอดูอะไรสักครู่นะครับ” ตามที่อาคุมุคิดไว้ ที่ในตอนนี้ยังสามารถสร้างวงแหวนเวทได้อยู่เพราะว่ายังไม่ได้เข้าไปในตัวเมือง แต่ถึงแม้จะสร้างได้มันก็คงไม่มีขนาดที่ใหญ่ที่สุดวงแหวนเวทของเขาที่ขยายออกไป ได้ไปถึงเขตของเมืองหลวงแล้ว“เป็นแบบนี้จริง ๆ ด้วยแฮะ”“หืม? คืออะไรเหรอ?” ไม่แปลกที่ทหารคนนั้นจะไม่เข้าใจสิ่งที่อาคุมุกำลังคิดและทำ เพราะดูเหมือนว่าผู้ที่เป็นทหารจะไม่สามารถใช้พลังเวทได้ ถึงแม้อาคุมุจะยังไม่รู้อย่างแน่ชัดก็ตาม“คนที่ใช้พลังเวทได้จะมีวงแหวนเวทครับ ซึ่งวงแหวนเวทจะไม่สามารถใช้งานได้เมื่อมีพลังสักอย่างที่ดูเหมือนว่าจะใช้ในการลบล้างวงแหวนเวทนั้น เป็นเหมือนพลังที่
ไม่สามารถทราบได้ว่าถูกหลอกตั้งแต่ตอนไหน ไม่สามารถทราบได้ว่าเรื่องไหนบ้างจากปากของเรย์ที่เป็นเรื่องจริง แล้วเรื่องไหนที่เป็นเรื่องเท็จ สิ่งที่อาคุมุลงมือทำไปทั้งหมดคืออะไร? สิ่งที่อาคุมุคิดจะเป็นจริงหรือไม่? ก็ไม่อาจทราบได้ในตอนนี้สถานการณ์ของอาคุมุนั้นค่อนข้างที่จะจนตรอกอยู่พอสมควร เพราะเขาได้ก้าวเข้าสู่เขตของเมืองหลวงอย่างเมืองไดอิกิแล้ว เขาไม่สามารถเคลื่อนไหวหรือทำอะไรง่าย ๆ ได้อีกแล้ว‘บ้าจริง’ไม่ว่าจะใช้วงแหวนเวทในการเคลื่อนที่ก็ไม่สามารถทำได้ จะวิ่ง? แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว‘หรือจะฆ่ามันซะตรงนี้.. ไม่ได้ ๆ ไม่มีทางทำได้เลย’ อาคุมุก็ไม่สามารถทำอย่างนั้นได้ เพราะในตอนนี้ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ต้องรอบคอบและไม่ผลีผลาม เนื่องจากเป็นตัวเขาเองที่ติดกับดักของศัตรู จะออกไปจากกับดักนี้ก็ค่อนข้างที่จะยากพอสมควร“แล้วเมืองหลวงนี่มีป่าไหมครับลุงเรย์?” อยู่ ๆ อาคุมุก็ถามออกไปอย่างนั้น“หืม? ฮ่า ฮ่า มีสิ แต่เป็นป่าที่อยู่ริมสุดของเมืองหลวง อยู่ใกล้เมืองข้าง ๆ เหมือนเดิม ถามไปเพื่ออะไรเนี่ย?” เรย์หัวเราะและตอบกลับไป ซึ่งเขาตอบกลับไปโดยที่ไม่ได้คิดอะไรเลยแม้แต่น้อย เพราะไม่ว่าจะวิธีไหนเด็กคนน
“หรือว่าคุณ.. คนที่ 13 สินะครับ?”“ใช่แล้วล่ะ”การช่วยเหลือที่อาคุมุได้รับในครั้งนี้ไม่ใช่การช่วยเหลือจากคนแปลกหน้าอย่างที่เขาคิด เพราะชายคนนี้เขาได้เคยเจอแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งนั่นก็คือผู้ใช้พลังปีศาจคนที่ 13“แล้วทำไมถึงได้...” อาคุมุพูดยังไม่ทันจบประโยค ชายคนนั้นก็พูดแทรกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว“ยังไม่ต้องพูดอะไร รอถึงป่าใหญ่โน้นก่อน” เขาชี้ไปทางข้างหน้า อาคุมุจึงหันตามป่าใหญ่ที่เขาบอกก็คือป่าเดียวกันกับที่เรย์ได้บอกอาคุมุเมื่อตอนอยู่บนรถม้า