“เหลวไหลชะมัด! พลังเวทของแกมันจะไม่ใช่มังกรไฟได้ไงกัน?!” หนึ่งในสามคนนั้นพูดขึ้นมา
“ก็พลังเวทของผม... มันคือมังกรสายฟ้าไงล่ะครับ” อาคุมุตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงและท่าทางที่แสดงให้เห็นว่าตนคือผู้ชนะ
“สายฟ้า? อย่ามาอำพวกฉันเล่นนะโว้ย! ตระกูลของแกมันเป็นตระกูลมังกรไฟ ตระกูลมังกรสายฟ้าน่ะได้หายสาบสูญไปราว ๆ 50 ปีแล้ว และตระกูลมังกรสายฟ้าน่ะมีมาก่อนตระกูลของแกด้วย อีกทั้งเด็กเวรอย่างแกเนี่ยนะจะไปเทียบกับตระกูลที่สูงส่งอย่างตระกูลมังกรสายฟ้า เหอะ! ไปอ่านประวัติความเป็นมาของตระกูลให้เข้าใจก่อนค่อยมาพูดอะไรบ้า ๆ แบบนี้”
‘มีมาก่อนตระกูลคาอิดะก็หมายความว่ามันยาวนานกว่านั้น... ลึกซึ้งชะมัด แล้วตัวฉันถูกโยงไปตระกูลมังกรสายฟ้าได้ไงล่ะนั่น? ฉันเป็นคนจากตระกูลมังกรไฟหรือมังกรสายฟ้ากันแน่เนี่ยเริ่มไม่เข้าใจแล้วนะไอ้บ้าเอ๊ย!!’
ซึ่งแน่นอนว่าทั้งสามต่างก็ไม่เชื่อในสิ่งที่ตนได้ยิน มันคงไม่มีทางเป็นไปได้
เพราะตระกูลคาอิดะนั้นเป็นตระกูลที่มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน เคยได้รับขนานนามว่าเป็นตระกูลแห่ง "ราชามังกรอัคคี" เด่นในเรื่องของการโจมตีด้วยเพลิงที่แข็งแกร่ง บุตรหลานของตระกูลนี้ที่ได้สืบทอดมาก็มีพลังเวทเป็นเวทแห่งมังกรไฟทุกคน
และที่ทำให้ทั้งสามยิ่งไม่เชื่อก็เพราะว่าตระกูลมังกรสายฟ้านั้นมีประวัติศาสตร์ความเป็นมาที่ยาวนานกว่าตระกูลมังกรไฟ ทั้งยังไม่มีผู้สืบทอดตระกูลต่อไปตั้งแต่เมื่อ 50 ปีที่แล้ว สำหรับสามพี่น้องนักเวท ถ้าจะเป็นแบบนั้นได้ก็คงมีแต่ในนิทานหลอกเด็ก
“พวกคุณคงไม่เชื่อผมอยู่แล้วล่ะ แต่ว่า... ผมน่ะมีพลังเวทเป็นมังกรสายฟ้าจริง ๆ นะ ผมจะโกหกทำไม?” อาคุมุพูดพร้อมกับแสดงให้เห็นถึงเส้นสายฟ้าที่กำลังกระจายออกมาจากฝ่ามือของเขา ซึ่งนั่นทำให้นักเวททั้งสามต่างก็ตกใจกันไปตาม ๆ กัน เพราะสิ่งที่อาคุมุพูดคือเรื่องจริง
“ส.. สายฟ้าจริง ๆ ด้วย?”
มากไปกว่านั้นคือเรย์และเหล่าทหารที่อยู่ในรถม้า ซึ่งฟังการสนทนาระหว่างอาคุมุกับนักเวทมาโดยตลอด แน่นอนว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นตั้งแต่ได้เจออาคุมุจนมาถึงตอนนี้นั้นทำให้หน่วย 7 ครึกครื้นเป็นอย่างมาก ทั้งตัวตนของเด็ก 6 ขวบที่มีเบื้องหลังอันยิ่งใหญ่ มีพลังเวทและยังเป็นพลังเวทที่แข็งแกร่ง
“ไอ้เจ้าหนูนี่... มันเป็นใครกันแน่เนี่ย?” เรย์พูดออกมา ซึ่งทหารที่อยู่กับเรย์ต่างก็แปลกใจไปตาม ๆ กันเกี่ยวกับตัวตนของอาคุมุ
“แล้วแกรู้ได้ไงว่าการแพ้ทางของธาตุนั้นไม่มีผลในการต่อสู้ด้วยพลังเวทมนตร์? นี่น่ะมันเป็นความลับที่มีแค่นักเวทเท่านั้นนะที่รู้” หนึ่งในนักเวทกล่าว เขาดูเหมือนจะเป็นพี่ใหญ่ของทั้งสามคน
ซึ่งคำพูดของเขาก็ทำให้อาคุมุตกใจเช่นกัน เพราะสิ่งที่อาคุมุพูดไปนั้นเขาแค่รู้สึกว่ามันอาจจะเหมือนอย่างที่เขาคิดไว้ก็เป็นได้ ซึ่งก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ
“ผมพูดไปตามจินตนาการน่ะครับ เพราะพลังเวทมนตร์มันคงจะไม่มีแค่พลังที่เกี่ยวกับธาตุใช่ไหมล่ะ? สรุปว่ามันไม่มีความสำคัญจริง ๆ เหรอเนี่ย? ผมดวงดีสินะ” อาคุมุตอบกลับไป
ตามที่อาคุมุเข้าใจคือพลังเวทที่แต่ละคนนั้นมี ย่อมไม่ได้มีแค่จำพวกธาตุทั้งหลายเป็นแน่ โดยสิ่งที่ทำให้เขาคิดแบบนี้ก็คือเมื่อตอนเจอกับผู้ใช้พลังปีศาจคนที่ 13 ตอนนั้นดูเหมือนว่าอาคุมุจะตกเป็นเป้าในพลังเวทของชายคนนั้นราวกับว่าถูกหยุดการเคลื่อนไหว ซึ่งยังไม่สามารถรู้ได้แน่ชัดว่าคือพลังเวทที่เกี่ยวกับอะไรและความสามารถจริง ๆ ของมันคืออะไร แต่เขามั่นใจเป็นอย่างมากว่านั่นคือพลังเวทอย่างแน่นอน
“จินตนาการ? น่าตลกเป็นบ้าเลยนะคนอย่างนายเนี่ย... ใช่แล้ว! การแพ้ทางธาตุมันไม่ได้มีความหมายเลยในการต่อสู้จริง มันไม่ได้มีความสำคัญเลยสักนิด แล้วก็ใช่แล้ว! พลังเวทมนตร์น่ะไม่ได้มีแค่พลังที่เกี่ยวกับธาตุหรอก มันมีรอบด้านแทบจะนับไม่ถ้วนเลย...”
