"อี้หนิง ผิงอัน พวกเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง"
นางฉีฮุ่ยแหวกฝูงชน วิ่งไปหาเด็กแฝดทั้งสอง สีหน้าของนางตื่นตกใจมาก เมื่อครู่นางไม่ทันสังเกตว่า อี้หนิงกับผิงอันออกมาจากร้าน ได้ยินเสียงคนกรีดร้องว่ามีรถม้าจะชนเด็ก ก็ใจหายวาบมองหาเจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองก็ไม่เห็นตัว จึงรีบวิ่งออกจากร้านมาดู พบว่าเป็นหนิงอี้กับผิงอันจริงๆ
"ท่านยาย ข้าไม่เป็นอะไร ท่านลุงช่วยข้า"
ผิงอันรีบบอกท่านยายฉี แม่หนูจับมือของท่านลุงอย่างสนิทสนม รู้สึกประทับใจที่ท่านลุงผู้นี้ช่วยตนไว้
"ขอบคุณท่านมากที่ช่วยเด็กๆ ไว้"
นางฉีฮุ่ยกล่าวขอบคุณพร้อมกับคารวะ ด้วยความซาบซึ้งใจ วันนี้นางมัวแต่นั่งนับของที่เอามาส่งจึงไม่ทันสังเกตว่า อี้หนิงและผิงอันแอบออกมาจากร้าน หากทั้งสองเป็นอะไรไป นางคงไม่อาจสู้หน้าหลิวซืออินได้ โชคดีที่ท่านผู้นี้ได้ช่วยเหลือเด็กทั้งสองเอาไว้ได้ นางจึงอยากจะตอบแทนคุณของเขา
"เป็นความผิดของคนของข้าเอง ที่ไม่ทันระวังจนเกือบขี่รถทับเด็ก ข้าสมควรแล้วที่จะต้องช่วยเหลือเด็กๆ เอาไว้ ข้าขออภัยด้วย"
คนผู้นั้นเอ่ยขอโทษออกมา คนขี่รถม้าของเขาเกือบขี่รถทับเด็กไปแล้ว โชคดีที่ได้ยินเสียงกรีดร้องเขาจึงออกมาช่วยเด็กๆได้ทัน
"ท่านแม่ทัพ โปรดลงโทษข้าเถิด เป็นความผิดของข้าเองที่ไม่ทันระวัง"
คนขี่รถม้าคุกเข่าลงคำนับกับพื้นยินยอมรับโทษ เขารีบเร่งไปส่งเจ้านาย จนไม่ได้ทันระวังเกือบคร่าชีวิตเด็กทั้งสอง
"กลับจวนไป ก็ไปรับโทษโบยยี่สิบไม้ ข้าจะหักเบี้ยหวัดของเจ้าเดือนนี้ครึ่งเดือน มาเป็นค่าปลอบขวัญให้เด็กๆ ทั้งสองคน"
"ขอรับท่านแม่ทัพ"
คนขี่รถม้าน้อมรับคำลงโทษโดยไม่โต้แย้ง ถูกโบยยี่สิบไม้นับว่าปราณีแล้ว หากเขาทำให้เด็กตายอาจต้องชดใช้ด้วยชีวิต ท่านแม่ทัพผู้นี้ขึ้นชื่อว่าเข้มงวด และโหดเหี้ยมมาก ทหารทุกคนที่อยู่ภายใต้อานัติ จึงรู้สึกเกรงกลัวแม่ทัพผู้นี้มาก
"ที่แท้ท่านคือท่านแม่ทัพ ข้าขอเชิญท่านดื่มน้ำชา จะได้ให้เด็กทั้งสองคารวะขอบคุณท่าน"
นางฉีฮุ่ยได้ยินว่าอีกฝ่ายเป็นถึงแม่ทัพ ก็คิดจะเชิญเขาไปดื่มน้ำชา และหาของขวัญตอบแทน
"ท่านลุง เดี๋ยวข้าจะเลี้ยงน้ำตาลปั้นท่านเอง"
ผิงอันคิดเลี้ยงขนมตอบแทนคุณท่านลุง มือน้อยๆ จับมือใหญ่กว่าจูงให้เดินตามนาง
"ท่านลุง ท่านรับน้ำใจผิงอันไว้เถอะ"
อี้หนิงเอ่ยขึ้น เขารู้ว่าหากอีกฝ่ายคิดขัดความปรารถนาดีของนาง ผิงอันก็คงจะเสียใจแน่
"ก็ได้ ร้านขายน้ำตาลปั้นอยู่ตรงไหน เดี๋ยวข้าจะพาเจ้าไปเอง"
ท่านลุงผู้ใจดียกร่างเล็กของผิงอันมาอุ้มไว้ แม่หนูโอบคอเขาไว้แน่น เอนศีรษะซบอกท่าทางดูสนิทสนม จนนางฉีฮุ่ยรู้สึกแปลกใจ ปกติผิงอันจะไม่ยอมให้ใครอุ้มนอกจากคนในครอบครัว และยิ่งแปลกใจมากกว่าเดิมเมื่อเห็นเขายื่นมืออีกข้างมาจูงมืออี้หนิง เด็กชายยอมยื่นมือให้เขาจับโดยไม่รังเกียจ ปกติอี้หนิงไม่ยอมสนิทสนมกับผู้ใดง่ายๆ คงเป็นเพราะคนผู้นี้ช่วยเหลือทั้งสองเอาไว้ จึงสร้างความประทับใจให้พวกเขากระมัง นางฉีฮุ่ยจึงเดินตามไปเงียบๆ
"ท่านลุง ท่านเอาน้ำตาลปั้นรูปอะไรเจ้าคะ รูปเสือดีหรือไม่"
ผิงอันน้อยชี้ให้ดูน้ำตาลปั้นที่ท่านลุงหม่าตั้งเรียงไว้เป็นตัวอย่าง ก่อนหน้าแม่หนูสั่งทำรูปหงส์ไว้ ท่านลุงหม่ายังทำไม่ทันเสร็จก็เกิดเหตุเสียก่อน
"เจ้าว่าอะไรดี ก็ตามใจเจ้า"
คนผู้นั้นตามใจผิงอัน แม่หนูฉีกยิ้มกว้างจนดวงตาโค้งเป็นรูปจันทร์เสี้ยว แก้มกลมป่องเห็นรอยบุ๋มทั้งสองข้างน่าเอ็นดูยิ่งนัก หัวใจของคนมองพลันอ่อนยวบลง คิดว่าการอยู่กับเด็กๆ ก็รู้สึกดีไม่น้อย เขาก้มลงไปมองเจ้าหนูที่จูงไว้ เด็กชายรู้ความไม่งอแงเลยสักนิด ใบหน้าเล็กๆ แลดูคุ้นตา แต่ก็นึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
"อี้หนิง เจ้าอยากได้ตัวอะไร"
เขาเอ่ยถามเด็กชาย เจ้าหนูไม่ทันจะตอบเสียงเล็กของเด็กหญิงก็ดังขึ้นว่า
"พี่ชายข้า เขาไม่ชอบน้ำตาลปั้น เขาชอบถังหูลู่ เมื่อกี้เขากำลังจะข้ามถนนไปซื้อแต่ เห้อ..."
