" มาแล้วเจ้าค่ะฮูหยิน " เจียวซิน เดินนำหน้าสาวใช้เข้ามาในห้องพร้อมนำอาหารวางบนโต๊ะจัดจานให้เรียบร้อย
" เชิญเจ้าคะ " " อืม " รับคำ แล้วหวังหลินจึงเดินเข้ามานั่งลงตรงที่ เจียวซินจัดเตรียมไว้ให้ ' อืม กินก่อนแล้วกัน ยังไง กองทัพก็ต้องเดินด้วยท้อง ' ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมเธอถึงรู้ จักสาวน้อยคนนี้ เพราะเป็นความทรงจําของ เจ้าของร่างเดิม ทั้งคนในครอบครัว กิจวัตรประจำวัน การเย็บปักถักร้อย การร่ายรำ เล่นเครื่องดนตรีทุกประเภท การทำอาหาร ทุกอย่างที่ จ้าวฟางลู่ เคยทำ เยหวังหลินก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน เจ้าของร่างนี้มีนามว่า ' จ้าวฟางลู่ ' เป็นบุตรตรีคนเล็กของท่านเจ้ากรมยุติธรรม ของแคว้นเหลียง อันเจริญรุ่งเรือง ' จ้าวเฟยเหยียน ' มีฮูหยินเพียงคนเดียวซึ่งได้จากไปตั้งแต่คลอดคุณหนูเล็ก แต่นั้นมาท่านเจ้ากรมก็ไม่มีฮูหยินรองไม่รับอนุ มีบุตรธิดาแค่ สามคน คุณชายใหญ่ อายุ 23 ' จ้าวเฟยเทียน ' รองเจ้ากรมยุติธรรม ผู้เที่ยงตรง เย็นชา พูดน้อย เก่งทั้งบุ๋นและบู้ ทนงองอาจ เป็นที่หมายปองของสตรีทั่วหล้า คุณชายรอง อายุ 21 ' จ้าวเฟยหลิง ' บัณฑิตหนุ่มรูปงาม อารมณ์ดี เจ้าเสน่ห์มากด้วยกลอุบาย รับตำแหน่งกุนซือหน้าหยก แห่งกองทัพทมิฬ คุณหนูเล็ก อายุ18 ' เจ้าฟางลู่ ' รูปโฉมงดงาม กิริยานุ่มนวนอ่อนหวาน เก่งงานบ้าน งานเรือนเย็บปักถักร้อย การร่ายรำ เล่นเครื่องดนตรีทุกประเภท การทำอาหารเป็นเลิศ เป็นที่รัก ของบิดาและพี่ ๆ มีเพียงสิ่งเดียวที่ไม่สามารถทำได้คือการฝึกวรยุทธ เพราะนางมีโรคประหลาดที่ติดตัวมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าท่านเจ้ากรมจะออกตามหาหมอที่เก่งกาจมากแค่ไหนก็ไม่มีใครสามารถรักษาได้ ดังนั้นจึงโดนสั่งห้ามไม่ให้ ฝึกวรยุทธ ทำได้แค่เพียงแอบมองพี่ ๆ ข้างลานฝึกเท่านั้น ลึก ๆ ในใจจ้าวฟางลู่อยากออกไปท่องยุทธภพเสียด้วยซ้ำ ' ไม่เป็นไรฟางลู่ เดี๋ยวพี่สาวคนนี้จะพาเจ้าออกไปท่องโลกกว้างเอง ' หวังหลิงคิดอย่าง มาดมั่น ส่วนสามีในนามของนางก็คือ ท่านแม่ทัพใหญ่แห่งค่ายทมิฬ บุตรชายคนเดียวของท่านโหล ' ตงเหวิ่ยฉี ' นาม ' ตงเฟยหลง ' อายุ 23 ทรนงองอาจ เที่ยงธรรม เปรียบเหมือนพยามจุราชที่ฆ่าคนได้โดยไม่กระพริบตา ออกศึกใดไม่เคยแพ้ จนได้รับสมญานาม ' แม่ทัพไร้พ่าย ' การแต่งงานเกิดขึ้นตามสัญญาหมั้นหมายของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายที่เป็นสหายกันเมื่อครั้งยังเป็นหนุ่มว่าในภายภาคหน้าจะให้ลูกสาวลูกชายแต่งงานกัน แต่ยังดีที่ ฟางลู่และท่านแม่ทัพได้แอบทำสัญญากันในคือเข้าหอ ว่าจะอยู่กันฉันพี่น้อง ต่อหน้าคนภายนอกก็จะแสร้งทำเป็นสามีภรรยาที่รักใคร่กลมเกลียวกัน ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งพบเจอ คน ในดวงใจ' อีกฝ่ายก็จะยอมหย่าให้โดย ไม่มีข้อแม้ใด ' ก็นับว่าท่านแม่ทัพมีคุณธรรมอยู่นะ ' หวังหลินคิด