“แต่ก็ช่างเถอะ พลังของแกมันคือสายฟ้าแล้วจะทำไมล่ะวะ! แต้ม B แกมีหรือไง? น้องรองน้องเล็กเอาแต้ม B ของพวกนายให้ไอ้เด็กนี่ดูซะ!” ผู้ที่เป็นพี่คนโตกล่าว น้องทั้งสองของเขาจึงเปิดเผยแต้ม B ให้อาคุมุได้เห็น
คนหนึ่งเปิดผมที่ปรกหน้าผากด้านขวา เผยให้เห็นแต้ม B ของเขา ซึ่งก็คือ 1k(1,000) ส่วนอีกคนหันฝ่ามือให้อาคุมุได้เห็น ซึ่งก็คือ 1.2k(1,200)
“นี่แค่น้อง ๆ ของฉันนะ ส่วนของฉัน... ถ้าแกได้เห็นแกคงจะตกใจจนร้องไห้หาพ่อ ฉันให้เวลาแกเปลี่ยนความคิด คนที่มีพลังเวทหายากอย่างแกคงจะเป็นที่ต้องการตัวแน่นอน มากับพวกฉันแล้วไปเป็นนักเวทใต้บังคับบัญชาของฉัน ก่อนอื่นถ้าพวกฉันเอาตัวแกไปให้องค์จักรพรรดิพวกฉันคงจะได้รับการตอบแทนและผลประโยชน์ที่มากเป็นพิเศษแน่นอน เช่นตำแหน่งที่สูงขึ้นในจักรวรรดิอะไรแบบนี้ มันคงจะดีเลยล่ะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า แล้วก็...” ดูเหมือนว่าเขาจะยังพูดไม่จบ อาคุมุก็พูดแทรกขึ้นมาในทันทีด้วยความหงุดหงิด
“แกจะพล่ามอะไรมากมายวะเนี่ย?! แค่จะข่มฉันด้วยแต้ม B ก็ร่ายยาวเป็นบทสวด ฉันเริ่มไม่อยากจะพูดดี ๆ กับพวกแกแล้วนะ!”
“อ่า... ไอ้เด็กเปรต!!! กล้าเรียกฉันด้วยคำว่า 'แก' อย่างงั้นเหรอ? ดี! พูดแบบนั้นก็หมายความว่าแกจะตายตรงนี้สินะ งั้นดูไว้เป็นขวัญตาก่อนที่จะตายซะ!” ว่าแล้วเขาก็ดึงแขนเสื้อด้านขวาขึ้น ซึ่งแต้ม B ของเขานั้นอยู่ที่ตำแหน่งเดียวกันกับอาคุมุ ก็คือบริเวณไหล่ และแต้ม B ที่ปรากฏให้เห็นก็คือ 2k(2,000)
อาคุมุที่ได้เห็นอย่างนั้นก็ถอนหายใจออกมาในทันที
“เฮ้อ! พูดพล่ามมาซะมากมาย สรุปว่ามีแค่นี้เนี่ยนะ? ตลกชะมัด”
“ฉันว่ามันจะมากเกินไปแล้วนะเว้ย! แกมีอะไรถึงกล้าพูดแบบนั้นได้ห๊ะ? ฉันถามจริง ๆ เถอะ แล้วก็หัดเจียมตัวซะบ้าง” ผู้ที่เป็นน้องเล็กได้พูดออกมา เขาทนฟังอยู่นานมากแล้วแต่สุดท้ายก็ยังเห็นความอวดดีของอาคุมุ จึงอดที่จะพูดออกมาไม่ได้
“ฉันว่าพวกแกมากกว่าที่ควรจะเจียมตัวได้แล้วนะ ฉันเสวนากับพวกแกก็นานมากแล้ว” ว่าแล้วอาคุมุก็ดึงแขนเสื้อด้านขวาขึ้น เผยให้เห็นแต้ม B ของเขา
“3k(3,000)... 3k?!!” นั่นคือสิ่งที่ทำให้ทั้งสามคนตกใจอีกครั้ง จากที่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยมเกินกว่าจะพรรณนา ตอนนี้เริ่มลดน้อยถอยลงทีละนิด
“โธ่เว้ย... ถึงจะไม่เชื่อในสิ่งที่เห็นแต่เราต้องทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ เรามีกัน 3 คน พวกทหารบ้านั่นก็ทำอะไรไม่ได้อยู่แล้วถ้ารุมมันซะก็จบเรื่อง มังกรสายฟ้าของแก มันจะเป็นมังกรหรือจิ้งเหลนกันล่ะวะ!!” ผู้เป็นพี่พูดขึ้นมาและเตรียมการโจมตี น้องทั้งสองที่ได้ยินอย่างนั้นก็เตรียมที่จะโจมตีเช่นกัน แต่แล้วอาคุมุก็พูดขึ้นมา
“รู้ทั้งรู้ว่าสู้ฉันไม่ได้... แล้วที่แกบอกว่าถ้าจับตัวฉันส่งองค์จักรพรรดิแล้วเขาจะให้อะไรต่าง ๆ นา ๆ นั่นน่ะ แกคิดว่าแกจะได้ตามที่อยากหรือไง?! แกคงไม่ได้อะไรเลยด้วยซ้ำ ดีไม่ดีพวกแกหมดประโยชน์ก็โดนฆ่าทิ้งอีก ฉันมีทางเลือกให้อยู่นะ... สำหรับพวกแก 3 คนที่โดนกดขี่จากอำนาจของจักรพรรดิแล้วเป็นเหมือนลูกหมาน่ะ”
อาคุมุยื่นข้อเสนอให้ ซึ่งดูเหมือนว่าผู้ที่เป็นพี่คนโตนั้นเริ่มเกิดความลังเลใจและสงสัยในเวลาเดียวกัน แต่สุดท้ายคำตอบที่ได้กลับมาก็ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถเปลี่ยนความคิดของเขาได้
“โดนกดขี่จนเหมือนลูกหมาอะไรของแก? ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้นแล้ว! ฆ่ามัน!!” ได้ยินอย่างนั้น พี่คนโตและคนรองก็พุ่งเข้ามาหาอาคุมุในทันที โดยมีน้องเล็กที่ยืนเตรียมใช้เวทระยะไกลจากทางด้านหลัง