เป็นป่าที่ใหญ่พอสมควรโดยอยู่ทางริมสุดของเมืองไดอิกิ ติดกับเมืองข้าง ๆ กันซึ่งนั่นก็คือเมือง "คานะ" ป่านี้คือป่าใหญ่แห่งที่สองของจักรวรรดิที่อาคุมุได้พบเจอไม่นานนักก็มาจนถึง เขาจึงพาอาคุมุวิ่งเข้าไปต่อ สิ่งที่อาคุมุตกใจมากที่สุดแน่นอนว่ามันก็คือความเร็วในการเคลื่อนที่ เพราะมันเร็วยิ่งกว่าการเคลื่อนที่ของนักเวท ทั้งที่ดูยังไงก็แทบไม่ต่างจากการวิ่งธรรมดาเลยแม้แต่น้อย ความเร็วกลับมีมากเกินกว่าจะพรรณนาได้สิ่งที่อาคุมุตกใจไม่แพ้กันก็คือตอนที่เขาถูกช่วยไว้และกำลังออกมา ชายคนนี้ได้ใช้การพันธนาการอย่างหนึ่งซึ่งก็คือ "พันธนาการทางจิตแบบหมู่" นั่นคือการพันธนาก
การปรากฏตัวของโทชิในครั้งนี้ทำให้อาคุมุรู้อะไรหลาย ๆ อย่างในสิ่งที่เขาไม่รู้ แทบจะทุกเรื่องที่กล่าวมาก็เป็นได้การควบคุมออร่าพลังเวทนั้นทำได้ยากกว่าการควบคุมพลังเวทในร่างกายหลายเท่า เนื่องจากคนส่วนใหญ่คิดแค่ว่ามันมีไว้ใช้ในการบ่งบอกระดับพลังเพียงเท่านั้น แต่แท้จริงแล้วมันสามารถนำมาใช้ได้ไม่ต่างจากพลังเวทเลยแม้แต่น้อย มากไปกว่านั้นคือผลกระทบจากการใช้ก็ไม่มี ออร่าพลังเวทจึงเป็นสิ่งที่ใช้งานได้ดีเป็นอย่างยิ่ง“ออร่าพลังเวทมันสามารถซ่อนได้ รวบรวมไว้ตรงไหนก็ได้ มันอยู่รอบตัวเราก็ไม่ได้แปลว่าจะใช้ไม่ได้สักหน่อย” โทชิพูดพร้อมกับเผยออร่าพลังเวทรอบตัวเขาให้อาคุมุได้เห็น ทั้งยังถ่ายเทไปยังจุดต่าง ๆ รอบตัวแต่ที่อาคุมุตกใจก็คือออร่าพลังเวทของโทชินั้นเป็นสีขาว?“ทำไมถึงเป็นสีขาวล่ะครับ? คนระดับคุณน่าจะสีส้มหรือสีแดงได้เลยนี่?”“นี่แหละคืออีกอย่างที่สามารถทำได้ มันเปลี่ยนสีได้ไงล่ะ” โทชิตอบกลับมา นั่นเป็นอีกอย่างหนึ่งที่อาคุมุคาดไม่ถึง และแน่นอนว่าคนที่ไม่รู้ก็คงคิดว่าออร่าพลังเวทของคนคนหนึ่งตามที่ตาเห็นคือสีนั้น ทั้งที่มันสามารถเปลี่ยนแปลงได้ด้วยการฝึกใช้ทักษะในตัวของมันเอง“อีกอย่างหนึ่งที่ฉันจะ
หลังจากที่อาคุมุสามารถใช้ทักษะบาทาไร้เงาได้แล้วนั้น ทักษะอีกอย่างที่ควรมีก็คือการสร้างวงแหวนเวท ซึ่งเป็นการสร้างวงแหวนเวทไว้ใช้ในการโจมตีโดยตรง ต่างจากการสร้างวงแหวนเวทธรรมดาเพื่อใช้ในการเคลื่อนที่ เพราะมันทั้งควบคุมยากกว่าและสารพัดประโยชน์ยิ่งกว่า“ตอนนี้เราวิ่งเข้ามาลึกกว่าเดิม ถ้าพวกนั้นจะออกตามหาก็คงต้องใช้เวลาหน่อย แต่ว่าถ้าเป็นตำแหน่งนี้สิ่งที่ควรระวังมากที่สุดมันไม่ใช่พวกนักเวทน่ะสิ” โทชิพูดขึ้นมา“หรือว่าจะหมายถึง.. ปีศาจเวทมนตร์เหรอครับ?”