Share

ตอนที่ 8 เหล่าศิษย์พี่

last update Last Updated: 2025-01-26 16:40:32

     เมื่อถึงอารามนางก็รีบเข้าไปด้านใน ทิ้งคานที่หาบอยู่บนไหล่ลงไปที่พื้น รีบหันกลับปิดประตูทันที ใส่กลอนไม้ลงอย่างแน่นหนา เอามือตบไปบนบานประตูหลายครั้งเพื่อดูว่ามันแน่นดีหรือไม่ ปกติอารามจะเปิดประตูไว้จนถึงหลังยามเซินค่อยมาปิด ซึ่งก็คือต่อจากเวลาในตอนนี้สักพักถึงค่อยจะปิดได้ แต่จูมี่เอินไม่วางใจนางรู้สึกไม่ดีนางปิดไว้ดีกว่า

     จูมี่เอินยกคานกลับมาใส่บ่า เมื่อหันกลับไปเดินได้เพียงไม่กี่ก้าวก็เจอศิษย์พี่ของนางเข้าพอดี

     "ศิษย์น้องอู่ เหตุใดมีสีหน้าเช่นนั้น" ศิษย์พี่อีเห็นนางวิ่งกลับมาด้วยถังที่ว่างเปล่า ที่ขากางเกงยังเปียกน้ำเหมือนหกล้มจนน้ำเลอะขามาก็อดที่จะสงสัยไม่ได้ "เกิดเรื่องร้ายขึ้นกับเจ้ารึไม่" เขาถามนางด้วยความเป็นห่วง รีบเดินเข้ามาดูจับตัวนางพลิกซ้ายทีขวาที เด็กหญิงคนนี้เขาเลี้ยงมากับมือตั้งแต่ตัวเท่าเอว เห็นนางเป็นน้องสาวแท้ๆ ไปแล้ว พอคิดว่ามีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับนางก็ไม่อาจนิ่งนอนใจได้

     ศิษย์พี่เอ้อร์เห็นคล้ายศิษย์พี่อีกำลังแกล้งน้องเล็กของเขาก็รีบเดินมาดู ร่างบางของน้องอู่กำลังถูกจับหันไปหันมา ใบหน้าเล็กก็ดูตื่นกลัวต่างจากปกติที่มักจะมีรอยยิ้มบางๆ ไว้เสมอ

     "ท่านแกล้งอันใดนาง!?"

     "ท่านทำอะไร/ท่านทำอะไร?" ศิษย์อีกสองคนที่เหลือพอได้ยินเสียงโวยวายด้านนอกก็ตามออกมาจากห้องอ่านหนังสือทันที ในมือยังถือม้วนตำราติดมือมาคล้ายจะเอามาฟาดคนอีกด้วย

     สรุปตอนนี้จูมี่เอินกำลังโดนล้อมอยู่ ส่วนอีกคนก็ตกเป็นเป้าสายตาว่าเป็นคนรังแกน้องเล็ก

     ศิษย์พี่อีเป็นศิษย์คนแรกมักจะมีความสุขุมพูดน้อยอยู่แล้วเพราะต้องเป็นแบบอย่างให้น้องๆ ยามนี้กลับถูกถามเช่นนี้ก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง มองท่าทางที่ตนจับน้องเล็กหันไปหันมาก็สมควรแล้วที่จะถูกเข้าใจผิดไป

     "ศิษย์พี่พวกท่านใจเย็นก่อน" จูมี่เอินรู้สึกอุ่นวาบในอกที่มีคนคอยห่วงใยนางเช่นนี้ ท่าทีที่ศิษย์พี่อีโดนสงสัยนั้นก็ตลกมาก แต่ไม่อาจทำให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์น่าอึดอัดได้นาน นางจึงอธิบายออกไป "ข้าแค่ลื่นทำน้ำหกหมดเท่านั้น" เพิ่งจะสังเกตเห็นขาของตนที่เปียกเพราะเทน้ำทิ้งด้วยความรีบร้อน ตอนนี้จึงคิดได้เหตุผลเดียวเท่านั้น นางจึงพูดปดออกไปแถมยังตบท้ายด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มบางดั่งที่เคยชอบทำ

     "เจ้าเจ็บตรงไหนรึไม่?"

     "นั่นสิได้บาดแผลรึไม่?"

     "ไหนข้าดูหน่อย"

     "ข้าจะไปเอายา!"

     พอนางพูดออกไปไม่มีใครตำหนินางที่ไม่ได้น้ำกลับมา ซ้ำยังเป็นห่วงนางแทน ท่าทางร้อนรนของพวกเขาทำให้ใจของจูมี่เอินรู้สึกอบอุ่น

     "ท่านไม่ต้องไปๆ ข้าไม่ได้เจ็บ" นางบอกศิษย์พี่ซานที่ทำท่าจะเดินไปเอายาให้หยุดลง

     "เจ้าไม่บาดเจ็บก็ดีแล้ว งั้นเดี๋ยวศิษย์พี่เป็นคนไปตักน้ำแทนเจ้าเอง เจ้าไปพักเถอะ" ศิษย์พี่อียกคานจากตัวของจูมี่เอินขึ้นมาใส่บ่าตนเองแล้วเดินไปทางประตูทางออกของอาราม

     คนอื่นก็รีบเห็นด้วยบอกให้นางไปพัก

     "ใช่ๆ /ไปพักๆ" ต่างพากันแย่งกันพูดด้วยความใส่ใจน้องเล็กของตน

     "ศิษย์พี่ๆๆๆ" จูมี่เอินรีบวิ่งไปดักเขา ยกแขนเอาตัวแนบประตูพอคิดว่าตนดูมีพิรุธเกินไปก็รับเปลี่ยนท่าทางใหม่ ก้าวไปหาศิษย์พี่อีจากนั้นยกคานที่บ่าของเขาออกแล้วบอกว่า "ข้าตักมาเต็มแล้ว รอบนี้รอบสุดท้ายจะเอามาคาถังไว้เฉยๆ น้ำที่ตักมาก่อนหน้านี้ก็ใช้ได้อีกหลายวัน ท่านไม่ต้องออกไปหรอกเจ้าค่ะ"