‘บ้าจริง ฉันยังไม่ได้ฝึกอย่างอื่นเพิ่มเลย เกือบจะมีพันธมิตรเพิ่มอยู่แล้วเชียวผิดแผนจนได้’
ทั้งที่อาคุมุเป็นต่อทุกอย่างไม่ว่าจะพลังเวทหรือแต้ม B แต่สาเหตุที่เขาไม่อยากจะต่อสู้ในตอนนี้ ก็เพราะว่าเขาไม่ได้ฝึกอะไรเพิ่มเลยหลังจากมีแต้ม B ที่มากขึ้น ทักษะการโจมตีก็มีเพียงแสงอัสนีบาตเพียงอย่างเดียว ถ้าไม่นับมีดในกระเป๋าและก็ยังไปไม่ถึงเมืองหลวงเสียที ไม่มีความคืบหน้าอะไรเลยแม้แต่น้อย“กระสุนวารี!!” นักเวทผู้เป็นน้องได้พูดพร้อมกับหันฝ่ามือทั้งสองมาทางอาคุมุ วงแหวนเวทสีฟ้าได้ปรากฏขึ้นรอบข้อมือของเขา พลังเวทกระสุนน้ำได้พุ่งออกมาจากฝ่ามือทั้งสอง ผ่านข้างลำตัวของพี่ใหญ่และพี่รองของเขา ตรงไปยังอาคุมุที่ยืนอยู่“หอกวารี!!” ผู้เป็นพี่คนโตและคนรองกล่าวออกมาพร้อมกัน วงแหวนสีฟ้าปรากฏขึ้นข้าง ๆ ลำตัว ได้มีอาวุธหอกซึ่งเป็นอาวุธที่สร้างจากพลังเวทแห่งน้ำค่อย ๆ ออกมาจากวงแหวนเวท แล้วทั้งสองก็ดึงมันออกมา‘ฉันไม่ได้ฝึกอะไรเพิ่มเลยเนี่ยสิ โธ่เว้ย!’“แสงอัสนีบาต!” อาคุมุพูดพร้อมกับหันฝ่ามือไปทางศัตรู วงแหวนเวทสีฟ้าปรากฏขึ้นรอบข้อมือของเขาพร้อมกับสายฟ้าที่มีความรุนแรงได้พุ่งออกจากฝ่ามือและตรงไปหาทั้งคู่ แต่แท้จริงแล้วอาคุมุตั้งใจโจมตีใส่กระสุนวารีของผู้ที่เป็นน้อง เพราะตำแหน่งที่เขายืนในตอนนี้คือด้า
“เราไปกันเถอะครับ” อาคุมุกล่าว เรย์และเหล่าทหารจึงเอามือลงและหันกลับมา“เรียบร้อยแล้วสินะ งั้นเราก็เริ่มเดินทางได้” ว่าแล้วก็หันกลับไปหาทหารในหน่วยของเขา“อาสา 3 คน มาขับรถม้า!!”“รับทราบครับ!” ทหารหนุ่ม 3 นายได้เดินออกมาจากแถว และขึ้นไปนั่งข้างหน้าเตรียมควบคุมรถม้า อาคุมุและคนอื่น ๆ ก็เดินขึ้นไปบริเวณตัวรถในทันที“ไปได้!”รถม้าเคลื่อนแล้ว ซึ่งเส้นทางที่ใช้นั้นจะเป็นเส้นทางไหนก็ไม่อาจทราบได้ เนื่องจากตอนนี้อาคุมุไม่รู้อะไรเลยแม้แต่น้อย เขารู้แค่จากการดูแผนที่โดยใช้เวลาเพียงไม่นานว่าเมืองใหญ่นั้นอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเมืองใหญ่นั้นคงจะเป็นเมืองหลวงอย่างแน่นอน“ว่าแต่นายเป็นใครกันแน่เนี่ยเจ้าหนู?” เรย์เอ่ยปากถามกับอาคุมุ นี่คงจะเป็นสิ่งที่ทั้งเรย์และทหารอยากจะรู้มากที่สุด“ก็.. ผมเป็นคนที่มีพลังเวทครับ” นั่นคือประโยคแรกที่อาคุมุตอบกลับแล้วหยุดไป หลังจากนั้นจึงพูดต่อ“พลังเวทของผมเป็นประเภทที่หายากมากซึ่งก็คือพลังมังกรสายฟ้า” อาคุมุยังไม่ทันได้พูดต่อ เรย์ก็พูดขึ้นมาในทันที“สรุปว่านายมาจากตระกูลคาอิดะจริง ๆ ใช่ไหม?”“ใช่ครับ”ทันทีที่อาคุมุตอบกลับไป แต่ละคนต่างก็ตกใจกันไปตาม ๆ
“กำลังจะถึงเมืองไดอิกิแล้วครับ” นายทหารที่อาสาเป็นคนขับรถม้าได้พูดประกาศบอกกับคนข้างหลัง“สร้างวงแหวนเวท” อาคุมุพูดขึ้นมา วงแหวนของเขาค่อย ๆ ขยายวงกว้างออกไป‘ตอนนี้สร้างได้ยังไม่แปลก’“เอ๋? ทำอะไรน่ะเจ้าหนู...” ทันทีที่เรย์ถาม อาคุมุก็หายไปจากตรงหน้าเขาทันทีอาคุมุนั้นใช้การเคลื่อนที่ด้วยวงแหวนเวทแล้วออกไปนั่งข้าง ๆ คนขับรถม้า ซึ่งอยู่ ๆ มีคนโผล่มาด้วยความรวดเร็วแบบนี้แน่นอนว่าต้องตกใจเป็นธรรมดา“เย้ย?! มาได้ไงกันเนี่ย?”“ขอดูอะไรสักครู่นะครับ” ตามที่อาคุมุคิดไว้ ที่ในตอนนี้ยังสามารถสร้างวงแหวนเวทได้อยู่เพราะว่ายังไม่ได้เข้าไปในตัวเมือง แต่ถึงแม้จะสร้างได้มันก็คงไม่มีขนาดที่ใหญ่ที่สุดวงแหวนเวทของเขาที่ขยายออกไป ได้ไปถึงเขตของเมืองหลวงแล้ว“เป็นแบบนี้จริง ๆ ด้วยแฮะ”“หืม? คืออะไรเหรอ?” ไม่แปลกที่ทหารคนนั้นจะไม่เข้าใจสิ่งที่อาคุมุกำลังคิดและทำ เพราะดูเหมือนว่าผู้ที่เป็นทหารจะไม่สามารถใช้พลังเวทได้ ถึงแม้อาคุมุจะยังไม่รู้อย่างแน่ชัดก็ตาม“คนที่ใช้พลังเวทได้จะมีวงแหวนเวทครับ ซึ่งวงแหวนเวทจะไม่สามารถใช้งานได้เมื่อมีพลังสักอย่างที่ดูเหมือนว่าจะใช้ในการลบล้างวงแหวนเวทนั้น เป็นเหมือนพลังที่