“ใช่แล้วล่ะ เราอยู่ในจุดที่ใกล้กลางป่ามากเท่าไร โอกาสที่จะเจอกับปีศาจเวทมนตร์ก็มากขึ้นเท่านั้น ที่เราต้องระวังรองลงมาก็คือนักเวท.. แต่ก็นะ ในจักรวรรดินี้ถึงจะมีก็มีได้ไม่เยอะหรอก เพราะอะไรฉันก็ไม่รู้เหมือนกันแต่จักรวรรดิไดจิเป็นจักรวรรดิที่มีปีศาจเวทมนตร์น้อยที่สุดในโลกนี้น่ะ”“ต้องมีเบื้องหลังสินะครับ”“ถึงเวลาเดี๋ยวนายก็จะรู้เอง”ป่าใหญ่แห่งนี้นั้นเป็นป่าที่อยู่ในเมืองไดอิกิ เรียกได้ว่ามันอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของเมืองหลวง ซึ่งเดิมทีป่าก็เป็นตำแหน่งออกล่าของปีศาจเวทมนตร์อยู่แล้ว แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างที่ทำให้จักรวรรดิแห่งนี้มีปีศาจเวทมนตร์ออกเพ
ในตอนนี้อาคุมุได้ผ่านการฝึกกับโทชิทั้งทักษะบาทาไร้เงาและการสร้างวงแหวนเวทเพื่อใช้โจมตีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เท่านี้ก็นับว่าเขาแข็งแกร่งขึ้นมามากพอสมควรถ้าฟังจากที่โทชิได้บอกไว้ และหลังจากนี้ก็จะขึ้นอยู่กับการฝึกฝนของตัวเขาเอง ความชำนาญในการใช้ทักษะต่าง ๆ จะทำให้เขาได้เปรียบในการต่อสู้.. แม้กระทั่งการวิ่งหนีอาคุมุนั่งลงและฝึกการสร้างวงแหวนเวทอีกครั้ง โดยเขาจะสร้างมันขึ้นมาสองอัน ตามเทคนิคที่เขาเข้าใจคาดว่าคงจะไม่ยากนัก“เอาล่ะ สร้างวงแหวนเวท!” เขาพูดขึ้นมาพร้อมกับยกแขนขวาขึ้นในระดับเอว หันฝ่ามือขึ้นและแยกนิ้วทั้งห้าออกจากกัน ซึ่งอาคุมุยังไม่ทันได้บีบอัดออร่าและพลังเวทไว้ตรงจุดเดียวแต่อย่างใด วงแหวนเวทสีฟ้าก็ปรากฏขึ้นเหนือฝ่ามือของเขาในทันที“เอ๋? ทำแบบนี้ได้แล้วหรอกเหรอ? ถ้างั้น..” ว่าแล้วอาคุมุก็ยกแขนซ้ายขึ้นมาในระดับเดียวกันและทำแบบเดียวกัน โดยเขาแค่เกร็งแขนและยังไม่ทันได้พูดว่าสร้างวงแหวนเวทเลยด้วยซ้ำ มันก็ปรากฏขึ้นมาเหนือฝ่ามือเขาเสียแล้ว“เยี่ยมเลย! ทำได้เร็วกว่าที่คิดแฮะ” การที่เขาฝึกฝนต่อหลังจากเรียนรู้เทคนิควิธีใช้ ทำให้เขามีความเข้าใจและสามารถควบคุมพลังได้ง่ายขึ้น อีกทั้งยังทำ
การโจมตีในครั้งนี้อาคุมุไม่ได้คาดหวังผลลัพธ์อะไรมากนัก แค่ได้นำสิ่งที่ฝึกฝนมาประยุกต์แล้วทดลองใช้ก็ถือว่าเป็นกำไรสำหรับเขาแล้ว อีกอย่างคือเขาสามารถหนีไปได้อย่างแน่นอนด้วยการใช้บาทาไร้เงา สังเกตได้จากการที่เขาออกมาจากการปิดล้อมนั้นได้โดยง่าย เพียงแต่ว่า.. เขายังไม่ได้ฝึกทักษะที่ใช้ป้องกันเลยแม้แต่ครั้งเดียว ‘ไม่เป็นไร ยังไงเราก็พอหนีได้ล่ะนะ’ เมื่อควันเริ่มเบาบางลง เผยให้เห็นคนนับสิบนอนล้มอยู่ที่พื้นดิน โดยพื้นที่บริเวณรอบนั้นเป็นหลุมเป็นบ่อใหญ่พอสมควร “เอ๋? ทำไมถึงไม่ใช้เวทป้องกันล่ะเนี่ย?” อาคุมุเกิดความตกใจพอสมควรที่ไม่มีใครใช้เวทป้องกันเลยแม้แต่คนเดียว ซึ่งแท้จริงแล้วมันไม่ใช่อย่างนั้น “อึ่ก!... ไม่ใช่หรอก ใช้แล้วแต่ไม่ไหวต่างหาก” ชายหนุ่มผู้ที่เป็นหัวหน้าค่อย ๆ ยืนขึ้นและใช้ดาบที่อยู่ในมือประคองไว้ ซึ่งดาบของเขาติดตัวไว้ตำแหน่งไหนอาคุมุก็ไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ที่น่าตกใจไปมากกว่านั้นคือการป้องกันกลับต้านพลังโจมตีของอาคุมุไม่ได้ ‘เดี๋ยวนะ เขาระดับสูงกว่าฉันมากเลยนี่ ทำไมถึงไม่ไหวได้ล่ะเนี่ย?’ “ฉันล่ะยอมใจนายจริง ๆ มิน่าล่ะองค์จักรพรรดิถึงต้องการตัว เอาล่ะฉันชื่อ "มิกาซูกิ คาซูโอ
ความประมาทของอาคุมุทำให้ตัวเขาเองได้รับบาดเจ็บมากที่สุดเท่าที่เคยเจอมา เสื้อขาดตามแนวของการโจมตีจนเผยให้เห็นรอยแผลเป็นปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน นี่คือบาดแผลขนาดใหญ่แผลแรกของเขา “จะเป็นยังไงล่ะครับ... ถ้าผมเก็บกวาดตรงนี้ซะหมด? แต้ม B ของผมคงจะมีเยอะมากและแข็งแกร่งขึ้นอย่างก้าวกระโดดเลยล่ะ มันคงจะดีต่อตัวผมมากเลยนะครับ” อาคุมุพูดพร้อมกับยิ้มที่มุมปาก สายตาของเขานั้นดูน่ากลัวราวกับปีศาจอย่างไม่ต้องสงสัย “ม.. ไม่เอาน่า มันคงไม่ดีต่อตัวนายนักหรอก” คาซูโอะพูดด้วยน้ำเสียงและร่างกายที่มีอาการสั่นกลัวเล็กน้อย “ที่ไม่ดี.. เพราะกลัวตายหรือเปล่าครับ? ถ้าอย่างนั้น...” อาคุมุพูดยังไม่ทันจบก็ได้มีชายคนหนึ่งพูดแทรกขึ้นมา “นายควรพอได้แล้วนะน้องชาย คนพวกนี้ทำอะไรนายไม่ได้หรอก” “เอ๋? องค์ชาย?” ซึ่งชายคนนั้นก็คือองค์ชายชูยะนั่นเอง เขาปรากฏตัวขึ้นมาพร้อมกับอากิระที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ในขณะที่อาคุมุไม่ทันได้สังเกตเห็น “องค์ชาย... ทั้งหมดเป็นฝีมือของเขาครับ!” คาซูโอะพูดขึ้นมาพร้อมกับชี้นิ้วไปยังอาคุมุ “คาซูโอะ... นายพามาแทบทั้งหน่วยเพื่อจัดการกับเด็กคนเดียวเนี่ยนะ? แต่ฉันจะบอกอะไรให้อย่าง.. เด็กคนนี้คือเพื่อน
นักเวทที่เหลือนั้นหายไปพร้อมกันด้วยความเร็วอย่างไร้ร่องรอย ซึ่งแน่นอนว่านั่นคงเป็นเวทที่ใช้ในการเคลื่อนที่“หายไปหมดเลย เวทเคลื่อนที่สินะครับ” พูดจบอาคุมุก็หันไปทางองค์ชายชูยะ ซึ่งองค์ชายนั้นเดินออกมาหลังจากทำการรักษาให้กับอากิระแล้ว“อืม การต่อสู้ทุกครั้งต้องมีนักเวทที่เชี่ยวชาญในการใช้เวทเคลื่อนที่อย่างน้อยสักหนึ่งคน ถึงจะเป็นนักเวทชุดขาวก็เถอะนะ แต่ถ้าเจอสถานการณ์แบบนี้แล้วไม่มีเวทเคลื่อนที่ก็คงตายยกกลุ่ม”“แล้วก็สีหน้าท่าทางของพวกเขามัน...” อาคุมุยังไม่ทันได้พูดจนจบแต่อย่างใด องค์ชายชูยะก็ตอบกลับในทันที“ก็เพื่อทำให้ไม่ผิดสังเกตนั่นแหละ และมันเป็นกลอุบายอย่างหนึ่งที่มีโอกาสทำให้ศัตรูใจอ่อน หรือดึงเวลาเอาไว้เพราะหนึ่งในนั้นต้องมีสักคนกำลังร่ายเวทขนาดใหญ่อยู่ และอาจเป็นคนที่อยู่แนวหลังซึ่งนายยังเดินไปไม่ถึง อีกทั้งยังไม่ได้อยู่ในระยะสายตาของนาย จึงทำให้ร่ายเวทได้ไม่ยากนัก” องค์ชายชูยะอธิบาย“แต่ว่าปล่อยไว้แบบนี้จะเป็นอะไรไหมครับ? เหมือนว่าพวกเขาจะได้ข้อมูลกลับไปรายงานองค์จักรพรรดิแล้ว”“ก็ค่อนข้างเสียเปรียบอยู่พอสมควร การฝึกก็จะลำบากยิ่งขึ้นเพราะสถานที่แห่งนี้เป็นที่เดียวที่ฉันใช้ เ
นักเวททุกคนถูกพันธนาการไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งทักษะนี้นั้นราวกับว่ามันคือทักษะขั้นสูง เพราะในการควบคุมให้ตรงกับตำแหน่งที่ต้องการนั้นคงมีความยากเป็นแน่ อีกทั้งองค์ชายชูยะก็ใช้มันได้ด้วยความชำนาญ อาคุมุจึงมั่นใจได้อีกอย่างหนึ่งว่าองค์ชายชูยะอาจจะเป็นชายปริศนาคนนั้นที่เคยได้ช่วยเขาไว้แท่งน้ำแข็งจำนวนมากออกมาจากวงแหวนเวทสีส้มด้วยความรวดเร็ว ทั้งหมดนั่นล้อมรอบตัวของนักเวทเอาไว้และเป็นคุกน้ำแข็งในที่สุด‘ทักษะพันธนาการนี้แข็งแกร่งมากเลยนะเนี่ย’ นี่เป็นอีกครั้งที่อาคุมุได้เห็นการใช้ทักษะพันธนาการแบบหมู่ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่อาคุมุจะต้องกลับไปฝึกฝนและนำออกมาใช้ให้ได้ โดยเริ่มจากทักษะพันธนาการทั่วไปที่เขาจะต้องทำให้ชำนาญและคล่องแคล่วที่สุด“ลุงอากิระน่ะยังไม่ตายหรอก แต่คนที่จะตายก็คงหนีไม่พ้นลุงอิชิโร่... ใช่ไหม?” องค์ชายชูยะพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ แต่แววตาทั้งสองกลับไม่ใช่แบบนั้นอาคุมุที่ได้ยินอย่างนั้นก็พยายามจะลุกขึ้นไปดูอาการของอากิระ แต่เขาก็ต้องแปลกใจที่ทักษะพันธนาการด้วยด้ายของนักเวทคนนั้นยังคงอยู่ ถึงแม้จะถูกพันธนาการด้วยคุกน้ำแข็งขององค์ชายชูยะ“เลิกเรียกฉันว่าลุงสักทีสิองค์ชาย!
“ชิ! เพราะไอ้โง่คนเดียวเลยทำให้นักเวทชุดขาวอย่างเราถูกเด็กตัวแค่นี้หยามได้ ผู้ใหญ่หัวอ่อนน่ะมันมีแค่ไม่กี่คนหรอกนะเฟ้ย!!” หนึ่งในนักเวทพูดจบก็กระโดดขึ้นไปลอยค้างอยู่ในอากาศ“ปีกแห่งลม!” เขาใช้ทักษะพลังเวท ได้มีปีกซึ่งเป็นปีกแห่งลมปรากฏขึ้นมาที่ร่างกายของเขา จึงทำให้นักเวทคนนั้นสามารถบินได้“ไม่ธรรมดาเลยนะครับ”“ทักษะแบบนี้น่ะ มีน้อยคนที่จะสามารถใช้ได้ เพราะฉะนั้นแล้วก็เตรียมรับการโจมตีแบบที่นายไม่เคยเจอมาก่อนได้เลย!” ว่าแล้วนักเวทคนนั้นก็บินพุ่งตรงเข้ามาหาอาคุมุด้วยความเร็ว“กรงเล็บแห่งลม!!” ที่มือทั้งสองของนักเวทนั้นได้มีพลังเวทมาห่อหุ้ม จนก่อตัวเป็นกรงเล็บที่พร้อมสำหรับการโจมตี“บาทาไร้เงา... ผมไม่ยืนอยู่นิ่ง ๆ เพื่อให้โดนการโจมตีหรอกนะครับ” อาคุมุพูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบและแผ่วเบาขณะที่หลบการโจมตี ทั้งยังพูดในตอนที่เห็นการเคลื่อนที่ของนักเวทนั้นช้าลง จนกระทั่งเขาไปยืนอยู่ข้างหลังนักเวทคนนั้น“แสงอัสนีบาต!!” เมื่อสิ้นเสียงของอาคุมุ วงแหวนเวทสีฟ้าปรากฏขึ้นรอบข้อมือของเขา ตามด้วยการโจมตีจากแสงอัสนีบาตที่ออกมาจากวงแหวนเวทสีฟ้าเข้ม ซึ่งปรากฏให้เห็นอยู่หน้าฝ่ามือของอาคุมุ“อ่อก! ธ.. โธ่เว
