สายตาที่นิ่งดุจน้ำในสระบัวนั้น ทำให้เขาตกอยู่ในภวังค์ไปชั่วขณะ แต่เมื่อหันไปเห็นคำสั่งที่นำมาด้วย ก็พลันนึกได้ว่านางเป็นใคร และเขาต้องมาที่นี่เพื่อสิ่งใด
“พรุ่งนี้เจ้าต้องเข้าวังกับข้า”
“อะไรนะเจ้าคะ เหตุใดต้องเข้าวังด้วย”
“หึ ยังมีหน้ามาถามว่าเพราะเหตุใด มิใช่เพราะพวกเจ้าหรอกหรือ ที่ยื่นเงื่อนไขนี้ให้ท่านอ๋อง พรุ่งนี้ต้องเข้าวังเพื่อไปรับตำแหน่งฮูหยินตราตั้งของเจ้าอย่างไรเล่า”
สีหน้าของอีกฝ่ายซีดลงจนเขาจับสังเกตได้ แม้เขาจะนึกสงสัย แต่เพราะอคติในใจที่เกิดขึ้น จากบิดาจอมโลภของนาง จึงทำให้แม่ทัพหนุ่มมองนางในแง่ดีไม่ได้
“เตรียมตัวให้พร้อม พรุ่งนี้ยามเฉิน (07.00 น.) ข้าจะมารับที่เรือนเพื่อเข้าวัง”
แม้ว่าจะดูกังวลใจอยู่บ้าง แต่หลินอิงก็เชิดหน้าขึ้นด้วยสีหน้าไม่เกรงกลัว แม้เขาจะเป็นแม่ทัพใหญ่ก็ตาม
“ไม่มีปัญหาเจ้าค่ะ ท่านมีธุระแค่นี้ใช่หรือไม่”
“ที่นี่เป็นจวนแม่ทัพ ข้าจะอยู่หรือไปเกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย เป็นแค่ผู้อาศัย มีหน้าที่ถามเจ้าของจวนด้วยหรือ”
“เช่นนั้นก็เชิญท่านแม่ทัพตามสบายเถิดเจ้าค่ะ ผู้อาศัยขอตัวก่อน”
นางเดินเข้าไปในเรือนแล้ว เขาลอบสังเกตเห็นท่าเดินของนางที่แปลกไป ดูเหมือนว่านางจะเจ็บขาข้างซ้าย แต่ก็พยายามเดินให้เหมือนปกติ
“ไม่น่ามีอะไรละมั้ง คงเมื่อยจากการทำสวน…ลืมเอาขนมไปงั้นหรือ”
หลิวเว่ยหยางยกชาขึ้นมาดื่ม พร้อมกับหยิบขนมเปี๊ยะในจานมา ซึ่งขนมน่าจะพึ่งลงจากเตาได้ไม่นาน กลิ่นจึงหอมยั่วใจจนทำให้เขาอดที่จะลองชิมไม่ได้
“ขนมเปี๊ยะธรรมดาแต่ทำอร่อยขนาดนี้เชียว… ใส่ฟักบดลงไปด้วย”
เขานึกได้ว่าเมื่อครู่นี้ นางบอกว่าเป็นคนทำขนมนี้เอง ซึ่งเรื่องนี้อีกทั้งเรื่องที่นางกับสาวใช้เพียงแค่สองคน ค่อย ๆ ทำให้เรือนหลังนี้น่าอยู่ขึ้นมา ทำให้เขารู้สึกแปลกใจมากกว่าเดิม
“คิดไม่ถึงเลยว่า บุตรสาวของเศรษฐีหน้าเลือดอย่างเมิ่งฉี จะทำสวนและขนมด้วยตัวเอง เมิ่ง…หลินอิง เจ้าตั้งใจจะทำอะไรกันแน่”
ในสวน
ปัก ปัก ปัก!
“คุณหนูท่านทะเลาะกับท่านแม่ทัพมาหรือเจ้าคะ”
“เปล่าเสียหน่อย เขาน่ะหรือจะทำข้าโมโหได้”
“แต่ว่าทำไม…”
“หึ”
ปัก ปัก ปัก!
