“บัลลังก์เป็นสิ่งที่ข้าต้องการ และสิ่งที่ข้าต้องทำต่อจากการนั่งบัลลังก์ก็คือมอบสิ่งนี้ให้แก่ท่าน”
ไทเฮารับพาน มาถือไว้ด้วยมืออันสั่นเทา
ชินอ๋องสะบัดชายเสื้อเดินออกจากตำหนักด้วยใบหน้าเศร้าหมองมองขึ้นไปบนฟ้ากว้าง
ความแค้นที่ถูกชำระลงไปในวันนี้ เหตุใดทำจิตใจเขาเศร้าหมองยิ่งสิ่งที่ได้มาต้องแลกกับอะไรมากมาย แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้จิตใจของ ชินอ๋องรู้สึกมีสุขและสว่างดังแสงเทียนยามค่ำคืน คือใบหน้าหวานสวยของแพรวาที่ลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้า
ไทเฮาคลี่ผ้าขาวออกก่อนจะโยนผ้าขาวฟาดบนขื่อคา ผูกให้เป็นบ่วงสอดลำคอระหงลงบนบ่วงผ้าขาว
หลับตาลงบนช้าช้า
“เซี้ยนตี้ข้ากำลังจะตามท่านไปมารับข้าด้วย"................................................................
ตำหนักใหญ่
“พบตัวนางหรือยัง"
เสียงตื่นเต้นดีใจเมื่อทหารองครักษ์เดินเข้ามาภายในตำหนัก
“หานางไม่พบ พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
“เจ้าแน่ใจแล้วรึ”
“ค้นจนทั่วเขตวังหลวง แต่ไม่มีแม้เงาของข้าหลวงหญิงเฟยลี่ ก่อนนั้นมีคนเห็นหญิงสาวลักษณะเหมือนแม่นางเฟยลี่หนีไปพร้อมกับหยางหลงที่สวมชุดขันที”
กำปั้นถูกทุบลงบนพื้นโต๊ะ
“ไม่ผิดแน่ใช่ไหม”
“ขันทีหน้าห้องหลายคนยืนยันว่านางอยู่ในห้องบรรทมของหยางหลงก่อนที่เราจะเข้ามา”
“ส่งคนออกไปสืบ นำรูปของนางติดประกาศให้ทั่วรวมทั้งรูปของหยางหลงหากผู้ใดพบเห็นนางและหยางหลงนำตัวกลับมาที่วังหลวง ข้ามีรางวัลให้แก้ผู้ที่นำนางกลับมา”
“น้อมบัญชาฝ่าบาท"
ทหารองครักษ์ถอยห่างออกไป
“นำตัวใต้เท้าจางเข้ามาพบข้า”
ใต้เท้าจางบิดาของสนมฮุ่ยเดินเข้ามาด้วยท่าทีนอบน้อม ก่อนจะคุกเข่าลงกับพื้น
“ขุนนางจางถวายพระพรฝ่าบาท ทรงพระเจริญพันปี”
ชินอ๋องยิ้มอย่างผู้มีชัยอย่างน้อยใต้เท้าจางคนนี้ก็เหมือนกิ้งก่า ตุ๊กแก ที่รู้จักเปลี่ยนสีเข้ากับสถานการณ์ ที่แรกเขานึกว่าตัวเองต้องเหนื่อยหนักจึงได้กักตัวสนมฮุ่ยไว้เพื่อต่อรองบัดนี้เมื่อเห็นหน้าขุนนางผู้นี้แล้วกับคิดว่าเขาคาดการณ์ผิดไป
“เจ้ามีเรื่องอันใด”
“ฝ่าบาท ข้าพระองค์เพียงมาถวายพระพรฝ่าบาทก็เท่านั้น”
ชินอ๋องยิ้มที่มุมปาก
“ไม่เสียที ที่อยู่รับใช้ราชสำนักมายาวนานท่านช่างรู้ช่วงเวลาไหนรุก ช่วงเวลาไหนถอย”
ใต้เท้าจางยิ้มอย่างเปิดเผย
“ฝ่าบาททรงพระปรีชา ข้าพระองค์นับถือจริงจริง”
“ว่ามาเจ้าต้องการอะไรแลกเปลี่ยนกับการสนับสนุนข้า ในการนั่งบัลลังก์นี้”
“ข้าจางหวัง เปรียบเหมือนไม้ใกล้ฝั่งรู้เพียงแต่ฝ่าบาทเปรียบเหมือนต้นกล้าที่พร้อมงอกงาม ข้าหารือกับสามตระกูลใหญ่แล้ว ว่าจะ สนับสนุนฝ่าบาทให้นั่งบัลลังก์และครองแผ่นดินแต่ข้ามีเรื่องอยากให้ฝ่าบาททรงพระเมตตาเรื่องลูกสาวข้าสนมฮุ่ย โปรดปล่อยตัวนางจากที่คุมขังนาง เคยอยู่สบายแบกรับความลำบากไม่ไหว”
“แค่นี้ใช่ไหม... ที่จะขอ”
“ด้วยพระปรีชาของฝ่าบาทตอนนี้ ข้าไม่อาจต่อรองเพียงแต่ขอความเมตตาจากฝ่าบาทข้ามีลูกสาวเพียงคนเดียว”
“ความจริง ข้าไม่ได้ติดใจหรือมีเรื่องบาดหมางกับสนมฮุ่ยข้าจึงไม่อยากกักตัวนางไว้แต่อย่างใด หากใต้เท้าจางมีความจริงใจอย่างนี้ข้าคง ไม่อาจกักตัวนางต่อไป”
ใต้เท้าจาง ก้มลงหมอบกับพื้น
“ข้าใต้เท้าจางจะภักดีจนชีวิตหาไม่”
ชินอ๋องหลุบตามองอย่างสมเพช คิดไม่ถึงว่าทุกอย่างจะง่ายดายเพียงนี้
“ข้าส่งท่านทั้งคู่ได้เพียงเท่านี้ อีกไม่กี่ลี้ข้างหน้าจะเป็นหน้าด่านที่นั่นท่านทั้งสองคงไม่ลำบาก”
