ค่ำแล้ว...นางกัดฟันมองประตูรั้วของบ้านที่ถูกทำขึ้นมาจนปิดหมดทั้งจวน เนื่องจากจะได้ไม่มีใครมองเห็นนาง บิดาถึงได้ทำประตูรั้วจนทึบเช่นนี้ไว้รอบบ้าน ตัดนางออกจากผู้คนภายนอก ยามนี้พอนางจะก้าวขาออกจากบ้านก็นึกหวาดกลัวขึ้นมา
หันมองร่างไร้วิญญาณของบิดาที่มีผ้าขาวปิดไว้ นางก็กัดฟันก้าวขาเดิน ลากรถเข็นที่มีร่างของบิดาอยู่บนนั้น ความกลัวกัดกินในใจ คล้ายออกจากที่หลบภัยสู่โลกภายนอก มองเห็นมารดายืนรออยู่หน้าบ้านก็พยายามออกแรงลากรถเข็นออกไปหา
มือเล็กเต็มไปด้วยเหงื่อชุ่มจากความประหม่า ทว่าเมื่อเดินออกมาพ้นประตูแล้วก็มีความกล้าขึ้นหลายส่วน ยามนี้เพราะมืดแล้วคนในหมู่บ้านต่างพากันเข้านอนหมด นางจึงสามารถนำร่างของบิดาออกไปฝังกับมารดาได้
'ถ้าหากวันใดข้าจากไปแล้วให้เจ้าพาข้าไปฝังไว้ที่เขาด้านหลัง ที่นั่นมีหลุมศพอยู่หลุมหนึ่ง ฝังข้าไว้ตรงนั้นข้างหลุมศพนั้น'
นึกถึงเสียงพูดของบิดาที่อ่อนแรงยามพูดออกมาคล้ายคนที่ไม่อาจจากไปได้อย่างสงบ นางสงสารเขาจับใจ
แน่นอน ด้วยดวงตาของนางนั้น จูมี่เอินรู้ว่าบิดาจะจากไป นางเห็นภาพตั้งแต่ครั้งนั้นที่บิดาโอบกอดนางไว้กลางฝูงชน แต่เพียงเพราะกลัว กลัวที่จะพูดออกไป และรู้ว่าไม่อาจแก้ไขได้จึงต้องจำใจทนรู้อยู่กับความเป็นจริงเพียงผู้เดียวมาตลอดหลายปี เฝ้ามองบิดาจากตนไปในที่สุด
เหม่อมองท้องฟ้ายามค่ำคืนดวงจันทร์กระจ่างใส แสงสีทองอ่อนอาบทั่วพื้นดิน ตลอดการเดินทางไปเขาหลังหมู่บ้านจึงไม่ยากอะไร เพียงแค่นางต้องออกแรงมากถึงจะสามารถพาร่างของบิดาขึ้นเขามาได้
ท่านแม่ของนางเดินอยู่ข้างนาง ไม่ได้ช่วยนางออกแรงลากบิดาเลยสักนิด คล้ายคนเหม่อลอยคิดอะไรในใจ จูมี่เอินเหลือบมองนางด้วยความเข้าใจ ท่านแม่กำลังเสียใจ เรื่องแค่นี้นางทำได้ ไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ลำบากเพียงแค่เหนื่อยไปบ้างก็เท่านั้น นอกจากความเหนื่อยบนใบหน้าแล้วยังปะปนไปด้วยน้ำตาสองสายที่ไหลอาบแก้มตลอดทาง นางไม่สะอื้น ไม่ร้องไห้เสียงดัง คล้ายเสียใจแต่พยายามเก็บอาการ
เป็นเวลาเกือบชั่วยามที่ลากรถเข็นมา ในที่สุดก็เจอหลุมศพที่บิดาบอก บนหลุมศพนั้นเขียนชื่อไว้ 'อู่เยว่เสี่ยง' จูมี่เอินเพียงมองผ่านตาไม่ได้คิดอะไร คิดว่าเป็นเพียงญาติคนหนึ่งของนางที่บิดาไม่เคยเอ่ยถึงเพียงเท่านั้น
จูมี่เอินยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตาบนในหน้า กัดฟันขุดหลุมด้วยแรงทั้งหมดของเด็กน้อยที่ตนมี ทั้งปาดน้ำตาทั้งขุดหลุม นานจนครึ่งค่อนคืนกว่าจะลึกพอที่จะฝังร่างของบิดาลงไป
มองเห็นมารดายืนอยู่ไกลๆ ไม่ร่ำไห้ไม่หลั่งน้ำตา จูมี่เอินกลับสงสารมารดามากกว่าเดิม คิดว่านางคงจะเสียใจมาก เสียใจจนไม่สามารถหลั่งน้ำตาออกมาได้แม้สักหยด
ไม่นานนางก็ฝังร่างของบิดาและโกยดินมากลบจนมิด ทำเนินดินขึ้นมา หาหญ้าและดอกไม้มาปลูก ยามนั้นมือสองข้างเล็กๆ ก็เต็มไปด้วยแผล นางยังคงร้องไห้แต่ไม่เอื้อนเอ่ยอันใดออกมาแม้ครึ่งคำ
ร่างเล็กที่ไม่สูงตามเกณฑ์ถอยหลังออกมาสองก้าว ก้มลงเคารพหลุมศพของบิดา จนกระทั่งการเคารพครั้งสุดท้าย ก็ได้เอาหน้าทิ่มไว้กับมือเช่นนั้นแล้วร้องไห้เสียงดังออกมาในที่สุด
เนิ่นนานจนเจ้าตัวเองก็ไม่รู้ว่าผ่านไปเท่าไหร่ ถึงทำใจลาจากมาได้ ระหว่างทาง มารดากลับพานางเดินไปอีกทางบอกให้นางทิ้งรถเข็นไว้ ทว่ามารู้ตัวอีกทีนางก็เหลือตัวคนเดียวเสียแล้ว
