เหม่ยหลิง เชฟสาวผู้มากความสามารถและชื่อเสียงโด่งดัง กำลังยืนอยู่บนจุดสูงสุดของชีวิต เธอมีทุกสิ่งที่ใครๆ ใฝ่ฝัน ทั้งหน้าที่การงานที่มั่นคง ความรักที่สมบูรณ์แบบ และอนาคตที่สดใส ทว่าโชคชะตาก็เล่นตลก เมื่ออุบัติเหตุทางรถยนต์พรากทุกสิ่งทุกอย่างไปในพริบตา
ในวินาทีที่รถยนต์พุ่งเข้าชน เหม่ยหลิงรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุน ความเจ็บปวดแล่นปราดไปทั่วร่างกาย ก่อนที่สติของหญิงสาวจะดับวูบลงไป ทิ้งไว้เพียงความมืดมิดที่ไม่มีที่สิ้นสุด
แต่แล้ว... เหมือนมีแสงสว่างเรืองรองขึ้นที่ปลายอุโมงค์ เหม่ยหลิงรู้สึกถึงสัมผัสที่คุ้นเคย เสียงรอบข้างเริ่มดังขึ้น เธอค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ ภาพเบื้องหน้าทำให้เธอตกตะลึงเป็นอย่างมาก
หญิงสาวไม่ได้อยู่ในโรงพยาบาล ไม่ได้อยู่บนเตียงคนไข้ ทันทีที่เปลือกตาของเหม่ยหลิงเปิดขึ้นในร่างใหม่ ความรู้สึกแรกที่ถาโถมเข้ามาคือความเจ็บปวดแสนสาหัส ราวกับร่างกายถูกฉีกออกเป็นเสี่ยงๆ หญิงสาวรู้สึกเหมือนว่ากำลังถูกแขวนอยู่กลางอากาศ ร่างกายไร้เรี่ยวแรง ขณะที่สติค่อยๆ กลับคืนมา ภาพเบื้องหน้าก็ปรากฏขึ้นอย่างเลือนราง
เมื่อสายตาปรับโฟกัสได้ เหม่ยหลิงก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เธอเห็นตัวเองถูกมัดแขวนไว้กับขื่อบ้าน ร่างกายเต็มไปด้วยรอยแผลสดใหม่ เลือดไหลซึมออกมาเปรอะเปื้อนทั่วร่างกาย หญิงสาวพยายามขยับตัว แต่ก็ทำได้เพียงเล็กน้อย เพราะความเจ็บปวดกำลังแล่นปราดไปทั่วร่างราวกับถูกไฟเผา
เหม่ยหลิงพยายามประมวลผลสิ่งที่เกิดขึ้น นี่เธอตายแล้วหรือ? นี่คือสวรรค์หรือนรก? หรือว่าแค่ฝันไป? แต่ความรู้สึกเจ็บปวดที่แล่นริ้วไปทั่วร่างกาย ย้ำเตือนให้เหม่ยหลิงรู้ว่านี่มันไม่ใช่ความฝัน
ภาพเบื้องหน้ายิ่งทำให้หัวใจของเหม่ยหลิงบีบรัด เฟยหยาง อนุภรรยาของชินอ๋องมู่หรงเยว่ ผู้เป็นสามีของสตรีในร่างนี้ กำลังยืนอยู่ตรงหน้าของหญิงสาว ใบหน้าของเฟยหยางนั้นสวยงามแต่ทว่ากลับคมบิดเบี้ยวด้วยความสะใจ รอยยิ้มเหี้ยมเกรียมปรากฏบนริมฝีปากแดงระเรื่อ ในมือของหล่อนถือแส้หนังเปื้อนเลือด ที่คงเพิ่งใช้โบยตีร่างกายของเธอจนแหลกเหลว
"หึ! ยังไม่ตายอีกเหรอ ไป๋หลัน" เฟยหยางเอ่ยเสียงเยาะหยัน "คิดว่าแค่แกล้งตายจะรอดจากข้าไปได้งั้นเหรอ? ฝันไปเถอะ!"
เหม่ยหลิงในร่างของสตรีที่ชื่อว่าไป๋หลันพยายามเปล่งเสียง แต่ก็ทำได้เพียงครางออกมาเบาๆ ความเจ็บปวดทำให้เธอแทบขาดใจ เธอพยายามรวบรวมสติ คิดทบทวนว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงมาอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้
ความทรงจำของร่างนี้ค่อยๆ ไหลบ่าเข้ามาในหัว เหม่ยหลิงเริ่มรู้ตัวแล้วว่าเธอกำลังอาศัยอยู่ในร่างของ ไป๋หลัน พระชายาเอกของท่านชินอ๋องผู้สูงศักดิ์ แต่กลับถูกสามีทำท่าทีเย็นชาใส่ และยังมอวายถูกอนุภรรยาอย่างเฟยหยางกลั่นแกล้งสารพัด ไป๋หลันมักจะถูกใส่ร้ายป้ายสี ถูกทุบตีทำร้าย จนในที่สุดก็ทนพิษบาดแผลไม่ไหวและตายในที่สุด
แต่เหม่ยหลิงที่อยู่ในร่างของไป๋หลันไม่ยอมตาย เธอเพิ่งจะได้ชีวิตใหม่ และจะไม่ยอมให้ใครมาพรากมันไปอีก เธอจะต้องเอาชีวิตรอด และช่วยแก้แค้นให้กับไป๋หลัน เจ้าของร่างอันน่าเวทนานี้ให้จงได้
"เฟยหยาง" เหม่ยหลิงในร่างของไป๋หลันกัดฟันพูด แม้เสียงจะแหบพร่า แต่แววตาของนางกลับเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น "เจ้าจะต้องชดใช้... สำหรับทุกสิ่งที่ทำกับข้า ไป๋หลันผู้นี้"
เฟยหยางหัวเราะลั่น "ชดใช้เหรอ? เจ้ามันก็แค่เศษสวะไร้ค่า จะทำอะไรข้าได้ ไป๋หลัน?"