พร้อมมีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าสวย ' งั้นเราก็ยังมีโอกาสตามหารักแท้นะสิ แต่ก่อนอื่นนะ ' คิดพลางมองดูชุดที่ใส่ ' คงต้องปฏิวัติการแต่ตัวใหม่ก่อน ชมพูทั้งตัว.. หวานเกินน ' ^=^ ตอนต่อไปของเรียกนางเอกว่า " จ้าวฟางลู่ "นนะค่ะเพื่อจะได้ไม่สับสนข้าแต่งเข้ามาที่จวนของท่านแม่ทัพได้ร่วมสองเดือนแล้ว มีภาระหน้าที่ ที่ต้องรับผิดชอบภาย ในจวนมากมาย รวมถึงการตรวจบัญชีรายรับ รายจ่ายของจวนทั้งหมด เพราะที่จวนแห่งนี้มีเพียงข้ากับท่านแม่ทัพเพียงสองคน ส่วนท่านโหวกับฮูหยินจะอยู่ที่อีกจวนและจะไม่เข้ามายุ่งวุ่นวายกับจวนท่านแม่ทัพมากนัก นาน ๆ ทีถึงจะมาเยี่ยมเยียน วันนี้ข้าจึงอยากออกไปเดินเล่นที่ตลาด สักหน่อย " เจียวซิน มาช่วยข้าเปลี่ยนชุดหน่อย ข้าจะออกไปข้างนอก " " ได้เจ้าค่ะฮูหยิน " เหมือนเจียวซินจะดูแปลกใจและทำหน้างง ๆ แต่ก็เดินมาช่วยข้าเปลี่ยนชุดอยู่ดี ' ไม่ต้อง งงไปยังมีอีกเยอะ ' " ฮูหยินท่านจะสวมชุดไหนเจ้าคะ " " เออ เดี๋ยวข้าเลือกเองดีกว่านะ " ก็ชุดที่นางถือมามีแต่ สีขาว สีชมพู สีครีม ลายดอกโบตั๋น ' โอ๊ย ..ถ้าขืนใส่นะคงมีผีเสื้อบินมาเกาะเต็มตัวแน่เลย ขอผ่านค่ะ ' เจียวซินเห็นข้าค้นตู้อยู่นานก็เริ่มสงสัย " ฮูหยิน ท่านหาอะไรเจ้าค่ะ ชุดที่ข้าเลือกมาคือชุดโปรดของท่านทั้งนั้นเลยนะเจ้าค่ะ ฮูหยิน ''
จ้าวฟางลู่ ยืนหมุนตัวไปมาเพื่อที่หน้ากระจก เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว ก็ได้เลวาเริ่มปฏิบัติการ " ไปกันเถอะซินเอ๋อ " นางมองมาที่ข้าอย่างกับคนแปลกหน้า ' ตะลึงในความสวยของพี่หรอค่ะน้อง ' ถึงชาติที่แล้วจะปฏิบัติภารกิจบ่อย แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องเข้าสังคมเธอก็จัดเต็มทั้งเสื้อผ้าหน้าผม งดงามไม่แพ้ลูกคุณหนูในเมือง หรืออาจจะสวยกว่าพวกนางซะด้วยซ้ำ คนที่ไม่จะรู้จักคงคิดว่าเธอเป็นลูกสาวของนายพลสักคนมากกว่า ที่จะเป็นทหาร ไม่ต้องรอให้ ซินเอ๋อขานตอบ ฟางลู่จึงเดินออกจากห้องมาก่อน ตามองตรงไปข้างหน้าเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย หลังตั้งตรง ก้าวเท้าอย่างมั่นคงสง่างาม ' ต้องไปขออนุญาติคุณสามีก่อนสินะถึงจะไปได้ ' " รอด้วยเจ้าคะฮูหยิน " ดูเหมือนซินเอ๋อจะพึ่งไดสติ วิ่งตามหลังนายสาวอย่างไม่รักษากิริยา ห้องตำรา ท่านแม่ทัพใหญ่ ' ตงเฟยหลง ' กำลังนั่งอ่านรายงานของกองทัพทมิฬ มีเรื่องเกี่ยวกับการซ่องสุมกำลังของ โจรภูเขา เขาคงต้องนำเรื่องนี้เข้าประชุมในราชสำนักโดยด่วน " อาเต๋อ เตรียมรถม้าเข้าวังหลวง " "....." ห้าวชวน เห็น อาเต๋อ ที่มัวแต่เหม่อมอง ฮูหยินน้อยนางสวมชุดสีเข้มต่างจากทุกวัน ผมที่เกล้าขึ้นอ