รอบด้านไร้ทางเดิน ต้นไม้สูงใหญ่ หญ้ารกครึ้ม ไร้ร่างของอีกคน
"ท่านแม่ ท่านแม่" น้ำเสียงเล็กเอ่ยเรียกมารดานั้นสั่นเครือและแหบแห้ง หมุนตัวมองหานางภายในความมืดอยู่หลายครา
"ท่านแม่ ท่านอยู่ที่ไหน" ความกลัวเริ่มกัดกินหัวใจของนาง มือเล็กที่เต็มไปด้วยแผลสั่นไม่หยุด นางปลอบใจตัวเอง ใจเย็น ใจเย็นเถิด ท่านแม่คงหลงกับนาง ไม่แน่ว่ายามนี้อาจกลับไปรอนางที่บ้านก็เป็นได้
จูมี่เอินนั้นเป็นเด็กฉลาดความจำดี นางจำทางที่เดินมาเมื่อครู่ได้ จึงหันหลังกลับ เดินไปที่หลุมศพของบิดา คิดว่าหลังจากนั้นนางก็จะสามารถกลับบ้านได้โดยไม่หลง ตลอดทางนางยังคงร้องเรียกหามารดาเผื่อมารดาของนางจะยังคงตามหานางอยู่ในป่าก็ได้ ในใจภาวนาให้ไปถึงก่อนรุ่งส่าง แต่กลับไม่ทันการเสียแล้ว
ชาวบ้านคนหนึ่งที่ออกหาของป่ากลับมาพบนางเข้าพอดี
นางร่ำร้องในใจว่า แย่แล้ว! ต้องหลบเขา แต่เห็นนิมิตรตอนไหนไม่เห็น ดันมาเห็นตอนนี้
นางแน่นิ่งไป ขาที่จะก้าวหลบผู้คนก็ไม่ขยับดั่งใจหวัง ดวงตาของจูมี่เอินเปล่งประกายสีทองสว่างขึ้นมา ทำให้ชาวบ้านผู้นั้นที่ตอนแรกไม่ทันได้สังเกตเห็นเด็กสาวก็พบนางเข้าจนได้ เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นเด็กที่คนอื่นเล่าลือกันว่าเป็นตัวอัปมงคล ยิ่งได้เห็นดวงตาสีทองของนางเขาก็ยิ่งหวาดกลัว
"ปีศาจ ปีศาจชัดๆ" ทำไมดวงตาของนางถึงเป็นเช่นนี้ ชายผู้นั้นกลัวมากแต่ก็ได้แต่พยายามข่มใจ ตะโกนเรียกเพื่อนที่เดินมาหาของป่าด้วยกันซึ่งอยู่ไม่ไกล "นางตัวอัปมงคลอยู่ที่นี่!!!" ขาของเขาสั่น ดวงตาเบิกโพลง จ้องมองเด็กสาวที่ดวงตามีประกายสีทอง ไม่นานกางเกงก็อาบไปด้วยน้ำสายหนึ่งจากส่วนกลางของลำตัว ด้วยความอายก็รีบหนีบขาไว้กลัวเพื่อนของตนมาเห็นเข้า
พรึ่บ
จูมี่เอินที่ได้สติกลับมาจากภาพในหัวยามนั้นดวงตาก็กลับมามีสีดำดังเดิม นางตกใจ ทอดมองคบไฟที่กำลังตรงมาทางนางหลายดวงซึ่งอยู่ไม่ไกลมากแล้วก็ตระหนักได้ในใจว่า ไม่ได้การคนพวกนั้นคือคนในหมู่บ้าน ซึ่งไม่มีใครต้องการให้นางอยู่ที่นั่น หากนางดึงดันที่จะกลับไปที่หมู่บ้าน มารดาต้องเดือดร้อนเป็นแน่
"นางปีศาจ นางเป็นปีศาจ นางอยู่ทางนี้!" ชายผู้นั้นตะโกนไม่เลิก เพราะกลัวจูมี่เอินจะมาทำร้ายตนเอง จูมี่เอินใจสั่นขาอ่อน แต่จำต้องหันหลังวิ่งหนี นางไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าคนที่เหลือมาถึง ชายผู้ที่พบนางเป็นคนแรกนั้นหวาดกลัวนางไม่กล้าเข้าใกล้ หากแต่มนุษย์นั้นเมื่ออยู่กันเป็นกลุ่มก็คล้ายฝูงสุนัข กัดไม่เลือก ยอมตายไม่ยอมถอย เมื่อถึงเวลานั้นนางที่ไร้ที่พึ่งคงไม่สามารถมีชีวิตรอดได้ ในหัวน้อยๆ ตอนนี้มีเพียงคำว่า 'หนี' เท่านั้น เท้าเล็กออกวิ่งไปในป่าด้วยความกลัว หนีจากคนเหล่านั้นเข้าไปลึกกว่าตอนแรกเสียอีก ปากก็ยังคงเรียกหามารดา อยู่ร่ำไป ทั้งที่รู้ว่าตนเรียกไปก็เท่านั้น นางไม่ได้อยากให้มารดาออกมาตอนนี้ เพราะกลัวมารดาจะเดือดร้อนไปด้วย ตุ๊บๆๆ จูมี่เอินไม่ระวังกลิ้งตกเนินไปหลายต่อหลายรอบ นางยังเด็กไร้ประสบการณ์ ไร้ความเคยชินในป่า กลิ้งตกเนินอยู่แบบนั้นจนหนีพ้นกลุ่มคนเหล่านั้นได้ในที่สุด เนื้อตัวที่คราแรกเปื้อนดินยามขุดหลุม ยามนี้ก็เปื้อนดินที่ตนกลิ้งใส่ แถมตามเนื้อตัวยังมีรอยเลือดจากการโดนบาดด้วยหินและกิ่งไม้ที่พื้นอีก สภาพนางตอนนี้น่ากลัวเสียยิ่งกลัวน่ากลัวไปแล้ว ผ