“ฆ่ามันซะ!!!” อิชิโร่ตะโกนสั่งการนักเวทที่อยู่ข้างหลังเขา ซึ่งจำนวนที่มีนั้นไม่ได้น้อยเลย ทั้งยังมีมาสมทบเพิ่มอีกหลายคน โดยนักเวททุกคนนั้นใส่ชุดคลุมที่มีหมวกสีขาว ปิดหน้าด้วยผ้าสีดำ ไม่สามารถคาดเดาพลังเวทของคนพวกนี้ได้เลยแม้แต่น้อย“คิดจะลงมือแล้วก็เตรียมตัวรับแรงกระแทกไว้เลย!” อากิระตะโกนโต้ตอบพร้อมกับเตรียมที่จะต่อสู้ ซึ่งขณะนี้อาคุมุนั้นกำลังหลับตาและทำการบางอย่างอยู่ ทันใดนั้นเขาก็ลืมตาขึ้นแล้วหันไปถามอากิระ“ลงมือได้ไหมครับ?”“แน่นอน! นี่น่ะมันคือการเปิดศึกแล้วไงล่ะ”เมื่อได้ยินอย่างนั้น อาคุมุก็ชี้นิ้วขึ้นไปข้างบนในทันที“มองดูข้างบนสิครับลุง”“ทำอะไรของแกน่ะเจ้าหนู? จะให้ฉันมองวิวที่มันเหมือนกับท้องฟ้า...” อิชิโร่พูดยังไม่ทันจบประโยค เขาก็ต้องตกตะลึงในทันที เพราะเหนือศีรษะของทุกคนขึ้นไปนั้น มีวงแหวนเวทขนาดเล็กอยู่เต็มไปหมด“แสงอัสนีบาต!!” เมื่อสิ้นเสียงของอาคุมุ วงแหวนเวทสีฟ้าได้ปรากฏขึ้นรอบข้อมือของเขา พร้อมกับการโจมตีด้วยสายฟ้าที่ลงมาจากข้างบนตู้มมม!!!“อ่อก! โธ่เว้ย” นักเวทจำนวนหนึ่งที่กำลังพุ่งเข้ามาหาอากิระนั้นโดนการโจมตีที่รุนแรงของอาคุมุเป็นพิเศษ เนื่องจากว่าจำนวนวงแหวน
หลังจากที่อาคุมุได้พูดคุยกับองค์ชายชูยะเล็กน้อย องค์ชายชูยะก็บอกให้อากิระนั้นนำทางและพาอาคุมุไปยังที่พัก ซึ่งสิ่งที่เขาคาดไม่ถึงก็คือองค์ชายนั้นจัดการเตรียมที่พักให้เป็นอย่างดี ซึ่งที่พักนั้นอยู่ในตึกใหญ่ที่อยู่นอกพระราชวัง แต่แค่นี้ก็ดีเกินกว่าที่อาคุมุนั้นต้องการแล้ว ทั้งยังมีสถานที่สำหรับใช้ในการฝึกที่อากิระจะแนะนำหลังต่อจากนี้ เริ่มจากการที่อากิระนั้นผลักประตูบานยักษ์ หลังจากนั้นก็เดินเข้าไปตามโถงทางเดิน จนกระทั่งมาถึงห้องพักห้องหนึ่ง “นี่แหละห้องของนาย ลองเข้าไปดูสิ” อากิระกล่าวหลังจากที่เดินมาแล้วหยุดอยู่หน้าห้อง 06 นั่นคือหมายเลขห้องของเขา เมื่อได้ยินอย่างนั้นอาคุมุจึงเดินเข้าไป ในที่สุดก็มาถึงห้องของอาคุมุเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งห้องนอนนั้นเป็นเพียงห้องสี่เหลี่ยมที่มีกำแพงเป็นสีขาวล้วนรอบด้าน มีเตียงนอนและของใช้ต่าง ๆ ครบครัน ทั้งโต๊ะทำงาน ตู้หนังสือ โคมไฟ หรือแม้กระทั่งดาบเล่มหนึ่งที่วางอยู่ แน่นอนว่าห้องนี้นั้นมีขนาดความกว้างมากกว่าห้องของเขาที่บ้าน ทั้งยังมีความสะดวกสบายมากเป็นพิเศษ ซึ่งเขาไม่แปลกใจเท่าไรเพราะนี่เป็นที่ที่องค์ชายชูยะเตรียมไว้ให้ “ห้องกว้างมากเลยล่ะครั