เหม่ยหลิงไม่ตอบ เธอเอาแต่จ้องมองเฟยหยางด้วยสายตาเย็นชา แววตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังและความมุ่งมั่นที่จะเอาคืน
เฟยหยางรู้สึกเสียวสันหลังวาบ นางไม่เคยเห็นแววตาแบบนี้จากไป๋หลันมาก่อน มันทำให้หญิงสาวรู้สึกหวาดหวั่นอย่างบอกไม่ถูก
"เจ้า...เจ้าเป็นใครกันแน่?" เฟยหยางถามเสียงสั่น
เหม่ยหลิงแสยะยิ้มมุมปาก "ฉันคือยมทูต ที่จะมาเอาชีวิตแกไง"
สิ้นคำพูด เหม่ยหลิงก็สะบัดตัวอย่างแรงจนเชือกที่มัดขาดออก เธอทิ้งตัวลงมายืนอยู่เบื้องหน้าเฟยหยาง แม้ร่างกายจะเต็มไปด้วยบาดแผล แต่แววตาของนางกลับเต็มไปด้วยพลัง
เฟยหยางมองภาพตรงหน้าด้วยความตกตะลึง นางไม่เคยคิดว่าไป๋หลันผู้แสนอ่อนแอจะกล้าลุกขึ้นสู้ นางรีบคว้าแส้ขึ้นมาเตรียมพร้อม แต่ก็สายไปเสียแล้ว
เหม่ยหลิงพุ่งเข้าใส่เฟยหยางด้วยความเร็วราวกับสายฟ้า เธอคว้าแส้จากมือเฟยหยาง หักมันเป็นสองท่อนแล้วทิ้งมันลงกับพื้น
"นี่... นี่แค่เริ่มต้นเท่านั้น" เหม่ยหลิงกระซิบข้างหูเฟยหยาง "แกจะต้องได้รับบทเรียนที่สาสม... สำหรับทุกสิ่งที่ทำกับไป๋หลัน"
หลังจากที่เหม่ยหลิงก้าวออกจากห้องที่เกิดเหตุการณ์อันเลวร้าย เธอก็ได้รับการช่วยเหลือจากบ่าวคนสนิทของไป๋หลัน พวกเขาพาเธอไปยังห้องนอนเพื่อทำแผลและดูแลรักษา
เหม่ยหลิงนอนราบลงบนเตียงอย่างอ่อนแรง ความเจ็บปวดจากบาดแผลยังคงรบกวนเธอ แต่สิ่งที่ทำให้หญิงสาวรู้สึกเจ็บปวดยิ่งกว่าคือความทรงจำอันแสนโหดร้ายของไป๋หลันที่ยังคงวนเวียนอยู่ในหัว
เมื่อบ่าวรับใช้ทำแผลให้เธอเสร็จแล้ว เหม่ยหลิงก็ขอให้พวกเขาออกไปจากห้อง เพราะเธอต้องการอยู่คนเดียวเพื่อทำความเข้าใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นและวางแผนตั้งรับสำหรับอนาคต
เหม่ยหลิงพยายามลุกขึ้นนั่ง พลางสำรวจห้องรอบตัวอย่างละเอียด ห้องนี้ตกแต่งอย่างหรูหราสมฐานะของพระชายาเอก แต่กลับมีบรรยากาศที่เงียบเหงาและอ้างว้าง เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นดูเก่าแก่และทรุดโทรม เหมือนกับชีวิตของไป๋หลันที่ถูกสามีทอดทิ้งและละเลย
สายตาของเหม่ยหลิงไปสะดุดกับกระจกบานใหญ่ที่ตั้งอยู่มุมห้อง เธอค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้ แล้วก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
ภาพสะท้อนในกระจกไม่ใช่ใบหน้าของเธอ ไม่ใช่เหม่ยหลิงที่คุ้นเคย แต่เป็นใบหน้าของหญิงสาวแปลกหน้าคนหนึ่ง ที่มีดวงตากลมโต จมูกโด่งเป็นสัน และริมฝีปากรูปกระจับ ใบหน้างดงามราวกับภาพวาด แต่แววตากลมสวยกลับแฝงไปด้วยความเศร้าสร้อย
เหม่ยหลิงยกมือขึ้นแตะใบหน้าของตัวเอง ความรู้สึกเย็นเฉียบจากกระจกทำให้เธอรู้ว่านี่คือความจริง และเธอกำลังอาศัยอยู่ในร่างของคนอื่น
น้ำตาไหลอาบแก้มของเหม่ยหลิง เธอกำลังรู้สึกสงสารไป๋หลันคนนี้จับใจ ไม่เคยคิดว่าจะมีใครต้องทนทุกข์ทรมานเช่นนี้ อย่างกับกำลังเล่นละครน้ำเน่าบทหนึ่งอยู่ เหม่ยหลิงจึงสาบานกับตัวเองว่าจะเอาตัวรอดในโลกแห่งนี้และแก้แค้นให้ไป๋หลัน นางจะทำให้คนที่ทำร้ายไป๋หลันต้องชดใช้ให้หมดทุกคน
เหม่ยหลิงเริ่มต้นด้วยการสำรวจห้องของไป๋หลันอย่างละเอียด และพบว่าไป๋หลันมีบ่าวรับใช้เพียงไม่กี่คนที่ยังคงภักดีต่อนาง
เหม่ยหลิงวางแผนที่จะเริ่มต้นด้วยการฟื้นฟูสุขภาพของตัวเองและเรียนรู้เกี่ยวกับโลกใบใหม่นี้ เธอจะใช้ความรู้และทักษะที่นางมีจากโลกเดิมมาปรับใช้ในโลกนี้ และจะทำให้ทุกคนเห็นว่านางไม่ใช่ไป๋หลันผู้แสนอ่อนแออีกต่อไปแล้ว
เหม่ยหลิงใช้เวลาหลายวันในการพักฟื้นและเรียนรู้ นางฝึกฝนร่างกายให้แข็งแรงขึ้น และศึกษาขนบธรรมเนียมประเพณีของโลกนี้ นางยังเรียนรู้เกี่ยวกับอำนาจและอิทธิพลของแต่ละคนในจวนอ๋อง เพื่อที่จะวางแผนการแก้แค้นได้อย่างรอบคอบ