"ข้ายังนึกว่าเจ้าจะหลับเลยวันเสียอีก หากเจ้าตื่นแล้วข้าจะได้ไปเสียที" หญิงชราเองยังนึกว่าเด็กน้อยคงต้องนอนพักอีกหลายวันกว่าจะฟื้น แต่เด็กคนนี้กลับตื่นขึ้นมาไวมาก ยามนี้หญิงชราก็สามารถกลับบ้านได้อย่างสบายใจแล้ว จูมี่เอินเมื่อเห็นว่าคนที่ให้อาหารกำลังจะจากไปก็รีบคลานลงเตียงไปด้วยความไว เดินตามหญิงชราไป ยามนี้ถึงเพิ่งจะสังเกตชุดใหม่ที่ตนใส่ ผ้าพันแผลที่มีตามตัว เป็นหญิงชราหรือที่ทำแผลให้นาง? หญิงชราหันมองจูมี่เอินที่ตามมาจนถึงหน้าห้อง "เจ้าหลงทางหรือ?" หญิงชราถามออกไปแต่กลับไม่ได้คำตอบใดๆ กลับมา "..." เด็กน้อยมองนางตาใสแป๋ว ปากเคี้ยวแผ่นแป้งไม่พูดไม่จา ดวงตาของเด็กหญิงกระจ่างใสคล้ายไม่ถูกโลกอันโหดร้ายกัดเซาะได้ ทั้งที่น่าจะผ่านความโหดร้ายมากมายกลับไม่ถูกสิ่งเหล่านั้นรบกวนจิตใจแม้แต่น้อย "จำทางกลับบ้านได้รึไม่?" เมื่อลองถามประโยคอื่นดูก็เหมือนเดิม ไร้ซึ่งคำตอบใดๆกลับมา "..." "ถ้างั้นเจ้าพักอยู่ที่นี่ก่อนเถิด ข้าต้องกลับแล้ว ไว้จะมาหาเจ้าใหม่" หญิงชราลูบไปที่หัวเด็กน้อยเบาๆ นางมาไหว้ขอพรที่อาราม ยามนี้ใกล้ค่ำแล้ว นางเองก็ต้องกลับจวนเหม
สี่ปีแล้วตั้งแต่จูมี่เอินเข้ามายึดอารามในวันแรก หลี่ลู่ซือโค้งหัวลงเล็กน้อยรับไหว้จากชาวบ้านที่มาอารามและกำลังจะลากลับ ยามนั้นเมื่อมองผู้มาเยือนจากไปก็ทอดสายตากลับไปมองเด็กสาวที่ลานกว้าง กำลังขมักเขม้นกวาดพื้นที่เต็มไปด้วยใบไม้อย่างตั้งอกตั้งใจ นางสวมใส่ชุดเก่าๆ สีน้ำเงินเข้ม ชายเสื้อขาดหลุดรุ่ยหลายส่วน ผมถูกมัดไว้ลวกๆ คล้ายไม่ใส่ใจกับรูปลักษณ์ของตน นึกถึงตอนที่นางเริ่มพูดกับเขาใหม่ๆ เมื่อสามปีก่อน ยามนั้นนางเองก็เริ่มเปิดใจคุยกับชาวบ้านที่มายังอารามบ้าง แต่หลังจากที่นางทักท้วงบางอย่างไปคนที่หมู่บ้านก็เริ่มมาที่อารามน้อยลง เขาสังเกตก็ได้รู้ว่านางนั้นมีบางอย่างที่ไม่เหมือนคนอื่น นึกถึงครั้งที่นางพยายามขอให้เขารับนางเข้ามาในฐานะนักบวชหญิง เขาก็ลังเลเพราะรู้ว่านางไม่อาจเป็นแค่นักบวชหญิงธรรมดา จึงยังชั่งใจอยู่นานจนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่อาจตัดสินใจได้เสียที ตอนหลังเมื่อนางไม่รบเร้าเรื่องนั้นแล้วเขาก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้อีกเช่นกัน จูมี่เอินที่กวาดพื้นเอาเป็นเอาตายเองก็นึกถึงเรื่องที่ตนทำพลาดอีกแล้วเมื่อสามปีก่อน หลังจากเริ่มพูดคุยกับคนอื่นได้อีกครั้งก็เกิดเรื่อง
จูมี่เอินนั้นนอกจากจะเย็บผ้าไม่เป็นแล้วทักษะด้านอื่นในการเป็นหญิงสาวนางก็พอมีบ้าง ทำอาหารก็ใช้ได้ งานบ้านก็เรียบร้อย อารามแห่งนี้แม่จะเก่าแต่ก็ถูกนางทำความสะอาดจนไม่มีแม้แต่ฝุ่น แต่เพราะอารามตั้งอยู่ในเขตป่าทำให้มีใบไม้มากทีเดียว สิ่งที่ทำให้นางหนักใจที่สุดก็คือใบไม้พวกนี้นี่แหละที่กินเวลางานของนางมากกว่าสิ่งอื่น วันนี้พอทำความสะอาดเสร็จนางก็ไปยกกองหนังสือมากองหนึ่ง ปักหลักลงใต้ต้นไม้ใหญ่กลางอาราม ที่ซึ่งเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของจูมี่เอิน นางนั่งอยู่ตรงนั้นล้อมรอบด้วยกองหนังสือที่อยู่ข้างกาย