ความประมาทของอาคุมุทำให้ตัวเขาเองได้รับบาดเจ็บมากที่สุดเท่าที่เคยเจอมา เสื้อขาดตามแนวของการโจมตีจนเผยให้เห็นรอยแผลเป็นปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน นี่คือบาดแผลขนาดใหญ่แผลแรกของเขา “จะเป็นยังไงล่ะครับ... ถ้าผมเก็บกวาดตรงนี้ซะหมด? แต้ม B ของผมคงจะมีเยอะมากและแข็งแกร่งขึ้นอย่างก้าวกระโดดเลยล่ะ มันคงจะดีต่อตัวผมมากเลยนะครับ” อาคุมุพูดพร้อมกับยิ้มที่มุมปาก สายตาของเขานั้นดูน่ากลัวราวกับปีศาจอย่างไม่ต้องสงสัย “ม.. ไม่เอาน่า มันคงไม่ดีต่อตัวนายนักหรอก” คาซูโอะพูดด้วยน้ำเสียงและร่างกายที่มีอาการสั่นกลัวเล็กน้อย “ที่ไม่ดี.. เพราะกลัวตายหรือเปล่าครับ? ถ้าอย่างนั้น...” อาคุมุพูดยังไม่ทันจบก็ได้มีชายคนหนึ่งพูดแทรกขึ้นมา “นายควรพอได้แล้วนะน้องชาย คนพวกนี้ทำอะไรนายไม่ได้หรอก” “เอ๋? องค์ชาย?” ซึ่งชายคนนั้นก็คือองค์ชายชูยะนั่นเอง เขาปรากฏตัวขึ้นมาพร้อมกับอากิระที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ในขณะที่อาคุมุไม่ทันได้สังเกตเห็น “องค์ชาย... ทั้งหมดเป็นฝีมือของเขาครับ!” คาซูโอะพูดขึ้นมาพร้อมกับชี้นิ้วไปยังอาคุมุ “คาซูโอะ... นายพามาแทบทั้งหน่วยเพื่อจัดการกับเด็กคนเดียวเนี่ยนะ? แต่ฉันจะบอกอะไรให้อย่าง.. เด็กคนนี้คือเพื่อน
การโจมตีในครั้งนี้อาคุมุไม่ได้คาดหวังผลลัพธ์อะไรมากนัก แค่ได้นำสิ่งที่ฝึกฝนมาประยุกต์แล้วทดลองใช้ก็ถือว่าเป็นกำไรสำหรับเขาแล้ว อีกอย่างคือเขาสามารถหนีไปได้อย่างแน่นอนด้วยการใช้บาทาไร้เงา สังเกตได้จากการที่เขาออกมาจากการปิดล้อมนั้นได้โดยง่าย เพียงแต่ว่า.. เขายังไม่ได้ฝึกทักษะที่ใช้ป้องกันเลยแม้แต่ครั้งเดียว ‘ไม่เป็นไร ยังไงเราก็พอหนีได้ล่ะนะ’ เมื่อควันเริ่มเบาบางลง เผยให้เห็นคนนับสิบนอนล้มอยู่ที่พื้นดิน โดยพื้นที่บริเวณรอบนั้นเป็นหลุมเป็นบ่อใหญ่พอสมควร “เอ๋? ทำไมถึงไม่ใช้เวทป้องกันล่ะเนี่ย?” อาคุมุเกิดความตกใจพอสมควรที่ไม่มีใครใช้เวทป้องกันเลยแม้แต่คนเดียว ซึ่งแท้จริงแล้วมันไม่ใช่อย่างนั้น “อึ่ก!... ไม่ใช่หรอก ใช้แล้วแต่ไม่ไหวต่างหาก” ชายหนุ่มผู้ที่เป็นหัวหน้าค่อย ๆ ยืนขึ้นและใช้ดาบที่อยู่ในมือประคองไว้ ซึ่งดาบของเขาติดตัวไว้ตำแหน่งไหนอาคุมุก็ไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ที่น่าตกใจไปมากกว่านั้นคือการป้องกันกลับต้านพลังโจมตีของอาคุมุไม่ได้ ‘เดี๋ยวนะ เขาระดับสูงกว่าฉันมากเลยนี่ ทำไมถึงไม่ไหวได้ล่ะเนี่ย?’ “ฉันล่ะยอมใจนายจริง ๆ มิน่าล่ะองค์จักรพรรดิถึงต้องการตัว เอาล่ะฉันชื่อ "มิกาซูกิ คาซูโอ