เสียงจอบในมือนางที่ยกหน้าดิน เพื่อจะปลูกผักกระแทกลงไปแรงกว่าปกติจนผิงเพ่ยรู้สึกว่า งานในวันนี้น่าจะเสร็จเร็วกว่าที่คิด
“ที่ข้าโมโหก็คือ… ดันลืมขนมเอาไว้ที่โต๊ะ พอนึกขึ้นได้กลับไม่กล้าเดินไปเอาต่างหากเล่า!”
“โธ่คุณหนูละก็เรื่องแค่นี้เอง ในครัวยังมีเหลืออีก เดี๋ยวข้าไปเอามาให้นะเจ้าคะ ท่านก็นั่งพักสักหน่อยเถอะ”
“ยิ่งคิดยิ่งโมโห ขนมที่ข้าอุตส่าห์ทำกลับโมโหเจ้าคนบ้าอำนาจนั่น จนลืมเอามาจนได้ เจ็บใจนัก”
“คุณหนูท่านอย่าคิดมากเลยเจ้าค่ะ ตอนนี้เราดีกว่าเมื่อก่อนมากแล้ว สามารถซื้อของมาเก็บ และทำขนมได้เท่าที่ต้องการ อยากกินอะไรก็ไม่ต้องคิดแล้วว่าทำได้กี่ชาม”
เมื่อผิงเพ่ยพูดเช่นนี้หลินอิงก็เงียบลงทันที นางลืมไปเสียได้ว่าที่นี่มิใช่จวนสกุลเมิ่ง ที่พวกนางกว่าจะหาอะไรมาทำกินได้แต่ละครั้ง ยากยิ่งกว่าหาทอง แม้ว่าบิดาของนางจะให้เงินเดือน แต่กับสามชีวิตที่ต้องดูแลก็แทบจะไม่พอ จะทำขนมได้สักสามก้อนก็ต้องใช้เวลาเก็บวัตถุดิบมากกว่าสิบวัน
“นั่นสินะข้าลืมไปเลย ตอนนี้ข้าไม่ต้องจำกัดการทำอาหารแล้วนี่นา”
“เช่นนั้นข้าไปเอาขนมมาให้ท่านนะเจ้าคะ วันนี้เราหยุดก่อนเถอะเจ้าค่ะ พรุ่งนี้ค่อยทำต่อ”
“ได้สิ เช่นนั้นเจ้าก็มองที่หน้าเรือนด้วยนะ ว่าเขากลับไปหรือยัง”
“เจ้าค่ะ”
ผิงเพ่ยเดินไปแล้ว นางจึงหันมาล้างมือและนั่งพัก เมื่อนั่งมองจากตรงนี้แล้ว เวลาสองวันที่นางกับผิงเพ่ยช่วยกันทำความสะอาดที่นี่ ก็นับว่าไม่เสียเปล่า เพราะเรือนนี้เมื่อทำความสะอาดแล้ว น่าอยู่มากเลยทีเดียว
“ไม่เสียแรงที่อุตส่าห์ลงแรงไปเยอะละนะ”
“คุณหนูขนมมาแล้วเจ้าค่ะ กำลังร้อน ๆ เลยระวังนะเจ้าคะ”
“เขากลับไปหรือยัง”
“ท่านแม่ทัพกลับไปแล้วเจ้าค่ะ ข้ามาช้าเพราะมัวแต่เก็บกาน้ำชากลับมาเจ้าค่ะ”
“เอ๊ะ แล้วจานขนมละ”
“ตอนที่ข้าไปเก็บ มีแค่กาน้ำชาที่ดื่มจนหมดแล้วเท่านั้นเจ้าค่ะ อย่างอื่นข้าไม่เห็น”
“อะไรนะ”
เรือนหน้า
“ท่านแม่ทัพ นั่นคือ…”
“ทำไม เจ้ามองอะไรกัน นี่ขนมของข้า!”