หนังสือพวกนี้เป็นของคุณหนูท่านหนึ่งฝากให้บ่าวรับใช้นำมาบริจาคไว้ที่อารามเผื่อมีคนมาเอาไปอ่าน ซึ่งก็มี่แค่จูมี่เอินเท่านั้นที่สนใจ ในกองหนังสือมีเล่มหนึ่งที่จูมี่เอินสนใจเป็นพิเศษ นั้นคือเรื่องราวของคนที่มีพรสวรรค์ คล้ายกับว่าได้รับพลังมากจากเทพเซียน บางคนฝึกยุทธมีพลังลมปราณเหนือผู้อื่น บางคนมีความสามารถในการดูดวงดาว แม่นยำ อ่านชีวิตของผู้อื่นได้ บางคนสามารถได้ยินไกลหลายลี้ ที่จูมี่เอินชอบที่สุดคงจะเป็นเรื่องเล่าของ หัตถ์เซียน นาม กู่เฟยเซียน ยาที่ผ่านมือ
จูมี่เอินวันนี้ออกมาตักน้ำในป่าแถวลำธาร เมื่อก่อนนางยังกลัวอยู่บ้างที่จะเข้ามาในป่าเพราะความฝังใจในวันเด็ก แต่ศิษย์พี่ของนางเวลามาตักน้ำที่ลำธารแห่งนี้มักจะพานางมาด้วย สลับพากันมาตักน้ำในทุกวันเพื่อช่วยให้นางสามารถก้าวต่อไปได้ ทำให้นางเปิดใจในความกลัวของตนเองอีกครั้ง และเพราะนางทำให้พวกเขาเดือดร้อนมาครั้งหนึ่งจนแทบเกือบจะรักษาอารามไว้ไม่ได้ เรื่องตักน้ำในภายหลังนางจึงเป็นคนอาสามาเองตลอด เพื่อให้พวกเขาได้มีเวลาศึกษาเรียนรู้อย่างเต็มที่ เรื่องดูแลอารามนางจะช่วยเอง แม้นางจะพูดเช่นนั้นแต่พวกศิษย์พี่ก็ไม่มีใครเอาเปรียบนางเลย มักจะช่วยกันทำทุกอย่างอยู่ตลอด นางอยู่ที่อารามแห่งนี้นั้นสบายใจเป็นอย่างมาก ขอแค่มีกินในแต่ละวันนางก็พอใจมากแล้ว นางไม่มีความฝัน ไม่วาดหวังอนาคต คล้ายคนไร้จุดหมายที่มีความสุขมากคนหนึ่ง ฮึบ ที่ลำธารนางออกแรงแบกคานซึ่งมีน้ำสองถังห้อยอยู่ขึ้นบ่าของตน ก้าวเดินกลับเข้าไปในป่าที่ตนออกมา ถัดจากป่าเล็กๆ เดินไม่พอหนึ่งก้านธูปก็จะไปถึงที่ใต้เนินของอาราม พรึบๆ คล้ายเสียงสลัดผ้าดังขึ้นในหู ร่างเล็กชะงักค้างอยู่กลางทาง ดวงตามีประกายสีทองวาบผ่าน
เมื่อถึงอารามนางก็รีบเข้าไปด้านใน ทิ้งคานที่หาบอยู่บนไหล่ลงไปที่พื้น รีบหันกลับปิดประตูทันที ใส่กลอนไม้ลงอย่างแน่นหนา เอามือตบไปบนบานประตูหลายครั้งเพื่อดูว่ามันแน่นดีหรือไม่ ปกติอารามจะเปิดประตูไว้จนถึงหลังยามเซินค่อยมาปิด ซึ่งก็คือต่อจากเวลาในตอนนี้สักพักถึงค่อยจะปิดได้ แต่จูมี่เอินไม่วางใจนางรู้สึกไม่ดีนางปิดไว้ดีกว่า จูมี่เอินยกคานกลับมาใส่บ่า เมื่อหันกลับไปเดินได้เพียงไม่กี่ก้าวก็เจอศิษย์พี่ของนางเข้าพอดี "ศิษย์น้องอู่ เหตุใดมีสีหน้าเช่นนั้น" ศิษย์พี่อีเห็นนางวิ่งกลับมาด้วยถังที่ว่างเปล่า ที่ขากางเกงยังเปียกน้ำเหมือนหกล้มจนน้ำเลอะขามาก็อดที่จะสงสัยไม่ได้ "เกิดเรื่องร้ายขึ้นกับเจ้ารึไม่" เขาถามนางด้วยความเป็นห่วง รีบเดินเข้ามาดูจับตัวนางพลิกซ้ายทีขวาที เด็กหญิงคนนี้เขาเลี้ยงมากับมือตั้งแต่ตัวเท่าเอว เห็นนางเป็นน้องสาวแท้ๆ ไปแล้ว พอคิดว่ามีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับนางก็ไม่อาจนิ่งนอนใจได้ ศิษย์พี่เอ้อร์เห็นคล้ายศิษย์พี่อีกำลังแกล้งน้องเล็กของเขาก็รีบเดินมาดู ร่างบางของน้องอู่กำลังถูกจับหันไปหันมา ใบหน้าเล็กก็ดูตื่นกลัวต่างจากปกติที่มักจะมีรอยยิ้มบางๆ ไว้เสมอ "ท่