ไม่สามารถทราบได้ว่าถูกหลอกตั้งแต่ตอนไหน ไม่สามารถทราบได้ว่าเรื่องไหนบ้างจากปากของเรย์ที่เป็นเรื่องจริง แล้วเรื่องไหนที่เป็นเรื่องเท็จ สิ่งที่อาคุมุลงมือทำไปทั้งหมดคืออะไร? สิ่งที่อาคุมุคิดจะเป็นจริงหรือไม่? ก็ไม่อาจทราบได้ในตอนนี้สถานการณ์ของอาคุมุนั้นค่อนข้างที่จะจนตรอกอยู่พอสมควร เพราะเขาได้ก้าวเข้าสู่เขตของเมืองหลวงอย่างเมืองไดอิกิแล้ว เขาไม่สามารถเคลื่อนไหวหรือทำอะไรง่าย ๆ ได้อีกแล้ว‘บ้าจริง’ไม่ว่าจะใช้วงแหวนเวทในการเคลื่อนที่ก็ไม่สามารถทำได้ จะวิ่ง? แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว‘หรือจะฆ่ามันซะตรงนี้.. ไม่ได้ ๆ ไม่มีทางทำได้เลย’ อาคุมุก็ไม่สามารถทำอย่างนั้นได้ เพราะในตอนนี้ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ต้องรอบคอบและไม่ผลีผลาม เนื่องจากเป็นตัวเขาเองที่ติดกับดักของศัตรู จะออกไปจากกับดักนี้ก็ค่อนข้างที่จะยากพอสมควร“แล้วเมืองหลวงนี่มีป่าไหมครับลุงเรย์?” อยู่ ๆ อาคุมุก็ถามออกไปอย่างนั้น“หืม? ฮ่า ฮ่า มีสิ แต่เป็นป่าที่อยู่ริมสุดของเมืองหลวง อยู่ใกล้เมืองข้าง ๆ เหมือนเดิม ถามไปเพื่ออะไรเนี่ย?” เรย์หัวเราะและตอบกลับไป ซึ่งเขาตอบกลับไปโดยที่ไม่ได้คิดอะไรเลยแม้แต่น้อย เพราะไม่ว่าจะวิธีไหนเด็กคนน
“หรือว่าคุณ.. คนที่ 13 สินะครับ?”“ใช่แล้วล่ะ”การช่วยเหลือที่อาคุมุได้รับในครั้งนี้ไม่ใช่การช่วยเหลือจากคนแปลกหน้าอย่างที่เขาคิด เพราะชายคนนี้เขาได้เคยเจอแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งนั่นก็คือผู้ใช้พลังปีศาจคนที่ 13“แล้วทำไมถึงได้...” อาคุมุพูดยังไม่ทันจบประโยค ชายคนนั้นก็พูดแทรกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว“ยังไม่ต้องพูดอะไร รอถึงป่าใหญ่โน้นก่อน” เขาชี้ไปทางข้างหน้า อาคุมุจึงหันตามป่าใหญ่ที่เขาบอกก็คือป่าเดียวกันกับที่เรย์ได้บอกอาคุมุเมื่อตอนอยู่บนรถม้า เป็นป่าที่ใหญ่พอสมควรโดยอยู่ทางริมสุดของเมืองไดอิกิ ติดกับเมืองข้าง ๆ กันซึ่งนั่นก็คือเมือง "คานะ" ป่านี้คือป่าใหญ่แห่งที่สองของจักรวรรดิที่อาคุมุได้พบเจอไม่นานนักก็มาจนถึง เขาจึงพาอาคุมุวิ่งเข้าไปต่อ สิ่งที่อาคุมุตกใจมากที่สุดแน่นอนว่ามันก็คือความเร็วในการเคลื่อนที่ เพราะมันเร็วยิ่งกว่าการเคลื่อนที่ของนักเวท ทั้งที่ดูยังไงก็แทบไม่ต่างจากการวิ่งธรรมดาเลยแม้แต่น้อย ความเร็วกลับมีมากเกินกว่าจะพรรณนาได้สิ่งที่อาคุมุตกใจไม่แพ้กันก็คือตอนที่เขาถูกช่วยไว้และกำลังออกมา ชายคนนี้ได้ใช้การพันธนาการอย่างหนึ่งซึ่งก็คือ "พันธนาการทางจิตแบบหมู่" นั่นคือการพันธนาก
การปรากฏตัวของโทชิในครั้งนี้ทำให้อาคุมุรู้อะไรหลาย ๆ อย่างในสิ่งที่เขาไม่รู้ แทบจะทุกเรื่องที่กล่าวมาก็เป็นได้การควบคุมออร่าพลังเวทนั้นทำได้ยากกว่าการควบคุมพลังเวทในร่างกายหลายเท่า เนื่องจากคนส่วนใหญ่คิดแค่ว่ามันมีไว้ใช้ในการบ่งบอกระดับพลังเพียงเท่านั้น แต่แท้จริงแล้วมันสามารถนำมาใช้ได้ไม่ต่างจากพลังเวทเลยแม้แต่น้อย มากไปกว่านั้นคือผลกระทบจากการใช้ก็ไม่มี ออร่าพลังเวทจึงเป็นสิ่งที่ใช้งานได้ดีเป็นอย่างยิ่ง“ออร่าพลังเวทมันสามารถซ่อนได้ รวบรวมไว้ตรงไหนก็ได้ มันอยู่รอบตัวเราก็ไม่ได้แปลว่าจะใช้ไม่ได้สักหน่อย” โทชิพูดพร้อมกับเผยออร่าพลังเวทรอบตัวเขาให้อาคุมุได้เห็น ทั้งยังถ่ายเทไปยังจุดต่าง ๆ รอบตัวแต่ที่อาคุมุตกใจก็คือออร่าพลังเวทของโทชินั้นเป็นสีขาว?“ทำไมถึงเป็นสีขาวล่ะครับ? คนระดับคุณน่าจะสีส้มหรือสีแดงได้เลยนี่?”“นี่แหละคืออีกอย่างที่สามารถทำได้ มันเปลี่ยนสีได้ไงล่ะ” โทชิตอบกลับมา นั่นเป็นอีกอย่างหนึ่งที่อาคุมุคาดไม่ถึง และแน่นอนว่าคนที่ไม่รู้ก็คงคิดว่าออร่าพลังเวทของคนคนหนึ่งตามที่ตาเห็นคือสีนั้น ทั้งที่มันสามารถเปลี่ยนแปลงได้ด้วยการฝึกใช้ทักษะในตัวของมันเอง“อีกอย่างหนึ่งที่ฉันจะ