คนนำทางชี้ไม้ชี้มือบอกเส้นทางแก่หยางหลง
โยนห่อผ้าให้หยางหลงและแพรวา
“เปลี่ยนเสื้อผ้าเสีย ท่านทั้งคู่จะลำบากหากมีใครรู้ว่าท่านหนีออกมา ใช้ชีวิตผัวเมียข้ารู้ว่าขันทีกับนางในมักมีเรื่องแบบนี้บ่อยบ่อยไม่น่าแปลกใจแต่ที่แปลกใจคือท่านทั้งคู่นี่จะใช้ชีวิตอย่างไรในป่าเขา ข้าว่าท่านสองคนคงทำอะไรไม่เป็น ไร่นารึก็คงไม่เคยทำ”
“ข้าพอมีทุนนิดหน่อย เราจะค้าขายกันที่เมืองหน้าด่าน”
“ขอให้ท่านโชคดี”
ชายคนนำทางพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะจากไป
ป่าไผ่รกครึ้ม ใบไผ่สีน้ำตาลร่วงลงบนพื้นจนมองไม่เห็นพื้นดิน ม้าเยาะย่างอย่างอ่อนแรงไปบนใบไผ่เสียงดังกรอบแกรบ แพรวาริมฝีปากแห้งผากอยากจะดื่มน้ำใจแทบขาด หยางหลงเฝ้าถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง เทือกเขาเขาสูงหลายสิบลูกเบื้องหน้าไม่อาจคาดเดาได้ว่าจะมีแหล่งน้ำ หยางหลงผูกม้าไว้ที่กอไผ่ปล่อยให้มันเลาะเล็มยอดไผ่อ่อนแพรวามีไข้สูง ด้วยอากาศข้างนอกค่อนข้างเย็นและไม่ได้ถือเอาเสื้อคลุมติดมาด้วยเพราะความรีบร้อนนั่นเอง
“ฝ่าบาทหนีไป เสี่ยวโอเป็นอย่างไรบ้างหนีไปเถอะเสี่ยวโอหนีไปด้วยกัน”
เสียงพร่ำเพ้อ หยางหลงนั่งประคองกอดแพรวาแน่นความร้อนจากพิษไข้แทรกซึมสู่ผิวกายหยางหลงไปด้วย แกะผ้าคาดเอวที่รัดชุดออกเพื่อผ่อนคลาย ผิวกายเนียนสวยไม่อาจปกปิดเพียงเพื่อระบายความร้อนจะหาน้ำที่ไหนมาเช็ดตัวระบายความร้อนให้ก็ไม่มี
แพรวา หนาวจนสะท้านหากแต่ตัวร้อนจี๋
“ฝ่าบาท ฝ่าบาท”
แพรวายังคงพร่ำเพ้ออยู่อย่างนั้นทั้งที่หลับตาอยู่
หยางหลงหมดหนทางแก้ไขเปลื้องผ้าตัวเองออกประคองกอดแพรวาแนบอกเปลือยเพื่อระบายความร้อนเข้าสู่ร่างกายเขาแทน
เขาไม่ใช่พระอิฐพระปูน หยางหลงกลืนน้ำลายลงคอครั้งแล้วครั้งเล่า ร่างสั่นสะท้านในอ้อมแขนกลิ่นกายสาว อมละมุนผิวเนื้อเนียน ที่เบียดชิดกับอกเปล่าเปลือยของเขา
แพรวายังเหมือนเด็กเด็ก ซุกใบหน้ากับซอกคอของคนกอดลมหายใจร้อนผะผ่าวรินรดต้นคอ จิตใจที่แกร่งดุจหินผาก็ไม่อาจต้านทาน แรงปรารถนา ได้ในเมื่อ จิตใจเศร้าหมองหมดหนทางเช่นนี้จะมัวแต่หักห้ามจิตใจไปทำไม หากเขาเป็นเจ้าของร่างสวยนี้แล้วแม้ตายลงตอนนี้ก็ไม่เสียดายชีวิต ก้มลงพรมจูบไปทั่วใบหน้าก่อนจะหยุดความหวานไว้ที่ริมฝีปากร้อนผ่าวนั้นเนิ่นนาน มือเย็นเฉียบซุกไซร้ลูบไล้ไปทั่วร่างนวลเนียนอย่างทะนุถนอม
คนป่วยเองเผยอริมฝีปากรับรสจูบ ลืมตาขึ้นมองร่างที่ทาบทับแบบครึ่งหลับครึ่งตื่นความคิดล่องลอยไปพร้อมกับความวาบหวาม หนักหน่วงที่หยางหลงบรรจงมอบให้ อากาศรอบกายแม้จะหนาวเหน็บหากแต่ในกายร้อนรุ่มด้วยไฟเสน่ห์หา
แพรวาเหมือนอยู่ในปุยเมฆหนานุ่มล่องลอยสู่ดินแดนที่มีแต่ดอกไม้ งดงามเบ่งบานอยู่รอบกาย หยางหลงอิ่มเอมสุขสมกอดร่างเล็กในอ้อมแขนแน่นเหมือนกลัวว่าจะถูกแย่งชิง แพรวายิ้มจางๆ เมื่อโดนกอดรุนแรงขนาดนั้นบางขณะเหมือนจะรู้สึกตัวรับรู้รักล้ำลึกนั้นแต่บางขณะเหมือนกับล่องลอย อาการป่วยหายไปร่างแนบชิดจนเกือบจะกายเป็นร่างเดียวกัน หยางหลงเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าความรักและความใคร่เมื่อมาบรรจบกันนั้นมันแสดงออกถึงพลังมหาศาล อย่างที่เขาไม่เคยรู้สึกกับหญิงใดมาก่อน
“ข้ารักเจ้าเฟยลี่ นางหนึ่งเดียว ในดวงใจของข้าต่อนี้ไป”