เมื่อเหม่ยหลิงพร้อมก็เริ่มลงมือทันที เริ่มต้นด้วยการเปลี่ยนแปลงตัวเอง หญิงสาวเปลี่ยนการแต่งกายและทรงผมให้ดูสง่างามและน่าเกรงขาม และฝึกฝนการพูดจาและกิริยาท่าทางให้ดูมั่นใจและดูมีอำนาจให้สมกับชาติกำเนิดของเจ้าของร่างเดิม
หญิงสาวคนนี้จะไม่ใช่ไป๋หลันผู้แสนอ่อนแออีกต่อไปแล้ว จากนี้นางคือไป๋หลันผู้แข็งแกร่งและเด็ดเดี่ยว นางจะใช้ชีวิตใหม่นี้เพื่อสร้างความสุขให้กับตัวเองและคนที่นางรัก จะไม่ยอมให้ใครมาดูแคลนเจ้าของร่างนี้อีกต่อไป
วันหนึ่ง ราชโองการจากฮองเฮาถูกนำมาส่งถึงจวนของชินอ๋อง มู่หรงเยว่ ราวกับสายฟ้าฟาด ฮองเฮาผู้มีศักดิ์เป็นน้าแท้ ๆ ของไป๋หลันมีพระประสงค์จะให้หลานสาวเข้าเฝ้าในวังหลวงด้วยความคิดถึงเฟยหยาง อนุภรรยาคนโปรดของมู่หรงเยว่ กลับร้อนใจอย่างที่สุด นางไม่เคยรู้มาก่อนว่าไป๋หลันมีสายสัมพันธ์อันสูงส่งเช่นนี้ ความจริงที่ว่าไป๋หลันไม่เคยโอ้อวดหรือใช้สถานะความเป็นหลานฮองเฮามาข่มขู่นาง ยิ่งทำให้เฟยหยางหวาดกลัวเดิมทีเฟยหยางวางแผนจะวางยาพิษไป๋หลันให้ตายก่อนที่ชินอ๋องจะกลับมาจากชายแดน แต่เมื่อรู้ว่าไป๋หลันเป็นหลานสาวของฮองเฮา แผนการของนางก็เปลี่ยนไป นางตระหนักว่าหากไป๋หลันตายลง นางเองก็จะไม่รอดพ้นจากการถูกฮองเฮาลงโทษอย่างแน่นอน"ถ้าฮองเฮาทรงทราบเรื่องที่ข้าทำกับไป๋หลันล่ะก็..." เฟยหยางพึมพำกับตัวเอง ใบหน้างามซีดเผือดด้วยความหวาดหวั่น ภาพของไป๋หลันที่ถูกนางทารุณกรรมปรากฏขึ้นในมโนสำนึกราวกับภาพหลอนเฟยหยางรีบเรียกบ่าวรับใช้คนสนิทมาหารือ"เจ้าไปบอกคนของฮองเฮาว่า พระชายาเอกไป๋หลันไม่อยู่ ไปต่างเมืองกับท่านอ๋อง ถ้ากลับมาแล้วข้าจะรีบบอกกล่าว"บ่าวรับใช้มองเฟยหยางด้วยความประหลาดใจ"แต่... ท่านอ๋องก็ออกไปราชการที่ช
เมื่อมู่หรงเยว่กลับถึงเมืองหลวง เขารีบมุ่งหน้าเข้าวังทันทีด้วยความร้อนใจ เมื่อทราบข่าวว่าเฟยหยางถูกคุมขังในคุกหลวงในข้อหาทำร้ายร่างกายและวางยาพิษไป๋หลันผู้เป็นพระชายาเอกแม้เฟยหยางจะทำผิดมหันต์ แต่ความรักและความผูกพันที่เขามีต่อนางทำให้เขาไม่สามารถทนเห็นนางต้องโทษทัณฑ์ได้ เขาจึงตัดสินใจใช้อำนาจและตำแหน่งที่มีของตนเพื่อช่วยเหลือชายารักของเขาแม้เฟยหยางจะเป็นเพียงบุตรสาวที่เกิดจากอนุภรรยาของเสนาบดีกรมคลัง และได้เข้ามาเป็นชายารองของเขาโดยบังเอิญ หลังจากที่เขาเผลอมีความสัมพันธ์กับนางในระหว่างที่ออกปฏิบัติราชการนอกเมืองแม้จะหลงใหลในเล่ห์มายาของเฟยหยาง แต่มู่หรงเยว่ก็ไม่อาจแต่งตั้งนางเป็นชายาเอกได้ เพราะขัดต่อราชโองการของฮ่องเต้ผู้เป็นพี่ชาย ที่ต้องการให้เขาสมรสกับไป๋หลัน บุตรีของเสนาบดีกรมตรวจการฮ่องเต้ผู้รักฮองเฮายิ่งชีพไม่อาจนิ่งเฉยต่อข่าวการวางยาพิษไป๋หลันผู้เป็นหลานสาวสุดที่รักได้ พระองค์ทรงเรียกตัวมู่หรงเยว่เข้าเฝ้าทันทีเพื่อสอบสวนเรื่องราวทั้งหมดด้วยพระองค์เองบรรยากาศในท้องพระโรงตอนนี้ดูตึงเครียดมาก มู่หรงเยว่ยืนอยู่เบื้องหน้าพระที่นั่ง สายพระเนตรของฮ่องเต้จ้องมองเขาอย่างดุดัน บ่ง
อาหลิงมองดูบาดแผลบนร่างกายของนายหญิงด้วยความปวดร้าว น้ำตาไหลอาบแก้ม บ่าวรับใช้ผู้นี้อยู่รับใช้ไป๋หลันมาตั้งแต่เด็ก เห็นทั้งความอ่อนโยนและความอดทนของนางมาโดยตลอด แต่ไม่เคยคาดคิดว่าเบื้องหลังรอยยิ้มนั้น ไป๋หลันจะต้องแบกรับความทุกข์ทรมานไว้มากมายเพียงใด"พระชายา..." อาหลิงสะอื้นไห้ "บ่าวจะไปส่งข่าวให้ท่านเสนาบดีเดี๋ยวนี้เพคะ"เหม่ยหลิงในร่างของไป๋หลันจับมืออาหลิงไว้ "ไม่ต้องหรอกอาหลิง" นางพูดเสียงแผ่ว "ท่านพ่อคงไม่มาหรอก"อาหลิงมองไป๋หลันด้วยความประหลาดใจ "ทำไมพระชายาถึงตรัสเช่นนั้นเพคะ? ท่านเสนาบดีรักพระชายามากนะเพคะ"ไป๋หลันส่ายหน้า "อาหลิง เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าข้าเป็นเพียงบุตรสาวคนเล็กที่ท่านพ่อลืมเลือนไปแล้ว" นางถอนหายใจ "ท่านพ่อไม่เคยสนใจใยดีข้าเลย นับตั้งแต่แม่ของข้าสิ้นใจ ท่านก็แต่งภรรยาใหม่และมีลูกใหม่ ข้าเป็นเพียงส่วนเกินในครอบครัวเท่านั้น""ใช่แล้ว" ไป๋หลันพยักหน้า "ถ้าไม่มีฮองเฮา ข้าคงถูกเฟยหยางและพวกนางรังแกจนตายไปนานแล้ว"อาหลิงก้มหน้าลงด้วยความเศร้าสร้อย นางรู้สึกสงสารไป๋หลันจับใจ นางลืมไปได้อย่างไรว่านายหญิงของนางต้องทนอยู่กับชีวิตที่โดดเดี่ยวและอ้างว้างเช่นนี้มู่หรงเยว่รู