เมื่อรถม้าเคลื่อนเข้าใกล้ตลาด เสียงพ่อค้าแม่ค้าที่ร้องเรียกลูกค้าอยู่หน้าร้าน มีเสียงของบุรุษและสตรีวัยใสกำลังคุยหยอกเย้ากัน และมีเสียงของเด็ก ๆ ดังเจี๊ยวจ๊าวผ่านเข้ามาในรถม้า จ้าวหาลู่ เปิดผ้าม่านขึ้นเล็กน้อยเพื่อดูบรรยากาศข้างทาง มีร้านค้า ขายของเกลือบ ทุกประเภทมากมายตั้งเรียงรายเต็มทั่วทั้งสองฝั่งของถนนสายนี้ บรรยากาศคึกคักสมกับเป็นเมืองที่เจริญแล้ว ลมสายหนึ่งพัดมาแผ่วเบาพัดพาเอากลิ่นอาหารอันหอมหวนน่าลิ้มลองชวนให้น้ำลายสอ นางเผลอสูดอากาศเข้าเต็มปอด และเผลอกลืน น้ำลายลงคอ สายตาสอดส่องถึงต้นตอของกลิ่น ไม่นานก็พบเป็นเหลาอาหารขนาดใหญ่เนืองแน่นไปด้วยผู้คนมากมาย ทั้งบุรุษ และสตรี รวมถึงขุนนางน้อยใหญ่มากมาย ที่พาครอบครัวมาทานอาหาร ข้าง ๆ มีร้านน้ำชาขนาดปานกลางที่ส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของใบชา รอยยิ้มน้อย ๆ ปรากฏบนใบหน้าสวย ' คงต้องขอชิมอาหารเลิศรสของที่นี่ซักหน่อยแล้วละ ' การกระทำต่าง ๆ ของนางอยู่ในสายตาของใครอีกคนตลอดเวลา เขากลัวว่าน้ำลายนางจะย้วยลงมาซะก่อนจึงสั่งให้หยุดรถ " หยุดรถ " เป็นท่านแม่ทัพที่สั่งหยุดรถม้า ' นี่ท่านแอบอ่านใจข้างั้นหรอถึง ได้รู้ว่าข้าอยากลงตรงนี้ ' " อะ.
อาหารขึ้นชื่อสามสี่อย่างถูกยกเข้ามาวางบนโต๊ะ ส่งกลิ่นหอมเป็นอย่างมากแถมการจัดจานก็สวยงาม ตามด้วยน้ำชาและขนมขึ้นชื่อ ของเหลาอาหาร ' เทียนฝู ' เป็นเหลาอารที่ใหญ่ที่สุดของแคว้นเหลียงเลยก็ว่าได้ จ้าวฟางลู่ กวาดตามองอาหารตรงหน้าด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม จึงเรียก เจียวซิน และอาเต๋อ ให้มานั้ง กินด้วยกัน " ซินเอ๋อ อาเต๋อ มานั่งสิ " " เอ่อ " เจียวซิน " แต่ว่า " อาเต๋อ " ถ้าพวกเจ้าไม่กิน ข้าก็จะไม่กิน งั้นก็ไปกันเถอะ " พูดจบนางทำท่าทางเหมือจะลุกขึ้นยืน " นั่งแล้วเจ้าค่ะ/ขอรับ " พวกเขาตอบรับแล้วรีบนั่งลงเกือบจะทันที นางจึงยิ้มน้อย ๆ อย่างพอใจ ' ก็ถ้าจะข้ากินคนเดียวข้าคงกินไม่ลงหรอก ' พวกนางนั่งทานอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อยเเละพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ไม่ได้สนใจคนรอบข้างว่าจะมองพวกนางเช่นไร คนส่วนใหญ่ล้วนชื่นชมนาง มองภายนอกนางนั้นรูปโฉมงดงามกิริยามารยาท เหมือนฮูหยินน้อยของจวนสกุลใหญ่ซักจวน แต่นางกับเอ่ยปากชักชวนสาวใช้แล้วผู้ติดตามให้ร่วมโต๊ะอาหารด้วย น้อยคนนักที่งามทั้งกายทั้งใจแบบนี้ เมื่อออกจากเหลาอาหารแล้วพวกนางก็ตรงไปร้านขายผ้า ' ฝ่านอิ่น ' เป็นร้านที่มีผ้าเนื้อดีมากมายราคาก็
ณ วังหลวง ในท้องพระโรง ฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน เป็นดั่งลูกรักของพระเจ้ารูปงามราวเทพบุตร ยามออกสึกสงครามก็ทรงทรงองค์อาจ นาม 'หลี่หมิงหลง ' พระองค์ทรงตัดสินปัญหาต่าง ๆ อย่างมีเหตุมีผล ให้เกิดประโยชน์สูงสุด แก่ราษฎร ถึง พระองค์ทรงขึ้นครองราชย์ได้ไม่นานก็ทรงเป็นที่รักของราษฎร และเป็นที่เคารพ ของขุนนางน้อยใหญ่ในราชสำนัก พวกขุนนางผู้มิภัคดีถูกกำจัดไปทีละคน จนเกือบจะหมดแล้ว ซึ่งปัญหาใหญ่ในตอนนี้คือพวกขุนนางน้อยใหญ่ต่างอยากให้เขาทรงแต่งตั้งฮองเฮา เสียที