เมื่อรู้สึกถึงแรงกระแทกอย่างจังที่ระหว่างคิ้วแพรวา ก็รู้ว่าตัวเองได้ดำดิ่งลงสู่พื้นน้ำ นาฬิกาบนหน้าจอมือถือ หยุดเดินตรงที่เวลา 21นาฬิกา28นาที31วินาที สติสัมปชัญญะดับวูบลงไป ความหนาวเหน็บในเดือนธันวาคม เหมือนจะเสียดแทงแต่ความหนาวเหน็บจากน้ำรอบๆ กายยิ่งเลวร้ายกว่าน้ำตาที่เอ่อนองอยู่เต็มตา เจือจางไปด้วยน้ำในแม่น้ำกลิ่นหอมขจรขจาย คล้ายกลิ่นมะลิ โชยมาอ่อนๆ ความหนาวเหน็บยังคงอยู่ แพรวา กวาดสายตามองรอบๆ ตัว เตียงนอนไม่สูงนักที่เธอนอนอยู่กลิ่นหอมที่ได้กลิ่นเมื่อกี้ คงมาจาก อ่างสีทองใบใหญ่ ใส่น้ำลอยดอกอะไรสักอย่างสีแดงเข้มไว้ข้างๆ อ่างทองใบนั้นมีกำยานถูกจุดไว้ควันสีขาวลอยอ้อยอิ่ง ยังไม่ทันขยับตัวสายตาไปสะดุดลงที่ร่างสูงที่ยืนหันหลังให้ความผึ่งผายของแผ่นหลังชวนให้อยากเห็นใบหน้าเจ้าของร่างแต่อาภรณ์ที่สวมใส่เหมือนกับหลุดมาจากหนังจีนกำลังภายใน เธอพยุงกายลุกขึ้นเสียงเตียงลั่นดังออดแอด ร่างสูงหันกลับมา ตาคมจ้องเขม็งมาที่เธอ ใบหน้าหล่อเหลา สะอาดตา คิ้วเข็มขมวดเข้าหากันเพียงเสี้ยววินาทีเธอเห็นสายตาห่วงใย แล้วก็แปรเปลี่ยนไปเป็นสายตาคมกริบปนไปด้วยความฉงนเหมือนเดิม“ฟื้นแล้วรึเจ้า นอนไปหลายวันเชียว ข้
“ความจริงฉัน ฉันแค่”“ฉันๆ อะไรของเจ้า ข้าไม่เข้าใจ พักผ่อนไปเหอะข้ามีราชการประชุมขุนนางเร่งด่วน วันนี้แค่แวะมาดูฟื้นก็ดีแล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยสอบสวนกันต่อ" แพรวา อยากตะโกนให้ร่างสูงนั้นอยู่คุยกับเธอก่อนแต่ไม่ทันเสียแล้วพริบตาเดียว เจ้าของแววตาอบอุ่นทว่าปากคอจัดจ้านก็ก้าวขาพ้นธรณีประตูออกไป ทิ้งไว้ให้ความสงสัยอยู่กับเธอเพียงลำพัง รอบกายถูกห้องล้อมด้วยคนแปลกหน้า สองสาวในชุดจีนรุ่มร่าม นั่งพับเพียบอยู่ข้างเตียง ลุกขึ้นยืนกดตัวเธอนอนลง ลองหยิกแขนตัวเองเบาๆ ถึงกับร้องโอ๊ยมันเจ็บจริงอะไรจริง“นอนเถอะเจ้าค่ะ เดี๋ยวจะหาข้าวต้มร้อนๆ มาให้ทาน เดี๋ยว ฮ่องเต้ กลับมาจะโดนตำหนิเอาได้ พระองค์ให้ดูแลเจ้าอย่างดี ให้พักผ่อนให้จงหนักเจ้าค่ะ”เธอทะลึ่งพรวดขึ้นมามองคนพูด นี่แต่ล่ะคนแปลกๆ ทั้งนั้นพูดคล้ายลิเกชอบกลเป็นคนต่างจังหวัดก็ไม่น่าจะใช่ด้วยคำพูดคล้ายคนโบราณเหมือนจะตั้งใจและเคยชินในการพูด“ฮ่องเต้อะไร คือใคร”เธอยิงคำถามทันทีสาวใช้สองคนทำหน้างุนงงสงสัย อ้าวๆ ๆ ถามไม่ตอบเสียได้เดินหลบเลี่ยงออกจากห้องทั้งคู่ก่อนที่ประตูแบบในหนังจีนถูกปิดลง แพรวาสงสัยเป็นหนักหนาอะไรพาเธอมาอยู่ตรงนี้จะหาคำตอบจากใครได
“เด็กๆ ตบปาก”เสียงเข้มทรงอำนาจ หญิงสองสามคนตรงเข้ามาจับตัวแพรวาไว้ทั้งแขนขา ป้าร่างอวบอ้วนเดินเงื้อมือมาแต่ไกล“จะทำอะไรฉันปล่อยนะ”เอาจริงแน่เลย มืออวบอูมเกือบฟาดลงบนปากสวยของแพรวา โหดร้ายเธอป่วยอยู่นะถ้าไม่มีเสียงขานดังมาขัดจังหวะ“ฮ่องเต้ เสด็จ”มืออ้วนๆ ชะงัก“ปล่อยนาง”คนตัวสูงเดินสาวเท้ายาวๆ เข้ามาอย่างรวดเร็ว“คารวะฮ่องเต้ทรงพระเจริญหมื่นปี”ประสานเสียงพร้อมเพรียงกัน“นางทำอะไรผิด หรือเสด็จแม่”ไทเฮามองหน้าลูกชายด้วยแววตาสนเท่ห์“วาจานาง ต่างจากพวกชนชั้นสูง หยาบคาย ทั้งกิริยาไม่น่ามอง”“เพียงเท่านี้ท่านก็กล่าวโทษนางแล้วหรือ”“แม่ปกครองวังหลัง ฮ่องเต้ก็ทราบดี ถ้าแม่ไม่ลงโทษนางต่อไปใครจะเกรงกลัว หยางหลงฮ่องเต้ก็รีบแต่งตั้งฮองเฮาเสียแม่จะได้วางใจ”“นางไม่มีตำแหน่งใดๆ ไม่รู้ที่มาที่ไป อีกทั้ง ไม่ใช่คนในวังต้องห้ามหรือวังใดๆ แล้วยังล้มป่วย เสด็จแม่จะลงทัณฑ์คนป่วยไข้ได้อีกหรือพ่ะย่ะค่ะ”ไทเฮา ระงับอารมณ์โกรธได้แต่ หันหน้าไปทางอื่น“กษัตริย์ตัดแล้วไม่คืนคำ แม่เป็นแม่กษัตริย์ฮ่องเต้จะให้แม่คืนคำได้หรือ”“เสด็จแม่กดดันลูก อย่างนั้นไม่สู้ ลูก... แต่งตั้งนางเป็น ฮองเฮาเสียดีกว่า” นั่งลง