หลังจากที่อาคุมุสามารถใช้ทักษะบาทาไร้เงาได้แล้วนั้น ทักษะอีกอย่างที่ควรมีก็คือการสร้างวงแหวนเวท ซึ่งเป็นการสร้างวงแหวนเวทไว้ใช้ในการโจมตีโดยตรง ต่างจากการสร้างวงแหวนเวทธรรมดาเพื่อใช้ในการเคลื่อนที่ เพราะมันทั้งควบคุมยากกว่าและสารพัดประโยชน์ยิ่งกว่า“ตอนนี้เราวิ่งเข้ามาลึกกว่าเดิม ถ้าพวกนั้นจะออกตามหาก็คงต้องใช้เวลาหน่อย แต่ว่าถ้าเป็นตำแหน่งนี้สิ่งที่ควรระวังมากที่สุดมันไม่ใช่พวกนักเวทน่ะสิ” โทชิพูดขึ้นมา“หรือว่าจะหมายถึง.. ปีศาจเวทมนตร์เหรอครับ?”“ใช่แล้วล่ะ เราอยู่ในจุดที่ใกล้กลางป่ามากเท่าไร โอกาสที่จะเจอกับปีศาจเวทมนตร์ก็มากขึ้นเท่านั้น ที่เราต้องระวังรองลงมาก็คือนักเวท.. แต่ก็นะ ในจักรวรรดินี้ถึงจะมีก็มีได้ไม่เยอะหรอก เพราะอะไรฉันก็ไม่รู้เหมือนกันแต่จักรวรรดิไดจิเป็นจักรวรรดิที่มีปีศาจเวทมนตร์น้อยที่สุดในโลกนี้น่ะ”“ต้องมีเบื้องหลังสินะครับ”“ถึงเวลาเดี๋ยวนายก็จะรู้เอง”ป่าใหญ่แห่งนี้นั้นเป็นป่าที่อยู่ในเมืองไดอิกิ เรียกได้ว่ามันอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของเมืองหลวง ซึ่งเดิมทีป่าก็เป็นตำแหน่งออกล่าของปีศาจเวทมนตร์อยู่แล้ว แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างที่ทำให้จักรวรรดิแห่งนี้มีปีศาจเวทมนตร์ออกเพ
ในตอนนี้อาคุมุได้ผ่านการฝึกกับโทชิทั้งทักษะบาทาไร้เงาและการสร้างวงแหวนเวทเพื่อใช้โจมตีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เท่านี้ก็นับว่าเขาแข็งแกร่งขึ้นมามากพอสมควรถ้าฟังจากที่โทชิได้บอกไว้ และหลังจากนี้ก็จะขึ้นอยู่กับการฝึกฝนของตัวเขาเอง ความชำนาญในการใช้ทักษะต่าง ๆ จะทำให้เขาได้เปรียบในการต่อสู้.. แม้กระทั่งการวิ่งหนีอาคุมุนั่งลงและฝึกการสร้างวงแหวนเวทอีกครั้ง โดยเขาจะสร้างมันขึ้นมาสองอัน ตามเทคนิคที่เขาเข้าใจคาดว่าคงจะไม่ยากนัก“เอาล่ะ สร้างวงแหวนเวท!” เขาพูดขึ้นมาพร้อมกับยกแขนขวาขึ้นในระดับเอว หันฝ่ามือขึ้นและแยกนิ้วทั้งห้าออกจากกัน ซึ่งอาคุมุยังไม่ทันได้บีบอัดออร่าและพลังเวทไว้ตรงจุดเดียวแต่อย่างใด วงแหวนเวทสีฟ้าก็ปรากฏขึ้นเหนือฝ่ามือของเขาในทันที“เอ๋? ทำแบบนี้ได้แล้วหรอกเหรอ? ถ้างั้น..” ว่าแล้วอาคุมุก็ยกแขนซ้ายขึ้นมาในระดับเดียวกันและทำแบบเดียวกัน โดยเขาแค่เกร็งแขนและยังไม่ทันได้พูดว่าสร้างวงแหวนเวทเลยด้วยซ้ำ มันก็ปรากฏขึ้นมาเหนือฝ่ามือเขาเสียแล้ว“เยี่ยมเลย! ทำได้เร็วกว่าที่คิดแฮะ” การที่เขาฝึกฝนต่อหลังจากเรียนรู้เทคนิควิธีใช้ ทำให้เขามีความเข้าใจและสามารถควบคุมพลังได้ง่ายขึ้น อีกทั้งยังทำ
บทที่ 60 : มอบรางวัลด้วยเลือด [จบเล่ม 2]การต่อสู้จบลง สนามประลองแบบจำลองก็ได้หายไป อาคุมุลืมตาขึ้นมาก็พบว่าเขาอยู่ที่สนามประลองของจักรวรรดิไดจิเสียแล้ว เขามองไปรอบ ๆ ขณะเดียวกันกับเสียงตอบรับที่ดังมาจากผู้ชมทั่วทั้งสนามประลองอย่างครึกครื้น“อาคุมุชนะจริง ๆ ด้วย?!!”“เขาสู้แบบนั้นได้ยังไงกันนะ? โดนรุมนั่นน่ะ”“เจ้าเด็กคนนี้ต้องแข็งแกร่งขนาดไหนกันเนี่ย?! แน่ใจนะว่าไม่ใช่นักเวทของจักรวรรดิ?”“ตามดูเจ้าหนูนี่มาตั้งแต่วันแรก ไม่ทำให้ผิดหวังเลย!”