     "งั้นรึ" ศิษย์พี่อีรู้ว่านางนั้นขยัน หากนางบอกว่านางตักมาเต็มแล้วเขาก็ไม่เคยถามว่าเต็มจริงหรือไม่ ทำเพียงแค่พยักหน้าเข้าใจ

     "อ่อ อีกอย่างข้าได้ยินว่าชาวบ้านบอกว่าวันนี้หลังยามเซิน [1] ห้ามออกจากบ้าน ถือเป็นฤกษ์อัปมงคล เป็นความเชื่อใหม่ข้าเองก็เพิ่งเคยได้ยิน เลยคิดว่าวันนี้คงไม่มีชาวบ้านมาแล้วแหละ ข้าเลยปิดประตู พวกท่านเองก็ไม่ต้องออกไปนะ หากมีธุระอะไรพรุ่งนี้ค่อยออกไปทำ" เพราะพวกนางเรียนเรื่องฤกษ์ยามมงคลมาหลายปี แน่นอนหากบอกไปเพียงว่าเป็นฤกษ์ไม่ดีไม่ให้ออกไป พวกศิษย์พี่คงไม่เชื่อ นางเลยบอกว่าเป็นความเชื่อใหม่เสียเลย ^ยามเซิน เวลา 15.00-16.59

     "งั้นเจ้าก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าพักผ่อนเถิด เดียวงานที่เหลือพวกข้าทำต่อเอง"

     "ขอบคุณศิษย์พี่ทุกท่านที่เป็นห่วง" นางยกมือผสานคารวะทุกคนอย่างจริงใจ ก่อนไปก็หันไปดูกลอนที่ประตูอารามอีกรอบ ตรวจดูให้แน่ใจว่าปิดแน่นแล้วรึยัง จากนั้นก็หอบคานไม้และถังไปเก็บไม่ให้ใครออกไปตักน้ำได้อีก แถมยังจงใจเอาไปซ่อนไว้ไกลๆ อีกด้วย

     สี่คนได้แต่มองตามท่าทางยุกยิกๆ ไม่เป็นตัวเองของนางอย่างแปลกใจ แต่พวกเขาปกติก็อยู่แค่ในอารามอยู่แล้วไม่ค่อยได้จะออกไปข้างนอก ยิ่งช่วงเวลานี้ด้วยก็ไม่ได้มีเรื่องอะไรให้ออกไปทำ เลยปล่อยผ่านเรื่องฤกษ์ที่นางบอกไปไม่ได้เก็บมาใส่ใจ

     จูมี่เอินหลังเอาของไปซ่อนแล้วก็วิ่งกลับห้อง ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า นั่งอยู่บนเตียงหายใจหนักหน่วงหลายรอบ

     นางหวาดกลัวกลุ่มชายฉกรรจ์ที่ตามบุรุษรูปงามผู้นั้นมายิ่งนัก ใบหน้าพวกเขาโหดเหี้ยม ฆ่าคนไม่กระพริบตา เลือดสีแดงที่เห็นสีสดๆ ของมันอย่างชัดเจนยังจำได้แม่นยำ นางยกมือขึ้นปิดตาตัวเอง หวังให้คนกลุ่มนั้นไม่ผ่านมาที่อาราม และหวังให้บุรุษผู้นั้นรอดพ้นจากอันตราย

     พอนึกถึงเขานางก็แปลกใจ เป็นครั้งแรกที่มีคนเชื่อนาง และเป็นครั้งแรกที่นางสามารถช่วยเขาได้ เออ...อาจจะช่วยได้ก็ได้ เพราะหลังจากเขาไปแล้วนางก็ไม่เห็นนิมิตรที่เขาได้รับอันตรายอีก แสดงว่าเขาคงสามารถรอดไปได้จริงๆ

     เขาเป็นใครกัน เหตุใดเหตุการณ์ที่นางเห็นเกี่ยวกับเขาช่างชัดเจนนัก ขนาดเสียงของดาบที่ปาดไปกับผิวของเขา นางก็ยังได้ยินมันอย่างชัดเจนในห้วงนิมิตรของตน คล้ายว่านางเอาหูไปแนบกับดาบอย่างไรอย่างนั้น เหมือนตัวนางเองที่เป็นดาบเล่มนั้นด้วยซ้ำ

     จูมี่เอินถอนหายใจทิ้งตัวลงนอน ด้วยความตกใจกับภาพที่ได้เห็นทำให้นางเผลอหลับไปอย่างง่ายดายตั้งแต่พลบค่ำ

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Related chapters

  • ฮ่องเต้เพคะ หม่อมฉันเป็นนักบวช   ตอนที่ 9 คนจากไปไม่ร้อง คนอยู่กลับร้องแทน

    ผ่านไปหลายปีคล้ายเพียงชั่วครู่ ยามนี้จูมี่เอินอายุได้สิบเจ็ดปีแล้ว หากนางเป็นสาวชาวบ้านปกติถ้าเลยวัยปักปิ่นคงถูกบิดามารดารีบพาไปหาบุรุษมาแต่งออกไปเป็นแน่ แต่นางเป็นคนของอาราม ต่อให้นางหน้าตาดีแค่ไหนก็ไม่มีใครกล้ามาทาบทาม ความจริง...ก็มีมาบ้างนั้นแหละ นางงดงามถึงเพียงนี้ผู้ใดพบเห็นเป็นต้องชมชอบ มีบางครั้งหนุ่มชาวบ้านก็มาตามจีบนาง แต่กับพบว่านางนั้นนิสัยคล้ายนักบวชเหลือเกิน พวกเขามาจีบนางกลับไม่รู้เรื่อง เทียวไปมาหาสู่นางอยู่ทุกวันแต่นางเล่าทำอันใด! นางกลับชวนพวกเขาบวชเข้าอารามด้วยเพราะความเข้าใจผิดคิดว่าพวกเขานั้นเลื่อมใสในทางเดินของลัทธิเต๋า จนเป็นบุรุษเหล่านั้นที่พากันถอดถอนใจไปแต่งสตรีอื่นเข้าบ้านแทน หลี่ลู่ซือยืนมองเด็กสาวโตเต็มวัยพร้อมออกเรือนกำลังขมักเขม้นกวาดใบไม้กลางลานเหมือนทุกวัน มองนางสวมใส่เสื้อผ้าสีน้ำเงินเก่าๆ ที่มีเพียงไม่กี่ตัวแล้วก็ปลงตกแทนนาง นางเหมาะจะเป็นนักบวชจริงๆ นั้นแหละ แต่หลี่ลู่ซือไม่อาจบวชให้นางได้สมใจปรารถนา เขานั้นเห็นเรื่องราวเหล่านั้นทั้งหมด ทั้งความตั้งใจในการบวชเรียนของนาง หากแต่เขายังไม่อาจตัดใจให้นางเป็นนักบวชหญิงได