“เจ้าเขินอายเยี่ยงนี้ ข้าไม่กวนใจเจ้าแล้ว”โอ้โห้ขึ้นเลยสำคัญตัวผิด“ใครบอก ฝ่าบาทพูดเองคิดเอง ข้าพระองค์แค่คิดถึง...คนรักเก่า”คิ้วคมขมวดเข้าหากันแสดงอาการไม่พอใจ“เจ้าเมื่อมาอยู่ในตำหนักข้า ก็คงจิตใจบอบซ้ำจะคิดฆ่าตัวตายก็ไม่แปลก แต่คำพูดนั้นตรงไปหน่อย กิริยาไม่แน่ว่าเป็นหญิงงาม”ล้ำลึกจริงๆ คำพูด“การเป็นหญิงงามก็เหมือนดอกเหมยยามโดนลมหนาว ไหวเอนก็เพียงนิดหน่อยจะแกว่งไกวก็คงไม่เหมาะ เพราะดอกเหมยถูกสร้างมาเพียงเพื่อทานลมหนาว”โอ้แพรวา เจอ คำคมล้วนๆ เป็นดอกเหมยก็ขอเป็นดอกเหมยสีแดงละวะจัดจ้านดี“ฝ่าบาทว่าข้าพระองค์ฆ่าตัวตายมิสู้ เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมว่าหม่อมฉันตกลงไปในน้ำได้อย่างไร”“เจ้าร่วงลงมาจากสะพานหรือที่ไหนไม่อาจรู้ได้ อย่างนั้นข้าจึงเรียกเจ้าว่าเฟยลี่ ข้าเองกำลังหารือกับเสนาบดีอยู่ อากาศหนาวเช่นนั้นใครจะลงไปช่วย”นึกย้อนไปเมื่อครั้งรับเสื้อคลุมมาจาก เสี่ยวโอขันทีน้อย คลุมร่างบางที่เปียกปอนจนเสนาบดีสองสามคนต้องลงทุนคุกเข่าทัดทานว่าเสื้อคลุมมังกรจะใช้คลุมให้หญิงสาวนั้นไม่อาจทำการเป็น ผู้อยู่สูงสุดของแผ่นดีนี่มันยากลำบากนัก“แล้วฝ่าบาททรง เห็นวัตถุอื่นใดไหม”เผื่อจะเห็นรถคันโปรดของ
“หลานน้อมบัญชาเสด็จย่า”“กุ้ยเหริน เจ้ากลับไปก่อนย่ามีเรื่อง หารือกับฮ่องเต้เพียงลำพัง”“ลู่เอินกุ้ยเหริน ทูลลา” กิริยางดงามน่ามองเป็นที่ต้องตาของทั้งบุรุษและสตรี แม่ทั่วหล้าอาจมีเพียงหนึ่งเดียว แม้แต่พระอัยยิกายังพึงพระทัย แต่หาใช่กับฮ่องเต้ไม่“เห็นไหมล่ะเจ้าไม่อาจละเลยหญิงงามอย่างกุ้ยเหรินได้ งดงามหาหญิงใดเปรียบ อย่าเอาอดีต มาทำให้ชีวิต จมอยู่ในความเศร้า”“ลืมได้อาจไม่ลืม ไม่ลืมกลับอยากให้ลืม หลานยังคงยืนยันคำเดิมนางคือนางในดวงใจของหลานเพียงผู้เดียว”“ทำไมฮ่องเต้ยังคงดื้อรั้น ย่าและหลายคนพยายามที่จะสรรหาหญิงงามทั่วหล้าแต่ฮ่องเต้กลับใช้เวลากับพวกนางแค่เพียงหนึ่งคืน”“เป็นเพราะหลานไม่อาจลืม เหมยเจียงนางยังอยู่กับหลานตราบลมหายใจ”“ย่าจะคอยดู ว่าฮ่องเต้จะเป็นแบบนี้อีกสักเท่าไหร่ คนเรามีความรักได้ครั้งที่ร้อย ยิ่งป็นฮ่องเต้ความรัก ไม่ใช่ส่วนประกอบเดียว” รอยยิ้มมีเลศนัยของอัยยิกาทำเอา ฮ่องเต้เริ่มหวาดกลัวหัวใจของตัวเองแพรวานั่งนอนอยู่บนที่นอนจนเบื่อเดินออกมาภายนอกเห็นประตูไม่ได้ล็อก เดินไปบนทางเดินที่มีดอกไม้ที่แพรวาไม่เคยเห็นมาก่อนสองข้างทางสวยงาม ชุดรุ่มร่ามที่ใส่อยู่มองแปลกตาแต่สวยอย
แพรวามัวแต่มองคนที่เป็นฝ่าบาทจนชนเข้ากับคนที่ทำความเคารพ ล้มลงไปบนตัก อ้อมแขนของท่านโหวโอบรอบเอวบางด้วยความรวดเร็วแพรวายิ้มอย่างอายๆเกือบขายหน้า ฮ่องเต้ขยับตัวแต่กลับเปลี่ยนใจทำมาดนิ่งเหมือนเดิม“แม้นางจะยังไม่ได้รับการแต่งตั้งในตำแหน่งใด แต่นางก็พำนักอยู่ที่ตำหนักข้า ท่านโหวกรุณาแล้ว แต่ไม่อาจรบกวน”เดินมาฉุดร่างแพรวาขึ้นจากตักท่านโหวสายตาดุเข็มเชือดเฉือนกัน สงสัยจะไม่ค่อยลงรอยกันแพรวาคิด“ฝ่าบาท กล่าวเกินไปแล้ว โหวหยางจื้อมิกล้า เพียงเพราะบังเอิญได้มีโอกาสสนทนากับแม่นาง...เฟยลี่ จึงทราบว่าแม่นางแค่ผ่านมาพักพิงมิได้ดำรงตำแหน่งใดใดในวังหลัง”โอโห้ เชือดเฉือนเหมือนกัน ไม่เบาไม่เบา แต่ไม่ค่อยจะเข้าใจ ไอ้ที่พูดมาเลย พูดกันตรงๆไม่ได้เหรอ ปากก็บอกมิกล้าแต่ทำไมถึงเหมือนกับเหน็บแนมชอบกลประมาณว่าช้าไม่มีสิทธิ์ฮ่องเต้ก็ไม่มีสิทธิ์“อย่างนั้นข้าคงต้อง มอบตำแหน่งใดให้นางกัน ในเมื่อเจ้าก็ดูเหมือนจะพึงใจในตัวนาง”อะฮ้าพูดกันตรงๆ แบบนี้เลยเหรอฟะ เคยถามแพรวาสักคำไหมว่าพึงใจใครบ้างคงต้องขอเวลาทำใจแป็บเพิ่งจะอกหักมา“ในเมื่อฝ่าบาท เอ่ยมาเช่นนี้โหวหยางจื้อก็อยากเสนอตำแหน่งให้แม่นางเฟยลี่ ด้วยความมิบั