“ปกติท่านแม่ทัพ ไม่ชอบของหวานพวกนี้มิใช่หรือขอรับ”
“ใครบอกว่าข้าไม่ชอบกิน เพียงแต่ไม่มีใครทำอร่อยเท่านั้นเอง”
“งั้นหรือขอรับ เช่นนั้น…”
จื่อรั่วเมื่อเห็นท่านแม่ทัพกินด้วยความอร่อย ก็นึกอยากลองบ้าง ดูเหมือนว่าหลิวเว่ยหยางเองก็จะรู้ เขารีบดึงจานขนมที่เหลือเพียงสองชิ้นมาที่โต๊ะ
“เจ้ารีบเอารายงานออกไปส่งเถอะ พรุ่งนี้ต้องเตรียมตัวเข้าวังอีก”
“ขอรับ”
เมื่อจื่อรุ่ยเดินออกไปแล้ว เขาก็กินขนมที่เหลือจนหมด เสียดายที่น้ำชาของนาง กาเล็กเหลือเกินเขาจึงกินขนมได้ไม่หมด จำเป็นต้องถือจานของนางกลับมาถึงเรือนหน้านี้ด้วย
“ก็แค่ขนมจานเดียว ทำใจแคบไม่ให้ข้ากินไปได้”
วันถัดมา
“คุณหนูเจ้าคะ ท่านบอกว่าวันนี้ต้องเข้าวัง แล้วชุดเล่าเจ้าคะจะสวมชุดไหนไปดี”
ผิงเพ่ยกังวลเล็กน้อย เพราะเมิ่งหลินอิงไม่เคยสวมชุดใหม่ และแทบจะไม่เคยซื้อชุดให้ตัวเองเลย เงินทุกเหวินของนางเก็บเอาไว้ซื้ออาหารและยาสำหรับมารดาเท่านั้น เมื่อทราบว่าคุณหนูจะต้องเข้าวัง ผิงเพ่ยจึงเริ่มกังวลเพราะหากฮูหยินท่านแม่ทัพแต่งกายไม่เหมาะสมแล้ว จะทำให้นางขายหน้า
“เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก เดิมทีข้าเองก็คิดมากเช่นกัน แต่เจ้าลองดูกล่องนี้สิ”
“นี่มันกล่องสินเดิมที่ติดตัวท่านมานี่เจ้าคะ”
“ใช่แล้ว ฮูหยินใหญ่นางบอกว่านี่เป็นชุดที่สั่งตัดพิเศษพร้อมเครื่องประดับ เดิมทีข้าก็คิดจะเอาไปขายหลังออกจากจวน พึ่งมาเข้าใจในตอนนี้นี่เองว่า เหตุใดนางจึงมอบชุดนี้มาให้ข้า”
ที่แท้ฮูหยินใหญ่รู้อยู่แล้วว่า หลินอิงจะต้องเข้าวังเพื่อไปรับตราตั้งจากท่านอ๋อง นางเกรงว่าจะเสื่อมเสียมาถึงสกุลเมิ่ง จึงได้มอบชุดหรูหราที่ตัดเย็บด้วยผ้าไหมชั้นดี อีกทั้งเครื่องประดับที่เข้าชุดกัน เมื่อทั้งสองเปิดออกมาดูก็พบว่ามันงดงามอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
“คุณหนู ชุดแบบนี้ข้าเคยเห็นแต่คุณหนูใหญ่สวมอยู่ที่จวน นึกไม่ถึงเลยว่าวันนี้ท่านจะได้สวมชุดสวย ๆ เช่นนี้ด้วย ข้าตื่นเต้นยิ่งนักที่จะได้แต่งตัวให้ท่าน รีบสวมเถอะเจ้าค่ะ”
หลิงอิงสวมชุดใหม่ซึ่งมีสีม่วงอ่อน ผิงเพ่ยรู้สึกตื่นเต้นที่ได้เห็นคุณหนูของตัวเองได้สวมชุดที่เหมาะสมเสียที พวกนางใช้เวลาแต่งตัว ไม่นานหลังจากที่สวมเครื่องประดับเสร็จแล้ว แม่ทัพหลิวก็เดินมาถึงหน้าเรือน
“ท่านแม่ทัพมาแล้ว!”