เสียงถอนหายใจฟังดูแก่กว่าอายุ จนคนฟังเผยรอยยิ้มเอ็นดู
"เช่นนั้นรอให้น้ำตาลปั้นเสร็จ เดี๋ยวท่านลุงจะไปซื้อถังหูลู่ให้เจ้าเอง"
"ข้าไม่อยากกินถังหูลู่แล้ว เพราะข้าอยากกินจึงเกือบทำให้น้องสาวเกือบตาย"
เรื่องนี้กลายเป็นปมในใจของเด็กน้อยไปแล้ว หากเขาไม่ข้ามถนนไปซื้อถังหูลู่ เขากับน้องสาวคงไม่ถูกรถม้าชน คิดแล้วอี้หนิงรู้สึกผิดมากจนอยากหลั่งน้ำตา ทว่าท่านลุงซุนเคยสอนว่า ลูกผู้ชายต้องเข้มแข็งห้ามหลั่งน้ำตาให้ใครเห็น จำต้องฝืนกลั้นเอาไว้
"เจ้าอย่าโทษตัวเอง มิใช่ความผิดของเจ้า เป็นเพราะคนขี่รถม้าของข้าไม่ระวังเอง วันหลังเจ้าแค่ระวังมองซ้ายขวาให้ดีก่อนข้ามถนน"
คำปลอบใจนั้นทำให้อี้หนิงรู้สึกดีขึ้น เขารีบพยักหน้ารับ ยิ้มกว้างแววตากลัยมาสดใสดังเดิม
"ขอรับท่านลุง คราวหน้าข้าจะระวังให้มาก"
"ดีแล้ว เดี๋ยวข้าจะพาเจ้าไปซื้อถังหูลู่เอง"
ชายผู้นั้นรอจนน้ำตาลปั้นเสร็จ ก็อุ้มอี้หนิง ด้วยแขนอีกข้างพาไปซื้อถังหูลู่ เขาใจดีซื้อให้เด็กชายสองไม้และยังให้เด็กหญิงอีกหนึ่งไม้
"ท่านแม่ทัพเจ้าคะ ลข้าสั่งคนเตรียมสุราอาหารไว้แล้ว"
นางฉีฮุ่ยอาศัยช่วงที่เด็กๆ รอน้ำตาลปั้นรีบวิ่งไปสั่งคนงานให้ไปซื้อสุราอาหารมาเตรียมต้อนรับ เมื่อนางวิ่งกลับมา ชายผู้นั้นก็อุ้มเด็กๆ เดินมาถึงหน้าร้านแล้ว
"ไม่เป็นไร ข้ามีธุระต้องไปทำ ไว้วันหลังข้าจะแวะมา"
เขาวางเด็กชายลงยื่นมือไปวางบนไหล่ตบเบาๆ อี้หนิงแหงนหน้ามองแล้วยิ้มให้เขา ดวงหน้าเล็กๆ นั้นให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด เมื่อหันมามองหน้าแม่หนูผิงอัน หัวใจของเขาเหมือนกลายเป็นของเหลว แม่หนูยิ้มแป้นใบหน้ากลมน่ารักน่าเอ็นดูจนไม่อยากจะปล่อยจากอ้อมแขน ความรู้สึกอยากทะนุถนอมบังเกิดขึ้นในใจ กว่าจะตัดใจยอมผละออกจากเจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสอง ก็ใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่ง
"ท่านลุง ท่านสัญญาแล้วนะ ว่าจะมากินข้าวกับข้า ห้ามลืมสัญญานะเจ้าคะ"
เสียงเล็กของผิงอันตะโกนตามหลังมา คนผู้นั้นหันกลับไปมอง ริมฝีปากแย้มกว้างอย่างห้ามไม่อยู่ เหตุใดเขาถึงถูกชะตากับแม่หนูน้อยผิงอันนัก
"ท่านลุงไม่ลืมแน่นอน"
เขาโบกมือให้แม่หนูน้อย แล้วขึ้นไปบนรถม้า คนขี่รถม้าฟาดแส้ พารถเคลื่อนออกไป
ภายในรถ ท่านแม่ทัพหนุ่มนั่งนิ่งเงียบในหัวของเขามีภาพของเด็กน้อยสองคน ริมฝีปากเอ่ยชื่อเด็กทั้งสองไปมา ราวกับเกรงว่าตัวเองจะหลงลืมชื่อของพวกเขา
"อี้หนิง ผิงอัน"
หัวใจของเขารู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด ในอกเหมือนมีสายใยเล็กๆ เส้นหนึ่งผูกเชื่อมเขาไว้กับเจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสอง หรือเพราะเขาไม่เคยได้ใกล้ชิดเด็กเล็กแบบนี้มาก่อน จึงเกิดความรู้สึกแปลกๆ นี้ขึ้นมา เจ้าตัวพยายามหาคำตอบให้ตัวเอง ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมา สลัดความฟุ้งซ่านออกจากใจ
ครั้งนี้เขาเดินทางมาหนานไห่ เพื่อตรวจสอบการค้าเกลือผิดกฎหมาย สายสืบรายงานว่าจะมีการนัดหมายเจรจาซื้อขายของพ่อค้าเกลือเถื่อน กับพ่อค้าต่างแคว้น หากเกลือจำนวนนี้ถูกลอบส่งขายสำเร็จ อาจจะทำให้เกิดผลกระทบกับความมั่นคง ด้วยเกลือเป็นสินค้าต้องห้าม ค้าขายได้เฉพาะพ่อค้าของราชสำนัก มีการเก็บภาษีเข้มงวด และจำกัดปริมาณการขาย เพื่อไม่ให้แคว้นของพวกเขาขาดแคลนเกลือ และไม่ให้แคว้นอื่นฉวยโอกาสสะสมเป็นเสบียง
"ถึงที่หมายแล้วขอรับ คนของเราซุ่มรออยู่ในโรงเตี๊ยมแล้ว ตอนนี้พ่อค้าเกลือกำลังเจรจาอยู่ในห้องรับรองพิเศษที่ชั้นสอง"
ลูกน้องที่ซุ่มอยู่ได้มารายงานกับผู้เป็นนาย พวกเขารอเวลาจับกุม เพียงท่านแม่ทัพออกคำสั่งก็สามารถจัดการได้ทันที
"จัดการให้เรียบร้อย เดี๋ยวข้าจะเข้าไป"