“ฝ่าบาท จะให้ทำอะไร”“เจ้าแค่ยอมเสียสละอิสรภาพตัวเจ้า เข้ามาอาศัยอยู่ในตำหนัก สวมบทบาทว่าเจ้าเป็น คนโปรด”“ทำไมต้องเป็นแบบนั้น”“ข้าไม่อาจขัดบัญชาไทฮองไทเฮา เรื่องการเลือกป้ายรายชื่อสนมให้มาคอยปรนนิบัติในแต่ละคืน”อ๋ออย่างนี้นี่เอง“ถ้าเจ้าสามารถทำให้พวกนาง ออกไปจากตำหนักได้ยิ่งเป็นการดี”“แล้วข้าพระองค์จะไม่ไปลำเส้นใครในนี้รึฝ่าบาท”“เจ้ายังกลัวใครอีกในเมื่อข้าคือ ฮ่องเต้ และเป็นผู้ที่ คอยปกป้องการกระทำของเจ้า”งานง่ายๆแค่เขี่ยพวกผู้หญิงของฮ่องเต้ให้กระเด็น“ข้าพระองค์จะได้อะไรเป็นรางวัล”"ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยากได้ และป้ายหยกนี้ ข้ามอบให้เจ้าเห็นป้ายหยกเสมือนเห็นตัวข้า”ว้าวๆ ๆ ๆ อำนาจในมือแพรวาตาวาว“ข้าจะแต่งตั้งให้เจ้าเป็นข้าหลวงหญิง และระหว่างนี้ไม่ว่ากับใคร เจ้าต้องแสดงท่าทีว่าเป็น...คนสนิท...และเป็นที่โปรดปรานของข้า” ตลกล่ะเพิ่งจะอกหักมาจะมีอารมณ์ทำเรื่องแบบนี้ไหม แล้วทางกลับบ้านของเธอเล่า ฮ่องเต้เหมือนจะจับสังเกตได้เมื่อแพรวาท่าทางเศร้าหมองลงอย่างเห็นได้ชัด“เจ้ามีครอบครัวหรือใครที่ต้องห่วงอยู่ที่ไหนหรือไม่ข้าจะให้คนของข้าไปแจ้งข่าวว่าเจ้าสบายดี”แพรวาส่ายหน้าน้ำตาร่วงกราวป่าน
“ลุกขึ้นไม่ต้องมากพิธี ข้ารอเจ้านานแล้วมาช่วยฝนหมึกให้ข้าหน่อย”แพรวาว่าง่ายเดินตามอย่างเป็นกันเอง ลี่มี่ถอยห่างออกมาก่อนจะปิดประตูลงกุ้ยเหรินมองด้วยสายตาน้อยเนื้อต่ำใจ“วันนี้พระองค์ทรงมีกุ้ยเหรินมาปรนนิบัติ ไยต้องเรียกหาข้าพระองค์ด้วย”โดนไปแล้วหนึ่งดอกหยั่งเชิงดูก่อนฮ่องเต้เชยคางมนเนียนละมุนมือก่อนจะก้มหน้าจนจมูกชนจมูกแพรวา เอาเปรียบเธอมากไปไหม“ใครจะทนคิดถึงข้าหลวงหญิงคนสนิทอย่างเจ้าได้ ร้อยหญิงงามไม่เท่าหนึ่งนางรู้ใจ”โอ้โห้จะลอยแล้วพระองค์แพรวายิ้มแบบฝืนทน ก่อนจะใช้ศอกกระทุ้งเบาๆให้ฮ่องเต้ปล่อยตัวเธอเพราะรู้สึกว่ามันจะเลยเถิดไปใหญ่กุ้ยเหรินกำมือที่ผสานกันแน่น“มาวันนี้เรามาคุยกันยันเช้าไปเลย”หาเอาอย่างนั้นเลยเหรอ แพรวาปรับสีหน้าให้แช่มชื่น“ใครที่ อยู่ข้างนอก ส่งกุ้ยเหรินกลับตำหนักวันนี้เราจะอยู่กับข้าหลวงเฟยลี่”อย่างนี้ก็ได้เหรอ คำประกาศิต เสี่ยวโอลนลานเข้ามาโดยเร็ว กุ้ยเหรินตาแดงๆแต่เมื่อลุกขึ้นยืนได้กลับเชิดคอตั้งตรงด้วยชาติกำเนิดหรือฐานันดรของนางแพรวาไม่อาจคาดเดาได้ ก่อนจะถวายความเคารพเดินเยื้องย่างตามแบบของนางในกุ้ยเหรินจากไปแพรวาขยับตัวจะออกจากห้องมาบ้าง“จะไปไหน”“
“บัลลังก์เป็นสิ่งที่ข้าต้องการ และสิ่งที่ข้าต้องทำต่อจากการนั่งบัลลังก์ก็คือมอบสิ่งนี้ให้แก่ท่าน”ไทเฮารับพาน มาถือไว้ด้วยมืออันสั่นเทาชินอ๋องสะบัดชายเสื้อเดินออกจากตำหนักด้วยใบหน้าเศร้าหมองมองขึ้นไปบนฟ้ากว้างความแค้นที่ถูกชำระลงไปในวันนี้ เหตุใดทำจิตใจเขาเศร้าหมองยิ่งสิ่งที่ได้มาต้องแลกกับอะไรมากมาย แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้จิตใจของ ชินอ๋องรู้สึกมีสุขและสว่างดังแสงเทียนยามค่ำคืน คือใบหน้าหวานสวยของแพรวาที่ลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้าไทเฮาคลี่ผ้าขาวออกก่อนจะโยนผ้าขาวฟาดบนขื่อคา ผูกให้เป็นบ่วงสอดลำคอระหงลงบนบ่วงผ้าขาวหลับตาลงบนช้าช้า“เซี้ยนตี้ข้ากำลังจะตามท่านไปมารับข้าด้วย"................................................................