เสียงของจื่อรุ่ยตะโกนอยู่หน้าจวน ทั้งสองจึงได้รีบเร่งจัดแจงเก็บของ ผิงเพ่ยเป็นคนเดินออกมาก่อน และแจ้งท่านแม่ทัพอีกครั้ง
“ฮูหยินเล่า”
“ฮู…อ้อ ฮูหยินพึ่งจะแต่งตัวเสร็จเจ้าค่ะ”
ผิงเพ่ยไม่คุ้นชินกับสรรพนามนี้ แต่เมื่อท่านแม่ทัพพูดออกมานางก็รู้สึกฮึกเหิมขึ้น บัดนี้คุณหนูของนางเป็นฮูหยินของท่านแม่ทัพแล้ว มิใช่คุณหนูรองสกุลเมิ่งที่อ่อนแอไร้ที่พึ่งอีกต่อไป
เมื่อประตูเปิดออกมา เมิ่งหลินอิงก็เดินออกมาพร้อมกับชุดที่เป็นทางการ ทำเอาแม่ทัพหนุ่มยืนนิ่งเมื่อเห็นสตรีที่งดงาม ใบหน้าของนางแต่งแต้มสีสันเพียงเล็กน้อย แต่สิ่งที่สะดุดตาเขามากที่สุด กลับเป็นริมฝีปากอิ่มที่ทาชาดสีลูกท้อนั่นต่างหาก
“ขออภัยที่ให้ท่านต้องรอนาน ข้าพร้อมแล้วเจ้าค่ะ”
“ท่านแม่ทัพ ฮูหยินบอกว่าพร้อมแล้วขอรับ”
หลิวเว่ยหยางกะพริบตาถี่ ๆ สองสามครั้ง และหันมากระแอมก่อนจะพูดขึ้นมาอีกครั้ง
“รถม้าเตรียมพร้อมแล้วตามข้ามาเถอะ เข้าวังครั้งแรกอย่าไปสายจะดีกว่า”
จวนสกุลเมิ่งวันนี้เป็นวันมงคลใหญ่ของจวนสกุลเมิ่ง ที่จะแต่งบุตรสาวคนรองออกเรือน ผ้าแดงมงคลผูกเพื่อรอรับขบวนเจ้าบ่าวที่จะมารับเจ้าสาว ซึ่งเป็นถึงแม่ทัพใหญ่เมืองต้าเฟิงนามว่า “หลิวเว่ยหยาง” “ฮึก! คุณหนู….”“เหตุใดเจ้าต้องร้องไห้ด้วย วันนี้เป็นวังมงคลของข้านะผิงเพ่ย”“เหตุใดต้องเป็นท่านด้วย นายท่านช่างลำเอียงยิ่งนัก นี่เท่ากับส่งท่านไปตายชัด ๆ”“ชีวิตของท่านแม่อยู่ที่การตัดสินใจของข้า หากวันนี้ข้าไม่ยอมแต่งงานออกไปแทนคุณหนูใหญ่ เกรงว่าจะช่วยท่านแม่ไม่ได้อีกแล้ว ข้าคิดเอาไว้แล้ว เจ้าไม่ต้องห่วงหรอกนะผิงเพ่ย”“แต่ว่า… ท่านแต่งกับแม่ทัพหลิวที่กำลังจะออกศึกครั้งใหญ่ เป็นตายกลับมายังไม่รู้ชะตากรรมแต่นายท่านกลับ…”“เอาล่ะได้เวลาคลุมหน้าเจ้าสาวแล้ว”“เจ้าค่ะ”“เมิ่งหลินอิง” สั่งสาวใช้ข้างกายเพียงคนเดียวที่มาช่วยนางแต่งตัวในวันนี้ แม้จะเป็นบุตรสาวเศรษฐีใหญ่ในเมือง "ต้าเฟิง" เมืองที่ใหญ่รองเพียงแค่เมืองหลวงของแคว้นเยี่ยนตู ฐานะของหลินอิงในจวนสกุลเมิ่งเป็นเพียงแค่บุตรสาวภรรยารอง แต่วันนี้นางกลับได้แต่งออกจากจวนในฐานะบุตรสาวภรรยาเอก“เพียงให้ท่านยอมแต่งงานที่เสี่ยงจะเป็นหม้าย นายท่านถึงกับไม่ยอมให