ซึ่งเขาเองก็ผลัดวันประกันพรุ่งมาหลายคราแล้ว เมื่อการถกปัญหาต่าง ๆ จบลงขุนนางน้อยใหญ่ก็ทยอยเดินออกไปจากท้องพระโรงจนเกือบหมด " แม่ทัพตง เชิญเจ้าอยู่คุยเป็นเพื่อนเจิ่นก่อนซักหน่อย " ห้องเต้ทรงตรัสด้วยน้ำเสียงราบเรียบ " พะย่ะค่ะผ่าบาท " ตงเฟยหลง ยืนรอขุนนางออกไปหมดก่อนเดินเข้าไปยืนตรงหน้าผ่าบาท " เรื่องโจรภูเขา เป็นอย่างไรบ้าง " " กระหม่อมให้รองแม่ทัพ มู่เฉิน ไปสืบแล้วพะย่ะค่ะ " ฮ่องเต้ทรงได้ฟังคำพูดอันห่างเหินของสหายรัก ก็ทำหน้าขัดใจเล็กน้อย ' นี่เจ้าแม่ทัพหน้าตาย เจ้าจะไม่เหลือ ความเป็นเพื่อนให้ข้าเลยหรืออย่างไรกัน ' " พ
' ในที่สุดข้าก็ออกแบบอาวุธลับสำเร็จแล้ว ' จ้าวฟางลู่ มองแผ่นกระดาษในมือด้วยรอยยิ้ม แล้วพับเก็บในชองจดหมาย หลายวันมานี้นางมัวยุ่งอยู่กับการออกแบบอาวุธลับและจัดการบันชีต่าง ๆ ของจวน " ซินเอ๋อ " " มีอะไรหรือเจ้าคะฮูหยิน " เจียวซินเดินเข้ามาหานายหญิงที่กำลังนั่งทำบัญชีอยู่ที่โต๊ะริมหน้าต่าง " เจ้านำจดหมายนี้แอบไปส่งที่ร้านตีเหล็ก ' เมิ่งฉี ' ให้ข้าที ยิ่งคนรู้น้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งดี" " เจ้าค่ะ " เจียวซิน ทำท่าทางแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็รับคำแล้วจากไปทันที " ฮูหยินน้อยเจ้าคะ ท่านแม่ทัพให้มาเชิญไปชิมชาที่ศาลา สระบัวเจ้าค่ะ " นางพยักหน้ารับ " ได้....เจ้ารอเดี๋ยว " ว่าแล้วนางก็จัดเก็บสมุดบัญชีต่าง ๆ ให้เรียบร้อย " ไปกันเถอะ " พูดจบก็เดินนำสาวใช้ออกไป ศาลาสระบัว บุรุษคนแรกสวมอาภรณ์สีขาวราวหิมะ ใบหน้างดงามยิมแย้มอย่างอารมณ์ดี รูปร่างสูงผิวขาวเนียนในมือถือพัดสีขาวสลักลายนกยูงสีดำโบกไปมาเบา ๆ คือ กุนซือหน้าหยกแห่งกองทัพทมิฬ บุรุษคนที่สองสวมอาภรณ์สีดำ ใบหน้าหล่อเหลาแสนเย็นชาไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ เหมือนรูปปั้นที่มีลมหายใจ จ้าวฟางลู่เดินเข้ามาใกล้บุคคลทั้งสองแล้วกล่าวทักทาย
" ไหนขอพี่ดูหน่อย " จ้าวฟางลู่ ยื่นมือให้พี่รองของนาง จับดูชีพจร " ชีพจรปกติดี และดูเหมือนจะแข็งแรงขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย ถ้าท่านพ่อกับพี่ใหญ่รู้ต้องดีใจมากแน่ " " ดังนั้นข้าก็ฝึกวรยุทธได้แล้วใช่ไหมเจ้าคะ " นางถามพี่รองด้วยความดีใจ เค้าพยักหน้ารับน้อย ๆ ท่านแม่ทัพบังเอิญมองเห็นแววตาเป็นประกายซุกซนของนางเข้า ' มิน่าละ หลายวันมานี้เจ้าดูเปลี่ยนไปมาก เป็นเพราะหายป่วยแล้วนั่น เอง แต่เป็นแบบนี้ก็ดี แล้ว น่ารักดี ' เขายิ้มมุมปากเล็กน้อย ถ้าไม่สังเกตุดี ๆ ก็จะมองไม่เห็น แต่มีหรือจะรอดพ้นสายตาของกุนซือหน้าหยกไปได้ " ดังนั้นท่านแม่ทัพ รบกวนท่านช่วยสอน วรยุทธนางด้วยแล้วกัน " " ทำไมเจ้าไม่สอนเองละ " เค้าไม่ตอบท่านแม่ทัพแต่หันกลับไปพูดกับน้องสาวแทน " ไม่ใช่พี่ไม่อยากสอนเจ้า แต่พี่ต้องไปช่วยท่านราชครูคัดเลือกบัณฑิตใหม่ต่างหากเล้า " " นายน้อยขอรับ รองแม่ทัพมู่ มาขอพบขอรับ " ห้าวชวน เดินเข้ามารายงาน ทำให้การสนทนาต้องหยุดชะงักลง " พาเขาไปรอที่ห้องตำรา " " ขอรับนายน้อย " ห้าวชวน รับคำแล้วเดินออกไป " มู่เฉิน ก็มาที่นี่บ่อย เขากับเจ้าก็เคยเจอกันแล้วหลายครั้ง ถ้าให้เขาสอนก็คงไม่ใช่เรื่