เขาสั่งการ ขณะลงจากรถม้าเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยมด้วยท่าทางน่าเกรงขาม เพียงย่างเท้าเข้าไปพ้นประตู เสียงการต่อสู้ก็ดังขึ้นจากชั้นสอง ความวุ่นวายเกิดขึ้นทันที เมื่อผู้คนต่างตกใจวิ่งหนีตายกันออกมา
"พวกเจ้าหลีกทาง ไม่เช่นนั้นข้าจะฆ่านางคนนี้ซะ เปิดทาง ได้ยินไหม ! "
เสียงตะโกนดังขึ้น พร้อมกับร่างของชายผู้หนึ่งกำลังลากตัวหญิงสาวคนหนึ่ง พาลงมาจากชั้นสอง ในมือของเขาถือมีดสั้นจ่อคอนางเอาไว้ มีดบาดโดนผิวขาวของนางจนเลือดไหลออกมา บ่งบอกว่าเขาคิดทำร้ายนางจริง หากไม่ยอมปล่อยเขาไป
"เถ้าแก่เฉิน ท่านปล่อยข้าไปเถอะ"
หลิวซืออินอ้อนวอนเสียงสั่น นางมาที่นี่ตามคำเชิญของเถ้าแก่เฉิน เมื่อมาถึงก็พบว่าเขารอนางอยู่พร้อมกับชายอีกคน ซึ่งเป็นคู่ค้าของเขา พอชายคนนั้นเอ่ยถึงจุดประสงค์เรื่องการค้าปลาเค็มกับอาหารทะเลแห้งกับนาง โดยมีข้อเสนอเพิ่มเติมให้นางยัดไส้เกลือทะเลลงไป ในท้องปลาหมึกแห้งและปลาเค็ม หลิวซืออินจึงรู้ในทันทีว่า คนผู้นั้นกำลังคิดใช้สินค้าของร้านนาง อำพรางการค้าเกลือเถื่อน นางจึงปฏิเสธและคิดจะเดินออกไป แต่ยังไม่ได้ทำอะไร คนกลุ่มหนึ่งก็บุกเข้ามาเสียก่อน เกิดการต่อสู้กัน เถ้าแก่เฉินฉวยโอกาสนั้นจับนางเป็นตัวประกัน ลากพานางหนีออกมา
"หุบปาก เจ้ามันตัวซวย หาเรื่องให้ข้าเดือดร้อน"
เถ้าแก่เฉินไม่คิดโทษตัวเอง กลับโยนโทษให้หลิวซืออิน หากเขาไม่นัดหมายกับนางและพาพ่อค้าเกลือเถื่อนมาด้วย คงไม่ถูกทางการล้อมจับเช่นนี้
"ไอ้สารเลว เป็นท่านที่ทำผิดเอง ปล่อยข้านะ"
หลิวซืออินแม้จะหวาดกลัว แต่เมื่อถูกกล่าวหาอย่างไร้ความผิดก็รู้สึกโมโหขึ้นมา ยามนี้นางลืมตัวไม่กลัวตาย เพียงอยากหนีไอ้คนเลวนี้ให้พ้น จึงกำหมัดทุบเป้าของมันเต็มแรง ส่งผลให้อีกฝ่ายจุกมือไม้อ่อนทันที เปิดโอกาสให้คนที่จ้องอยู่ดีดเท้ากระโดดขึ้นมา ฟาดฝ่ามือเข้าใส่จนคนร้ายกระเด็นไปกระแทกประตู ล้มคว่ำลงไป
ทว่า อารามตกใจทำให้หลิวซืออินที่กำลังจะวิ่งหนี สะดุดขาตัวเองพลัดตกบันได
กรี๊ด !
นางหลับตาแน่นคิดว่าร่างคงหล่นร่วงลงไปยังพื้นเบื้องล่างแน่ แต่กลับถูกใครคนหนึ่งรั้งตัวเอาไว้ในอ้อมแขนได้ทันเวลา ตัวนางถูกวงแขนแข็งแรงโอบกอดแล้วพาลงมาสู่พื้นอย่างไร้รอยขีดข่วน
เมื่อหลิวซืออินลืมตาขึ้น ก็มองเห็นใบหน้าของคนผู้นั้น
"ท่าน..."
///
บทที่21 ตอน ความรู้สึกที่ยากจะอธิบายบุรุษผู้สวมหน้ากากสีเงินปกปิดใบหน้าไว้ครึ่งหนึ่ง มองเห็นเพียงริมฝีปากหยักโค้งเจือสีเรื่อ ดวงตาของเขาถูกอำพรางไว้ใต้หน้ากาก แขนแข็งแรงข้างหนึ่งถือดาบอีกข้างกำลังโอบรอบเอวคอดของหลิวซืออิน ประคองนางให้ร่อนลงพื้นอย่างมั่นคง ท่ามกลางความวุ่นวายที่เริ่มสงบลง หลังจากจับคนร้ายได้หมดแล้ว "แม่นางเจ้าปลอดภัยแล้ว"เขาคลายมือออกจากเอว ปล่อยให้นางยืนด้วยตัวเอง ขณะขยับถอยห่างออกมาอย่างสุภาพ"ท่าน..."หลิวซืออินได้ยินเสียงของเขาที่เอ่ยถามนาง ก็ตัวแข็งทื่อ ครางออกมาเบาๆ ในคอ พยายามจดจ้องผู้ที่ได้ช่วยเหลือนางไว้ แต่ใบหน้าของเขามีหน้ากากปกปิดไว้ ไม่สามารถมองเห็นใบหน้าได้ชัดเจน มีเพียงความคุ้นเคยบางอย่างผุดขึ้นมาในใจ ทำให้นางรู้สึกสับสน "ท่านคือ..."ขณะที่จะเอ่ยถามอะไรออกไป คนของเขาจัดการกับคนร้ายได้แล้ว รีบวิ่งเข้ามารายงาน "ท่านแม่ทัพ พวกเราจับคนร้ายได้ทั้งหมดแล้วขอรับ""นำไปฝากขังไว้ที่คุกของเมือง รอการสอบสวน""ขอรับ ท่านแม่ทัพ"คนของเขาไปจัดการลากตัวคนร้ายมารวมกัน เถ้าแก่เฉินถูกฝ่ามือซัดจนสลบ โดนหามออกไปพร้อมกับคนอื่นๆ "ข้าหลิวซืออิน ขอบคุณท่านมากเจ้าค่ะ"หลิวซ