ผ่านไปหลายปีคล้ายเพียงชั่วครู่ ยามนี้จูมี่เอินอายุได้สิบเจ็ดปีแล้ว หากนางเป็นสาวชาวบ้านปกติถ้าเลยวัยปักปิ่นคงถูกบิดามารดารีบพาไปหาบุรุษมาแต่งออกไปเป็นแน่ แต่นางเป็นคนของอาราม ต่อให้นางหน้าตาดีแค่ไหนก็ไม่มีใครกล้ามาทาบทาม ความจริง...ก็มีมาบ้างนั้นแหละ นางงดงามถึงเพียงนี้ผู้ใดพบเห็นเป็นต้องชมชอบ มีบางครั้งหนุ่มชาวบ้านก็มาตามจีบนาง แต่กับพบว่านางนั้นนิสัยคล้ายนักบวชเหลือเกิน พวกเขามาจีบนางกลับไม่รู้เรื่อง เทียวไปมาหาสู่นางอยู่ทุกวันแต่นางเล่าทำอันใด! นางกลับชวนพวกเขาบวชเข้าอารามด้วยเพราะความเข้าใจผิดคิดว่าพวกเขานั้นเลื่อมใสในทางเดินของลัทธิเต๋า จนเป็นบุรุษเหล่านั้นที่พากันถอดถอนใจไปแต่งสตรีอื่นเข้าบ้านแทน หลี่ลู่ซือยืนมองเด็กสาวโตเต็มวัยพร้อมออกเรือนกำลังขมักเขม้นกวาดใบไม้กลางลานเหมือนทุกวัน มองนางสวมใส่เสื้อผ้าสีน้ำเงินเก่าๆ ที่มีเพียงไม่กี่ตัวแล้วก็ปลงตกแทนนาง นางเหมาะจะเป็นนักบวชจริงๆ นั้นแหละ แต่หลี่ลู่ซือไม่อาจบวชให้นางได้สมใจปรารถนา เขานั้นเห็นเรื่องราวเหล่านั้นทั้งหมด ทั้งความตั้งใจในการบวชเรียนของนาง หากแต่เขายังไม่อาจตัดใจให้นางเป็นนักบวชหญิงได
จูมี่เอินจมอยู่กับความทุกข์เรื่องของอาจารย์นานหลายวัน ศิษย์พี่ที่เห็นนางมาแต่เล็กก็พากันเห็นความผิดปกตินี้ของนาง บางคนถึงกลับเข้าไปในตัวหมู่บ้านนำขนมติดมือกลับมาให้นาง บางคนก็ช่วยนางทำความสะอาดอารามทั้งหมดไม่ให้นางเหนื่อยคนเดียว จูมี่เอินรับรู้ความปรารถนาดีทั้งหมดของพวกเขาได้ จึงพยายามทำตัวเป็นปกติ แล้ววันนั้นศิษย์พี่เอ้อร์ที่ออกไปปัดเป่าทำพิธีในหมู่บ้านก็กลับมาแจ้งข่าวว่าวังหลวงมีการจัดพิธีขึ้นที่หมู่บ้านที่อารามของพวกเขาตั้งอยู่ มีการส่งข่าวมาให้พวกเขาเข้าร่วมพิธีขอฝนในอีกสามวันข้างหน้าที่ลานกลางหมู่บ้านซึ่งกำลังจะเตรียมพื้นที่อยู่ตอนนี้ "มีนักบวชจากอารามอื่นมาด้วยรึไม่?" จูมี่เอินรู้ว่าพิธีขอฝนนั้นต้องทำเช่นไร ยามปกติใช้นักบวชไม่กี่คนก็ได้ แต่หากเป็นพิธีของวังหลวงไม่แน่ว่าคนของอารามแห่งนี้อาจไม่พอ ขึ้นอยู่กับทางนักบวชหลวงเป็นผู้กำหนด "ใช่ ครั้งนี้ใช้นักบวชยี่สิบสี่คน" ศิษย์พี่เอ้อร์บอกก่อนจะขอตัวไปหาอาจารย์ของตนเพื่อแจ้งข่าวให้เขาทราบ จูมี่เอินก้มหน้าลงใช้ความคิด เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่วังหลวงมาจัดพิธีในหมู่บ้านจิ้งของนาง เพราะที่แห่งนี้เรียกได้ว่าค่อนข้
"ในเมื่อเท่าที่เจ้าเล่ามา... การสัมผัสอาจทำให้เจ้าเห็นอนาคตของผู้อื่นเพิ่มมากขึ้น งั้นเรามาลองกันหน่อยดีหรือไม่?" เหรินโย่วหลุนมองหญิงสาวในชุดขาวไม่วางตา ใบหน้าสวยสะครานตาก้มหน้าลงต่ำ ผมดำยาวของนางถูกจัดแต่งทรงไว้อย่างงดงาม หัวไหล่มนเล็กที่คล้ายสามารถโดนลมพัดปลิวได้พาให้คนอยากปกป้อง ความน่าดึงดูดที่แปลกประหลาดที่เกิดจากตัวนางนั้น มาจากความสามารถพิเศษของนางหรือไม่เขาก็ไม่อาจคาดเดาได้ แต่นางกลับสามารถทำให้เขาไม่อาจละสายตาไปจากนางได้เลย โดยไม่รู้ตัวทุกวันเมื่อเมื่อยล้าสายตาก็จะหันไปมองนาง ก็จะเห็นนางนั่งอยู่ต่อหน้าตนเองตลอด อยู่ในห้องทรงอักษรด้วยกันกับเขา นั่งหลับตาคล้ายตัดตนออกจากโลกภายนอก ยามนางจากไปเพียงไม่กี่วันเขาก็แทบทนไม่ไหว รู้ตัวอีกทีก็ต้องการเอาเชือกมาผูกมัดนางไว้กับเขาตลอดเวลาเสียแล้ว หากพูดถึงถ้านางไม่ได้เป็นนักบวช ใบหน้าเช่นนี้คงถูกจับมาเป็นบุตรสาวบุญธรรมของพวกขุนนางไปแล้ว คนพวกนั้นต้องการอำนาจมากมายเพียงใดทำไมเขาจะไม่รู้ ต่อจากรับนางมาเป็นบุตรสาวแล้วก็คงจับนางแต่งเข้ามาเป็นสนมของเขาเป็นแน่ ทว่ายามนี้นางกลับสวมอาภรณ์ของนักบวชหญิง ใครอยากทำเช่นนั้นก็ทำได้แ