    Last Updated : 2025-01-26
  • ฮ่องเต้เพคะ หม่อมฉันเป็นนักบวช   ตอนที่ 10 วันซ้อมของพิธีกรรมขอฝน

    จูมี่เอินจมอยู่กับความทุกข์เรื่องของอาจารย์นานหลายวัน ศิษย์พี่ที่เห็นนางมาแต่เล็กก็พากันเห็นความผิดปกตินี้ของนาง บางคนถึงกลับเข้าไปในตัวหมู่บ้านนำขนมติดมือกลับมาให้นาง บางคนก็ช่วยนางทำความสะอาดอารามทั้งหมดไม่ให้นางเหนื่อยคนเดียว จูมี่เอินรับรู้ความปรารถนาดีทั้งหมดของพวกเขาได้ จึงพยายามทำตัวเป็นปกติ แล้ววันนั้นศิษย์พี่เอ้อร์ที่ออกไปปัดเป่าทำพิธีในหมู่บ้านก็กลับมาแจ้งข่าวว่าวังหลวงมีการจัดพิธีขึ้นที่หมู่บ้านที่อารามของพวกเขาตั้งอยู่ มีการส่งข่าวมาให้พวกเขาเข้าร่วมพิธีขอฝนในอีกสามวันข้างหน้าที่ลานกลางหมู่บ้านซึ่งกำลังจะเตรียมพื้นที่อยู่ตอนนี้ "มีนักบวชจากอารามอื่นมาด้วยรึไม่?" จูมี่เอินรู้ว่าพิธีขอฝนนั้นต้องทำเช่นไร ยามปกติใช้นักบวชไม่กี่คนก็ได้ แต่หากเป็นพิธีของวังหลวงไม่แน่ว่าคนของอารามแห่งนี้อาจไม่พอ ขึ้นอยู่กับทางนักบวชหลวงเป็นผู้กำหนด "ใช่ ครั้งนี้ใช้นักบวชยี่สิบสี่คน" ศิษย์พี่เอ้อร์บอกก่อนจะขอตัวไปหาอาจารย์ของตนเพื่อแจ้งข่าวให้เขาทราบ จูมี่เอินก้มหน้าลงใช้ความคิด เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่วังหลวงมาจัดพิธีในหมู่บ้านจิ้งของนาง เพราะที่แห่งนี้เรียกได้ว่าค่อนข้

    Last Updated : 2025-01-26
  • ฮ่องเต้เพคะ หม่อมฉันเป็นนักบวช   ตอนที่ 11 อวี้ซูหนี่ฮองเฮาในอนาคต

    ด้านล่างที่ทางเดินของลานพิธี อวี้ซูหนี่บุตรสาวของเสนาบดีอวี้เองก็มาดูพิธีขอฝนในครั้งนี้ด้วยเพราะได้รับมอบหมายให้เป็นคนดูแลงานในครั้งนี้ นางเดินทางจากเมืองหลวงมายังพื้นที่ห่างไกลก่อนงานหนึ่งวัน ทำท่าคล้ายตนเป็นผู้จัดงานแต่ความจริงแล้วนางนั้นได้ผลักภาระไปให้คนอื่น ซึ่งนางได้ส่งคนผู้นั้นมาเตรียมงานก่อนนางแล้วสองวัน งานพวกนี้ไม่ต้องทำก็ได้ เพราะนางเองก็ไม่รู้ว่าต้องทำเช่นไร แต่ที่รับงานนี้มาก็เพียงเพื่อหวังให้ตนเองได้อยู่ในสายพระเนตรของฮ่องเต้สักครา ก่อนที่พ่อของนางจะช่วยนางเข้าไปในวังหลัง อย่างน้อยนางต้องทำให้พระองค์จดจำนางในทางที่ดีไว้ก่อน หากนางเข้าไปโดยใช้อำนาจของบิดากดดันฮ่องเต้ให้รับนางเป็นสนมในตำหนักอีกคน ยามนั้นก็คงไม่ถูกพระองค์แลตามองมาเป็นแน่ นางไม่อยากเป็นเหมือนกับสนมคนอื่นในวังหลวง ไม่มีใครไม่รู้ว่าฮ่องเต้นั้นไม่เคยไปเยี่ยมวังหลังแม้สักครา นางยอมให้เกิดเรื่องเช่นนั้นกับตนไม่ได้ อวี้ซูหนี่นั้นเหนือกว่าสนมพวกนั้นอยู่มาก บิดาเป็นถึงอัครเสนาบดีผู้มีอำนาจมากสุดลองจากฮ่องเต้พระองค์เดียว บ้านของนางสืบเชื้อสายมารุ่นต่อรุ่นเป็นขุนนางเก่าแก่ในวังหลวง พี่ชายนางยังเป็นถึงแม่ท

    Last Updated : 2025-01-26
  • ฮ่องเต้เพคะ หม่อมฉันเป็นนักบวช   ตอนที่ 12 พิธีกรรมขอฝน