ตำหนักใหญ่“พบตัวนางหรือยัง"เสียงตื่นเต้นดีใจเมื่อทหารองครักษ์เดินเข้ามาภายในตำหนัก“หานางไม่พบ พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” “เจ้าแน่ใจแล้วรึ”“ค้นจนทั่วเขตวังหลวง แต่ไม่มีแม้เงาของข้าหลวงหญิงเฟยลี่ ก่อนนั้นมีคนเห็นหญิงสาวลักษณะเหมือนแม่นางเฟยลี่หนีไปพร้อมกับหยางหลงที่สวมชุดขันที”กำปั้นถูกทุบลงบนพื้นโต๊ะ“ไม่ผิดแน่ใช่ไหม”“ขันทีหน้าห้องหลายคนยืนยันว่านางอยู่ในห้องบรรทม
“ข้าขี่ม้าไม่เป็น”หยางหลงฮ่องเต้ไม่พูดพล่าม ตวัดแขนเกี่ยวเอวบางส่งขึ้นไปบนหลังม้าแล้วกระโดดขึ้นคร่อมบนหลังม้าตัวเดียวกัน“ให้นางไปกับข้า เชิญท่านนำทาง” ชายกลางคนมองคนทั้งคู่อย่างพิจารณา“ถ้า หากเป็นเช่นนี้ข้าคงต้อง ผูกม้าอีกตัวไว้ที่นี่ แต่การนั่งบนหลังม้าถึงสองคน ทำให้ม้าวิ่งได้ช้าลง“ไม่เป็นไรเราคงต้องอาศัย ท่านช่วยนำทางไปยังทางที่ไม่ใช่ทางหลักถึงจะไกลหน่อยแต่ข้ารับรองว่าท่าน จะได้สิ่งตอบแทนที่ท่านพอใจ”ชายกลางคนพยักหน้าก่อนจะขึ้นไปบนหลังม้าของตัวเอง กระตุกบังเหียนใช้ส้นเท้ากระแทกสีข้างม้าให้พุ่งทะยานไปข้างหน้า ฮ่องเต้ ควบม้าตาม ด้วยความรวดเร็วไม่แพ้กัน เสียงฝีเท้าม้าดังประสานเสียงพร้อมกับเสียงตะโกนกระตุ้นม้าให้วิ่งแพรวาพิงร่างลงบนอกของฮ่องเต้ระยะทางแสนไกลไม่มีที่สิ้นสุดหมอหลวงหอบห่อผ้าพะรุงพะรังไปยังสุสานบรรพชน แสงเทียนภายในห้องของหย่าจิ้งยังไม่มอดลง“หย่าจิ้ง ถึงเวลาที่ท่านกับข้าต้องรีบเดินทางเสียแล้ว”“ท่านหมายความว่าอย่างไร”“ตอนนี้ชินอ๋อง ได้บุกเข้าไปในวังหลวงและขึ้นนั่งบัลลังก์แทนหยางหลงเสียแล้วหากว่า หย่าจิ้งยังอยู่ที่นี่เกรงจะมีอันตรายถึงชีวิต เพราะไทฮองไทเฮาทรงอยู่เบื้องห
ค่ำคืนเปี่ยมสุขนั้น หยางหลงฮ่องเต้หลับใหลโดยข้างกายมีแพรวาเคียงข้างไม่ถึงหนึ่งชั่วยามความร้อนที่อยู่รอบกาย ทำเอาฮ่องเต้สะดุ้งตื่นจากนิทราหลับใหล มองเห็นเพียงแสงสว่างแดงฉานกับความร้อนที่ทวีความรุนแรง เสียงกระบี่กระทบกันดังเข้ามาใกล้เสียงวิ่งวุ่นวายแพรวางัวเงียตื่นขึ้นมาเหมือนกันเสี่ยวโอเปิดประตูเข้ามา ใบหน้าตื่นตระหนก“ฝ่าบาท ทรงเสด็จออกทางด้านหลังตำหนักขณะนี้ชินอ๋องนำทัพหน้าล้อมวังหลวงไว้ทุกด้าน หัวหน้าองครักษ์ให้ข้าพระองค์มาแจ้งข่าว และนำเสด็จ”“คุ้มกันฝ่าบาท คุ้มกันฝ่าบาท"เสียงตะโกนดังสนั่นใกล้เข้ามาทุกที่ภาพความทรงจำเก่าๆ ย้อนเข้ามาในหัวแพรวา อดไม่ได้ยกมือกุมขยับเสี่ยวโอโยนเสื้อผ้าขันทีลงตรงหน้าพระพักตร์ ก่อนจะคว้าเสื้อคลุมมังกรที่แขวนอยู่ขึ้นมาสวมทับชุดขันทีหยิบพระมาลาของฮ่องเต้ ที่ถอดวางไว้มาสวม“ฝ่าบาทเราไม่มีเวลาแล้ว ทรงสวมชุดขันทีแล้วหนีไปกับเจี่ยเจียข้าพระองค์วันนี้อยากเป็นฮ่องเต้ สวมชุดมังกรแทนท่าน”ยื่นหมวกขันทีส่งให้ฮ่องเต้“เสี่ยวโอ ข้าไม่อยากใช้เจ้าเป็นกำบัง”“ไม่มีเวลาคิดแล้ว แค่ให้ฝ่าบาทสามารถรอดจากเงื้อมมือของชินอ๋องได้และกลับมาทวงบัลลังก์คืนก็พอแล้ว”ปากก็พูดมือก