"เหตุใดเหรินเยว่เทียนถึงมากับเจ้า?" จูมี่เอินตกใจจนเผลอเงยหน้าขึ้น ฮ่องเต้ไม่ใช่คนส่งเขามาหรือ งั้นนางควรตอบออกไปเช่นไร นางไม่ใช่คนชอบพูดปด ครั้งที่เคยโกหกออกไปนั้นก็แทบนับได้ ก่อนหน้านี้ฮ่องเต้ทรงมีรับสั่งว่าให้อยู่ห่างจากอ๋องห้า นางก็คิดว่าเขาคงห่วงน้องชายตนที่มาคลุกคลีอยู่กับนักบวชที่มีชนชั้นธรรมดา แต่ต่อมาเหรินเยว่เทียนก็มาหานางที่หมู่บ้านนั้นและบอกเป็นพระประสงค์ของฝ่าบาท พอตอนนี้ฮ่องเต้ทรงถามเช่นนี้ก็รู้ได้ว่าเหรินเยว่เทียนนั้นโกหก ดังนั้นตอนนี้นางควรตอบเช่นไรเพื่อให้ไม่มีใครได้รับผลกระทบดี "บังเอิญผ่านมาเจอกันเท่านั้นเพคะ" พูดจบก็ลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างอยากลำบาก มือเล็กกำถาดไม้แน่นขึ้น บังเอิญเจอ? เหรินโยว่หลุนมีสีหน้าเรียบเฉยแววตามืดดำลงหลายส่วน เขาสอบถามทหารสองคนนั้นที่ได้ส่งให้ตามจูมี่เอินไป คอยดูแลนางและอย่าให้นางออกนอกเส้นทาง ก็ได้ความว่าเหรินเยว่เทียนตามไปช่วยนางที่หมู่บ้าน นี่มันคนละทางกับคำตอบของสตรีตรงหน้าเลยนี่น่า มี่เอิน...เจ้ากลับเลือกที่จะโกหกข้าเพราะเหรินเยว่เทียน?หรือบางทีเหรินเยว่เทียนจะรู้ว่านางไม่ได้เป็นนักบวชจริงๆ ถึงได้ตามใกล้ชิดส
จูมี่เอินกลับมาก็ได้อาบน้ำชำระร่างกายเปลี่ยนชุดเตรียมเข้านอน นางหยิบผ้าคลุมที่เปื้อนเลือดขึ้นมาจากโต๊ะน้ำชากลางห้อง ดีที่มันค่อนข้างหนาทำให้ไม่ไปเลอะชุดด้านในของนางที่เป็นสีขาว ชุดพระราชทานนั้นหากเสียหายขึ้นมานางคงโดนโทษหนักเป็นแน่ ถึงคนที่ทำเลอะจะเป็นคนที่ให้นางมาก็ตามเถอะ เหม่อมองดูผ้าคลุมสีน้ำเงินเข้มที่เปื้อนเลือดคิดว่าซักยังไงก็คงไม่ออกนางเลยตัดสินใจทิ้งไป "ท่านนักบวชหลวง" พลันได้ยินเสียงเรียกของสตรีดังขึ้นหน้าห้องของตน จูมี่เอินวางเสื้อคลุมลงที่โต๊ะน้ำชาตามเดิมแล้วเดินไปที่หน้าประตู "มีอะไรรึ" ยามนี้ก็ดึกมากแล้วเหตุใดนางกำนัลถึงมาเรียกนางหน้าห้องเวลานี้ "ฝ่าบาทมีรับสั่งให้เข้าเฝ้า พระองค์ทรงตรัสว่ารู้สึกไม่ดี เหมือนจะนอนไม่หลับ อยากให้ท่านนักบวชไปจุดธูปหอมและปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายให้เจ้าค่ะ" "ข้าเข้าใจแล้ว เจ้ารอข้าสักครู่เถิด" จูมี่เอินคิดว่าฝ่าบาทเองก็คงตกใจกับเหตุการณ์ที่ได้พบวันนี้ นางจึงรีบเดินกลับเข้าไปในตัวห้องนอนเพื่อไปเปลี่ยนชุดทันที ได้ยินว่าในรัชศกของฮ่องเต้องค์ก่อนได้ลงนามเป็นพันธมิตรกับแคว้นโดยรอบทั้งหมดแล้ว ทำให้นอกจากโรคภัยไข้เจ็บ ภ
"มี่เอิน ข้าช่วยประคองเสด็จพี่เอง" เป็นเหรินเยว่เทียนที่พูดขึ้นอย่างจงใจ มุมปากตอนนี้ก็กดยิ้มไว้แน่นพยายามกลั้นรอยยิ้มไว้สุดฤทธิ์ แต่แววตากับเป็นประกายระยิบระยับไม่อาจซ้อนไว้ได้ จูมี่เอินหันเพิ่งจะหันไปสนใจสามคนที่ตามมา ดวงตากลมโตกระพริบสองสามครั้ง นั่นสิ ให้พวกเขาช่วยน่าจะพาฮ่องเต้กลับไปได้ไวยิ่งกว่า "ใครอยากให้เจ้าช่วยกัน!" เหรินโยว่หลุนยืดตัวขึ้นเอามือพ่ายหลังท่าทางวางอำนาจ แถมยังแผ่กระจายความกดดันรอบตัวใส่ผู้อื่นอีกด้วย จูมี่เอินถึงกับผละออกมามองท่าทางของเขาอีกที ไม่เจ็บแล้ว? หรือยังทนไหว? พลันมีคำถามในหัวขึ้นมากมาย ตอนนั้นองค์รักษ์ส่วนพระองค์ก็ปรากฏกายขึ้นด้านหลังของเหรินโยว่หลุนและกล่าวว่า "จัดการด้านในเรียบร้อยแล้วพะยะค่ะ" เป็นฟางอี้นั้นเอง จูมี่เอินเมื่อได้ยินเข้าใจได้ในทันที นิมิตรนั้นคนที่ได้รับบาดเจ็บหรือถึงขั้นเสียชีวิตไม่ใช่ฮ่องเต้ของตน กลับเป็นอีกคนที่อยู่ในห้องนั้น เลือดบนตัวนี้หาใช่ของฝ่าบาทไม่ เพราะนางไม่เห็นบาดแผลของเขาเลย น่าจะเป็นเลือดของอีกฝ่าย แล้วเลือดของอีกฝ่ายจะมาเปื้อนเขาขนาดนี้ได้ยังไงถ้าเขาไม่ได้อยู่ใกล้ขนาดระยะปะชิด และเป็นคนล