" เจ้าดูจะสนิทกับ ลู่เอ๋อ มากข้าอยากรู้ว่าปกตินางชอบทำอะไรบ้าง " ท่านแม่ทัพทำทีเป็นถามถึงสิ่งที่นางชอบกับ มู่เฉิน ดูว่าเค้าสนิทกับนางมากน้อยแค่ไหน " ข้าเองก็ไม่รู้อะไรมากนัก ยามไปที่จวนสกุลจ้าวถ้านางไม่ไปเรียนดนตรี ก็จะทำขนมมาให้ พี่เฟยเทียนกับเฟยหลิง กิน ข้าก็พลอยได้ชิมอยู่หลายหน แต่นอกจากนั้นข้าก็ไม่รู้ขอรับ " มูเฉิน อธิบายเสียยืดยาว พร้อมทั้งหยิบขนมเข้าปากไปด้วย ท่าทางสบาย ๆ ' หึ ที่แท้ก็เป็นเจ้ากุนซือบ้านั่น ที่คิดจะปั่นหัวข้า อย่าให้ถึงคราวเจ้าก็แล้วกัน ข้าจะเอาคือให้สาสมเลยทีเดียว ' ร่างสูงสง่าสวมชุดสีดำ ในมือถือดาบคู่กายก้าวเดินอย่างมั่นคงสง่างามและน่าเกรงขาม ตามหลังด้วยลูกน้องคนสนิท จ้าวฟางลู่ รู้ดีว่า การออกปฏิบัติภารกิจในแต่ละครั้งนั้น จะประสบความสำเร็จได้ จำลังใจเป็นสิ่งสำคัญมากแค่ไหน ดังนั้นนางก็ควรจะไปส่งเขา " ท่านแม่ทัพเจ้าคะ รอก่อนเจ้าค่ะ " เมื่อเสียงหวานเอ่ยขึ้นทำให้ร่างสูงหยุดเดินในทันทีแล้วหันกลับมามองนางอย่างแปลกใจ " เจ้ามีธุระอันใด หรือเปล่าฮูหยิน " " เปล่าเจ้าค่ะ ข้าแค่อยากเดินไปส่งท่านก็แค่นั้นเอง " เขาพยักหน้ารับแล้วก้าวเดินออกไปพร้อมกับน
ท่านแม่ทัพเร่งนำขบวนรถขนเสบียงออกเดินทางทันทีที่เหตุการณ์ทุกอย่างสงบลงมีผู้ได้รับบาทเจ็บไม่มากนักให้เร่งรักษาตัวระหว่างทาง ส่วนผู้เสียชีวิตจะนำไปฝังไว้ตรงเนินเขาด้านร่าง เขาต้องพาทุกคนออกไปก่อนที่ตะวันตกดินเพราะไม่อยากเสี่ยงประทะกับฝูงหมาป่า เหตุการณ์เมื่อกลางวันนั้นเป็นการรอบสังหารอย่างแน่นอน หากไม่ได้ภรรยาตัวน้อยของเขาช่วยไว้คงต้องมีการบาดเจ็บล้มตายมากกว่านี้หลายเท่าเป็นแน่ ขบวนรถขนเสบียงเดินทางโดยไม่หยุดพักที่ใดเลย จวบจนข้ามภูเขาได้สำเร็จในเวลาพบค่ำ เสียงหมาป่าบนภูเขาเริ่มเห่าหอนอย่างไม่ขาดสาย ทุกคนในขบวนเดินทางต่างโล่งใจที่เดินข้ามมาได้ทันเวลา ท่านแม่ทัพให้ห้าวชวนนำทหารออกสำรวจพื้นที่โดยรอบเมื่อพบว่าปลอดภัยจึงสั่งให้ตั้งกระโจม และจัดทหารยามคอยเดินตรวจตราทั้งคืน ยังมีทหารบางนายได้รับบาดแผลฉกรรจ์จากของมีคมเป็นทางยาวตามร่างกาย ยังดีที่ในขบวนมีหมอร่วมเดินทางมาด้วย แต่หมอคนเดียวต้องรักษาคนตั้งหลายสิบคนทำให้อาเ
สายตาทุกคู่ในโรงเตี๊ยมหันมามองหนุ่มน้อยหน้าหวานสองคนที่เดินลงมาจากชั้นบนตรงเข้ามานั่งข้าง ๆ ท่านแม่ทัพที่นั่งหันหลังให้บันไดอยู่เขาจึงไม่ได้สนใจมอง สายตากลับจับจ้องอยู่ที่แผนที่บนโต๊ะตัวยาวอย่างใช้ความคิด เหล่าทหารต่างหวาดกลัวแท่นหนุ่มน้อยใจกล้าคนนั้น ร่างสูงมองหนุ่มน้อยข้างกายอย่างนึกสงสัยเหตุใดช่างใจกล้าไม่กลัวตายบังอาจมานั่งข้างเขา อย่างถือวิสาสะ เมื่อสบตากลมโตคู่นั้นแล้วร่างสูงกับนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง คิ้วหนาขมวดเข้าหากันก่อนจะยิ้มบาง ๆ ให้หนุ่มน้อยตรงหน้า เหล่าทหารต่างพากันแปลกใจและโล่งใจในคราเดียวกันที่ท่านแม่ทัพมิจับหนุ่มน้อยผู้น่ารักโยนออกไปข้างนอก " ทำไมเจ้าถึง " " เพื่อความสะดวกในการเดินทาง และจะได้ไม่เป็นจุดสนใจมากนักขอรับท่านพี่ " หนุ่มน้อยยิ้มอย่างสดใสให้ท่านแม่ทัพที่ทำหน้านิ่ง เหวินเยี่ยน มองคนทั้งคู่แล้วก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ก่อนที่จะเบนความสนใจของท่านแม่ทัพใจให้หันมาสนใจแผนการเดินทางต่ออีกที หนุ่มน้อยหน้าหวานนั่งฟังพวกเขาวางแผนการเดินทางอย่างเงียบ ๆ เมื่อรับรู้ว่าหนทางข้า
ท่านแม่ทัพควบม้านำขบวนคุ้มกันเสบียงออกเดินทางจากเมืองหลวง มุ่งหน้าลงทางตอนใต้ ของเมืองหลวง จ้าวฟางลู่ เปิดผ้าม่านออกเล็กน้อย มองกลับไปข้างหลังเห็นพี่ใหญ่ของนางยืนมองอยู่จึงโบกมือลา เขาส่งยิ้มให้นาง สาวน้อยสาวใหญ่ที่เดินผ่านไปผ่านมาต่างจ้องมองเขาตาเป็นมัน แต่พี่ใหญ่กับไม่สนใจแม่นางคนไหนเลย นางมองดูเขาที่เริ่มหงุดหงิดที่มีสตรีมาจ้องมองเขา จ้าวเฟยเทียน มองดูสาวน้อย บนรถม้าที่กำลังหัวเราะเขาอยู่ ตั้งแต่นางหายป่วยก็ดูสดใสขึ้นซุกซนขึ้นมากจนขนาดคนอย่างเจ้าเสาหินยังสั่นไหวได้และหึงหวงจนออกนอกหน้า ถ้าหากการมีความรักทำให้คนเราเสียการควบ คุมตนเองไปได้ขนาดนั้นแล้ว ความรักคงเป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับเขา ในขณะที่ร่างสูงกำลังหมุนตัวเดินกลับขึ้นรถม้าอยู่นั้น ผลัก มีแม่นางน้อยผู้หนึ่งวิ่งมาชนเขาอย่างแรง จนเกลือบล้มยังดีที่เขาจับแขนนางไว้ได้ทัน " ขออภัยด้วยเจ้าค่ะคุณชายท่านเจ็บตรงไหนไหมเจ้าคะ " นางถามเขาด้วยความนอบน้อมและหันกลับไปมองด้านหลังอย่าหวาดระแวง เขามองเสี้ยวหน้าด้านข้างของนาง ใบหน้าหวา
เสียงเอะอะดังจากเรือนของฮูหยินน้อย สาวใช้คนสนิทของนางกำลังตรงมายังเรือนของท่านแม่ทัพอย่างเร่งรีบ " เจียวซินเจ้าจะรีบไปไหนหรือ " อาเต๋อถามคนงามที่กำลังมีท่าทีร้อนใจ " ข้าจะไปแจ้งท่านแม่ทัพ ฮูหยินน้อยนางหายตัวไป ข้าไม่รู้ว่านางหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ป่านนี้นางจะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้ " เสียงหวานเอ่ยอย่างร้อนใจและห่วงใยนายหญิงมาก " อืม...แต่ข้าว่า...ข้ารู้นะว่านายหญิงของเจ้าอยู่ที่ไหน " ร่างน้อยหยุดเดินหันกลับมามองหน้าร่างสูงอย่างรอคอยคำตอบ เขาเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้านางยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ๆ นาง " เจ้าอยากรู้หรือไม่ว่านายหญิงของเจ้าอยู่ไหน " แม่นางน้อยพยักหน้ารับ ร่างสูงจึงเอียงแก้มให้นางแล้วชี้ที่แก้ม นางสบตาเขาใบหน้าหวานแดงระรื่น นางใช้มือเล็กหยิกแก้มเขาอย่างแรง " โอ๊ยยยย .....ข้าเจ็บนะ " " หึ เจ้าบ้า..ข้าไปหาท่านแม่ทัพเองก็ได้ " นางเดินหนีด้วยความอาย " เฮ้ยเดี๋ยว..เจ้าไปไม่ได้นะท่านแม่ทัพกำลังยุ่งอยู่ " เสียงดังจากด้านนอกทำให้ร่างบางอายจนแท