…“ในรอบนี้เราสามารถหาผู้ชนะเลิศได้เลยล่ะครับทุกท่าน! ผู้ชนะการประลองของจักรวรรดิไดจิในครั้งนี้คือ… คาอิคะ อาคุมุ!!!” ผู้คุมสนามประกาศออกไปอย่างเป็นทางการด้วยผลการต่อสู้ที่เป็นเอกฉันท์กลางสนามประลองที่มีผู้ชมเป็นจำนวนมาก คู่ต่อสู้ทั้งหกคนของอาคุมุนั้นนอนบาดเจ็บอยู่ที่พื้น โดยมีอาคุมุยืนอยู่ท่ามกลางคนเหล่านั้น แม้การบาดเจ็บจะไม่ได้สาหัสมากนัก แต่ร่องรอยบาดแผลตามที่เห็นคงต้องใช้เวลาพอสมควร‘ไม่มีใครตายเพราะเมื่อพลังชีวิตแบบจำลองหมดไปก็จะถูกส่งออกมาทันทีสินะ’ อาคุมุที่ไม่ได้เข้าใจเกี่ยวกับทักษะสร้างภาพลวงตาของราชันจอมเวทอาวุโสนี้มากนัก ทำได้เพียงวิเ
บทที่ 59 : หนึ่งรุมหกการโจมตีที่รุนแรงและรวดเร็วของรินนั้นทำให้ฮิบาริไม่สามารถหลบหลีกหรือป้องกันได้ทั้งหมด ทำให้เขาต้องรับการโจมตีไปอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งพลังชีวิตแบบจำลองเป็นศูนย์ในตอนนี้ฮิบาริได้ถูกคัดออกจากการประลองแบบกลุ่มแล้ว ซึ่งทำให้กลุ่มของอาคุมุนั้นเหลือเพียงสามคน และภายในทักษะหมอกเพลิงสีชาดของรินนี้… เหลือเพียงอาคุมุและรินเท่านั้น“นายจะทำยังไงดีล่ะเจ้าหนูอาคุมุ? สู้กับฉันตัวต่อตัวไหวไหมนะ? อืม… ฉันมีสมาชิกอยู่ข้างล่างทั้งหมด 5 คนเนี่ยสิ คงจะเอาชนะฉันได้ไม่ง่ายหรอกมั้ง” รินพูดขึ้นมา ซึ่งนั่นทำให้อาคุมุแปลกใจในทันที“ว่าไงนะ? ทั้งหมดห้าคนนี่หมายความว่าอะไร?” อาคุมุถามกลับไป“ฮ่า ฮ่า ฮ่า! นายนี่น่าขำจริง ๆ เลย คิดว่าเจ้าพวกที่เหลืออยู่จะมั่นใจในตัวนายแล้วไม่สนผลประโยชน์หรือไงกัน?” รินตอบกลับมา“หรือว่านั่นคือ…”“ใช่แล้วล่ะ! ฉันแค่เสนอให้พวกมันมาร่วมมือกับฉัน ข้อแลกเปลี่ยนคือการเข้าร่วมกลุ่มจันทราแดง ถึงจะถูกคัดออกและไม่ชนะเลิศในการประลอง แต่มีเงินใช้ง่าย ๆ ต่อจากนี้… ใครจะไม่ชอบกันล่ะ ลองดูนั่นสิ” รินพูดจนจบและชี้ลงไปยังข้างล่าง ซึ่งสิ่งที่เห็นนั้นคือสมาชิกกลุ่มของอาคุมุที
บทที่ 58 : ผู้ที่ถูกคัดออกคนแรกในตอนนี้ สถานการณ์ของอาคุมุและฮิบารินั้นไม่สู้ดีนัก พวกเขาถูกปิดล้อมไปด้วยทักษะหมอกเพลิงสีชาดของริน อีกทั้งยังถูกล้อมไปด้วยสมาชิกคนอื่น ๆ ในกลุ่มของรินจากภายนอก ซึ่งสามารถโจมตีเข้ามาได้โดยตรง เรียกได้ว่าถูกบีบให้จนมุมทั้งอย่างนั้น‘ซวยจริง ๆ แล้วไง’“ออกไปเฉย ๆ ไม่ได้เลย!” ฮิบาริกำลังพยายามจะดันตัวเองออกไปจากทักษะของริน‘ไอ้บ้านี่มันแกล้งทำเป็นไม่รู้เหรอ?’“ถ้าออกไปได้ง่าย ๆ เขาจะสร้างขึ้นมาทำไมล่ะครับคุณฮิบาริ?” อาคุมุถามกลับไป“พวกนายฟังฉันนะ! ทักษะหมอกเพลิงสีชาดนี้จะสามารถใช้ได้ 30 นาที หลังจากนั้นจะสามารถใช้ทักษะนี้ได้อีกครั้งเมื่อเวลาผ่านไปอีก 30 นาที” รินพูดขึ้นมา“แล้ว... บอกทำไมเหรอครับ?” อาคุมุที่ได้ยินอย่างนั้นจึงถามกลับไป“เพราะว่า... ฉันสามารถเอาชนะพวกนายได้ใน 30 นาทีนี้ไงล่ะ!! กระสุนเพลิงสีชาด!!!” รินตอบกลับมาพร้อมกับยิงกระสุนเพลิงเข้าใส่อาคุมุและฮิบาริด้วยความเร็ว“ตาข่ายอัสนี!”ตู้มมมม!!!“อึ่ก! บ้าจริง”ถึงแม้อาคุมุจะใช้ทักษะป้องกันไว้ได้ทัน แต่ความเสียเปรียบนั้นปรากฏขึ้นมาให้เห็นอย่างชัดเจน เพราะตาข่ายอัสนีของอาคุมุนั้นถูกทำลายได้โดยการ