วาจาคล้ายจะหยั่งเชิง จับพิรุธจากคำพูด“นางตัวคนเดียว ไร้ที่พึ่งพิง”“เจ้าช่างรู้ดีว่าตัวคนเดียวไร้ที่พึ่ง”หมอหลวงรู้แล้วว่าตัวเองพลาดไปถนัดใจหาก ไทฮองไทเฮารู้ฐานะที่แท้จริงของแพรวาสิ่งที่ต้องแลกมาคงไม่อาจคาดเดา“พระองค์ทรง เป็นกังวลอะไรกับเด็กสาวไร้ที่มาเพียงคนเดียว"ไทฮองไทเฮา ยิ้มเยือกเย็น“ข้าไม่สนใจ แค่เพียงคนที่ไร้ที่มาหากนางไร้ที่มาจริงจริงและพอจะเข้าใจบางอย่าง ไม่รบกวนท่านแล้วไว้ข้ามีเรื่องขัดข้องอันใดคงได้ คำตอบจากท่านอีกเป็นแน่ แม้วันนี้ท่าทีของท่านไม่อยากตอบคำถามข้านักก็ตาม”หมอหลวงผู้นี้ต้องมีเรื่องใดปิดบังอยู่เป็นแน่แท้ หากจะคาดคั้นไปยิ่งเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นหมอหลวงจากมาด้วยการแบกรับภาระที่หนักอึ้งไทฮองไทเฮา เจ้าเล่ห์ฉลาดเฉลียวไม่แน่อาจระแคะระคายอะไรบางอย่างถึงตอนนี้เองต้องหาทางบอกกล่าวแพรวาไว้บ้างเพราะนางจะได้หาทางหนีทีไล่ไว้เขาเองก็คงช่วยไม่ได้มาก ยังมีอีกคนหมอหลวงสาวเท้าเดินออกนอกเส้นทางเพื่อไปยังสุสานบรรพชนหย่าจิ้งร่ายรำวิทยายุทธที่นางฝึกฝนมานานกระบี่ในมือกวัดแกว่งรวดเร็วจนเกิดการเสียดสีกับอากาศเกิดเสียงดัง ยามแกว่งไกวหมอหลวง หยุดอยู่เบื้องหลังก่อนที่ปลายกระบี่จะ
“ไม่จริงเสด็จย่า หลานหวังเพียงแต่นางเพียงผู้เดียว”ไทฮองไทเฮายิ้มเยือกเย็น“เป็นเช่นนั้นเจ้าต้องเร่งมือทำการ ใหญ่ให้สำเร็จเสียก่อนแล้วเฟยลี่ก็คง... ไม่พ้นมือเจ้า”ชินอ๋องจากไป ไทฮองไทเฮาเรียกองครักษ์คนสนิทเข้าพบหมุนแหวนหยกบนนิ้วชี้ไปมายิ้มโหดเหี้ยม“ข้าให้เจ้า สืบเรื่องของข้าหลวงหญิงไปถึงไหนแล้ว ป่านนี้ยังไม่มีความคืบหน้าใดใด”“ขอไทฮองไทเฮาโปรดอภัยข้าน้อยตามสืบเรื่องของข้าหลวงหญิงแต่ไร้ร่องรอยของนาง ไม่เพียงเท่านั้นยังไม่เคยมีใครได้พบเจอนางมาก่อน”ไทฮองไทเฮาตบ โต๊ะดังสนั่น“นางที่มาที่ไปไร้ร่องรอย นางเป็นใครกันแน่”“แต่ที่ประหลาดคือ ทุกทุกเดือนหมอหลวงจะนำยาเทียบหนึ่งมาให้นางเป็นประจำ และนางเองมักจะ มีเรื่องพูดคุยกับหมอหลวงเป็นประจำ”“ฮึฮึ.. อย่างนั้นข้าคงต้อง เรียกตัวหมอหลวงเข้าพบเสียทีดูว่าหมอหลวงเจ้าเล่ห์จะมีอะไรเกี่ยวข้องกับนาง ที่่บังอาจปิดบังข้าได้”เพียงครู่เดียวหมอหลวงชราก็อยู่ต่อหน้าไทฮองไทเฮา“ข้า จางจื้อเยว่หมอหลวง ถวายพระพรไทฮองไทเฮา อายุยืนหมื่นปีหมื่นปีมีเรื่องอันใดให้ข้าพระองค์รับใช้ข้าพระองค์น้อมรับบัญชา”ยิ้ม ที่เหมือนฉาบทาด้วยยาพิษ“ข้าไม่ใช่คนอ้อมค้อม เพียงแค่อยากรู
“ข้าน่าจะปล่อยให้ ชินอ๋อง ... บอกเจ้ากี่ครั้งนิสัยดื้อรั้นของเจ้าตำหนักข้าน่าเบื่อมากหรืออย่างไร เจ้าถึงต้องนั่งดื่มอยู่ ในตำหนักชินอ๋อง” แพรวาเม้มปากแน่นรู้ว่าผิดแล้วจะตอกย้ำทำไม สะบัดแขนใจให้หลุดจากการลากถูนั้นแต่เปล่าประโยชน์“แค่อยากออกมาเดินเล่นเท่านั้นพอดีเจอชินอ๋อง จะปฏิเสธอย่างไรเล่าในเมื่อเขาเป็นอนุชาของ ฝ่าบาท”ฮ่องเต้ถอนหายใจ“ในวังหลวงแห่งนี้ เจ้าคิดว่าใครบ้างที่จริงใจกับเจ้าเหมือนข้าต้องรู้จักระวังตน ไม่เช่นนั้นเจ้าอาจจะพลาดท่าเสียที จำเอาไว้ “แพรวา ทำตาละห้อยสำนึกผิดหากหยางหลงฮ่องเต้มาไม่ทัน จะเกิดอะไรขึ้นแพรวาไม่อาจคาดเดา“ลมหนาวแม้ พัดตามฤดูกาล หากแต่ก็มีช่วงเวลาที่พัดผ่านคนเราหากไม่รอเวลาที่เหมาะสมไหนเลยจะพบกับความสุข เจ้าอดทนรอ อีกสักนิด เมื่อเวลานั้นมาถึงทุกอย่างในวังหลวงแห่งนี้ข้าแบ่งให้เจ้าครึ่งหนึ่ง จะไปไหนทำอะไรข้าจะไม่หวงห้ามเจ้าเพียงแต่ตอนนี้เรายังไม่อาจคาดเดา หลายคนหลายฝ่ายได้เท่านั้นเอง”แพรวาพยักหน้า เป็นเชิงเข้าใจลี่มี่ประคองชินอ๋องก่อนจะเรียกให้หญิงรับใช้สองสามคนมาดูแล ยืนนิ่งมองด้วยความสงสารจับใจ หันหลังกลับเดินตามหยางหลงฮ่องเต้และแพรวา กลับวังหลวงด้ว