จ้าวฟางลู่ และเจียวซิน ช่วยกันเตรียมของนางให้เจียวซินเตรียมจำพวกเสื้อผ้าเครื่องประดับและของใช้ที่จำเป็นส่วนนางจัดเตรียมอาวุธฯ ยาและอุปกรณ์ทำแผลที่จำเป็น กว่าจะเสร็จก็ปาเข้าไปยามโหย่วแล้ว เมื่อคืนหลังจากที่ท่านแม่ทัพกลับมาส่งนางที่จวน เขาก็ขอตัวตามห้าวชวนไปที่กรมยุติธรรมเพื่อสอบสวนคนร้ายในทันที แม้ระหว่าทางที่นั่งรถม้ามาเขาจะไม่ได้พูดอะไรก็ตาม เพียงแต่นั่งกอดนางมาตลอดทางเท่านั้นเอง นางก็ไม่รู้ว่าภายในใจเขาคิดอะไรอยู่ จนถึงตอนนี้นางยังไม่ได้เจอเขาอีกเลย " ซินเอ๋อ เจ้าไปพักผ่อนเถอะ ข้าจะออกไปเดินเล่นสักหน่อย " " ให้ข้าไปเป็นเพื่อนไหมเจ้าคะ " นางถามอย่างเป็นห่วง " ไม่เป็นไรหรอก ข้าไปไม่นาน พรุ่งนี้ต้องออกเดินทางแล้วเจ้าไปพักเอาแรงเถอะ " " เจ้าค่ะ " นางเดินกลับห้องอย่างเลี่ยงไม่ได้ มิวายยังหันกลับไปมองนายหญิงของนางอย่างอดห่วงมิได้ นางกำลังเดินไปยังสะพานทางเข้าศาลาสระบัวและหยุดยืนอยู่ตรงนั้นเงิยหน้ามองท้องฟ้ายามราตรี ' นายหญิงนางคงอยากอยู่คนเดียวซักพัก '
รถม้าเคลื่อนตัวออกจากจวนสกุลจ้าวใน ยามโหย่ว ภายในรถท่านแม่ทัพนั่งเงียบตั้งแต่ออกมาจากจวนสกุลจ้าวแล้ว จ้าวฟางลู่ นางมองหน้าเขาจากด้านข้างเหมือนเขามีเรื่องอะไรในใจ " ท่านแม่ทัพ ท่านเป็นอะไรหรือเปล่าเจ้าคะ " เขามองหน้านางนิดนึงแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ' เป็นอะไรของเขานะ เมื่อเช้ายังดี ๆ อยู่เลย หรือว่าจะไม่สบาย ' นางเอื้อมมือไปแตะที่หน้าผากของเขา ' ก็ไม่ร้อนนี้ แต่หน้าเขาแดงมากเลยนะ ' นางขยับเข้าใกล้เขามากขึ้น " เจ้าอย่าทำอะไรที่ทำให้ตัวเองต้องนึกเสียใจทีหลังเลย เพราะเจ้ากำลังจะทำให้ข้าหมดความอดทน " เขาพูดด้วยน้ำเสียงสกัดกั้นอารมณ์บางอย่างเอาไว้ " ท่านเป็นอะไรกันแน่เจ้าคะ มีอะไรก็พูดมาตรง ๆ ได้เจ้าค่ะ ว่าข้าทำอะไรผิดกันแน่ ต่อไปข้าจะไม่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของท่านอีกแล้ว..อื้อออ ...." นางพูดยังไม่จบเขาก็จัดการปิดปากนางด้วยปากซะก่อนจากการปิดปากเฉย ๆ เขาเริ่มเรียกร้องหาความหอมหวานจากนาง แม้เขากับนางจะเจอกันแทบทุกวัน แต่ต้องทนมองดูนางเฉย ๆ มันช่างทรมานใจยิ่งนัก เขาอยากกอด อยากสัมผัสนาง แต่ถ้าลุกมากไป ก็กล้วว่านางจะกวาดกลัวเขาเสียก่อน เขามอบจูบที่แสนหวานให้นาง และค่อย ๆ เริ่
รถม้าจวนแม่ทัพเคลื่อนมาหยุดที่หน้าจวนสกุลจ้าว หนึ่งบุรุษชุดดำผู้องอาจเดินเคียงคู่กันกับสตรีชุดสีน้ำเงินผู้สง่างาม บุรุษผู้ที่เขาได้ตั้งให้เป็น เสาหินแห่งกองทัพทมิฬนั้นมองสตรีข้างกายด้วยสายตาอ่อนโยนช่างเป็นภาพที่หาดูได้ยากยิ่ง จ้าวเฟยเทียน มองดูสหายตนที่ไม่เคยชายตามองสตรีใด ปฏิบัติกับน้องสาวของเขาอย่าง ทนุถนอมแล้วมองแค่เพียงแวบเดียวก็รับรู้ได้ว่านี่ไม่ใช่การแสดงละครเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา เป็นไปตามคำบอกเล่าของของ เฟยหลิง ที่มาเล่าให้เขาฟังว่าเจ้าเสาหินนี่เริ่มสั่นคลอนแล้ว ในโลกใบนี้คงมีแค่เจ้าเสาหินนี่ที่เขาพอจะวางใจ' ให้ดูแลน้องสาวผู้เป็นดั่งแก้วตาดวงใจของบุรุษทั้งสามของสกุลจ้าวแห่งนี้ได้ " คาราวะพี่ใหญ่เจ้าค่ะ " เสียงหวานเอ่ยทักพร้อมรอยยิ้ม " น้องเล็ก " เขาตอบรับนางด้วยรอยยิ้มเอ็นดูและแสนอบอุ่น " ทำไมวันนี้พี่ใหญ่ถึงได้ว่างล่ะเจ้าคะ " นางเอียงคอมองเขาอย่างสงสัย ในความทรงจำของร่างนี้ พี่ชายคนนี้รักและใจดีกับนางมากแต่เขามักจะงานยุ่งอยู
ร่างบางขยับเข้าหาความอบอุ่นมือเรียวลูบไล้แผงอกแข็งแกร่งไปมา ' วันนี้เจ้าหมีของนางดูตัวโต และกอดอุ่นกว่าทุกวัน ' พลันนึกขึ้นได้ว่านางไม่ได้อยู่ที่โลกเดิมแล้ว เปลือกตาที่เคยปิดสนิทอยู่ก็ลืมตาขึ้นมาด้วยความตกใจ มือของนางวางอยู่บนแผงอกของท่านแม่ทัพที่กำลังหลับสนิทอยู่ นางมองใบหน้าหล่อเหลาอย่างพินิจมีรอยคล้ำใต้ดวงตาเล็กน้อยสีหน้าอ่อนล้า ที่เขาบอกว่ากลับเรือนไม่ไหวนั้นคงเป็นเรื่องจริง นางกำลังจะเอามือออกจากอกของเขา แต่ยังไม่ทันได้ขยับ มือหนาก็ยกขึ้นมากุมมือของนางเอาไว้ก่อน " จะไปไหน มองต่ออีกหน่อยก็ได้ ข้าไม่รีบ " " นี่ท่านตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่ " เขาหันหน้ามาหานางทำให้ตอนนี้เราสองคนนอนหันหน้าเข้าหากัน " ก็...ตั้งแต่มีคนเอามือมาลูบไล้ข้านะสิใครจะไปหลับลง " เขาตอบแบบหน้าตายอีกแล้ว นางมองเขาอย่างเอาเรื่อง ' ข้าอยากจะบีบคอท่านนัก ' นางได้แต่ร่ำร้องในใจ " ปล่อยข้าได้แล้วเจ้าค่ะ " เขาก็ยังทำเป็นไม่ได้ยินแถมยังกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้นไปอีก " ขอข้านอนต่ออีกหน่อยนะลู่เอ๋อ ข้ายังไม่ได
จ้าวฟางลู่หลังจากใช้วิชาตัวเบาผสมตีนแมวก็แอบออกมาจากจวนแม่ทัพได้อย่างราบรื่น โดยจงใจทิ้งเบาะแสไว้ให้พวกเขาตามหา ถ้าจะออกมาโดยที่ไม่ให้ใครรู้ก็ย่อมได้ แต่มันจะไปสนุกอะไรล่ะ นางแค่อยากออกมาเปิดหูเปิดตาก็เท่านั้น อีกไม่นานอาเต๋อคงหานางเจอเองแหละ ถ้าจะให้ชวนเขาตรง ๆ เขาคงไม่ยอมแน่ นางหันซ้ายแลขวาเดินจนเหนื่อยแล้วเห็นร้านบะหมี่เปิดอยู่จึงเดินเข้าไปนั่ง สั่งบะหมี่มาสองชามกลิ่นน้ำซุปลอยขึ้นมาแตะจมูก ' หอมมากกก จะแอบอยู่อีกนานไหมน้อง ' ความจริงนางเห็นเขาตั้งแต่ก่อนที่จะสั่งบะหมี่แล้ว " อาเต๋อ ออกมาเถอะ บะหมี่ต้องกินตอนร้อน ๆ ถึงจะอร่อย " พอนางเอ่ยจบ ร่างสูงก็ขยับก้าวเดินออกจากมุม มืดเดินตรงมาหานางทันที " ฮูหยินน้อย ท่านรู้ว่าข้าตามท่านมา " " ใช่ ถ้าข้าบอกเจ้าตรง ๆ เจ้าจะพาข้าออกมาไหมล่ะ " เขานั่งถอนหายใจอย่างจนปัญญาเมื่อได้ฟังคำตอบของนาง " ฮูหยินน้อยนี่ก็ดึกแล้วกลับกันเถอะขอรับ " " รู้แล้ว ๆ ข้าแค่ออกมาเดินเล่นเท่านั้นเอง อีกอย่างท่านแม่ทัพก็ไม่อยู่ มีอะไรให้กลัวกันล่ะ เจ้าเองก็กินก่อนเถอะ " นางพูดเสียงใส เขาอยากจะบอกนางเหลือเกินว่าท่านแม่ทัพจะกลับมาวันนี้ ป่านนี้คงถึงจวนแล้ว