ในตอนนี้อาคุมุได้ผ่านการฝึกกับโทชิทั้งทักษะบาทาไร้เงาและการสร้างวงแหวนเวทเพื่อใช้โจมตีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เท่านี้ก็นับว่าเขาแข็งแกร่งขึ้นมามากพอสมควรถ้าฟังจากที่โทชิได้บอกไว้ และหลังจากนี้ก็จะขึ้นอยู่กับการฝึกฝนของตัวเขาเอง ความชำนาญในการใช้ทักษะต่าง ๆ จะทำให้เขาได้เปรียบในการต่อสู้.. แม้กระทั่งการวิ่งหนีอาคุมุนั่งลงและฝึกการสร้างวงแหวนเวทอีกครั้ง โดยเขาจะสร้างมันขึ้นมาสองอัน ตามเทคนิคที่เขาเข้าใจคาดว่าคงจะไม่ยากนัก“เอาล่ะ สร้างวงแหวนเวท!” เขาพูดขึ้นมาพร้อมกับยกแขนขวาขึ้นในระดับเอว หันฝ่ามือขึ้นและแยกนิ้วทั้งห้าออกจากกัน ซึ่งอาคุมุยังไม่ทันได้บีบอัดออร่าและพลังเวทไว้ตรงจุดเดียวแต่อย่างใด วงแหวนเวทสีฟ้าก็ปรากฏขึ้นเหนือฝ่ามือของเขาในทันที“เอ๋? ทำแบบนี้ได้แล้วหรอกเหรอ? ถ้างั้น..” ว่าแล้วอาคุมุก็ยกแขนซ้ายขึ้นมาในระดับเดียวกันและทำแบบเดียวกัน โดยเขาแค่เกร็งแขนและยังไม่ทันได้พูดว่าสร้างวงแหวนเวทเลยด้วยซ้ำ มันก็ปรากฏขึ้นมาเหนือฝ่ามือเขาเสียแล้ว“เยี่ยมเลย! ทำได้เร็วกว่าที่คิดแฮะ” การที่เขาฝึกฝนต่อหลังจากเรียนรู้เทคนิควิธีใช้ ทำให้เขามีความเข้าใจและสามารถควบคุมพลังได้ง่ายขึ้น อีกทั้งยังทำ
หลังจากที่อาคุมุสามารถใช้ทักษะบาทาไร้เงาได้แล้วนั้น ทักษะอีกอย่างที่ควรมีก็คือการสร้างวงแหวนเวท ซึ่งเป็นการสร้างวงแหวนเวทไว้ใช้ในการโจมตีโดยตรง ต่างจากการสร้างวงแหวนเวทธรรมดาเพื่อใช้ในการเคลื่อนที่ เพราะมันทั้งควบคุมยากกว่าและสารพัดประโยชน์ยิ่งกว่า“ตอนนี้เราวิ่งเข้ามาลึกกว่าเดิม ถ้าพวกนั้นจะออกตามหาก็คงต้องใช้เวลาหน่อย แต่ว่าถ้าเป็นตำแหน่งนี้สิ่งที่ควรระวังมากที่สุดมันไม่ใช่พวกนักเวทน่ะสิ” โทชิพูดขึ้นมา“หรือว่าจะหมายถึง.. ปีศาจเวทมนตร์เหรอครับ?”“ใช่แล้วล่ะ เราอยู่ในจุดที่ใกล้กลางป่ามากเท่าไร โอกาสที่จะเจอกับปีศาจเวทมนตร์ก็มากขึ้นเท่านั้น ที่เราต้องระวังรองลงมาก็คือนักเวท.. แต่ก็นะ ในจักรวรรดินี้ถึงจะมีก็มีได้ไม่เยอะหรอก เพราะอะไรฉันก็ไม่รู้เหมือนกันแต่จักรวรรดิไดจิเป็นจักรวรรดิที่มีปีศาจเวทมนตร์น้อยที่สุดในโลกนี้น่ะ”“ต้องมีเบื้องหลังสินะครับ”“ถึงเวลาเดี๋ยวนายก็จะรู้เอง”ป่าใหญ่แห่งนี้นั้นเป็นป่าที่อยู่ในเมืองไดอิกิ เรียกได้ว่ามันอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของเมืองหลวง ซึ่งเดิมทีป่าก็เป็นตำแหน่งออกล่าของปีศาจเวทมนตร์อยู่แล้ว แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างที่ทำให้จักรวรรดิแห่งนี้มีปีศาจเวทมนตร์ออกเพ