"มี่เอิน?" เสียงในความมืดตอบกลับมาด้วยความแปลกใจ เหรินโยว่หลุนไหนเลยจะไปคาดคิดว่าจะเจอนางที่นี่ และสภาพเช่นนี้ มองสองคนที่ตนส่งให้ดูแลนางตลอดการเดินทางวิ่งตามมาด้านหลังไม่ไกลก็โล่งใจขึ้นมานิดหนึ่ง คิดว่านางโดนใครทำร้ายแล้ววิ่งหนีมาและเผอิญเจอเขาพอเข้าดีเสียอีก "ฝ่าบาท!" ร่างบางพุ่งเข้ามาประชิดตัวของเหรินโยว่หลุน มือเล็กจับรอบลอยเลือดแผ่วเบา ท่าทางระแวดระวังไม่ได้สัมผัสตรงกลางรอยโดยตรงเพราะกลัวจะไปโดนแผลของเขาเข้า ยามนี้จางเฉินและหวงตงก็มาถึงพอดี เมื่อได้รู้ว่าจูมี่เอินเรียกคนตรงหน้าว่าอะไรพวกเขาก็รีบก้มหน้าลงไม่กล้ามองพระพักตร์ฮ่องเต้โดยตรง ทั้งคู่มีสีหน้ากังวลขึ้นมา ตอนได้ภารกิจนี้คิดว่าง่ายมาก รอเพียงพาท่านนักบวชหลวงกลับไปก็จะได้เลื่อนขั้นไปอีกขั้น แต่พอตอนนี้มาเจอฮ่องเต้เข้าระหว่างทางก็รู้ว่าตนนั้นได้ทำงานพลาดแล้วที่ไม่ส่งท่านนักบวชหลวงกลับให้ถึงวังตั้งแต่แรก แต่เมื่อทหารทั้งสองสังเกตรอบกายก็คล้ายมีกลิ่นเลือดปะปนในอากาศ จึงพากันเงยหน้าขึ้นมอง ตอนนั้นถึงได้เห็นเสื้อของฮ่องเต้มีรอยเลือดอยู่ พวกเขาเตรียมท่าจะเข้าไปช่วยกลับถูกฝั่งตรงข้ามยกมือขึ้นห้ามก่อน ย
"พี่เฉิน!" ร่างบางในชุดคลุมน้ำเงินรีบวิ่งไปหาหนึ่งในทหารที่ตามนางมาด้วย ในใจร้อนรนอย่างบอกไม่ถูก ฮ่องเต้ของนาง ในนิมิตรนั้น เลือดนั้น ทำให้นางมือสั่นจนห้ามตนเองไม่อยู่ "มี่เอินเจ้าเจองูรึ?" จางเฉินเห็นนางวิ่งมาหน้าตั้งก็คิดว่าเจอสัตว์ร้ายอะไรเข้า เหรินเยว่เทียนที่อยู่แถวนั้นด้วยก็รีบวิ่งมาดูด้วยความเป็นห่วง "โรงน้ำชาชื่อเยว่กวาง [1] ท่านรู้จักหรือไม่?" ดวงตากลมเบิกโตคล้ายมีน้ำตาชั้นบางเคลือบอยู่หนึ่งชั้น ^ (เยว่กวาง แปลว่าแสงจันทร์) เหรินเยว่เทียนมองท่าทางร้อนลนของนางด้วยความแปลกใจ เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นนักบวชหญิงเป็นเช่นนี้ "รู้จัก" จางเฉินก่อนได้มาเป็นทหารในวัง ได้รับมอบหมายลาดตะเวนที่นอกวังอยู่ห้าเดือน เป็นคนที่รู้จักในเมืองหลวงทุกซอกทุกมุม นางถามถูกคนแล้ว "อยู่ที่ใด!?" จูมี่เอินขยับเท้าไปอีกก้าวเร่งให้เขาตอบ "เป็นร้านน้ำชาที่ตั้งอยู่ที่เขตชานเมือง" "รีบเถิด ต้องรีบไป" จูมี่เอินวิ่งหันหลังกลับทันทีไม่ได้บอกว่าอะไรเป็นอะไร นางกลับไปที่ม้าของตน ปีนขึ้นม้าด้วยตนเองทั้งที่ยามปกติต้องมีคนคอยช่วยเพราะตัวนางค่อนข้างตัวเล็ก "นำทางข้าที!" ขึ