บทที่ 22 ตอน เจ้าซาลาเปาน้อยถูกลงโทษหลิวซืออินตื่นขึ้นมาพร้อมลูกทั้งสองในช่วงเย็น อี้หนิงรู้ความผิดของตัวเอง จึงคุกเข่าสารภาพผิดกับมารดา "ท่านแม่ วันนี้ข้าพาผิงอันออกไปข้างนอกโดยไม่บอกท่านยายฉี ทำให้ผิงอันเกือบถูกรถม้าชน ทุกอย่างเป็นความผิดของข้า ท่านแม่โปรดลงโทษข้าด้วย"เจ้าซาลาเปาน้อยยอมรับผิดโดยไม่กล่าวโทษน้องสาว ทั้งที่ความจริงแล้วผิงอันเป็นคนรบเร้าให้พี่ชายพาไปซื้อขนม "อี้หนิง เจ้าเป็นพี่ชายแต่กลับพาน้องออกไปเที่ยวเล่น จนเกือบเกิดอันตราย ความผิดนี้หากแม่ไม่ลงโทษเจ้าให้หลาบจำ เจ้าจะไม่เข็ดหลาบกระทำผิดซ้ำอีกได้"หลิวซืออินมองลูกชายที่นั่งคุกเข่าบนพื้น อี้หนิงสารภาพผิดอย่างกล้าหาญ ด้านผิงอันนั้นก็นั่งอยู่ข้างๆ พี่ชาย ดวงตากลมของลูกสาวตัวน้อย มองพี่ชาย อย่างห่วงใย และลอบชำเลืองมาทางมารดาคล้ายหวาดกลัวความผิด พี่ชายปกป้องน้องสาวนั้นเป็นเรื่องดี แต่น้องสาวเล่าจะทนเห็นพี่ชายถูกลงโทษได้โดยไม่สำนึกหรือไม่ "วันนี้แม่จะตีเจ้า ป้าฉีท่านไปหยิบไม้มา ข้าจะตีอี้หนิง"หลิวซืออินหันไปบอกนางฉีฮุ่ย อีกฝ่ายได้ยินแล้วก็รีบทักท้วง"เรื่องนี้เป็นความผิดของข้าด้วย ที่ไม่ดูแลเด็กๆ ให้ดี เถ้าแก่เนี้ยท่า
บทที่ 23. ตอน คนในความฝัน/1“ท่านพี่... ท่านพี่...”เสียงเรียกของสตรีนางหนึ่งดังแว่วมาไกลๆ ทำให้คนได้ยินมองหาเจ้าของเสียง ทว่า... เขากลับมองเห็นเพียงมองควันสีขาวอยู่รอบกาย จึงพยายามพาตัวเองเดินฝ่าหมอกหนานั้นออกไป“ท่านพี่... ข้าอยู่นี่...”เสียงเรียกยังดังขึ้น ทำให้เขาเร่งพาตัวเองไปตามเสียงนั้น ม่านหมอกสีขาวค่อยๆ จางลง มองเห็นเกี้ยวเจ้าสาวสีแดงวางอยู่บนพื้น เมื่อเขาเดินเข้าไปใกล้ ก็เห็นมือเรียวงามข้างหนึ่งแหวกม่านกั้น แล้วพาร่างระหงในชุดเจ้าสาวสีแดงก้าวออกมาจากเกี้ยวหลังนั้น สตรีในชุดสีแดงเดินออกไปจากเกี้ยว ทำให้เขาเร่งฝีเท้าตามไป เห็นเพียงแผ่นหลังบางของนางที่เดินนำเขาอยู่ห่างๆ เขาอยากเห็นใบหน้าของนางเหลือเกิน เมื่อเร่งเดินจนทันจึงยื่นมือไปคว้าข้อมือของนางรั้งไว้สตรีนางนั้นค่อยๆ หันมาช้าๆ ใบหน้าของนาง ทำให้เขานิ่งงัน ดวงตากลมโต ใต้คิ้วโค้ง จมูกโด่งเล็ก ริมฝีปากเรียวบางเจือสีระเรื่อราวกับผลอิงเถา ชวนให้คนมองตื่นตะลึงกับความงดงามราวกับเทพธิดา บนร่างของนางสวมอาภรณ์สีแดงสดของเจ้าสาว นางมองหน้าเขาแล้วส่งยิ้มอ่อนหวาน ทำให้เขาแย้มริมฝีปากยิ้มตอบนาง ขณะประคองใบหน้างามนั้น มองนางด้วยความรู้สึ
บทที่ 24. ตอน คนในความฝัน/2"ข้าชื่อหลินเซียว เจ้าเป็นหลานของข้า ชื่อว่า เยี่ยเหวินจ้าว เรากำลังจะเดินทางไปค้าขายทางเรือ แต่เกิดพายุทำให้เรือแตก เจ้าถูกเสากระโดงเรือตกลงมาฟาดโดนหัว ได้รับบาดเจ็บ โชคดีมีคนช่วยชีวิตเราสองคนไว้ได้"จากนั้นท่านลุงหลินก็พาเขาเดินทางไปหาเพื่อนของท่านลุงที่เมืองเจิ้งหยาง เพื่อนของท่านลุงชื่อถังเหยียน เขาเป็นทหารในกองทัพตำแหน่งนายกอง "ถังเหยียน ข้าขอฝากหลานชายของข้าเข้าร่วมกองทัพด้วย"ท่านลุงฝากเขาเป็นทหารในกองทัพที่ถังเหยีนดูแล"เสี่ยวเหวิน ต่อไปนี้เจ้าก็ดูแลตัวเองให้ดี นี่คือหยกของพ่อเจ้า เก็บรักษาไว้ให้ดี"ท่านลุงมอบจี้หยกชิ้นหนึ่งให้เขาก่อนจะจากไป เขาจึงเริ่มต้นชีวิตใหม่ในฐานะพลทหารผู้น้อย คอยดูแลม้าในค่ายทหารเมืองเจิ้งหยาง หลังจากห้าปีผ่านไป มีหลายสิ่งเกิดขึ้น ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตเขา เริ่มจากเขาได้ช่วยชีวิตทหารผู้หนึ่งของกองทัพวายุทมิฬไว้ จึงถูกพาเข้าสังกัดกองทัพที่ได้ชื่อว่ากองทัพปีศาจ สร้างผลงานโดดเด่น จนได้เลื่อนตำแหน่งเป็นนายกองภายในปีเดียว และมีโอกาสได้พบกับใต้เท้าโส่วฝู่ และนั่นกลายเป็นจุดพลิกผัน เมื่อใต้เท้าโส่วฝู่ได้เห็นใบหน้าของเขาเหมือนกับบุต