บทที่ 57 : ความได้เปรียบเป็นศูนย์รินและสมาชิกอีกสามคนได้มาถึงที่ตำแหน่งของอาคุมุ ซึ่งรินนั้นปรากฏตัวขึ้นมาพร้อมกับอาวุธคู่กายอย่างปืนพกเช่นเดิม ส่วนอีกสามคนนั้นก็คือนักเวทชุดขาวเป็นผู้ชายสองคนและผู้หญิงอีกหนึ่งคน โดยทุกคนนั้นมีกระเป๋าสะพายอยู่ข้างหลัง“อย่างที่คิดไว้ไม่มีผิดเลยล่ะครับ... ทุกอย่างเลย” สิ่งที่อาคุมุคิดไว้นั้นเป็นจริงทุกอย่าง ซึ่งก็คือการที่นักเวทชุดขาวทั้งสามนั้นเปลี่ยนชุดก่อนจะเข้ามายังสนามประลองแบบจำลองนี้“แต่ว่า... จะทำไปเพื่ออะไรเหรอครับ? เตรียมชุดมาเปลี่ยนตอนเข้ามาในนี้แล้วเนี่ย?” อาคุมุถามออกไป“ก็ถ้าพวกฉันอยู่ในบทบาทของนักเวทชุดขาวตั้งแต่ตอนที่อยู่ข้างนอกล่ะก็... คงจะโดนประท้วงพอดีน่ะสิ” หนึ่งในนักเวทชุดขาวตอบกลับมา“ฉันควรจะแนะนำตัวอีกครั้งไหมนะ? ฉันคือ อากาเนะ ริน เป็นเพียงคนที่กำลังจะได้เป็นจอมเวทระดับ 3 แล้วล่ะนะ!!” รินพูดขึ้นมาพร้อมกับจับปืนพกทั้งสองกระบอกไว้แน่น ลมจากแรงของพลังเวทปะทะเข้ากับร่างของอาคุมุโดยตรง‘กำลังจะได้เป็นจอมเวทระดับ 3 งั้นเหรอ? สีของออร่าพลังเวทกำลังจะเป็นสีแดงแล้วสินะ แข็งแกร่งขึ้นมากจริง ๆ ด้วย’“สุดยอดไปเลยนะครับ สมแล้วกับตำแหน่งรอ
บทที่ 56 : เริ่มการประลองแบบกลุ่มในตอนนี้ ผู้คุมสนามได้ทำการสร้างสนามประลองแบบจำลองเสร็จสิ้นแล้ว เป็นทักษะที่มีความเหมือนจริงเป็นอย่างมาก ถึงได้ชื่อว่าเป็นภาพลวงตา และด้วยความแข็งแกร่งระดับราชันจอมเวทอาวุโส การที่สิ่งนี้เกิดขึ้นได้ก็คงจะไม่เกินจริงนัก...ที่สนามประลอง ภายนอกทักษะภาพลวงตา“สิ่งที่ทุกคนเห็นอยู่ตรงหน้านี้... คือสิ่งที่เกิดขึ้นภายในนั้นครับ” เสียงของผู้คุมสนามได้ดังกึกก้องไปทั่วทั้งสนามประลองด้วยทักษะพลังเวทของพิธีกร เสียงตอบรับจากคนดูก็เกิดขึ้นในทันที“น... นี่เหมือนฉันดูการประลองผ่านจอเลยนะ”“ข้างในนั้นจะไม่เป็นอะไรแน่เหรอ?”“ดูนั่นสิ! อาคุมุอยู่นั่นล่ะ!!”“ที่นั่นมันคือจำลองเมืองไหนหรือเปล่า? ที่ไหนในจักรวรรดิหรือเปล่านะ?”...สิ่งที่ทุกคนเห็นอยู่ตรงหน้านั้น คือลูกบาศก์ขนาดใหญ่ที่ปกคลุมไปด้วยออร่าของพลังเวทสีม่วง ลอยอยู่ในอากาศตรงกลางสนามประลอง ทั้งสี่ด้านนั้นเผยให้เห็นภาพจากมุมมองของแต่ละคนและมุมมองภาพรวมภายในนั้น ราวกับว่ากำลังดูผ่านจอขนาดยักษ์“สถานที่ภายในนั้นคือเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในจักรวรรดิ มีชื่อว่าเมืองชิโตเสะครับ... ขอให้ทุกคนเพลิดเพลินไปกับการประลองในครั้ง
บทที่ 55 : ราชันจอมเวทอาวุโส?กฎและกติกาการแข่งขันในรอบ 8 คนสุดท้ายนั้น ได้ถูกเปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหันโดยไม่ได้มีการประกาศล่วงหน้า ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่เข้ารอบหรือผู้ชมทั่วทั้งสนามประลอง ไม่เคยมีใครคิดไว้ว่าจะถูกเปลี่ยนเป็นการประลองแบบกลุ่ม“เริ่มจากการจัดกลุ่ม กลุ่มที่ 1 จะมีผู้ชนะจากสายการต่อสู้เดิมก็คือสาย A, B, C และ D ส่วนกลุ่มที่ 2 ก็จะมีผู้ชนะจากสายการต่อสู้เดิมคือสาย E, F, G และ H ครับ”พิธีกรได้ประกาศวิธีการแบ่งกลุ่มให้กับทั้ง 8 คน‘ฉันพอเข้าใจแล้วว่าทำไมถึงแบ่งกลุ่มง่าย ๆ แบบนี้...’‘...เพราะรินอยู่ในกลุ่มที่ 2 สินะ? การคาดเดาของฉันถูกต้องอย่างแน่นอน!’สิ่งที่อาคุมุคิดไว้นั้นมีเพียงความได้เปรียบของฝั่งตรงข้าม ซึ่งนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นมาโดยตลอด และในสถานการณ์ตรงหน้านี้ ความได้เปรียบที่ว่าก็คงจะหนีไม่พ้นการที่กลุ่มนั้นมีคนอย่างรินอยู่ด้วยนั่นเอง“ก่อนที่จะเข้าสู่ลำดับถัดไป...” พิธีกรพูดยังไม่ทันจบประโยค เสียงจากแท่นด้านบนก็ดังขึ้นมาในทันทีตึ้ง!!ซึ่งเป็นเสียงขององค์จักรพรรดิที่ใส่พลังเวทเข้าไปในแท่นข้าง ๆ ตัว สิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนี้ทำให้ทุกคนต่างก็ตกใจกันไปตาม ๆ กัน“องค์จักร