ข่าวเรื่องป้าหลี่ที่หายจากอาการไอเรื้อรังด้วยอาหารของไป๋หลันแพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวง ผู้คนต่างพากันมาหาไป๋หลันเพื่อขอความช่วยเหลือ นางไม่เคยปฏิเสธใคร นางรักษาผู้คนด้วยอาหารเป็นยาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยชื่อเสียงของ "พระชายาหมอเทวดา" โด่งดังไปทั่วแคว้น ผู้คนต่างพากันรักและเคารพนาง ไป๋หลันไม่เพียงแต่รักษาโรคภัยไข้เจ็บของผู้คนเท่านั้น แต่นางยังมอบความหวังและกำลังใจให้กับพวกเขาอีกด้วยในที่สุด มู่หรงเยว่ก็ใช้ตำแหน่งและอิทธิพลของเขา จนนำเฟยหยางกลับออกมาจากคุกหลวงได้สำเร็จ แม้จะต้องแลกกับการเผชิญหน้ากับความไม่พอพระทัยของฮองเฮาก็ตามเฟยหยางเป็นผู้ที่แสดงความดีใจออกมาอย่างชัดเจนที่สุด นางกระโดดเข้าสวมกอดมู่หรงเยว่ทันทีที่เห็นเขา นัยน์ตาของเฟยหยางเต็มไปด้วยน้ำตาแห่งความปลื้มปิติ"ท่านอ๋อง ขอบพระทัยเพคะที่ช่วยหม่อมฉัน หม่อมฉันจะไม่ลืมพระคุณนี้เลย" เฟยหยางพูดเสียงสั่นเครือมู่หรงเยว่ลูบผมนางเบาๆ "ไม่เป็นไร ข้าดีใจที่เจ้าปลอดภัย"แต่สิ่งที่ทำให้เฟยหยางดีใจยิ่งกว่าการได้กลับมาสู่อ้อมกอดของมู่หรงเยว่ คือการที่ไป๋หลันหายจากอาการป่วยแล้ว"พระชายาหายดีแล้วหรือเพคะ?" เฟยหยางถามมู่หรงเยว่ด้วยน้ำเสีย
มู่หรงเยว่ก้าวเข้ามาในห้องของไป๋หลันในจังหวะที่เฟยหยางกำลังล้มลงไปกองกับพื้น เสียงร้องของเฟยหยางดังสะท้อนไปทั่วห้อง ทำให้เขารีบสาวเท้าเข้าไปดูด้วยความตกใจ"เกิดอะไรขึ้น!" มู่หรงเยว่ถามเสียงเข้ม สายตาของเขาจับจ้องไปที่ไป๋หลันอย่างตำหนิไป๋หลันมองเขาด้วยสายตาเรียบเฉย "หม่อมฉันแค่ป้องกันตัวเท่านั้นเพคะ"เฟยหยางรีบคว้าโอกาสนี้ไว้ "ท่านพี่" นางร้องไห้สะอึกสะอื้น "พี่หญิงทำร้ายหม่อมฉัน"มู่หรงเยว่ขมวดคิ้ว "ไป๋หลัน เจ้าทำอะไรเฟยหยาง?""หม่อมฉันแค่ป้องกันตัว" ไป๋หลันย้ำอีกครั้ง "นางจะทำร้ายหม่อมฉันก่อน"เฟยหยางรีบพูดแทรกขึ้น "ไม่จริงเพคะท่านพี่ หม่อมฉันแค่เข้ามาคุยกับพี่หญิงดีๆ แต่พี่หญิงกลับ..." นางเว้นวรรคไว้ ก่อนจะสะอื้นไห้ต่อ "พี่หญิงกลับทำร้ายหม่อมฉัน หม่อมฉันเจ็บ..."มู่หรงเยว่มองไป๋หลันด้วยสายตาตำหนิ เขาไม่คิดว่านางจะกล้าทำร้ายเฟยหยาง แม้ว่าเฟยหยางจะทำผิดมาก่อน แต่นางก็เป็นอนุภรรยาของเขา และตอนนี้เฟยหยางที่เพิ่งพ้นโทษออกมาจากคุกหลวงก็กำลังอ่อนแอเป็นอย่างมาก"ไป๋หลัน เจ้า..." เขาเริ่มจะต่อว่านาง แต่เฟยหยางก็รีบพูดแทรกขึ้นอีกครั้ง"ช่างเถอะเพคะท่านพี่" เฟยหยางพูดเสียงอ่อน "เรื่องมันผ่านไ
ยามราตรีแผ่ปกคลุมจวนหลังใหญ่ของอ๋องชิน ความเงียบสงัดเข้าครอบงำทุกห้องหับ ในขณะที่ไป๋หลันเข้าไปพักผ่อนในห้องนอนของนางเรียบร้อยแล้ว มู่หรงเยว่กลับยังคงครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ภาพของไป๋หลันที่ถูกทำร้ายร่างกายและคำสารภาพของเฟยหยางยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของเขาด้วยความรู้สึกผิดและเป็นห่วง มู่หรงเยว่ตัดสินใจเดินไปเยี่ยมเยียนไป๋หลันที่ห้องนอน เขาเปิดประตูเข้าไปอย่างเงียบเชียบ พบว่าอาหลิงกำลังบรรจงทายาให้ไป๋หลันที่นอนหลับอยู่บนเตียง"ท่านอ๋อง!" อาหลิงตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นมู่หรงเยว่อย่างกะทันหันมู่หรงเยว่ยกมือขึ้นห้ามอาหลิงส่งเสียง "อย่าปลุกนาง" เขาพูดเสียงเบาอาหลิงพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ"ให้ข้าทำเองเถิด" มู่หรงเยว่พูดต่ออาหลิงลังเลเล็กน้อย แต่มู่หรงเยว่ยืนกรานว่าจะเป็นคนทายารักษาแผลเป็นให้ร่างบางด้วยตัวเอง นางจึงจำต้องถอยออกมามู่หรงเยว่นั่งลงข้างเตียง มองใบหน้าสงบนิ่งของไป๋หลัน แม้ในยามหลับ นางก็ยังคงดูงดงามและอ่อนโยน เขาเอื้อมมือไปสัมผัสแก้มนางอย่างแผ่วเบา รู้สึกถึงความอบอุ่นและนุ่มนวลของผิวเขาเริ่มทายาให้ไป๋หลันอย่างเบามือที่สุด พยายามไม่ให้นางรู้สึกตัว แต่บาดแผลบนร่างกาย
หลังจากมู่หรงเยว่ออกจากห้องไป ไป๋หลันเรียกอาหลิงเข้ามาพบทันที หญิงสาวนั่งลงที่โต๊ะใหญ่และจรดพู่กันลงบนกระดาษอย่างตั้งใจ"อาหลิง" ไป๋หลันเอ่ยเรียก "เจ้าช่วยนำจดหมายฉบับนี้ไปส่งให้เฉินกั๋วกงแทนข้าที"อาหลิงรับจดหมายมาด้วยความสงสัย นางทราบดีว่าเฉินอี้เทียน หรือ เฉินกั๋วกง คือสหายในวัยเด็กและยังเป็นชายหนุ่มรูปงามที่ไป๋หลันแอบหลงรัก แต่ไม่เคยเห็นนางส่งจดหมายถึงเขาเลยตลอดเวลาที่แต่งงานเข้าอยู่ในจวนอ๋อง"ได้เพคะ พระชายา" อาหลิงรับคำ นางมองไป๋หลันด้วยแววตาเป็นกังวล นางพอจะเดาได้ว่านายหญิงคิดจะทำอะไร และก็รู้สึกอดเป็นห่วงไม่ได้"พระชายา..." อาหลิงเอ่ยอย่างลังเล "ท่านแน่ใจแล้วหรือเพคะ?"ไป๋หลันพยักหน้าอย่างหนักแน่น "ข้าแน่ใจแล้วอาหลิง" นางพูดเสียงหนักแน่น "ข้าจะไม่ทนอยู่ในสภาพนี้อีกต่อไป ข้าจะไม่ยอมเป็นหมากในเกมการเมืองของใครอีกแล้ว"อาหลิงถอนหายใจ นางรู้ว่าไม่สามารถเปลี่ยนใจไป๋หลันได้ นางทำได้เพียงแค่เชื่อมั่นในการตัดสินใจของนายหญิง"บ่าวจะไปส่งจดหมายให้เฉินกั๋วกงเดี๋ยวนี้เพคะ" อาหลิงกล่าว"ขอบใจเจ้ามากอาหลิง" ไป๋หลันยิ้มให้อาหลิงอย่างอบอุ่น "เจ้าคือเพื่อนแท้ของข้า"อาหลิงโค้งคำนับแล้วรีบออกจา
เฟยหยางค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาจากภวังค์แห่งความมืดมิด ความรู้สึกหนักอึ้งในอกยังไม่จางหายไปไหน ราวกับมีก้อนหินขนาดใหญ่ทับถมอยู่ พิษของเห็ดเมาที่หลอกหลอนนางมาตลอดทั้งคืนเริ่มจางลง ทิ้งไว้เพียงความทรงจำเลือนรางของเหตุการณ์เมื่อคืนที่ค่อยๆ แจ่มชัดขึ้น"ข้าเสียรู้ให้ไป๋หลัน!" เฟยหยางพึมพำกับตัวเอง ริมฝีปากเม้มแน่นจนเป็นเส้นตรง ความโกรธเกรี้ยวและความอัปยศอดสูรวมตัวกันเป็นเปลวเพลิงที่แผดเผาภายในอก นางจำได้ลางๆ ถึงภาพของไป๋หลันที่หลอกล่อนางให้กินอาหารที่ป้ายด้วยเห็ดเมา แล้วหลังจากนั้น... ความทรงจำก็ขาดหายไป"พระชายา" เสียงของเปาหม่าดังขึ้นข้างเตียง นางประคองถ้วยยาส่งให้เฟยหยาง "นี่คือยาบำรุงร่างกาย ท่านรีบดื่มเถิดเพคะ"เฟยหยางรับถ้วยยา ดื่มมันจนหมดโดยไม่ปริปากบ่น ร่างกายของนางยังคงอ่อนเพลีย แต่จิตใจกลับร้อนรุ่มด้วยความแค้น"เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นบ้าง" นางถามเสียงแหบพร่าเปาหม่าเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟัง น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความกังวล "หลังจากที่ท่านสลบไป ท่านอ๋องก็รีบไปหาพระชายาเอกที่เรือนทันที พระองค์ไม่ได้อยู่ดูแลท่านเลยแม้แต่น้อย และอยู่กับพระชายาเอกตลอดค่อนคืนเจ้าค่ะ"คำพูดของเปาหม่าราวกับ