บทที่ 25 ตอน พบกันอีกครั้ง/1ย่านการค้าของเมืองหนานไห่ในช่วงเช้าบรรยากาศค่อนข้างคึกคัก ด้วยผู้คนที่มาติดต่อซื้อขายของทะเลและของแห้งร้านของหลิวซืออิน เป็นร้านขายอาหารทะเลแห้งใหญ่ที่สุดในเมืองหนานไห่ มีพ่อค้าจากต่างเมืองมาติดต่อซื้อขายสินค้า เพื่อนำไปขายต่อเป็นจำนวนมาก ในแต่ละวันจึงมีผู้คนผ่านเข้าไปมาในร้านมากหน้าหลายตา หลิวซืออินมอบหมายให้นางฉีฮุ่ยเป็นผู้ดูแลร้าน ซุนเซิงเป็นหลงจู้คอยควบคุมบัญชีของร้านและตรวจสอบการค้า ตอนนี้ซุนเซิงยังไม่กลับจากการไปส่งสินค้าที่ต่างเมือง ดังนั้นหลิวซืออินจึงต้องมาอยู่หน้าร้านคอยดูแลเรื่องทำบัญชีแทนเหตุการณ์ในโรงเตี๊ยมเมื่อวานนี้ ต่างเป็นที่โจษขานของชาวเมือง ผู้คนให้ความสนใจเรื่องที่เถ้าแก่เฉินถูกทางการจับตัวไปในข้อหาค้าเกลือเถื่อน กิจการของเถ้าแก่เฉินถูกทางการสั่งปิดเพื่อตรวจสอบเส้นทางการเงิน และบัญชีการค้าขายที่อาจจะเกี่ยวข้องกับการค้าเกลือเถื่อน มีหลายคนถูกนำตัวไปสอบสวนนอกจากเหตุการณ์ ที่โรงเตี๊ยมแล้ว เหตุการณ์ที่สองหนูน้อยเกือบถูกรถม้าชน ก็เป็นเรื่องถูกพูดถึงกันอย่างมาก ผู้คนต่างชื่นชมท่านแม่ทัพผู้นั้นที่ช่วยเหลือเด็กๆไว้ หลิวซืออินได้ยินเรื่องราว
บทที่ 26 ตอน พบกันอีกครั้ง/2ผิงอันน้อยยื่นหน้าเข้าไปหอมแก้มท่านลุงของนางด้วยความดีใจ ด้านอี้หนิงก็จับแขนของเขาเขย่าแรงๆ กระโดดขึ้นลง ท่าทางตื่นเต้นดีใจนั้นทำให้นางฉี่ฮุ่ยรู้สึกแปลกใจมาก ที่เห็นเด็กทั้งสองสนิทสนมกับชายผู้นี้อย่างรวดเร็ว ปกติแล้วอี้หนิงกับผิงอันแทบจะไม่ยอมใกล้ชิดกับผู้อื่นนอกจากคนในครอบครัว"ลุงสัญญาแล้วก็ต้องมาหาพวกเจ้าตามสัญญาสิ วันนี้ลุงซื้อของเล่นมาให้พวกเจ้าด้วย"แม่ทัพหนุ่มพยักหน้าให้คนขับรถ นำของที่เขาเตรียมมามอบให้เด็กๆทั้งสอง"เชิญท่านแม่ทัพเข้าไปพักผ่อนด้านในเถอะเจ้าค่ะ อี้หนิงผิงอัน พาท่านลุงเข้าไป"นางฉี่ฮุ่ยเชื้อเชิญแม่ทัพหนุ่มให้เข้าไปในร้านบอกเด็กๆให้พาเขาไปยังห้องรับรองชั้นสอง ด้านล่างเป็นร้านของทะเลของทะเลแห้ง จึงมีกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ไม่อาจต้อนรับแขกตรงนี้ได้ "ท่านลุง พวกเราไปข้างในเถอะเจ้าค่ะ"ผิงอันกอดคอท่านลุงของนางแน่น ให้เขาอุ้มพาไปตามทางที่นางชี้บอก อี้หนิงเดินนำไปอย่างอารมณ์ดี ลูกค้าในร้านต่างพากันมองอย่างสนใจ หลายคนพากันกระซิบกระซาบ"หรือเขาจะเป็นพ่อของเด็กๆ"///หลิวซืออินออกจากร้านมาตั้งแต่เช้าตรู่ นางต้องเข้าไปดูแลโรงผลิตปลาเค็ม และอาหารท
บทที่ 27 ตอน ให้สวรรค์ขีดเส้นชะตา/1เจ้าตัวกลมกระโดดกอดร่างของมารดา ทำให้หลิวซืออินที่กำลังมองแผ่นหลังของคนที่นั่งอยู่ไม่ทันตั้งตัวถึงกับเซ ในวงแขนมีร่างป้อมของผิงอัน นางรีบหมุนตัวไม่ให้ล้มทับร่างน้อยของลูกสาว ขาจึงขัดกันหงายหลังล้มลง “ว้าย !” หลิวซืออินอุทานด้วยความตกใจทว่า... ในจังหวะเดียวกัน ร่างสูงใหญ่ของคนที่นั่งอยู่ก็ใกล้ๆ ก็พลิกตัวมารองรับสองแม่ลูกเอาไว้ จึงไม่ล้มฟาดแต่ล้มไปในอ้อมแขนของเขาแทน อุ๊บ !เสียงร้องดังขึ้นเบาๆ จากชายที่กลายเป็นเบาะอยู่ด้านล่าง ฉู่หมิงฮ่าวโอบกอดร่างนุ่มนิ่มของหลิวซืออินไว้ในอ้อมแขน ศีรษะของนางซบแนบกับอกกว้างของเขา ใบหน้าของเขาแนบอยู่ข้างใบหูขาว จมูกโด่งได้กลิ่นหอมราวกับกลิ่นของบุปผาจากกายนาง จนเผลอสูดลมหายใจเข้าไปเต็มปอด หัวใจเต้นแรง ความรู้สึกแปลกๆ ผุดขึ้นในหัวใจ วงแขนรัดรอบร่างของสองแม่ลูกแน่นขึ้นอย่างลืมตัว จนกระทั่งคนในอ้อมแขนเริ่มดิ้นรนลุกขึ้น"ท่านแม่ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง"อี้หนิงรีบลุกขึ้นมาช่วยดึงร่างของน้องสาวให้ลุกขึ้น เด็กชายมองดูมารดาที่ยามนี้นอนทับอยู่บนร่างหนาของท่านลุง ด้วยความห่วงใย"แม่ไม่เป็นอะไร อุ๊
บทที่ 28. ตอน ให้สวรรค์ขีดเส้นชะตา/2 หลิวซืออินแบกหน้าร้อนผ่าวด้วยความอายของตัวเองมาจัดโต๊ะอาหาร จากนั้นก็เชิญแม่ทัพหนุ่มกับเด็กๆ มากินข้าวด้วยกัน อาหารจากโรงเตี๊ยมฝูไหล ขึ้นชื่อเรื่องรสชาติที่สุดในเมืองหนานไห่ วัตถุดิบสดใหม่มีทั้งอาหารทะเลและหมูไก่ เถ้าแก่เนี้ยเจ้าของโรงเตี๊ยมฝูไหลเป็นหญิงม่ายลูกติด หลิวซืออินรู้จักและคบหาสนิทสนมกับนางมาหลายปีแล้ว ทั้งสองเป็นหญิงม่ายมีลูกน้อยให้เลี้ยงดู จึงเข้าใจกันเป็นอย่างดี เจ้าซาลาเปาแฝดอายุเท่ากับบุตรสาวของเถ้าแก่เนี้ย ยามพบกันก็มักจะเล่นกันเสมอ ทั้งสี่ร่วมโต๊ะกันกินข้าวไปคุยกันไป ผู้ที่พูดคุยมากที่สุดเป็นผิงอันน้อย นางใช้ตะเกียบคีบอาหารมาวางบนชามข้าวของท่านลุงฉู่ ท่านลุงก็คีบน่องไก่วางใส่ชามข้าวนางคืน และยังคีบอีกน่องใส่ชามให้อี้หนิง "นี่ของเจ้า"แม่ทัพฉู่หมิงฮ่าวคีบหมูสามชั้นวางบนชามข้าวของหลิวซืออิน ราวกับเขารู้ว่านางชอบ จากนั้นตัวเขาก็คีบกับข้าวใส่ชามเด็กน้อยทั้งสอง ชักชวนให้กินผักกินเนื้อ"ผิงอันเจ้ากินผักด้วย จะได้ไม่ท้องอืด อี้หนิงเจ้าอย่ากินแต่ผักกินเนื้อให้มากๆ เด็กผู้ชายต้องกินเนื้อถึงจะโตเร็ว"แม่ทัพฉู่หมิงฮ่าวรู้สึกว่ามื้ออาหารนี