บทที่ 54 : รอบ 8 คนสุดท้ายอาคุมุนั้นเก็บชัยชนะไปได้อีกครั้ง ทุกรอบของการลงสนาม อาคุมุได้สร้างความประหลาดใจให้กับทุกคน แต่จากการที่สามารถเอาชนะผู้ใช้พลังศักดิ์สิทธิ์นี้ได้ ทำให้ทั่วทั้งเมืองหลวงแห่งนี้ได้รับรู้และได้สัมผัสแล้ว... ...ว่าความแข็งแกร่งของเขานั้นเป็นเช่นไรโดยไร้ข้อกังขาวันต่อมาในเวลาเดิม อาคุมุและคาเอเกะก็เดินไปยังสนามประลอง วันนี้เขาได้สะพายกระเป๋าและเตรียมเสื้อคลุมยาวใส่ไว้ในกระเป๋าด้วย แน่นอนว่าของสำคัญที่ขาดไม่ได้เลยก็คือดาบแห่งราชันสิ่งที่เกิดขึ้นก็ยังคงเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับทุกครั้งที่ผ่านมา ซึ่งก็คือเหล่าผู้คนที่เข้าหาล้อมหน้าล้อมหลัง‘เฮ้อ! ฉันล่ะเหนื่อยจริง ๆ เลย ในช่วงอาคุมุพบปะประชาชนเนี่ย’“ยินดีต้อนรับท่านผู้มีเกียรติทั้งหลาย!! ไม่ว่าจะเป็นผู้เข้าแข่งขัน หรือผู้ที่ชื่นชอบในการประลอง วันนี้... เราเดินทางมาถึงวันสุดท้ายในการประลองของจักรวรรดิไดจิแล้วครับ!!!”ผู้เป็นพิธีกรกล่าวขึ้นมาเพียงเท่านั้น กระแสตอบรับของผู้คนต่างก็แตกออกเป็นสองเสียง ทั้งคนที่ดีใจกับการจะได้เห็นรอบชิงชนะเลิศ และคนที่เสียใจกับการจบลงของการประลองอันแสนดุเดือดนี้“ใกล้จะได้ดูรอบชิงแล้วโ
บทที่ 53 : คู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดการโจมตีของอาคุมุในครั้งนี้นั้นรุนแรงยิ่งกว่าการโจมตีของดาอิเสียอีก ทั้งยังทำให้ดาอิต้องถอยร่นออกไปเพื่อรับมือกับการโจมตีนี้‘ถึงจะบอกว่าลบล้างสิ่งชั่วร้าย แต่ไอ้หมอนี่ดูจะไม่ใช่คนชั่วร้ายแบบนั้นเลยนะ หมายความว่ายังไงกันแน่เนี่ย? ฉันล่ะไม่เข้าใจกับดาบเล่มนี้เลยจริง ๆ แฮะ’อาคุมุยังคงครุ่นคิดกับสิ่งที่มังกรผู้เป็นเจ้าของดาบแห่งราชันได้บอกไว้“แต่... ดาบฉัน? มันไม่ได้อยู่ในมือนี่?!” นั่นคือสิ่งที่อาคุมุเพิ่งจะรู้สึกตัวได้“ความรู้สึกนายนี่มันช้าจริง ๆ เลยนะ” ดาอิพูดและเดินเข้ามาหาอาคุมุอย่างช้า ๆ พร้อมกับดาบแห่งราชันที่อยู่ในมือดาอินั้นสามารถหลบการโจมตีที่รุนแรงของอาคุมุได้เพียงบางส่วน ซึ่งเขาได้รับบาดเจ็บมากพอสมควร“แล้วมันไปอยู่ที่คุณได้ยังไงกัน? แล้วก็สภาพแบบนั้น...”“การโจมตีของนายมันรุนแรงจนดาบนายหลุดมือมาทางนี้เลยล่ะ ฉันแค่โดนเฉียด ๆ ยังเละขนาดนี้ ถ้าฉันรู้สึกตัวช้าอีกหน่อยคงละเอียดจนเป็นผงไปแล้ว” ดาอิตอบกลับมาพร้อมกับโยนดาบแห่งราชันของอาคุมุไปยังทางด้านหลังของตัวเขาเอง จุดที่ดาบตกอยู่นั้นคือขอบของสนามประลองพอดี“ปล่อยมันไว้แบบนั้นก่อนก็แล้ว
บทที่ 52 : พลังที่แท้จริง?“ลุกขึ้นมาซะ!! ผมบอกแล้วไง... ว่าผมกำลังต้องการคู่ซ้อมน่ะ” อาคุมุพูดด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่ใครเห็นต่างก็คงต้องขนลุกไปตาม ๆ กัน“นี่แก... เป็นบ้าไปแล้วรึไง?! ชนะขาดลอยขนาดนี้แล้วยังจะเอาอะไรอีกห๊ะ?!!” ดาอิตอบกลับมา“ขาดลอย?”ดาอิที่ได้ยินอย่างนั้นก็แปลกใจ“อะไรของแก?”“ผมถามอะไรคุณหน่อยสิ คุณผู้ใช้พลังศักดิ์สิทธิ์... หากได้ชัยชนะมาแบบนี้นี่คุณภูมิใจเหรอครับ? ทั้งที่อีกฝ่ายยังไม่ได้ใช้พลังเลยเนี่ยนะ? ผมไม่เอาด้วยหรอกนะครับ” อาคุมุถามกลับไปดาอิที่ได้ยินอย่างนั้นก็ชะงักไปในทันที“อึ่ก... แต่ตอนนี้เราแค่ประลองกันนี่! จะเล่นเอาตายเลยหรือไง?!! แกคิดจะรบเร้าฉันไปถึงไหน?”“ถ้าผมตายขึ้นมาจริง ๆ ล่ะก็... คนที่ได้ผลประโยชน์คือคุณไม่ใช่เหรอครับ? แข็งแกร่งขึ้นมาทันตาเห็นเลยนะ เป็นจอมเวทระดับ 3 เลยสิเนี่ย? ระดับพลังเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวเลยแฮะ...” อาคุมุพูดแล้วจึงหยุดไป“ฮ่า! แก... ไม่สิ นายนี่ทำให้ฉันนึกถึงสิ่งที่ลืมคิดไปได้ยังไงกันนะ? หาแรงจูงใจมาให้ฉันจนได้!!” ดาอิพูดพร้อมกับใช้หอกดันตัวขึ้น ออร่าพลังเวทได้ถูกแผ่ออกมาจากรอบ ๆ ตัวเขา “ไม่ธรรมดาจริง ๆ เลย ต้องแบบนี้สิครั