ในเขตพระราชวังอันกว้างใหญ่ที่ปกคลุมด้วยกำแพงหินสูงสง่าและต้นสนที่แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงา ไป๋หลัน เดินลัดเลาะตามทางเดินหินที่ทอดยาวสู่ตำหนักของฮองเฮา นางสวมเสื้อคลุมผ้าไหมสีขาวงาช้างปักลายดอกไม้ละเอียดอ่อน ขณะเดินไป เสียงนกที่ร้องเบาๆ ตามกิ่งไม้สูง และเสียงฝีเท้าของนางบนหินที่เย็นเฉียบ ดูเหมือนจะเป็นเสียงเดียวที่ได้ยินในยามนี้วันนี้ไม่เหมือนทุกวัน เพราะเป็นวันที่หญิงสาวถูกเรียกเข้าเฝ้าฮองเฮาผู้เป็นพระญาติของนาง ผู้ทรงเป็นบุคคลที่มีอำนาจอย่างสูงในราชสำนัก นางรู้สึกถึงความตื่นเต้นและความกังวลที่ซ่อนอยู่ภายในใจ แต่สิ่งที่ทำให้นางกังวลมากที่สุดคือข่าวที่นางได้ยินมาก่อนหน้านี้เกี่ยวกับการแต่งงานที่กำลังจะเกิดขึ้นเมื่อถึงตำหนักของฮองเฮา ประตูไม้หนักที่สลักลวดลายวิจิตรถูกเปิดออกโดยขันทีที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านนอก ไป๋หลันก้าวเข้ามาในห้องรับรองใหญ่ที่เต็มไปด้วยเครื่องเรือนและวัตถุโบราณจากยุคต่างๆ กลิ่นหอมของไม้จันทน์ลอยอบอวลไปทั่วห้อง ขณะที่ฮองเฮานั่งอยู่บนบัลลังก์เล็กๆ ที่ประดับด้วยหมอนหนานุ่ม ใบหน้าของพระนางสงบสุข แต่แฝงด้วยความเยือกเย็นที่ไม่อาจคาดเดาได้"หลันเอ๋อร์" เสียงของฮองเฮาเรียกชื่อไป๋หลันเ
ในห้องโถงวังหลวงซึ่งปกคลุมไปด้วยบรรยากาศอันเคร่งขรึม ความเย็นเยียบของเสาไม้แกะสลักและเพดานสูงทำให้เสียงพูดของผู้คนก้องสะท้อนไปทั่ว ทุกสายตาจับจ้องไปที่บุรุษผู้หนึ่งที่ยืนเด่นเป็นสง่า มู่หรงเยว่ชายหนุ่มที่สูงศักดิ์ในฐานะชินอ๋อง หนึ่งในบุคคลสำคัญของแคว้นหยาง อำนาจในมือของเขาคือกองทัพที่แข็งแกร่ง แต่เบื้องหลังของเส้นทางสู่อำนาจนี้ไม่ได้ง่ายอย่างที่ใครๆ คิด และยิ่งในวันนี้ วันที่ชะตาของเขาถูกลิขิตใหม่อย่างไม่ทันคาดคิดฮ่องเต้ทอดพระเนตรน้องชายที่พระองค์รัก ท่าทางของพระองค์สงบและมั่นคงในคำสั่งที่กำลังจะประกาศออกมา "หรงเยว่" เสียงอันทรงอำนาจของฮ่องเต้ดังก้องไปทั่วห้อง "ข้าได้เตรียมการแต่งงานให้เจ้าแล้ว"คำพูดนั้นเหมือนสายฟ้าที่ผ่ากลางใจของมู่หรงเยว่ เขานิ่งไปชั่วขณะ แม้ภายนอกจะแสดงท่าทีสงบ แต่ภายในหัวใจกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกว้าวุ่น "การแต่งงาน?" เขาทวนคำราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน การแต่งงานที่ไม่เคยมีการพูดถึงมาก่อน เหตุใดจึงเกิดขึ้นเช่นนี้ และที่สำคัญ เหตุใดถึงต้องรีบร้อนจัดการเรื่องนี้ในตอนนี้?ฮ่องเต้ยิ้มอย่างอ่อนโยน แต่ดวงตายังคงแข็งกร้าว "ใช่ การแต่งงานของเจ้าเป็นเรื่องสำคัญมาก เจ้
หลายปีผ่านไป มู่หรงซาน บุตรชายคนโตของมู่หรงเยว่และไป๋หลัน เติบโตขึ้นเป็นเด็กชายวัยห้าขวบผู้มีใบหน้าหล่อเหลาและดวงตาสดใส แต่เขาก็มีนิสัยที่ทำให้บิดามารดาต้องปวดหัวไม่น้อย นั่นคือ เขาเป็นเด็ก 'ทานยาก' ที่สุด!ไป๋หลันพยายามทำอาหารสารพัดเมนูมาล่อใจลูกชาย แต่ดูเหมือนว่าไม่มีอะไรจะถูกปากเจ้าตัวเล็กได้เลย มู่หรงซานจะกินเพียงไม่กี่คำ แล้วก็ผลักจานออกห่าง ทำให้ไป๋หลันรู้สึกท้อแท้ใจ"หลันเอ๋อร์ เจ้าไม่ต้องกังวลไปหรอก" มู่หรงเยว่ปลอบใจภรรยา "เด็กๆ ก็เป็นแบบนี้แหละ เดี๋ยวซานเอ๋อร์ก็โตและกินง่ายขึ้นเอง"แต่ไป๋หลันยังคงเป็นห่วงลูกชาย นางรู้ว่าอาหารเป็นสิ่งสำคัญต่อการเจริญเติบโตของเด็ก และนางไม่อยากให้ลูกชายขาดสารอาหาร"แต่หม่อมฉันเป็นห่วงเขาเหลือเกิน ท่านพี่" ไป๋หลันพูดเสียงเศร้า "เขาตัวเล็กกว่าเด็กคนอื่นๆ ในวัยเดียวกัน"มู่หรงเยว่โอบกอดภรรยาไว้ "เราจะหาวิธีกันนะ หลันเอ๋อร์"ด้วยความรักและความปรารถนาดีที่มีต่อลูก ไป๋หลันจึงไม่ยอมแพ้ นางเริ่มศึกษาตำราอาหารสำหรับเด็ก ทดลองทำเมนูใหม่ ๆ ที่ทั้งอร่อยและน่าสนใจ เพื่อดึงดูดใจลูกชายตัวน้อยของนางถึงแม้ไป๋หลันจะพยายามสร้างสรรค์เมนูอาหารให้น่าทานมากเพียงใด แ