บทที่ 80ตอน วิวาห์ของสองเรา /2 (จบ)“ท่านแม่ ข้าง่วงแล้ว”ผิงอันอ้าปากหาว อี้หนิงเองก็เริ่มตาปรือ วันนี้พวกเขาตื่นเต้นกับงานมาก ตื่นเช้ามาแต่งตัวเข้าร่วมขบวนแห่ มาถึงก็เล่นกันในงานจนตอนนี้หมดแรงแล้ว“ง่วงก็นอนลง มาแม่ห่มผ้าให้”เด็กน้อยทั้งสองนอนลงบนเตียง ให้มารดานอนตรงกลาง ผิงอันกอดมารดาเอาหน้าซุกอกนอนหลับตาพริ้ม หลิวซืออินเกาหลังให้อี้หนิงแบบที่ทำทุกคืน ลูกชายนางขาดคนเกาหลังจะนอนไม่หลับ คืนนี้เด็กชายถูกมารดาเกาหลังจนเพลินหลับไปแล้วแกรก !เสียงประตูเปิดออก พร้อมกับร่างสูงใหญ่ในอาภรณ์สีแดง ก้าวเข้ามาในห้องหอ กว่าที่ฉู่หมิงฮ่าวจะปลีกตัวออกมาได้ ก็ถูกเพื่อนในกองทัพ พี่ชายตนเอง และพี่ชายเจ้าสาว รินเหล้าส่งให้ไม่หยุดหย่อน เขาอาศัยตัวเองคอแข็งจึงรับมือได้ไม่ยากนัก แต่ให้ดื่มจนไม่ได้เข้าหอ เขาคงกลายเป็นคนโง่ แม่ทัพหนุ่มจึงดื่มบ้างแอบเทรดแขนเสื้อบ้าง แสร้งทำเมามายจึงมีโอกาสได้เข้าหอเสียทีภายในห้องหอเทียนแดงมงคลจุดให้ความสว่างเหลือเพียงครึ่งแท่งแล้ว สุรามงคลบนโต๊ะรอเจ้าบ่าวเจ้าสาว มาคล้องแขนดื่มกิน เจ้าสาวคนงามสวมชุดวิวาห์สีแดงนั่งรออยู่บนเตียงฉู่หมิงฮ่าวหยิบคันชั่ง เดินไปยังเตียงด้วยอารมณ
บทที่ 79 ตอน วิวาห์ของสองเรา /1 เกี้ยวเจ้าสาวสีแดง ถูกแบกออกจากหน้าประตูจวนของเสนาบดีหยาง วันนี้หยางอี้หลันบุตรีของท่านเสนาบดีออกเรือน สินเดิมของเจ้าสาวถูกจัดเตรียมไว้มากมาย สมกับเป็นลูกสาวของเสนาบดีกรมคลังการแต่งงานครั้งนี้เจ้าบ่าวคือ ฉู่หมิงฮ่าว แม่ทัพใหญ่ของแคว้นเป่ยฉี เขาเป็นบุตรชายคนรองของใต้เท้าฉู่อี้หนาน ท่านโส่วฝู่ผู้เป็นที่ไว้วางพระทัยของฮ่องเต้ แม่ทัพหนุ่มอยู่ในชุดเจ้าบ่าวสีแดงสวมหน้ากากเงินปกปิดใบหน้าไว้ครึ่งหนึ่ง ขี่อาชาสีขาวดูสง่างาม บนนั้นยังมีร่างของเด็กชายตัวน้อยสวมชุดสีแดงนั่งอยู่ด้วย ผู้คนที่พากันมามุงดูขบวนแต่งงาน ต่างตื่นตะลึงกับรูปโฉมของเจ้าบ่าว“ท่านแม่ทัพฉู่หมิงฮ่าว สวมหน้ากากเงินปกปิดใบหน้า เพราะเขาเป็นแม่ทัพของกองทัพวายุทมิฬ คนในกองทัพนี้ล้วนลึกลับ จนถูกขนานนามว่า กองทัพปีศาจ”คนที่พากันมุงดูซุบซิบถึงเจ้าบ่าว พวกเขาได้ยินชื่อของกองทัพวายุทมิฬก็พากันกลัวตัวสั่น ได้ข่าวว่าแม่ทัพฉู่เพิ่งจัดการกับโจรสลัดที่โหดเหี้ยมผู้หนึ่งของหนานไห่ได้ ฮ่องเต้จึงพระราชทานสมรสให้แต่งกับบุตรีท่านเสนาบดีหยาง“บุตรีท่านเสนาบดีหยาง พลัดพรากจากครอบครัวตั้งแต่เล็ก ท่านแม่ทัพฉู่หมิงฮ
บทที่ 78 ตอน พบผู้มีพระคุณทั้งสอง/2ฉู่เฟยหยางเป็นฝาแฝดกับฉู่หมิงฮ่าวย่อมหน้าตาคล้ายกัน บุตรของเขาหน้าตาเหมือนบิดาทั้งคู่ จึงดูคล้ายกันเหมือนฝาแฝด แม่หนูผิงอันมองหน้าท่านพ่อกับท่านลุง แล้วมองหน้าพี่ชายตนกับลูกชายท่านลุง“โอย เหมือนกันจนข้าแยกไม่ออกแล้ว ข้าตาลายไปหมดแล้วเจ้าค่ะท่านย่า”ผิงอันน้อยเอียงหน้าซบท่อนแขนของท่านย่า พลางกรอกตาไปมา ท่าทางนั้นทำให้ทุกคนที่เห็นต่างพากันหัวเราะขบขัน หลงเสน่ห์ของแม่หนูน้อยเข้าไปแล้ว“ท่านพ่อท่านแม่ นี่คือหยางอี้หลันภรรยาข้า”หลิวซืออินเดินเข้ามาได้เห็นทุกคนในห้องกำลังหัวเราะท่าทางตลกของผิงอันพอดี เมื่อฉู่หมิงฮ่าวแนะนำนางให้ครอบครัวของเขา จึงประสานมือย่อตัวลงทำความเคารพอย่างนอบน้อม รูปร่างหน้าตาของนางทำให้ทุกคนหันมาจ้องมองอย่างสนใจ“เหมือนข้าคุ้นหน้าเจ้า”ใต้เท้าโส่วฝู่มองบุตรีของเสนาบดีหยาง พลันรู้สึกว่าเคยพบเจอสตรีนางนี้มาก่อน ฮูหยินเองก็มองจ้องหน้านาง คิ้วขมวดเล็กน้อยเหมือนกำลังครุ่นคิด“ท่านทั้งสองคือ... คือผู้มีพระคุณของข้ากับลูก อี้หนิงผิงอัน รีบคุกเข่าเร็ว”หลิวซืออินจำทั้งสองได้ในทันที นางไม่เคยลืมใบหน้าของผู้มีพระคุณ ที่ช่วยชีวิตนางกับลูกน้อ