ตึง!บุรุษหนุ่มสะบัดมือออกจากใบหน้าของเจ้าสาว และเดินหันหลังออกจากห้องส่งตัวไปทันที เมิ่งหลินอิงไม่รู้มาก่อนเลยว่า การแต่งงานในครั้งนี้ของนางจะมีเงื่อนไขเช่นนี้ด้วย “นี่มันอะไรกัน ฮูหยินตราตั้ง ข้อตกลงกองทัพ…เหตุใดจึงไม่มีผู้ใดบอกข้าเลย”“คุณหนูเจ้าคะ! ท่านเป็นอะไรหรือไม่”“ผิงเพ่ย ข้า…ฮึก!”“คุณหนู ท่านแม่ทัพทำร้ายท่านหรือเจ้าคะ เหตุใดหน้าท่านถึงได้มีรอยนิ้วมือแดงขนาดนี้”“เปล่า…เปล่า”นางมิอาจพูดอะไรได้ เพราะรู้สึกเจ็บที่หัวใจมากกว่าที่ใบหน้า ซึ่งถูกเขาบีบจนเกิดรอยช้ำขึ้น สาวใช้เมื่อเห็นสภาพของคุณหนูตรงหน้า ก็อดร้องไห้ออกมาไม่ได้“คุณหนูข้าจะรีบเอาผ้ามาประคบให้นะเจ้าคะ”ผิงเพ่ยอดไม่ได้ที่ร้องไห้ตามคุณหนูผู้อาภัพของนาง เดิมทีอยู่ที่จวนขอบิดา นางก็ไม่ต่างกับสาวใช้ที่ต้องทำงานทุกอย่างและดูแลอนุหง “หงเซียวลี่” มารดาที่ป่วยด้วยโรคประจำตัวบิดาแม้ว่าจะให้หมอมาตรวจและจ่ายค่ายาให้ แต่หลินอิงก็ต้องแลกด้วยการที่ต้องทำงานทุกอย่างทั้งคิดบัญชี ดูแลร้านขายผ้าไหมและโรงเตี๊ยมในเมือง แทนคุณหนูใหญ่ที่เอาแต่แต่งตัวสวยและมีสาวใช้ข้างกายถึงสี่คน“ต้านเสือที่ประตูหน้า หมาป่ากลับเข้าประตูหลัง คิดว่าออกจา
“ตะ แต่ว่าเรือนเล็กหลังนั้นทั้งเก่าและทรุดโทรม แน่ใจหรือขอรับว่านางจะอยู่ได้”“นั่นมันเรื่องของนาง ไม่ใช่ธุระของข้า เอารายงานนี้ไปส่ง อีกสองวันข้าต้องรู้ความเคลื่อนไหวของกองทัพแคว้นอู๋อย่างละเอียด”“ขอรับท่านแม่ทัพ”วันถัดมาเมื่อหลินอิงตื่นขึ้นมา ก็มีสาวใช้เข้ามาแจ้งว่านางต้องย้ายไปที่เรือนพักด้านหลัง เดิมทีหลินอิงก็มิได้อยากอยู่ร่วมกับเขาอยู่แล้ว นางจึงย้ายไปโดยไม่มีคำถาม แต่เมื่อเดินไปที่เรือนเล็กด้านหลังก็ตกใจเล็กน้อย“ถึงแล้วเจ้าค่ะฮูหยิน ข้าน้อยขอตัวก่อน”“เอ๊ะ เดี๋ยวก่อนสิแล้ว… ไม่มีสาวใช้หรือคนอื่นที่จะมาช่วยทำความสะอาดเลยหรือ เดี๋ยวก่อนสิเจ้าอย่าพึ่งไป”เมิ่งหลินอิงยืนมองสภาพเรือนเล็ก ที่เก่าและทรุดโทรม ที่นี่ดูไม่ต่างกับจวนเดิมที่นางจากมาก เพียงแค่ดีกว่านิดหน่อย“เอาเถอะ อย่างน้อยหลังคาก็ไม่รั่ว แค่ต้องกวาดถูทำความสะอาดนิดหน่อย รีบทำเถอะ”“แต่ว่า… นี่มันเกินไปแล้วนะเจ้าคะ ท่านเป็นถึงฮูหยินของเขาแต่กลับให้ท่านมาอยู่ในที่แบบนี้”“ทำไมเล่าไม่ดีหรือ เรือนเก่าของท่านแม่ทรุดโทรมยิ่งกว่านี้อีก เจ้าจำไม่ได้หรือ อย่างน้อยก็แค่ต้องตัดหญ้ารอบ ๆ แต่ด้านในเหมือนจะยังใหม่อยู่นะ”“คุณหนูท่