“ถาม ถามยังไม่หมด แล้วฝ่าบาททำไมถึง ...รักเหมยเจียง”แพรวาถามไปอย่างนั้นเพราะคิดคำถามไม่ออก ฮ่องเต้เลิกคิ้วสูงคาดไม่ถึงกับคำถามนั้น“เหมยเจียงเป็นสิ่งเดียวหลังจากที่ท่านแม่ตายไปนางเป็นทั้งเพื่อนเล่น และพี่สาวในเวลาเดียวกัน เหมยเจียงเป็นผู้ใหญ่เกินตัวทั้งยังมีจิตใจอ่อนโยนโอบอ้อมอารี”ดีเว่อร์ไปไหมถ้าเทียบกับแพรวา ที่ไม่มีคุณสมบัติที่ว่าเลยตำหนักไทฮองไทเฮา“ย่า ว่าเราคงต้องจัดการทุกอย่าง ให้มันเร็วขึ้นกว่าเดิมเสียแล้ว”ไทฮองไทเฮาใบหน้าเคร่งเครียด ยามที่เปล่งวาจาชินอ๋องก้มหน้านิ่งอย่างใช้ความคิด“เหมยหลิวไม่สามารถดำเนินแผนการให้สำเร็จได้ เพราะไทเฮาที่มาขัดขว้างนาง ช่างมาได้ถูกจังหวะทำให้แผนของเราปั่นป่วนตั้งแต่ครั้งที่แม่ของเจ้าต้องโทษให้ถูกจองจำในตำหนักเย็นก็เป็นไทเฮา”ชินอ๋องตาวาวโรจน์ด้วย อารมณ์คุกรุ่นภายใน เมื่อคำพูดเสียดแทงจิตใจ“หลานยังเตรียมการได้ไม่ดีเท่าที่ควร อยากให้เสด็จย่ารออีกสักระยะให้ทุกอย่างรัดกุมกว่านี้”ไทฮองไทเฮาทำเสียงจิจ๊ะ อย่างขัดใจ“ดอกเหมยจะงามเมื่อถึงเวลาเบ่งบาน เสด็จย่าโปรดรอวันที่หลานจะได้นั่งบัลลังก์”ไทฮองไทเฮายิ้มอย่างสมใจ“ถ้าเป็นเจ้าชินอ๋องหากว่าเซี้ยนตี้
เรามาทำความรู้จักกับ บรรดาผู้ที่เป็นตัวละครของเรื่องนี้กันค่ะฮ่องเต้ (หยางหลง) -ลูกของฮ่องเต้ องค์ก่อนที่ชิงบัลลังก์มาจากพ่อของแพรวา ซึ่งปู่ของแพรวาและฮ่องเต้ เป็นลูกพี่ลูกน้องกันแพรวา -อายุ หกขวบก็ เดินทางข้ามเวลามาที่ไทยโดยการกระโดดลงน้ำพร้อมกับ ฮองเฮาหย่าจิ้งผู้เป็นมารดา และพออายุได้18 ปีก็เดินทางกลับมายังที่เดิมอีกครั้งชินอ๋อง-น้องต่างมารดา ที่แม่เป็นสนมเอกของเซี้ยนตี้ (พ่อของหยางหลงฮ่องเต้) และตาเป็นถึง ขุนนางใหญ่ในราชสำนัก กุมอำนาจทางทหารไว้ทั้งหมด แต่ถูกเลี้ยงดูและ ฟูมฟักโดยไทฮองไทเฮาที่เป็นย่าเพราะชินอ๋องมีความเหมือนปู่ (ซึ่งเป็นปู่ของ หยางหลงฮ่องเต้ด้วย แต่หยางหลงฮ่องเต้ ได้นิสัยรักสงบจิตใจอ่อนโยนมาจากแม่) ชินอ๋องเป็นคนที่คนข้างเด็ดขาด และค่อนข้างโหดตามนิสัยทหาร ถ้าชินอ๋องมีความภักดี หยางหลงจะได้ทั้งฝ่ายบุ๋นและบู๋เลยที่เดียวโหวหยางจื้อ- น้องชายต่างมารดา ของหยางหลงฮ่องเต้ ซึ่งแม่เป็นสามัญชนเหมือนแม่ของหยางหลง แต่ เป็นที่โปรดปรานของเซี้ยนตี้ถึงกับแต่งตั้งให้เป็นกุ้ยเหริน มีความภักดีต่อพี่ชาย และ มักจะเก่งทางด้านบุ๋น เป็นเหมือนมันสมองของ หยางหลงไทเฮา- ผู้ที่ดำรงตำแหน่งฮองเฮ
“แน่เสียยิ่งกว่าแน่ ฮ่องเต้หลายฝ่ายเป็นห่วงเรื่องนี้ สักวันจะเสียทีให้กับคนที่คิดไม่ซื่อรีบแต่งตั้งสนมฮุ่ยเป็นฮองเฮา รีบมีรัชทายาท เมื่อนั้นก็ไม่มีใครทำอะไรฝ่าบาทได้ เมื่อตระกูลใหญ่ทั้งสี่สนับสนุน ฐานะบนบัลลังก์มั่นคงอย่างนั้น”นึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมาเป็นเพราะฮ่องเต้องค์เก่า ที่เหมือนกับหยางหลงเหลือเกินรักความสงบปกครองบ้านเมืองอย่างสงบสุข ไม่รบรากับใครเทิดทูนความรักไม่ยอมมีรัชทายาทกับสนมคนใดรอเพียงให้มีกับหย่าจิ้งคนเดียว ซึ่งนางก็ให้กำเนิดเพียงแค่องค์หญิง สุดท้ายก็ต้องถูก แย่งชิงบัลลังก์จากเซี้ยนตี้ ถอนหายใจอีกครั้งหรือว่าประวัติศาตร์จะซ้ำรอย“ลูกขอเวลาตรึกตรอง ตอนนี้เองฮุ่ยเหนียงก็ยังไม่พ้นมลทินคงต้องรอให้นางพิสูจน์ตัวเองเสียก่อน”“แม่หวังว่าฝ่าบาทจะคิดให้ถ้วนถี่เฟยลี่ฝ่าบาทจะให้นางดำรงตำแหน่งอะไรก็ได้ จะอยู่กับนางทุกคืนก็ได้นางให้ได้แค่ความสำราญ พระทัย แต่เพื่อความมั่นคงของฝ่าบาทต้องเป็นสนมฮุ่ยเท่านั้น”ไทเฮาจากไป ฮ่องเต้หนุ่มอยากจะไปบอกข่าวดีนี้แก่แพรวาเหลือเกิน แต่นึกถึงใบหน้าเย็นชานั้นเล่าจะหายไปหรือยังป่านนี้คงได้ข่าว เรื่องเหมยหลิวที่ เล็ดลอดออกไปแพร่สะพัดไปทั่ว หยางหลงฮ่องเต้