บทที่ 77 ตอน พบผู้มีพระคุณทั้งสอง/1รถม้าเคลื่อนจากหน้าจวนเสนาบดีหยางแล่นไปจอดยังหน้าจวนของใต้เท้าโสว่ฝู่ หน้าประตูฉู่หมิงฮ่าวยืนรอรับภรรยากับลูกๆ เมื่อเห็นรถม้ามาจอดก็รีบเดินไปหมายจะช่วยพาหลิวซืออินกับอี้หนิงผิงอันลงมา แต่คนที่เดินลงมาก่อนกลับเป็นบุรุษผู้หนึ่งหน้าตาหล่อเหลาท่าทางสง่างาม“ท่านคงเป็นพี่ชายของภรรยาข้า คารวะท่านพี่ภรรยา”ฉู่หมิงฮ่าวรู้ว่าท่านเสนาบดีมีลูกชายคนหนึ่ง ชื่อว่า หยางเทียน เป็นพี่ชายของภรรยาเขา จึงประสานมือทำความเคารพอีกฝ่ายอย่างนอบน้อม“เจ้าคือโจรชั่วที่บังอาจฉุดตัวน้องสาวข้าสินะ วันนี้ได้พบหน้าเจ้า เราคงต้องมีเรื่องพูดจากันสักหน่อย”หยางเทียนมองหน้าบุตรชายคนรองของท่านโส่วฝู่ เขาไม่เคยพบกับฉู่หมิงฮ่าวมาก่อน อีกฝ่ายเป็นแม่ทัพประจำการอยู่ค่ายทหาร คนที่เขารู้จักดีคือ ฉู่เฟยหยางบุตรชายคนโตของท่านโส่วฝู่ ตอนเด็กทั้งสองเคยเรียนสำนักศึกษาเดียวกัน โตมาถึงได้แยกย้ายไป ฉู่หมิงฮ่าวเป็นน้องชายฝาแฝดของฉู่เฟยหยาง ใบหน้าของทั้งคู่คล้ายกันมาก ต่างเพียงแววตาของฉู่หมิงฮ่าวดูแข็งกร้าวกว่าฉู่เฟยหยางเล็กน้อย“พี่เทียน ท่านโปรดละเว้นสามีข้าด้วยเถอะเจ้าค่ะ”หลิวซืออินลงจากรถม้า พร้อม
บทที่ 76 ตอน ช่วงเวลาแห่งความสุข/2ณ จวนตระกูลหยางท่านเสนาบดีหยางพาบุตรีพร้อมหลานๆ กลับมาถึงจวน ได้จัดเรือนหลังหนึ่งให้พวกเขาพัก ฮูหยินสั่งซื้อข้าวของใหม่ให้บุตรีและหลานทั้งสอง เรียกร้านเสื้อผ้าส่งช่างมาวัดตัวตัดเสื้อผ้าชุดใหม่หลายชุด ล้วนเป็นผ้าไหมชั้นดี สีสันลวดลายงดงามกว่าผ้าทั่วไป ที่สามแม่ลูกเคยสวมใส่ ร้านเครื่องประดับนำสิ้นค้าชั้นดี มาให้เลือกถึงเรือน ฮูหยินมองชิ้นไหนล้วนถูกใจไปหมด นำมาเท่าไหร่ก็ซื้อให้บุตรี จนหลิวซืออินไม่กล้ารับไว้ "ท่านแม่ ของพวกนี้ล้วนราคาแพง ท่านซื้อให้ข้ามากเกินไปแล้ว""จะแพงสักเท่าไหร่แม่ก็จะซื้อให้เจ้า ถึงเวลาออกเรือนไป จะได้เป็นสินเดิมติดตัวเจ้าไปมากสักหน่อย ท่านพ่อเจ้าเป็นถึงเสนาบดีกรมคลัง เจ้าต้องแต่งตัวให้สมฐานะบุตรีท่านเสนาบดี อย่าได้ทำให้ท่านพ่อเจ้าขายหน้า"ฮูหยินถือโอกาสอบรมบุตรี ชีวิตก่อนหน้าของหลิวซืออินเคยยากจนลำบากมามาก จึงมัธยัสถ์เห็นคุณค่าของเงินทอง จับจ่ายมากไป แพงไป ล้วนปวดใจเพราะเสียดายเงินทอง ยามนี้นางกลับคืนฐานะบุตรีของท่านเสนาบดี ของสิ่งใดควรได้ ควรหามาใช้ ต้องจัดให้สมฐานะ "ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ท่านแม่"หลิวซืออินรับคำมารดา ตอนนี้นา
บทที่ 75 ตอน ช่วงเวลาแห่งความสุข/1หนึ่งเดือนต่อมา เสนาบดีหยางพาบุตรีกับหลานทั้งสองเดินทางไปถึงเมืองหลวง หลิวซืออินได้กลับมาอยู่ร่วมกับครอบครัวอีกครั้งด้านฉู่หมิงฮ่าวนำเรื่องของเขากับหลิวซืออินไปบอกบิดามารดา ใต้เท้าโส่วฝู่ได้รู้เรื่องที่บุตรชายกระทำต่อบุตรีของเพื่อนรักก็โมโหยิ่งนัก ลงโทษให้เขาคุกเข่าอยู่ในศาลบรรพชนทั้งคืน ก่อนจะยอมรับปากไปสู่ขอและจัดงานแต่งให้เขาครอบครัวตระกูลฉู่กลับมาพร้อมหน้า จึงร่วมโต๊ะกินข้าวด้วยกัน“หากเจ้าไม่ตัดหน้าไปเสียก่อน เจ้าบ่าวของบุตรีท่านเสนาหยางคงเป็นข้า”ฉู่เฟยหยางเอ่ยเย้าน้องชาย ตัวเขาเพิ่งรักษาตาที่บอดจากการถูกลอบทำร้ายจนหายสนิท เมื่อปีที่แล้วบิดามารดาคิดทาบทามบุตรีของขุนนางหลายตระกูลให้เขาดูตัว แต่ฉู่เฟยหยางปฏิเสธบอกว่า จะแต่งกับบุตรีท่านลุงเสนาหยางตามสัญญาหมั้นหมาย เขาอาศัยเรื่องนี้ครองตัวรอดพ้นจากการถูกบังคับแต่งงานมาได้เนิ่นนาน ผู้ใดจะคิดว่าบุตรีท่านลุงหยางยังมีชีวิตอยู่ และมีความสัมพันธ์กับน้องชายฝาแฝดของตน คิดหาข้ออ้างหลบเลี่ยงงานแต่งคงยากเสียแล้ว“ท่านพี่ เรื่องอื่นข้ายอมท่านได้ แต่เรื่องนี้ข้าไม่ยอมเด็ดขาด ท่านหาสตรีคนอื่นเป็นแม่เลี้ยงให้ฉู