    วันทำพิธีขอฝน นักบวชหลวงนามหวังวั่งซูที่เดินทางมาซ้อมพิธีเมื่อวานก่อนวันจริงก็ได้พบข่าวร้าย นักบวชของอารามแห่งหนึ่งเกิดล้มป่วยท้องเสียกระทันหัน ทำให้นักบวชที่จะต้องเข้าทำพิธีในวันนี้ขาดไปหนึ่งคน เขาทำงานให้วังหลวงมานาน สองปีที่ผ่านมาฝนไม่ตกเขาเองก็กระวนกระวายใจ หวังว่าพิธีในวันนี้จะผ่านไปได้ด้วยดี ทำให้ฝนตกต้องตามฤดูกาลเสียที กลับไม่คาดคิดว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ในใจคิดถึงคำพูดของคนในเมืองหลวงที่ต่อว่าฮ่องเต้ ว่าเป็นคนที่พอได้ขึ้นครองราชก็ไม่มีฝนอีกเลยคล้ายดาวหายนะ ต่างมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เช่นนั้นออกมา ปากชาวบ้านไหนเลยจะห้ามได้ พวกเขาต่างพากันพูดเช่นนั้นลับหลังฮ่องเต้ พากันกระจ่ายข่าวเสียหายออกไป จนตอนนี้ทุกคนมากกว่าครึ่งก็คิดเช่นนั้นไปแล้ว หากครานี้ฝนไม่ตกอีก ฮ่องเต้คงตกเป็นประเด็นในการพูดถึงอีกเช่นเคย บัลลังก์ของพระองค์ก็จะสั่นคลอนมากกว่าเดิม รอบนี้ดันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก หวังวั่งซูเลยคิดว่าอาจมีคนวางแผนไว้ให้พิธีกรรมวันนี้พังไม่เป็นท่า นักบวชนั้นไม่ใช่ว่าจะหามาเพิ่มไม่ได้ แต่ใกล้เปิดพิธีแล้วไม่น่าจะหาได้ทัน เพราะจากที่คาดการณ์ไว้นักบวชที่เขาเชิญมาใน

    Last Updated : 2025-01-26
  • ฮ่องเต้เพคะ หม่อมฉันเป็นนักบวช   ตอนที่ 13 ไม่แม้แต่จะมอง

    นางกัดฟันแน่น ใบหน้าสวยบิดเบี้ยวไม่น่ามอง ดวงตามีความไม่พอใจอยู่หลายส่วน อวี้ซูหนี่ตื่นแต่เช้ามาเตรียมตัวขนาดนี้พระองค์ไม่แม้แต่จะมองมา นางทำได้เพียงมองชายเสื้อของฮ่องเต้จากไปด้วยใจที่ขุ่นเคือง ไม่เป็นไรๆ พระองค์กำลังอยู่ในพิธีศักดิ์สิทธิ์ คงไม่มีเวลาสนใจรอบข้าง ยังไงหลังจากนี้นางยังมีโอกาสเอาตัวเองไปให้พระองค์ได้ยลโฉม เมื่อพิธีเสร็จสิ้นนางจะไปเดินไปหาฮ่องเต้ด้วยตนเอง เอาตัวเองไปอวดต่อหน้าพระพักตร์ จากนั้นก็ยกความดีความชอบในการจัดงานครั้งนี้มาเป็นของตน ก่อนหน้านี้บิดาของนางเองก็คงได้บอกฮ่องเต้ไปแล้วว่านางมีส่วนช่วยดูแลงานในครั้งนี้ หากฝนตกต้องตามฤดูกาลนางก็จะได้ความดีความชอบมากขึ้นไปอีก เรื่องพิธีในวันนี้สามารถเป็นประโยชน์ต่อนางในการขึ้นเป็นฮองเฮาในอนาคตได้ พอคิดได้ดังนั้นนางก็ใจเย็นลง ทอดสายตามองเพียงชายเสื้อคลุมของฮ่องเต้ที่เริ่มจากไปไกลแล้ว เมื่อฮ่องเต้เดินพ้นไปชาวบ้านที่มารอดูพิธีที่คราแรกก้มหัวลงถึงพื้นก็ยืดตัวขึ้น นั่งรอดูพิธีกรรมต่อไป ทางด้านนักบวชที่ตั้งแถวอยู่ทั้งหมดสี่แถวก็แหวกออกเป็นสองฝั่ง ในมือของแต่ละคนจะถือของไม่เหมือนกัน บ้างเป็นรวงข้าว บ้างเป็

    Last Updated : 2025-01-26
  • ฮ่องเต้เพคะ หม่อมฉันเป็นนักบวช   ตอนที่ 14 นิมิตรที่พลิกชะตา

    จูมี่เอินยืนก้มตัวรอรับขบวนเสด็จ ระหว่างรอนั้นที่หางตาก็เห็นผู้ที่เดินนำมาหน้าสุด ปลายอาภรณ์ของเขาเป็นสีทองสะท้อนกับแสงแดดจนแสบตา เจิดจ้าจนนางต้องหรี่ตาลงหลบแสงสีทองรอบตัวของคนผู้นั้น นี่สินะคือฮ่องเต้ของแคว้น คนที่มีบุญธิการเหนือผู้คนนับหมื่นนับแสน สมแล้วที่มีสายเลือดมังกร เพียงแค่เห็นปลายของฉลองพระองค์ยังทำให้ผู้คนหวั่นเกรงได้ถึงขนาดนี้ พรึบๆ จูมี่เอินภาวนาไม่ให้เห็นภาพนิมิตรตอนทำพิธีเพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด กลับไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ดั่งใจนึก ภาพนั้นชัดเจนแจ่มชัด เป็นครั้งที่สองที่เห็นสีสันเช่นนั้นในนิมิตรของตน นิมิตรที่นางเห็นคือบุรุษผู้นั้น ผู้ที่ทรงสวมอาภรณ์สีทองสว่างจนแสบตา นางมองเห็นแท่นพิธี ต่อมาก็เห็นแท่นพิธีพังลง ร่างสูงใหญ่เพียงร่างเดียวที่อยู่บนนั้นก็ตกลงไปด้วย เขาถูกแผ่นไม้ที่สร้างแท่นพิธีขึ้นมาทับถมหายไปในซากไม้ ยามนั้นก็มีฝนตกลงมาห่าใหญ่โดยไม่มีการตั้งเค้าจากฝนมาก่อน หมับ แต่ยังไม่ทันได้สติกลับมาจากในนิมิตรดี ขาสั้นๆ ก็ก้าวออกมาแทรกผ่านนักบวชคนอื่นจากแถวหลังขึ้นมาด้านหน้าด้วยสัญชาตญาณ จูมี่เอินเอื้อมมือออกไปคว้าแขนคนนั้นๆ ที่ก

    Last Updated : 2025-01-26
  • ฮ่องเต้เพคะ หม่อมฉันเป็นนักบวช   ตอนที่ 15 ถูกจับได้เสียแล้ว