ข่าวคราวที่ชินอ๋องมู่หรงเยว่จะทรงมีชายาเพียงองค์เดียวกระจายไปทั่วแคว้น สร้างความผิดหวังให้แก่เหล่าหญิงงามที่เคยหมายปองจะได้เป็นสนมของพระองค์ เพราะบัดนี้พวกนางไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้เฉียดใกล้ชินอ๋องอีกต่อไปในคืนที่ไป๋หลันใจอ่อนยอมคืนดี ภายในห้องบรรทมที่เคยเงียบเหงา บัดนี้กลับอบอวลไปด้วยไอรักอันร้อนแรง มู่หรงเยว่และไป๋หลันผู้ห่างเหินกันไปนาน ได้กลับมาเปิดเผยความในใจซึ่งกันและกันอีกครั้งมู่หรงเยว่โอบกอดไป๋หลันไว้แนบอก จุมพิตหน้าผากมนอย่างทะนุถนอม "ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้าต้องเสียใจ ข้าสัญญาว่าจะไม่ทำให้เจ้าต้องเจ็บปวดเช่นนี้อีก"ไป๋หลันซบหน้าลงกับอกแกร่ง น้ำตาแห่งความปีติยินดีเอ่อล้นออกมา "ได้ หม่อมฉันจะเชื่อใจท่านพี่อีกครั้ง"สัมผัสอันอ่อนโยนค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเร่าร้อน มู่หรงเยว่ประคองใบหน้างามของไป๋หลันขึ้น จ้องลึกเข้าไปในดวงตาคู่สวยที่ฉายแววรักใคร่"ข้ารักเจ้า ไป๋หลัน" เขาเอ่ยเสียงพร่า"หม่อมฉันก็รักท่านพี่เพคะ" ไป๋หลันตอบรับ ก่อนจะมอบจุมพิตอันแสนหวานให้กับคนรักร่างสองร่างแนบชิดเป็นหนึ่งเดียว ความรักที่เก็บกดไว้นานถูกปลดปล่อยออกมาอย่างร้อนแรง เสียงครางกระเส่าดังคลอเคล้าไปกับเสียงลมหายใจหอบ
แม้ว่าจะถูกมู่หรงเยว่สืบข่าวจนล่วงรู้ถึงแผนการร้าย แต่ซูหลิงก็ยังไม่ยอมละความพยายาม นางยังคงมีความแค้นฝังลึกต่อมู่หรงเยว่และไป๋หลัน คิดว่าหากไป๋หลันแท้งลูก มู่หรงเยว่อาจจะใจอ่อน ยอมแต่งงานกับนางเพื่อรักษาสัมพันธภาพระหว่างแคว้นเอาไว้วันหนึ่ง ซูหลิงบุกเข้าไปในภัตตาคารของไป๋หลัน นางผลักไป๋หลันอย่างแรงจนล้มลงกับพื้น"เจ้าคิดว่าจะแย่งท่านอ๋องไปจากข้าได้งั้นเหรอ? ตั้งแต่ข้าเกิดมา ข้าไม่เคยแพ้ให้กับสตรีผู้ใด!" ซูหลิงตะโกนด้วยความโกรธเกรี้ยวไป๋หลันพยายามลุกขึ้น แต่ก็รู้สึกเจ็บแปลบที่ท้องน้อย นางกุมท้องตัวเองไว้แน่น "อย่านะ ซูหลิง อย่าทำอะไรลูกของข้า" ไป๋หลันร้องขอเสียงสั่นเครือแต่ซูหลิงไม่ฟัง นางตรงเข้าไปหมายจะทำร้ายไป๋หลันอีกครั้งทันใดนั้นเอง มู่หรงเยว่ก็ปรากฏตัวขึ้น เขาเข้ามาขวางซูหลิงไว้ได้ทัน ก่อนที่นางจะทำอะไรไป๋หลันได้"หยุดนะ ซูหลิง!" มู่หรงเยว่ตวาดลั่นซูหลิงหันไปมองเขาด้วยความตกใจ "ท่านอ๋อง"มู่หรงเยว่ไม่ฟังคำแก้ตัวของนาง เขาหยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ"นี่คือจดหมายที่เจ้าลอบส่งให้พี่ชายของเจ้าใช่ไหม?" มู่หรงเยว่ถามพลางโยนจดหมายลงตรงหน้าซูหลิงซูหลิงหน้าซีดเผือดเมื่อเห็นจ
ข่าวการแต่งงานของมู่หรงเยว่ราวกับสายฟ้าฟาดลงกลางใจไป๋หลัน แม้จะรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบพังทลายลงต่อหน้า แต่หญิงสาวก็ยังคงความสงบนิ่ง ไร้ซึ่งน้ำตาหรือเสียงสะอื้นใดๆ นางสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะลูบท้องน้อยของตนเองอย่างแผ่วเบา"ลูกแม่" นางกระซิบแผ่วเบา "เราต้องเข้มแข็งนะ"ไม่นานนัก มู่หรงเยว่ก็มาหาไป๋หลันด้วยสีหน้าลำบากใจ เขาจับมือนางไว้แน่น ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่ว"ไป๋หลัน ข้า...""ข้าทราบแล้ว" ไป๋หลันขัดขึ้น นางเงยหน้ามองเขาด้วยแววตาที่อ่านยาก "เรื่องการแต่งงานของท่าน"มู่หรงเยว่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ "ข้ามิได้ประสงค์ในการแต่งงานครั้งนี้เลยสักนิด ไป๋หลัน"ไป๋หลันพยายามฝืนยิ้ม "ข้าเข้าใจท่านอ๋อง"แต่ในใจของนางกลับปวดร้าวราวกับถูกมีดกรีดลึก ความเจ็บปวดนี้ไม่อาจบรรยายเป็นคำพูดได้"ข้ารู้ว่าท่านคงเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้" ไป๋หลันพูดต่อ "แต่ข้าจะขอท่านเพียงแค่สิ่งเดียว"มู่หรงเยว่มองนางด้วยความรู้สึกผิด "สิ่งใดหรือ ไป๋หลัน""ดูแลลูกของเราให้ดี" นางเอ่ยเสียงสั่นเครือ "นั่นคือทั้งหมดที่ข้าต้องการ"มู่หรงเยว่รู้สึกเหมือนมีก้อนสะอื้นจุกอยู่ที่คอ เขาพยักหน้าอย่างหนักแน่น"ข้าให้สัญญา ไป๋หลัน"ถึงแม้ไป๋หลันจะยอม