บทที่ 74. ตอน ครอบครัวพร้อมหน้า /2"ท่านลุงโปรดให้อภัยด้วย ข้ากับนางเราเป็นสามีภรรยากันแล้วขอรับ""อะไรนะ นี่พวกเจ้า... "ฮูหยินได้ยินก็อุทานออกมาด้วยความตกใจ นางได้ยินเรื่องบุตรีถูกโจรฉุดจากเกี้ยวเจ้าสาว รู้สึกปวดใจมาก เมื่อเห็นหลานทั้งสอง จึงนึกเอ็นดูและเวทนาที่มีบิดาเป็นโจร ไม่ทันได้เตรียมใจ บุตรชายของท่านโส่วฝู่มาบอกว่าเป็นสามีของบุตรีอีก วันนี้แผ่นดินใต้ฝ่าเท้านางพลิกไปมากี่รอบแล้ว นางมึนงงไปหมด"ท่านแม่ ท่านพ่อ พวกท่านนั่งลงก่อนเจ้าค่ะ"หลิวซืออินประคองมารดาให้นั่งลง สองแฝดมาช่วยบีบนวดท่านตาท่านยายอย่างเอาใจ "ท่านลุง เดิมทีท่านก็ทราบอยู่แล้วว่า ข้าถูกลักพาตัวไปตั้งแต่ยังเล็ก ช่วงเวลาที่ข้ายังไม่ได้พบท่านพ่อ ข้าได้รับการเลี้ยงดูจากครอบครัวตระกูลหลิน แล้วมีเหตุให้บุตรชายของท่านลุงหลินกับคู่หมั้น ถูกเจ้าของบ่อนทำร้าย ข้าจึงแก้แค้นแทนพวกเขาด้วยการไปดักปล้นขบวนเจ้าสาว ฉุดตัวเจ้าสาวของคนผู้นั้นมา ครั้งนั้นข้ากับนางได้กราบไหว้ฟ้าดินเป็นสามีภรรยากัน ต่อมาเกิดเหตุกับข้าทำให้ต้องพลัดพรากจากนางไป มาพบกันอีกครั้งที่เมืองหนานไห่ นางมีบุตรฝาแฝดชายหญิงให้ข้า ตอนนี้ข้าจึงอยากสู่ขอนางต่อท่านลุ
บทที่73 ตอน ครอบครัวพร้อมหน้า /1หลิวซืออินพาบิดามารดานั่งรถม้า มาที่ร้านขายอาหารทะเลแห้งของนาง "ท่านพ่อท่านแม่เชิญด้านในเจ้าค่ะ"ย่านการค้าของเมืองหนานไห่ มีร้านค้าหลากหลาย ร้านของหลิวซืออินเป็นร้านที่ใหญ่ที่สุดของเมือง อีกทั้งยังมีโรงผลิตปลาเค็มและอาหารทะเลแห้งเป็นของตนเอง สินค้าจึงได้คุณภาพกว่าร้านทั่วไป มีลูกค้ามาซื้อของและสั่งสินค้าอย่างคึกคัก คนงานในร้านทำงานอย่างขยันขันแข็ง สินค้าถูกจัดวางเป็นระเบียบดูสะอาดตา แม้จะมีกลิ่นของอาหารทะเลตากแห้ง แต่ก็เป็นปกติของร้านชนิดนี้ จึงไม่ทำให้คนที่เข้ามาต้องฝืนใจทน"ร้านใหญ่โต การค้าของเจ้ารุ่งเรืองมาก""ลูกแม่ เจ้าเก่งเหลือเกิน"ท่านเสนาบดีหยางกับฮูหยิน เมื่อเห็นร้านขายอาหารทะเลแห้งของบุตรีก็พากันเอ่ยชม"เถ้าแก่เนี้ยท่านมาแล้ว ท่านเป็นอย่างไรบ้าง"นางฉีฮุ่ยรีบเข้ามาหาด้วยความดีใจ เมื่อครู่ซุนเซิงกลับมาแจ้งข่าวว่า หลิวซืออินพ้นผิดอีกทั้งยังได้พบบิดามารดาของนางด้วย "ท่านป้าฉี ข้าสบายดี อ้อ นี่คือท่านพ่อกับท่านแม่ของข้า"หลิวซืออินแนะนำให้นางฉีฮุ่ย รู้จักบิดามารดาของนาง "ท่านพ่อ ท่านแม่เจ้าคะ นี่คือท่านป้าฉีฮุ่ย หลายปีมานี้ ท่านป้าช่วยเหลื
บทที่ 72. ตอน สวรรค์เมตตาคนดี ฟ้าทอดทิ้งคนชั่ว/2"ลูกแม่ เจ้าผ่านช่วงเวลาเลวร้ายนั้นมาได้อย่างไร"ผู้เป็นมารดาอยากรู้เรื่องราวของลูกสาวทั้งหมด แค่คิดว่าลูกสาวถูกโจรฉุดจากเกี้ยวเจ้าสาวไปก็ปวดใจนัก "ต่อมาข้ากราบไหว้ฟ้าดินกับโจรผู้นั้น แต่งเป็นภรรยาเขาเจ้าค่ะ เดิมคิดว่าจะมีชีวิตสุขสงบ แต่สวรรค์ไร้เมตตา สามีข้าตายจากไป หลังจากนั้นข้าจึงมาอยู่ที่หนานไห่ หวังจะใช้ชีวิตที่เหลือ แต่ข้ากลับตั้งครรภ์ คลอดบุตรฝาแฝดชายหญิง ห้าปีนี้ ข้าเลี้ยงดูลูกทั้งสอง ค้าขายปลาเค็มและอาหารทะเลแห้ง จนมีกิจการร้านขายอาหารทะเลแห้ง และโรงผลิตถึงสองแห่ง เรื่องราวชีวิตข้ามีเพียงเท่านี้เจ้าค่ะ ท่านพ่อท่านแม่"หลิวซืออินเล่าจบ แล้วก็ยิ้มให้บิดามารดา ทุกสิ่งได้เกิดขึ้นและผ่านไปแล้ว วันนี้นางได้พบบิดามารดา สามีที่คิดว่าตายจากก็กลับมาหา มีลูกทั้งสองเป็นดังแก้วตาดวงใจ นางพอใจมากแล้ว"ลูกพ่อ เจ้ายอดเยี่ยมมาก จะมีสตรีสักกี่คนทำได้ดีเช่นเจ้า พ่อภูมิใจในตัวเจ้า"ท่านเสนาบดีชื่นชมบุตรี เรื่องราวของนางทำให้คนเป็นบิดารู้สึกทึ่ง สตรีตัวเล็กคนหนึ่งต้องเผชิญเคราะห์กรรมสาหัสเพียงนี้ แต่สามารถพาตัวเองผ่านพ้นมาได้อย่างเข้มแข็ง มีชีวิต