    "ซาน เอ้อร์ อี" นางนับเลขถอยหลังให้เขาฟัง คลื่น ซ่า ฝนตกลงมาทันที ไม่มีการตั้งเค้ามาก่อน ชาวบ้านพากันส่งเสียงร้องด้วยความประหลาดใจ ยังไม่ทันเริ่มพิธีเลย ฝนก็ตกลงมา ทว่าดีใจได้เพียงชั่วครู่ต่างก็ต้องก็ต้องพากันเงียบเสียงลงทันที ครืนนนนนน เพล้ง เหรินโย่วหลุนหันไปมอง แท่นพิธีที่ทำจากไม้ยกสูงกว่าตัวคนที่มีผ้าปูไว้อย่างสวยงามพังลงมา กระถางธูปใหญ่สีเขียวที่ตกลงมาจากบนนั้น หล่นลงพื้นจนแตกละเอียด ไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าถ้าเขายืนอยู่บนนั้นจะโดนกองไม้ทับมาที่ตัวขนาดไหน ผู้คนคงลือออกไปในทางเสียๆ หายๆ ว่าแม้แต่แค่ทำพิธีกรรมฟ้ายังไม่อาจเป็นใจ ช่วยให้เขาทำพิธีได้สำเร็จ หรืออาจจะพากันพูดว่าพอฮ่องเต้ได้รับการลงโทษจากฟ้า เทพสวรรค์ก็ประทานฝนลงมาเป็นการเยาะเย้ยแทนกันแน่ จูมี่เอินมือสั่นตกใจ นางเองก็หันไปเห็นภาพซ้อนทับขึ้นมาจากในนิมิตร แต่นางกลับสามารถช่วยชายผู้นี้ไว้ได้อีกครา แท่นพีธีไม่ได้พังเมื่อฮ่องเต้ขึ้นไป แต่พังเพราะรับน้ำจากน้ำฝนที่กำลังตกลงมาไม่ไหว เป็นเพราะนางรั้งเขาไว้ได้ทัน ดียิ่งนัก ค่อยโล่งใจหน่อย จูมี่เอินหันกลับมามองมือของตน นางพยายามดึงมือกลับไป อยากหน

    Last Updated : 2025-01-26
  • ฮ่องเต้เพคะ หม่อมฉันเป็นนักบวช   ตอนที่ 16 ใครบอกว่าเจ้ามีดวงเป็นฮองเฮา?

    โรงเตี้ยมแห่งหนึ่ง อวี้ซูหนี่โกรธจัด ฝนบ้านั้นจู่ๆ ก็ตกลงมา แถมยังเกิดเรื่องผิดพลาดในงานขึ้นอีก แท่นพิธีดันล้มลงมาไม่เป็นท่า นางอุตส่าห์แต่งตัวกว่าหลายชั่วยามจนออกมาเป็นที่พอใจ พอจะได้ให้ฮ่องเต้ยลโฉมหน่อยฝนพวกนั้นก็ตกลงมาจนหน้าของนางเสียโฉมไปหมด "โอ้ย!" บ่าวโชคร้ายคนหนึ่งกลับถูกนางตีเพราะเรื่องในวันนี้ไม่ได้ดั่งใจ มือเรียวที่ถือแส้หวดออกไปไม่ยั้ง ไม่สามารถคลายโทสะในใจให้หายไปได้เลยสักนิด จนนางเหนื่อยไปแล้วนั้นแหละถึงยอมรามือ ร่างของบ่าวผู้โชคร้ายถูกหามออกไป จังหวะนั้นกลับมีทหารบุกเข้ามาในห้องของนาง ไม่ทันได้พูดอะไรบอกนางแม้สักนิด อวี้ซูหนี่ก็โดยลากตัวออกไปแล้ว "จะทำอะไร ปล่อยข้า ปล่อย! รู้หรือไม่ว่าบิดาของข้าเป็นใคร ข้าจะจัดการพวกเจ้าเสีย ปล่อยข้า! พวกชั้นต่ำเอามือสกปรกออกไปนะ ข้าจะสั่งตัดมือพวกเจ้าซะ!" นางโวยวายและดิ้นไปมา ซ้ำร้ายยังออกปากด่าทอทหารของฮ่องเต้เสียๆ หายๆ ไม่หยุดตลอดทาง บ่าวรับใช้ของนางที่ตัวยังเปียกน้ำฝนอยู่ก็ทำอะไรไม่ได้ ทำได้แต่ตามเจ้านายที่ถูกลากออกไป คนกลุ่มนั้นดูก็รู้ว่าเป็นคนของทางการ ใครจะกล้าไปขัดขวาง คุณหนูของพวกเขานั้นเรื่องด

    Last Updated : 2025-01-26

Latest chapter

  • ฮ่องเต้เพคะ หม่อมฉันเป็นนักบวช   ตอนพิเศษ 8

    วันสถาปนา กัวเจียงมิ่งยืนอยู่รวมกับผู้คนสองฟากฝั่งของทางเดินในงานพิธี ดวงตาคู่คมมองสตรีตัวเล็กที่แต่งชุดเต็มยศ บนหัวเล็กๆ นั้นประดับไปด้วยเครื่องหัวหลากชิ้น ท่าทางการเดินที่มั่งคง ใบหน้าที่เรียบนิ่งแต่เป็นมิตร อาภรณ์สีแดงสดที่นางสวมคือลายหงษ์ปักด้วยด้ายทอง พอเห็นลูกศิษย์ใส่ชุดนี้แล้วก็นึกถึงวันแรกที่เจอกัน ยามนั้นเด็กน้อยก็สวมชุดสีแดงอยู่บนหลังของอาชาตัวใหญ่ คนตัวเล็กควบม้ามาหานางที่ลอยน้ำมาติดอยู่ข้างทาง กระโดดลงจากม้าด้วยความคล่องแคล่ว ออกแรงลากนางให้ห่างจากแม่น้ำที่ไหลเชี่ยว "แม่นาง แม่นางทำใจดีๆ ไว้ ข้าจะช่วยท่านเอง" นั่นคือคำที่จูมี่เอินกล่าวกับนางในครั้งแรกที่เจอกัน กัวเจียงมิ่งคิดว่าตนจะตายอยู่ที่นั่นเสียแล้ว นางได้รับบาดเจ็บมีแผลหลายแห่งแล้วพลัดตกน้ำมาไกล อีกทั้งที่ซึ่งนางพยายามตะเกียกตะกายขึ้นมาจากแม่น้ำนั้นก็ห่างไกลไร้ผู้คน แถมทางด้านหน้าที่สตรีชุดแดงควบม้าผ่านมายังมีต้นไม้และหญ้าหนาทึบ ต่อให้มีคนผ่านมาก็ไม่น่ามองเห็นนาง ทว่าสตรีตัวเล็กผู้นี้มาจากไหนไม่รู้ ราวกับตั้งใจมาหานางโดยเฉพาะ คนตัวเล็กสั่งม้าให้นั่งลงแล้วยกนางที่ตัวใหญ่กว่าให้ขึ้นไ