เวลาผ่านไปรวดเร็วราวกับสายน้ำ ท้องของไป๋หลันค่อยๆ โตขึ้นจนใกล้ถึงกำหนดคลอด นางเริ่มเคลื่อนไหวลำบากและเหนื่อยง่าย ภัตตาคารที่เคยเป็นเหมือนโลกทั้งใบของนางก็เริ่มกลายเป็นภาระอันหนักอึ้งวันหนึ่ง พ่อครัวคนสำคัญในร้านเกิดล้มป่วยกะทันหัน ไป๋หลันร้อนใจเป็นอย่างยิ่ง นางไม่รู้จะหาใครมาแทนได้ทันท่วงที ในใจนางคิดถึงแต่เรื่องนี้จนแทบจะกินไม่ได้นอนไม่หลับท่ามกลางความกังวลนั้นเอง จู่ๆ มู่หรงเยว่ก็ปรากฏตัวขึ้นที่ภัตตาคารของนางราวกับปาฏิหาริย์ เขาเพิ่งเสร็จศึกจากแนวหน้าและรีบรุดกลับเมืองหลวงทันทีที่ทราบข่าวว่านางใกล้ถึงกำหนดคลอดเมื่อเห็นไป๋หลันยืนหน้าเครียด มู่หรงเยว่ก็รับรู้ได้ถึงความทุกข์ใจของนาง เขาจึงเอ่ยปากถามด้วยความห่วงใย "หลันเอ๋อร์ เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ เหตุใดเจ้าจึงดูไม่สบายใจเช่นนี้"ไป๋หลันเล่าเรื่องพ่อครัวให้เขาฟัง มู่หรงเยว่ยิ้มอย่างอ่อนโยน "ไม่ต้องกังวลไป ข้าจะช่วยเจ้าเอง"ไป๋หลันมองเขาด้วยความประหลาดใจ "ท่านจะช่วยข้าอย่างไร ท่านไม่เคยทำครัวมาก่อน"มู่หรงเยว่หัวเราะเบาๆ "ตอนที่เราอยู่ด้วยกันที่จวน ข้าเคยนั่งเฝ้าเจ้านอนเฝ้าเจ้าตอนเข้าครัวจนจำได้หมดแล้ว"ไป๋หลันนึกถึงภาพในอดีต แม้จะผ่
รุ่งอรุณของวันใหม่มาเยือนพร้อมกับแสงทองแรกที่สาดส่อง ทว่าความสดใสของวันใหม่กลับมิอาจนำพาความสุขมาสู่จวนของมู่หรงเยว่ สาส์นด่วนจากฮ่องเต้มาถึงในยามเช้าตรู่ สั่งให้เขาออกเดินทางไปรบ ณ ชายแดนแนวหน้าทันทีมู่หรงเยว่กำสาสน์นั้นแน่น รู้สึกราวกับโลกทั้งใบถล่มลงมาต่อหน้าต่อตา เขาเหลือเวลาอยู่กับไป๋หลันเพียงไม่กี่วัน ก่อนที่จะต้องจากนางไปเผชิญหน้ากับความเป็นความตายในสนามรบ หัวใจของเขาปวดร้าวราวกับถูกมีดกรีด เขาอยากจะใช้เวลาที่เหลืออยู่กับนางให้มากที่สุด แต่หน้าที่ก็ไม่อาจละเลยในที่สุดวันที่เขาต้องออกเดินทางก็มาถึง ไป๋หลันยืนรอส่งเขาอยู่หน้าจวน นางแต่งกายด้วยชุดสีขาวบริสุทธิ์ ดั่งแสงสว่างท่ามกลางความมืดมิดในใจของเขา"ท่านอ๋อง โปรดดูแลตัวเองด้วย" น้ำเสียงของนางแผ่วเบา แต่แฝงไปด้วยความห่วงใยอย่างสุดซึ้ง"ข้าสัญญาว่าจะกลับมาหาเจ้า ไป๋หลัน" มู่หรงเยว่กระซิบข้างหูนาง "และเมื่อข้ากลับมา ข้าจะทำให้เจ้ารักข้าอีกครั้ง"เขาจูบหน้าผากนางอย่างแผ่วเบา เป็นจูบที่เต็มไปด้วยความรัก ความอาลัย และคำมั่นสัญญามู่หรงเยว่ผละออกจากอ้อมกอดของไป๋หลันอย่างอ้อยอิ่ง เขาหันหลังกลับและก้าวขึ้นม้า สายตาของเขามองกลับมาที่นา
ด้วยความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขความผิดพลาดในอดีต มู่หรงเยว่จึงตัดสินใจเข้าเฝ้าฮ่องเต้และฮองเฮาอีกครั้ง เขาคุกเข่าลงเบื้องหน้าทั้งสองพระองค์ น้ำเสียงสั่นเครือด้วยความรู้สึกที่เอ่อล้น"ขอฝ่าบาทและฮองเฮาทรงโปรดประทานอภัยให้กับข้าผู้โง่เขลาอีกครั้ง" มู่หรงเยว่กล่าว "ข้ารู้ว่าตัวเองทำผิดมหันต์ แต่ข้าขาดไป๋หลันไม่ได้ ขอทรงโปรดให้โอกาสให้ข้าได้พิสูจน์ตัวเองอีกครั้งพ่ะย่ะค่ะ"แม้ฮองเฮาจะยังทรงกริ้วที่มู่หรงเยว่ชอบทำร้ายจิตใจหลานสาวของนาง แต่ลึกๆแล้วพระนางก็ทราบดีว่าไป๋หลันยังคงมีใจให้มู่หรงเยว่อยู่ อีกทั้งเด็กในท้องก็ต้องการบิดา นางจึงให้โอกาสมู่หรงเยว่อีกครั้ง"เราจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง" ฮองเฮาตรัส "เราจะส่งไป๋หลันกลับไปอยู่กับเจ้าเป็นเวลาหนึ่งเดือน ถือเป็นโอกาสสุดท้ายที่เจ้าจะได้พิสูจน์ตัวเอง หากเจ้ายังไม่สามารถทำให้นางกลับมามีความสุขได้ เราจะให้เจ้าสองคนหย่าขาดจากกัน และไป๋หลันจะต้องเข้ามาอยู่ในวังหลวงกับเรา"มู่หรงเยว่รู้สึกซาบซึ้งในพระเมตตาของฮองเฮาเป็นล้นพ้น เขารีบกลับไปยังจวนของตนเพื่อรอคอยการกลับมาของไป๋หลันด้วยใจจดจ่อ ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความหวังและความตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง เขาจะไ