แม้การช่วยเหลือท่านหมอและชาวบ้านจะไม่ได้ยากอะไรแต่ก็อยู่ต่างที่ทำให้รู้สึกแปลกไปบ้าง พอมีเหรินเยว่เทียนมาอยู่เป็นเพื่อนพูดคุยด้วยทั้งวันก็ทำให้คล้ายตนเองได้กลับไปอยู่ที่อารามของหมู่บ้านจิ้งสบายใจอย่างหายห่วง "ฮ่องเต้ทรงส่งเจ้ามาช่วยปัดเป่าวิญญาณอย่างนั้นหรือ" เหรินเยว่เทียนหาบน้ำเข้ามาในห้องครัวสองถัง เขาวางมันลงแล้วยกแขนเสื้อเช็ดเหงื่อ คราบคุณชายเจ้าสำราญถูกปัดทิ้งไปจากสายตาของจูมี่เอินแล้ว "..." จูมี่เอินพยักหน้าไป เป็นการโกหกที่นางไม่ชินเอาเสียเลย "แต่ดีที่ยังไม่มีผู้เสียชีวิต" จูมี่เอินยกยิ้มขึ้น เดินไปหาเขาแล้วตักน้ำไปเติมในข้าวต้มที่ต้มไว้อยู่ในกระทะใหญ่ ภายในห้องครัวที่มีเพียงคนสองคน กับไปความร้อนที่พวยพุ่งออกมาจากอาหาร เป็นภาพความทรงจำที่เหรินเยว่เทียนไม่เคยได้พบ ยามได้มองสตรีผู้นี้ทำอาหารก็ดูสงบใจอย่างบอกไม่ถูก การที่นางเป็นนักบวชมันทำให้ความรู้สึกของคนรอบข้างเบาสบายใจเช่นนั้นหรือไม่ "..." เหรินเยว่เทียนมองยังคงมองดูจูมี่เอินทำอาหาร และคิดว่าการช่วยเหลือมาทันได้ยังไง แม้จะดีที่ราษฎรในหมู่บ้านยังไม่มีใครเสียชีวิตจากโรคท้องร่วง แต่การส่งเสบียงมาได้ไวเช่
ทำไมนะทำไมนางไม่เอาความฉลาดด้านนี้มาใช้กับชีวิตรอบตัวนางบ้าง แต่ก็ดี หากนางไม่ซื่อบื้อเขาเองก็โดนคนอื่นแย่งตัวนางไปนานแล้ว เหรินโยว่หลุนเงยหน้ามองฟางอี้ นี่ก็ซื้อบื้ออีกคน ฉลาดคิดฉลาดวางแผน เหรินโยว่หลุนถึงได้เลือกเขาเป็นมือขวาของตน แต่หากพูดถึงเรื่องความรักของหนุ่มสาวแล้วนั้น เรียกว่าพอๆ กับจูมี่เอินเลยทีเดียว เหรินโยว่หลุนยกมือไล่ฟางอี้ออกไป เมื่อองครักษ์ส่วนพระองค์จากไปแล้วเขาก็ลุกขึ้นเดินไปมองที่หน้าต่าง ทอดสายตามองดวงจันทร์ที่แขวนอยู่บนนภา เห็นดวงจันทร์แล้วทำให้นึกถึงใบหน้าของจูมี่เอินขึ้นมา 'นี่แค่สี่วันเอง' เหรินโยว่หลุนคิดในใจ นางจากไปแค่นี้ยังคิดถึงเสียแล้ว ครั้นเลยพาลไปให้นึกถึงตอนที่คิดจะพานางมาที่วังหลวง เพียงเพราะตามหานางมานานแค่คิดว่าอยากตอบแทนอะไรนางบ้างที่นางได้ช่วยชีวิตเขาไว้ พอเห็นอารามถูกเผาเขาก็เลยเชิญนางมาที่วังและอยากรู้ว่าสิ่งที่เขาคาดการณ์ว่านางสามารถเห็นอนาคตได้นั้นมันจริงหรือไม่ พอพิสูจน์ได้แล้วว่าจริง แต่ตอนนี้กลับไม่สามารถให้นางจากไปได้ รู้ตัวอีกทีความคิดที่อยากตอบแทนนางก็เปลี่ยนไปแล้ว ความต้องการในตัวนางกลับชัดเจนขึ้นแทนที่ ก้มมองม
เจียงหลี่เฉียงเห็นร่างบางในชุดคลุมสีน้ำเงินสั่งคนดูแลรถสมุนไพรให้เอารถไปที่โรงหมอก็นึกแปลกใจขึ้นมามากกว่าเดิม เขาได้ยินอย่างชัดเจนว่านางบอกตำแหน่งที่ตั้งของโรงหมอของเขากับคนดูแลรถขนเสบียงว่าตั้งอยู่ส่วนไหนของหมู่บ้าน นางรู้ที่ตั้งของโรงหมอของเขาได้เช่นไร นึกไปนึกมาอีกครา ตนยังไม่ได้บอกนามออกไปเลยนะ หรือนางเห็นจดหมายลงชื่อเขาไว้งั้นหรือ? หรือเป็นไปได้ว่านางเป็นคนของหมู่บ้านนี้ ถึงได้รู้ทั้งชื่อและรู้ถึงที่ตั้งโรงหมอของเขา เมื่อครู่ยังรู้ด้วยว่าข้อเข่าของเขาไม่ค่อยดี เขาเดินทรงตัวไม่ดีหรือนางจึงสังเกตได้ เรื่องมากมายที่ไม่เข้าใจและไม่สามารถอธิบายได้พรั่งพรูเข้ามาในหัว พินิจมองดูนางอีกหลายครา เขาอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้มาร่วมยี่สิบปีแล้ว เหมือนจะไม่เคยเห็นนางมาก่อน ผิวพรรณของนางก็ไม่เหมือนชาวบ้านที่หมู่บ้านนี้ด้วย เพราะที่นี่ปลูกข้าวทำสวนทำไร่กันเสียส่วนใหญ่ผิวค่อนข้างที่จะโดนแดดไหม้จนเข้มกว่านางหลายส่วน พอสตรีผู้นั้นสั่งการเสร็จก็เดินมาหาเขาอีกรอบ ในดวงตาที่มองเขานั้นเหมือนมองผู้มีพระคุณนั้นคืออะไรกัน เขามองผิดหรือไม่ "แม่นาง เออออ ท่านจูมี่เอิน เป็นครั้งแรกที่เห็นสตรี