  • ฮ่องเต้เพคะ หม่อมฉันเป็นนักบวช   ตอนพิเศษ 7

    "เพราะนางคือหัตถ์เซียน นามเดิมของอาจารย์คือกู่เฟยเซียน" จูมี่เอินได้รู้ความลับนี้ผ่านการมองเห็นของนางในช่วงจังหวะหนึ่งหลังจากที่ใช้ชีวิตอยู่กับอาจารย์มาสักพักแล้ว หลอมรวมกับที่เคยสังเกตการณ์ดูก็พบว่ากัวเจียงมิ่งนั้นสามารถทำให้คนเจ็บหายป่วยได้ในเร็ววันกว่าที่ตำราบอกไว้มากนัก "ตอนเด็กข้าเคยอ่านเจอเกี่ยวกับคนที่มีพลังวิเศษเหนือคนทั่วไป นั่นเป็นครั้งแรกที่ข้าได้สัมผัสความรู้สึกดีอย่างหนึ่งว่าตนเองไม่ใช่คนที่แตกต่างจากคนอื่น ยังมีอีกหลายคนที่คล้ายกันกับข้า คราแรกที่ได้อ่านข้าสะดุดชื่อของนางและความสามารถของนางเป็นที่สุด ตอนที่ได้เจอกันข้ายังไม่รู้ว่านางคือคนที่ข้าเคยอ่านเจอในตำรา แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งในนิมิตร ข้าเห็นคนเจ็บและคนผู้นั้นไม่รอด ข้าพยายามเปลี่ยนนิมิตร ต่อมาจึงเกิดนิมิตรใหม่ขึ้น ในนิมิตรที่สองข้าไปช่วยคนเจ็บไว้แล้วพามาให้นางรักษา คนที่ไม่น่ารอดก็สามารถรอดได้อย่างปาฏิหาริย์ แต่เรื่องเหล่านั้นก็ไม่ได้เกิดขึ้นจริง เพราะข้าหาของไปขวางทางไว้ก่อนที่คนผู้นั้นจะเดินทางผ่านถนนเส้นหนึ่งซึ่งจะมีต้นไม้โค่นลงมาใส่เขา ภายหลังพอจับสังเกตดูและแน่ใจแล้วก็ลองถามท่านอาจารย์ออกไป นางก็เลยเล่

  • ฮ่องเต้เพคะ หม่อมฉันเป็นนักบวช   ตอนพิเศษ 6

    ...... วันต่อมาก็ได้เวลาเดินทางกลับวังหลวง รอบนี้มีอาจารย์และโม่โฉวติดตามกลับไปร่วมงานสถาปนาด้วย นอกเหนือจากนั้นแล้วยังมีคนเจ็บอีกคนที่ต้องพาเขากลับไปส่งบ้าน ซึ่งเป็นทางผ่านพอดี ที่รถม้าคันหน้า "กัวเจียงมิ่งท่านมายืนทำอะไรหน้ารถม้าผู้อื่น" เหรินโย่วหลุนเอามือพ่ายหลัง หันมองไปที่อื่น แสดงท่าทางวางอำนาจเต็มที่ แผ่รังสีความเป็นฮ่องเต้ที่มีมาแต่กำเนิดออกไปโดยรอบเพื่อกดดันสตรีชุดฟ้าหน้าไม่อายข้างกาย "สตรีก็ต้องนั่งไปกับสตรีด้วยกันสิ นู้น บุรุษไปขึ้นคันหลัง" กัวเจียงมิ่งเลียนแบบท่าทางเหรินโย่วหลุน นางหมุนตัวเอาหลังหันให้รถม้า ยืนเคียงข้างคนตัวสูงที่สูงเกือบเท่ากันแถมมือพ่ายหลังและหันหน้าไปทางเดียวกัน "สตรีหรือ? ท่านเหมือนสตรีตรงไหนกัน" รถม้าคันหลังนั้นมีคนเจ็บขึ้นไปก่อนแล้วและมีโม่โฉวเป็นคนคุมม้า ความจริงเขาก็ไม่ติดอะไรแม้รถม้าเก่ามากและจะต้องนั่งไปกับราษฎรของตนเอง แต่ที่นั่นไม่มีทั้งภรรยาไม่มีทั้งบุตรชาย เขาจึงไม่อยากไปนั่ง เขาห่างจากภรรยามาถึงสองปีแล้ว ได้อยู่ด้วยกันทั้งวันก็ยังคิดว่ายังไม่พออยู่ดี ยามนี้ยังต้องมานั่งแยกกันอีกเกือบสามวัน ยังไงเขาก็ไม่ยอม "เห