สายตาที่นิ่งดุจน้ำในสระบัวนั้น ทำให้เขาตกอยู่ในภวังค์ไปชั่วขณะ แต่เมื่อหันไปเห็นคำสั่งที่นำมาด้วย ก็พลันนึกได้ว่านางเป็นใคร และเขาต้องมาที่นี่เพื่อสิ่งใด“พรุ่งนี้เจ้าต้องเข้าวังกับข้า”“อะไรนะเจ้าคะ เหตุใดต้องเข้าวังด้วย”“หึ ยังมีหน้ามาถามว่าเพราะเหตุใด มิใช่เพราะพวกเจ้าหรอกหรือ ที่ยื่นเงื่อนไขนี้ให้ท่านอ๋อง พรุ่งนี้ต้องเข้าวังเพื่อไปรับตำแหน่งฮูหยินตราตั้งของเจ้าอย่างไรเล่า”สีหน้าของอีกฝ่ายซีดลงจนเขาจับสังเกตได้ แม้เขาจะนึกสงสัย แต่เพราะอคติในใจที่เกิดขึ้น จากบิดาจอมโลภของนาง จึงทำให้แม่ทัพหนุ่มมองนางในแง่ดีไม่ได้“เตรียมตัวให้พร้อม พรุ่งนี้ยามเฉิน (07.00 น.) ข้าจะมารับที่เรือนเพื่อเข้าวัง”แม้ว่าจะดูกังวลใจอยู่บ้าง แต่หลินอิงก็เชิดหน้าขึ้นด้วยสีหน้าไม่เกรงกลัว แม้เขาจะเป็นแม่ทัพใหญ่ก็ตาม“ไม่มีปัญหาเจ้าค่ะ ท่านมีธุระแค่นี้ใช่หรือไม่”“ที่นี่เป็นจวนแม่ทัพ ข้าจะอยู่หรือไปเกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย เป็นแค่ผู้อาศัย มีหน้าที่ถามเจ้าของจวนด้วยหรือ”“เช่นนั้นก็เชิญท่านแม่ทัพตามสบายเถิดเจ้าค่ะ ผู้อาศัยขอตัวก่อน”นางเดินเข้าไปในเรือนแล้ว เขาลอบสังเกตเห็นท่าเดินของนางที่แปลกไป ดูเหมือนว่านางจะเ
“ตะ แต่ว่าเรือนเล็กหลังนั้นทั้งเก่าและทรุดโทรม แน่ใจหรือขอรับว่านางจะอยู่ได้”“นั่นมันเรื่องของนาง ไม่ใช่ธุระของข้า เอารายงานนี้ไปส่ง อีกสองวันข้าต้องรู้ความเคลื่อนไหวของกองทัพแคว้นอู๋อย่างละเอียด”“ขอรับท่านแม่ทัพ”วันถัดมาเมื่อหลินอิงตื่นขึ้นมา ก็มีสาวใช้เข้ามาแจ้งว่านางต้องย้ายไปที่เรือนพักด้านหลัง เดิมทีหลินอิงก็มิได้อยากอยู่ร่วมกับเขาอยู่แล้ว นางจึงย้ายไปโดยไม่มีคำถาม แต่เมื่อเดินไปที่เรือนเล็กด้านหลังก็ตกใจเล็กน้อย“ถึงแล้วเจ้าค่ะฮูหยิน ข้าน้อยขอตัวก่อน”“เอ๊ะ เดี๋ยวก่อนสิแล้ว… ไม่มีสาวใช้หรือคนอื่นที่จะมาช่วยทำความสะอาดเลยหรือ เดี๋ยวก่อนสิเจ้าอย่าพึ่งไป”เมิ่งหลินอิงยืนมองสภาพเรือนเล็ก ที่เก่าและทรุดโทรม ที่นี่ดูไม่ต่างกับจวนเดิมที่นางจากมาก เพียงแค่ดีกว่านิดหน่อย“เอาเถอะ อย่างน้อยหลังคาก็ไม่รั่ว แค่ต้องกวาดถูทำความสะอาดนิดหน่อย รีบทำเถอะ”“แต่ว่า… นี่มันเกินไปแล้วนะเจ้าคะ ท่านเป็นถึงฮูหยินของเขาแต่กลับให้ท่านมาอยู่ในที่แบบนี้”“ทำไมเล่าไม่ดีหรือ เรือนเก่าของท่านแม่ทรุดโทรมยิ่งกว่านี้อีก เจ้าจำไม่ได้หรือ อย่างน้อยก็แค่ต้องตัดหญ้ารอบ ๆ แต่ด้านในเหมือนจะยังใหม่อยู่นะ”“คุณหนูท่