  • ฮ่องเต้เพคะ หม่อมฉันเป็นนักบวช   ตอนพิเศษ 5

    "เดี๋ยว! ท่านจะทำอันใด?" จูมี่เอินรีบเอาตัวไปยืนขวางโม่โฉวไว้ "เจ้าปกป้องเขา?" เหรินโย่วหลุนแทบไม่อยากเชื่อ "อย่าบอกนะว่าเขาเป็นพ่อของเด็กคนนั้น" ทั้งที่ได้ยินเต็มสองหูแล้ว แต่เขาก็ยังอยากจะถามย้ำให้แน่ใจอีกรอบ "ใช่...อย่า!" จูมี่เอินเห็นเหรินโย่วหลุนยกมือสั่งฟางอี้ให้เข้ามาทางโม่โฉวนางก็รีบเบี่ยงตัวปิดคนด้านหลังไว้มากกว่าเดิม "เขาเป็นพ่อบุญธรรม เป็นพ่อบุญธรรม!" ก่อนจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นนางรีบพูดต่อให้จบประโยค เพราะไม่คิดว่าก่อนหน้านี้เขาจะไม่เข้าใจจริงๆ ตอนนั้นฟางอี้ก็หยุดเท้าลงพอดี พร้อมกับเก็บมีดลับที่ดึงออกมาจากไหนไม่รู้กลับไป เพราะการเดินทางฮองเฮาบอกไม่ให้สะดุดตา จึงต้องเก็บดาบที่ใช้ประจำไว้ในรถม้า แต่เขาเป็นองครักษ์ส่วนพระองค์ย่อมไม่อาจปล่อยปะละเลยความปลอดภัยของฮ่องเต้ได้ จึงได้พกมีดสั้นที่ยาวจนถึงข้อศอกซ่อนไว้ในกายด้วย "?!" เหรินโย่วหลุนเลิกคิ้วขึ้นสูง ตอนที่ได้ยินจูมี่เอินบอกว่านั่นเป็นลูกนางเขาก็คาดเดาไปหลายอย่าง คิดว่าอาจเป็นลูกของเขาแต่เพราะท่าทางที่สนิทสนมของภรรยากับคนผู้นั้นดูไม่ปกติ แถมเด็กน้อยก็เรียกคนด้านหลังว่าท่านพ่อ แล้วภรรยาก็ดันมาบอกอีกว่

  • ฮ่องเต้เพคะ หม่อมฉันเป็นนักบวช   ตอนพิเศษ 4

    ....... "เจ้าอยู่ที่นี่มาตลอดหรือ" "ใช่แล้ว" จูมี่เอินยกกาชามาวางที่โต๊ะน้ำชา นั่งลงแล้วรินชาให้สามีก่อนจะรินให้ตัวเองทีหลัง "นี่ก็เป็นชาที่ข้าดื่มตลอดสองปีเช่นกัน ไม่หอมมาก หากแต่เมื่อลองได้จิบทีละนิดและมองออกไปที่ป่าไผ่ ต่อจากนั้นค่อยๆ หลับตาฟังเสียงลมที่กระทบผ่านไป ก็พอที่จะทำให้ชารสชาติธรรมดาเช่นนี้พิเศษขึ้นมามากกว่าเดิม ชนิดที่ว่าต่อให้หาที่ไหนก็หาไม่ได้อีกแล้ว" จูมี่เอินยกจอกชาขึ้นมาจิบทำท่าหลับตาพลางพูดอธิบายไปด้วย "..." เหรินโย่วหลุนก็ลองทำตาม จิบชามองป่าไผ่ หลับตาและฟังเสียงลมที่กระทบกับใบของต้นไผ่ "สงบยิ่งนัก" แถมยังได้กลิ่นของธรรมชาติที่สดชื่นลอยมาตามลมด้วย จูมี่เอินเองสองปีกว่าที่ผ่านมา ทุกครั้งที่มีเวลาว่างมานั่งจิบชาและได้ใช้เวลาอยู่กับตนเอง เมื่อจิบชาไปด้วยแล้วได้มองป่าไผ่ ทั้งที่ทำให้รู้สึกสบายใจแต่กลับทำให้นางนึกถึงสามีทุกครั้ง หลังจากที่มานั่งจิบชาคนเดียวทีไรต่อมานางก็จะต้องหาอะไรทำเพื่อไม่ให้ตัวเองได้มีเวลาคิดถึงเขาอีก ช่างเป็นช่วงเวลาที่สงบสุขแต่ก็เศร้าใจในคราเดียว "เสียดายที่ไม่มีท่านอยู่ที่นี่" จูมี่เอินเอ่ยความรู้สึกออกมาจากใจจริง ลืมตาข

  • ฮ่องเต้เพคะ หม่อมฉันเป็นนักบวช   ตอนพิเศษ 3

    ....... การเดินทางด้วยรถม้าเพื่อมาที่หมู่บ้านตงนั้นใช้เวลาเกือบสามวันเพราะมีแวะพักบ้าง ไม่เหมือนกับตอนแรกที่เหรินโย่วหลุนเร่งเดินทางอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อแบกภรรยากลับวังในตอนนั้น แต่ก็ใช้เวลาไม่นานเกินที่คาดการณ์ไว้พวกเขาก็มาถึง หน้าโรงหมอกัว หมู่บ้านตง "แปลกจัง..." จูมี่เอินที่ถูกเหรินโย่วหลุนประคองลงรถม้ามาก็มองไปที่รั้วไม้ไผ่ของโรงหมอซึ่งถูกเปิดแง้มไว้ "มีอะไรผิดปกติหรือ?" เหรินโย่วหลุนถามพลางยกมือขึ้นในระดับหัว เตรียมจะส่งสัญญาณให้องครักษ์เงาของตนที่แอบอยู่รอบตัวบุกเข้าไปด้านใน "เดี๋ยว!" ดีที่จูมี่เอินสังเกตทัน รีบยกมือดึงแขนของเขาลงทันที พอห้ามคนสั่งการได้แล้วนางก็ผ่อนลมหายใจออกมาแผ่วเบา เกือบเป็นเรื่องไปเสียแล้ว "ข้าแค่แปลกใจเล็กน้อย อาจารย์ปกติมักจะเอาแต่นั่งดื่มชามองต้นไผ่อยู่ที่โต๊ะน้ำชาตรงนั้นและไม่ค่อยเปิดรั้วทิ้งไว้ แต่บางทีนางอาจไปพักด้านในแล้วก็ได้" "อ่อ..." เหรินโย่วหลุนลากเสียงยาว ที่แท้นอกจากปากเสียแล้วก็ไม่ทำอะไรนอกจากจิบชาสินะ เป็นคนที่ขี้เกียจเสียจริง จูมี่เอินเปิดประตูเข้าไปด้วยความเคยชินและออกตัวเดินนำไปก่อน เมื่อได้กลับมา

  • ฮ่องเต้เพคะ หม่อมฉันเป็นนักบวช   ตอนพิเศษ 2

    ....... รถม้าเดินทางออกจากวังแล้ว จูมี่เอินเลือกรถม้าที่ดูธรรมดาที่สุดแต่ก็ยังถือว่าค่อนข้างเตะตาไม่น้อย การเดินทางรอบนี้มีเพียงฟางอี้ที่เป็นคนขับรถม้าตามมาด้วยเท่านั้น เพราะจูมี่เอินไม่อยากให้สะดุดตา แต่นางก็รู้ว่าสามีได้เตรียมองครักษ์เงาให้ตามอยู่ห่างๆ แล้ว "ข้างนอกคึกคักยิ่งนัก" จูมี่เอินเลิกม่านมองดูเมืองหลวงที่ตนไม่ได้กลับมานานถึงสองปี ตื่นเต้นจนถึงขั้นเกาะขอบหน้าต่างดูเหมือนเด็กน้อยที่ไม่เคยออกจากบ้าน "อดีตผู้สำเร็จราชการแทนทำงานได้ดี" เหรินโย่วหลุนยามนี้ใส่ชุดสีเขียวอ่อนกำลังนั่งกอดอกพิงพนักที่นั่งและมองดูด้านนอกรถม้าเช่นกัน ตอนนี้คือยามอู่[1] ผู้คนเลยสัญจรไปมาค่อนข้างมาก ของขายข้างทางก็มีไม่น้อย เหรินโย่วหลุนเองก็รู้สึกแปลกตาเช่นกัน แต่ก็รักษาท่าทีสุขุมไว้ ([1] ยามอู่ 11.00 น. -12.59 น.) "..." จูมี่เอินนิ่งไปสักพักเมื่อเห็นสตรีงดงามผู้หนึ่งเดินเคียงมากับบุรุษที่เหมือนจะคุ้นหน้าก็ขมวดคิ้วมอง "อาหลุน คนนั้นไม่ใช่...ฟู่เจาหยางกระมัง" "..."เหรินโย่วหลุนทันทีที่ได้ยินชื่อบุรุษอื่นออกจากปากของภรรยาก็หรี่ตาลงด้วยความไม่สบอารมณ์ ขยับเอนตัวไปมองผ่านศีรษะขอ

  • ฮ่องเต้เพคะ หม่อมฉันเป็นนักบวช   ตอนพิเศษ 1

    ตอนพิเศษ 1 หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป เหรินโย่วหลุนเห็นถิงถิงวิ่งเข้ามาขอเข้าเฝ้าหน้าตื่นก็ลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมา ด้วยวางใจว่าตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา ภรรยาดูท่าตกลงปลงใจจะอยู่กับเขาไม่หนีไปไหนอีก เขาจึงกลับมาทำงานดังเดิม แต่ท่าทางของถิงถิงก็ทำกังวลขึ้นมา เหรินโย่วหลุนไม่แม้แต่จะรอเรื่องที่ถิงถิงได้รายงานก็รีบวิ่งออกจากห้องทรงงานของตนไปแล้ว เป็นดังคาด เมื่อเข้ามาถึงที่ห้องก็พบว่าภรรยากำลังเก็บเสื้อผ้าอยู่ "มี่เอิน เจ้าจะไปไหน!!!" เหรินโย่วหลุนตะโกนลั่นตำหนัก ดังไปไกลหลายจั้ง[1] ทำเอาคนที่กำลังหันหลังจัดห่อผ้าอยู่สะดุ้งเฮือก "อาหลุน..." คนตัวเล็กหันมาเรียกหาเขาเสียงเบา ตอนแรกยังยกยิ้มตาหยีส่งไปเพื่อระงับโทสะของอีกฝ่าย หากแต่เมื่อเห็นสามีเดินหน้าตั้งเข้ามาหาด้วยใบหน้าโกรธขึงนางก็หุบยิ้มลง หมุนกายรีบปีนหนีขึ้นเตียงไป ด้วยความตัวเล็กท่าทางตอนหนีเลยดูเหมือนกระต่ายน้อยกำลังกระโดดไปมา "ท่าน ท่าน! ใจเย็นก่อน" นางร้องเสียงหลง ไต่ตัวเข้าไปด้านในสุดของเตียง แต่พบว่าตนเองตัดสินใจผิดเสียแล้ว นอกจากทางที่เพิ่งขึ้นมาเมื่อครู่ รอบด้านก็ไม่มีทางให้หลบหนีอีก "จะหนีไปไหนอีก" เ

  • ฮ่องเต้เพคะ หม่อมฉันเป็นนักบวช   167 สัญญาที่จะอยู่ด้วยกันจนผมขาวนั้น จะคงเป็นนิรันดร์ตลอดไป (จบบริบูรณ์)

    จูมี่เอินยืนนิ่ง จ้องมองบานประตูตำหนักของเหรินเยว่เทียนเพราะเพิ่งโดนไล่ออกมา ก่อนจะหันมองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังของตน เอาเถอะ แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังโดนไล่ออกมา นางเองก็ควรปล่อยให้เหรินเยว่เทียนได้พักผ่อน จูมี่เอินจึงคิดจะกลับตำหนักของตนเอง "จะไปที่ใด?" เหรินโย่วหลุนเพียงแค่เห็นภรรยาขยับกายก็เอ่ยปากถามอีกรอบ วันนี้เขาพูดประโยคนี้ไปกี่ครั้งแล้วก็ไม่อาจนับได้ครบ "กลับตำหนัก" ความจริงแล้วเหรินโย่วหลุนไม่น่าถาม ที่ที่จูมี่เอินจะไปก็มีแค่ตำหนักของตนเองเท่านั้น หรือในตอนนี้ก็คือตำหนักบรรทมของฮ่องเต้นั่นเอง เพราะเขาไม่ยอมให้นางย้ายไปอยู่ที่ตำหนักในวังหลังเหมือนเมื่อก่อน กฏวังหลังถูกเขาเมินไปเสียแล้ว ครั้นพอได้นึกถึงก็คิดว่าที่แห่งนั้นยามนี้ต่อให้ไม่เหมือนในนิมิตรที่ถูกรื้อจนไม่เหลือเค้าเดิม แต่ก็คงเงียบเหงาไม่ต่างกัน พอคนตัวเล็กเดินนำ เหรินโย่วหลุนก็เดินตาม "..." ระหว่างทางเขาก็มองท้องฟ้า ยังไม่มืด หันมองภรรยาที่ร่างกายยังไม่หายดีจากรอยช้ำที่เขาทำไว้ก็ได้แต่ถอนหายใจเบาๆ หากรู้ว่าเรื่องจะมาถึงยามที่เขาและนางสามารถกลับมาอยู่ด้วยกันได้ปกติโดยที่นางไม่คิดหนีไปอีก หลายวันที่

Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status