ตึง!บุรุษหนุ่มสะบัดมือออกจากใบหน้าของเจ้าสาว และเดินหันหลังออกจากห้องส่งตัวไปทันที เมิ่งหลินอิงไม่รู้มาก่อนเลยว่า การแต่งงานในครั้งนี้ของนางจะมีเงื่อนไขเช่นนี้ด้วย “นี่มันอะไรกัน ฮูหยินตราตั้ง ข้อตกลงกองทัพ…เหตุใดจึงไม่มีผู้ใดบอกข้าเลย”“คุณหนูเจ้าคะ! ท่านเป็นอะไรหรือไม่”“ผิงเพ่ย ข้า…ฮึก!”“คุณหนู ท่านแม่ทัพทำร้ายท่านหรือเจ้าคะ เหตุใดหน้าท่านถึงได้มีรอยนิ้วมือแดงขนาดนี้”“เปล่า…เปล่า”นางมิอาจพูดอะไรได้ เพราะรู้สึกเจ็บที่หัวใจมากกว่าที่ใบหน้า ซึ่งถูกเขาบีบจนเกิดรอยช้ำขึ้น สาวใช้เมื่อเห็นสภาพของคุณหนูตรงหน้า ก็อดร้องไห้ออกมาไม่ได้“คุณหนูข้าจะรีบเอาผ้ามาประคบให้นะเจ้าคะ”ผิงเพ่ยอดไม่ได้ที่ร้องไห้ตามคุณหนูผู้อาภัพของนาง เดิมทีอยู่ที่จวนขอบิดา นางก็ไม่ต่างกับสาวใช้ที่ต้องทำงานทุกอย่างและดูแลอนุหง “หงเซียวลี่” มารดาที่ป่วยด้วยโรคประจำตัวบิดาแม้ว่าจะให้หมอมาตรวจและจ่ายค่ายาให้ แต่หลินอิงก็ต้องแลกด้วยการที่ต้องทำงานทุกอย่างทั้งคิดบัญชี ดูแลร้านขายผ้าไหมและโรงเตี๊ยมในเมือง แทนคุณหนูใหญ่ที่เอาแต่แต่งตัวสวยและมีสาวใช้ข้างกายถึงสี่คน“ต้านเสือที่ประตูหน้า หมาป่ากลับเข้าประตูหลัง คิดว่าออกจา
จวนสกุลเมิ่งวันนี้เป็นวันมงคลใหญ่ของจวนสกุลเมิ่ง ที่จะแต่งบุตรสาวคนรองออกเรือน ผ้าแดงมงคลผูกเพื่อรอรับขบวนเจ้าบ่าวที่จะมารับเจ้าสาว ซึ่งเป็นถึงแม่ทัพใหญ่เมืองต้าเฟิงนามว่า “หลิวเว่ยหยาง” “ฮึก! คุณหนู….”“เหตุใดเจ้าต้องร้องไห้ด้วย วันนี้เป็นวังมงคลของข้านะผิงเพ่ย”“เหตุใดต้องเป็นท่านด้วย นายท่านช่างลำเอียงยิ่งนัก นี่เท่ากับส่งท่านไปตายชัด ๆ”“ชีวิตของท่านแม่อยู่ที่การตัดสินใจของข้า หากวันนี้ข้าไม่ยอมแต่งงานออกไปแทนคุณหนูใหญ่ เกรงว่าจะช่วยท่านแม่ไม่ได้อีกแล้ว ข้าคิดเอาไว้แล้ว เจ้าไม่ต้องห่วงหรอกนะผิงเพ่ย”“แต่ว่า… ท่านแต่งกับแม่ทัพหลิวที่กำลังจะออกศึกครั้งใหญ่ เป็นตายกลับมายังไม่รู้ชะตากรรมแต่นายท่านกลับ…”“เอาล่ะได้เวลาคลุมหน้าเจ้าสาวแล้ว”“เจ้าค่ะ”“เมิ่งหลินอิง” สั่งสาวใช้ข้างกายเพียงคนเดียวที่มาช่วยนางแต่งตัวในวันนี้ แม้จะเป็นบุตรสาวเศรษฐีใหญ่ในเมือง "ต้าเฟิง" เมืองที่ใหญ่รองเพียงแค่เมืองหลวงของแคว้นเยี่ยนตู ฐานะของหลินอิงในจวนสกุลเมิ่งเป็นเพียงแค่บุตรสาวภรรยารอง แต่วันนี้นางกลับได้แต่งออกจากจวนในฐานะบุตรสาวภรรยาเอก“เพียงให้ท่านยอมแต่งงานที่เสี่ยงจะเป็นหม้าย นายท่านถึงกับไม่ยอมให